กฎกระทรวงเรื่อง การจัดกลุ่มสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๔ (๑) ระบุในข้อ ๗ ว่า “กลุ่มสถาบันอุดมศึกษา กลุ่มพัฒนาการวิจัยระดับแนวหน้าของโลก มีพันธกิจหลักและยุทธศาสตร์ที่มุ่งสู่การวิจัย ที่มีคุณภาพระดับสากลและสามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้ โดยต้อง (๑) เน้นการวิจัยขั้นสูงและการผลิตนักวิจัย เป็นผู้นำทางความรู้ของประเทศ ในระดับปริญญาเอกหรือหลังปริญญาเอกที่มีวิทยานิพนธ์ หรือผลงานวิจัยระดับนานาชาติในหลายกลุ่มสาขาวิชา (๒) มุ่งค้นคว้าเพื่อสร้างองค์ความรู้ ทฤษฎี และข้อค้นพบใหม่เพื่อขยายพรมแดนของความรู้ และสร้างความก้าวหน้าทางวิชาการที่ลุ่มลึกในสาขาวิชาต่าง ๆ (๓) สร้างนวัตกรรมที่มีมูลค่าสูงทางเศรษฐกิจและสังคมจากผลงานวิจัยและองค์ความรู้ขั้นสูง”
ผมตีความว่าตามกฎกระทรวงนี้ มหาวิทยาลัยวิจัยระดับแนวหน้าของโลกของไทย ต้องทำหน้าที่สร้างความรู้ใหม่ที่ขอบฟ้าใหม่ของความรู้ (ที่สอดคล้องกับบริบทไทย) สร้างนักวิจัยเพื่อการนี้ และเชื่อมโยงความรู้สู่นวัตกรรม ซึ่งหมายถึงการนำไปใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
คิดใหม่ ผมมองว่ามหาวิทยาลัยกลุ่มวิจัยต้องคิดย้อนศร คือเริ่มต้นที่ “นวัตกรรมที่มีมูลค่าสูงทางเศรษฐกิจและสังคม” หรือเอานวัตกรรมที่เป็นความต้องการของประเทศเป็นตัวตั้ง แล้วคิดโจทย์วิจัยระดับขอบฟ้าใหม่ สำหรับพัฒนาสู่นวัตกรรมที่ต้องการ หรือคิดใหม่ว่า ทำงานพัฒนานวัตกรรมไปพร้อมๆ กันกับการวิจัย โดยเอางานนวัตกรรมเป็นฐาน คิดอย่างนี้เป็นไปได้หรือไม่ก็ไม่ทราบ
หลักการสำคัญคือ ต้องหาทางพัฒนานวัตกรรมในรู้แบบหรือแนวทางใหม่ๆ ไม่ใช่เดินตามหลังประเทศที่เข้าก้าวหน้าไปแล้วทั้งหมด เราต้องคิดเองเป็น และกล้าคิดต่าง
ผู้ยกร่างกฎกระทรวงนี้รู้ดี ว่ามหาวิทยาลัยวิจัยระดับแนวหน้าของประเทศซึ่งมักเป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่มากนั้น มี “ไส้ใน” ที่แตกต่างกัน ซึ่งหมายความว่า มีทั้งคณะที่มีความพร้อมจะ “พัฒนาการวิจัยระดับแนวหน้าของโลก” และมีอีกหลายคณะที่ไม่พร้อมเลย จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงนี้ให้มีข้อ ๕
“ข้อ ๕ รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการอุดมศึกษาอาจประกาศกำหนดให้จัดกลุ่มส่วนราชการหรือกลุ่มส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษาแห่งใดออกเป็นกลุ่มได้ โดยคำนึงถึง จุดมุ่งหมาย พันธกิจ ยุทธศาสตร์ ศักยภาพ และผลการดำเนินการที่ผ่านมาของสถาบันอุดมศึกษา ประกอบด้วย”
ซึ่งหมายความว่า ภายในมหาวิทยาลัยกลุ่มพัฒนาการวิจัยระดับแนวหน้าของโลก อาจมีบางคณะหรือส่วนงานที่จำแนกอยู่ในกลุ่มอื่น และอาจมีบางมหาวิทยาลัยที่มีส่วนงานครบ ๕ กลุ่มตามในข้อ ๓ ของกฎกระทรวง ก็เป็นไปได้
