ยังอยู่ที่ การสัมมนา SiCOREs และหน่วยบริหารงานวิจัยเพื่อความเป็นเลิศ ประจำปี ๒๕๖๒ ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ที่พัทยา ระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๕ มกราคม ๒๕๖๓ นะครับ การประชุมนี้ให้ข้อคิดในการทำงานจัดการความสร้างสรรค์อย่างดีเยี่ยม สำหรับผม นี่คือที่ชุมนุมของปราชญ์แห่งแผ่นดิน และเป็นที่ชุมนุมของคนดี
การประชุมนี้ มีการออกแบบกระบวนการอย่างดี โดยตอนเตรียมการมีการระดมความคิดในการประชุมทีม CORE-M ที่มี นพ. สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ และผมทำหน้าที่ที่ปรึกษาร่วมให้ความเห็นด้วย
เริ่มด้วยการกระตุกความคิดของผู้เข้าร่วมประชุม ที่เป็นสมาชิกของ CORE (Center of Research Excellence) ของศิริราช ด้วยการบรรยายสองเรื่องคือ การจัดการงานวิจัยในภาคอุตสาหกรรม บทเรียนต่อภาควิชาการ โดย น.สพ. รุจเวทย์ ทหารแกล้ว ผู้บริหารงานวิจัยของบริษัทเบทาโกร กับเรื่อง ลู่ทางแสวงหาทุนวิจัย โดย ศ. ดร. ศันสนีย์ ไชยโรจน์ ประธานคณะทำงานเกี่ยวกับตำแหน่งวิชาการและความก้าวหน้าทางวิชาชีพของนักวิจัย และดำรงตำแหน่งอีกมากมายในปัจจุบัน เกี่ยวกับการ transform มหาวิทยาลัย ตามด้วยการเสวนากับวิทยากรทั้งสอง
ตอนบ่ายเป็นช่วงเวลาให้แต่ละ CORE เล่าเรื่องราวความสำเร็จของตน โดยมีการตกลงกันไว้ก่อนแล้วว่า ให้เล่าเรื่องอะไร แต่ละเรื่องจึงมีพลังมาก สนองและเพิ่มพลังความฝันของทีมแต่ละ CORE ที่จะทำงานวิจัยสู่นวัตกรรมเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง
นี่คือการออกแบบการประชุมที่มุ่งใช้พลังบวก ไม่เอาเรื่องปัญหามาขึ้นต้นให้เสียบรรยากาศ ปัญหามีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้บ่นหรือหมกมุ่น สิ่งที่ต้องหมกมุ่นคือบรรยากาศ (เชิงบวก) และการสร้างสรรค์
ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมได้เล่าแล้ว ในกรณีของ ศ. ดร. นพ. วิปร วิประกษิต ผมบอกที่ประชุมของผู้บริหาร ๔ คนว่า “สินทรัพย์” พิเศษของศิริราชคือข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วย ที่เรียกว่า clinical data ที่สามารถนำมาเพิ่มมูลค่าทางปัญญา ต่อยอดเป็นนวัตกรรม ซึ่งหมายความว่าเป็นผลงานที่กินได้ขายได้ โดยที่ศิริราชจับทางถูก ที่นำเอา “พลังการจัดการ” เข้ามาหนุนพลังปัญญาที่ศิริราชมีอย่างเหลือเฟือ แต่ที่ผ่านมา มีการจัดการเพิ่มคุณค่าและมูลค่า น้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย ปล่อยให้เป็นการดำเนินการของปัจเจก
การที่ท่านคณบดี ศ. ดร. นพ. ประสิทธิ์ วัฒนาภา ริเริ่ม CORE-M (Center of Research Excellence Management Unit) จึงเป็นนวัตกรรมของการจัดการงานวิจัย ที่จะต้องจัดให้มี Double-Loop Learning Process และการจัดประชุมรีทรีตครั้งนี้ เป็นกลไกของการเรียนรู้ร่วมกันอย่างหนึ่ง และกระบวนการเรียนรู้ต้องกระตุ้นด้วยจิตวิทยาเชิงบวก เริ่มจากความฝันและความสำเร็จในอดีต เอามาเป็นพลังขับเคลื่อนปัจจุบันและอนาคต
ธรรมชาติของการทำงานริเริ่มสร้างสรรค์อย่างหนึ่งคือ มี resistance to change ก่อตัวขึ้นตามมา และหากจัดการไม่เป็น พลังต่อต้านจะทำลายกิจกรรมสร้างสรรค์สำเร็จ นี่คือสัจธรรมของโลก การจัดการนวัตกรรมทางวิชาการจึงต้องเอาใจใส่จัดการ power dynamics ภายในองค์กรด้วย หรือกล่าวตรงๆ คือ จัดการแรงต้าน
เมื่อแก่ตัวลง ผมมองแรงต้านเหล่านั้นเป็นของธรรมดา แต่ท่านคณบดีประสิทธิ์เก่งกว่านั้น ท่านมีหลักการ “จัดการการเปลี่ยนแปลง” ที่จะต้องดำเนินการตาม ๘ ขั้นตอนของ Cotter ท่านบอกว่าการจัดการของทีม CORE-M มาถึงขั้นตอนที่ ๖ ที่จะต้องทำให้เกิด short-term win เพื่อให้คนที่ยังไม่ศรัทธาได้เข้ามาเห็นพ้อง
ตกลงกันในการประชุมทีม CORE-M กับฝ่ายบริหารว่า quick win ของ CORE-M คือการที่บาง CORE ได้รับทุนสนับสนุนจากระบบการจัดการทุนวิจัยของประเทศ คือ PMU แห่งใดแห่งหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็น PMU B หรือ PMU C
มีการหารือกันเรื่องการจัดองค์กร (organization) ของหน่วย CORE-M ที่จะต้องมีเจ้าหน้าที่ประจำที่เข้มแข็งขึ้น โดยเฉพาะคนที่มาทำหน้าที่ front office คือ project analyst รวมทั้งมีการเอ่ยถึง marketing officer
นี่คือตัวอย่างของการพัฒนาระบบจัดการงานวิจัยและนวัตกรรมของคณะวิชาในมหาวิทยาลัย ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการ re-invent มหาวิทยาลัย ตามนโยบายของกระทรวง อว.
วิจารณ์ พานิช
๒๕ ม.ค. ๖๓
บนรถตู้เดินทางจากพัทยากลับบ้าน
ไม่มีความเห็น