จะเข้าใจหน้าที่ของมหาวิทยาลัยกลุ่มพัฒนาการวิจัยระดับแนวหน้าของโลกแจ่มชัดขึ้น ต้องหันไปดูหน้าที่ของกลุมที่ ๒ คือ “กลุ่มพัฒนาเทคโนโลยีและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม” มีพันธกิจหลักและยุทธศาสตร์ที่มุ่งสู่ การจัดการการศึกษาเพื่อเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ของประเทศในการพัฒนาเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบริการ โดยต้อง (๑) สร้างและพัฒนาศักยภาพผู้เรียนที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีให้สามารถนำองค์ความรู้ไปประยุกต์เพื่อสร้างผลงานและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (๒) สร้างนวัตกรรมเพื่อนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือสาธารณประโยชน์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ตลอดห่วงโซ่มูลค่าในภาคการผลิตและบริการ (๓) ส่งเสริมบทบาทความร่วมมือกับภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อสนับสนุน และพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (๔) เน้นการเรียนการสอนควบคู่กับการปฏิบัติการจริงเพื่อพัฒนาสมรรถนะและทักษะในการทำงาน”
ผมตีความว่า จุดต่างสำคัญที่สุดของมหาวิทยาลัยกลุ่ม ๑ กับกลุ่ม ๒ คือ กลุ่ม ๑ ต้องทำการวิจัยและผลิตนักวิจัยขั้นสูง นอกนั้นต้องทำคล้ายๆ กันกับกลุ่ม ๒
โยงสู่ภาคปฏิบัติ จุดสำคัญที่สุดคือ มหาฯ กลุ่ม ๑ ต้องลดจำนวน นศ. ป.ตรีลง คัดมาเฉพาะระดับหัวกระทิเท่านั้น เข้ามาเรียน ป. ตรีควบโท หรือควบเอกไปเลย ส่วนหนึ่งเป็น นศ. ทุน เพื่อดึงดูดเด็กปัญญาเลิศเข้าเส้นทางชีวิตวิชาการ หากเป็น ป. ตรีควบเอก อาจต้องเป็นหลักสูตรร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศ นศ. พวกนี้ไม่ใช่เรียนเปะปะ แต่จะเรียนตามความต้องการนวัตกรรมของประเทศ
นั่นหมายความว่า ต้องมีเงินสนับสนุนมหาวิทยาลัยกลุ่มนี้ เพราะรายได้จากจำนวน นศ. ป. ตรีจำนวนมากๆ จะลดลง และยังต้องการเงินทุนการศึกษาสำหรับดึงดูดเด็กหัวดีเข้ามาเรียนอีกด้วย คำถามคือกระทรวง อว. เตรียมงบประมาณส่วนนี้ไว้แล้วหรือยัง
โจทย์สำหรับมหาวิทยาลัยไทยกลุ่มนี้คือ จะเลือกดำเนินการแบบ CalTech หรือแบบ Harvard แต่ไม่ว่าแบบ CalTech หรือแบบ Harvard เขาก็มี นศ. ป. ตรีน้อยกว่า นศ. ระดับบัณฑิตศึกษา มหาฯ ไทยกลุ่ม ๑ จะปรับตัวอย่างไรในช่วง ๑๐ ปี และกระทรวง อว. จะหนุนการ transform มหาวิทยาลัยกลุ่มนี้อย่างไร
จากกฎกระทรวงดังกล่าว นำไปสู่คำถามว่า กระทรวง อว. (สป.อว.) จะสร้าง conducive environment เพื่อเป็นแรงดึงดูดให้มหาฯ กลุ่ม ๑ ปรับตัวได้จริงอย่างไร และตัวมหาวิทยาลัยเองจะปรับเปลี่ยนภายในมหาวิทยาลัย เพื่อหันไปเน้นภารกิจหลักที่กำหนดอย่างไร
คำตอบของผมคือ ใช้สาระในหมวด ๒ ของกฎกระทรวง ซึ่งเป็นเรื่องมาตรการส่งเสริมและสนับสนุน ที่ในกฎกระทรวงระบุไว้อย่างกว้างๆ สป.อว. น่าจะนำมาทำให้ชัดขึ้นในบริบทของมหาวิทยาลัยในหลุ่มนี้ และทำให้เป็นจริงในทางปฏิบัติ
วิจารณ์ พานิช
๒๘ เม.ย. ๖๔
ไม่มีความเห็น