ตอนที่ ๑ ตอนที่ ๒ ตอนที่ ๓ ตอนที่ ๔ ตอนที่ ๕ ตอนที่ ๖
ตอนที่ ๗ ตอนที่ ๘ ตอนที่ ๙ ตอนที่ ๑๐ ตอนที่ ๑๑
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๑ ลงบทความหน้าหนึ่ง ถนนสายนักวิจัย มากกว่าหิ้งสู่ห้าง (๑) เล่าเรื่องพัฒนาการของงานวิจัยของประเทศไทย สำหรับเป็นลมส่ง หรือพลังขับดันประเทศ สู่ความเป็นประเทศรายได้สูงและสังคมดี
ผมมีข้อสะกิดใจว่า เรามักเน้นมองที่กิจการที่จะทำเงิน สร้างรายได้ ส่วนที่พูดกันน้อย คือการวิจัยเพื่อลดการสูญเสียโดยใช่เหตุ เช่นลดการสูญเสียจากนโยบายรัฐแบบผิดๆ ใช้เงินมาก ได้ผลน้อย หรือกลับก่อผลร้าย หรือนโยบายที่ให้ผลดีต่อคนส่วนน้อย ที่ได้เปรียบสังคมมากอยู่แล้ว แต่คนส่วนใหญ่และคนจนกลับเสียประโยชน์
ตัวอย่างนโยบายที่ผิดพลาดและก่อผลร้ายต่อสังคมร้ายแรงที่สุด คือนโยบายการศึกษาของชาติ โดยที่ปัจจุบันก็ยังไม่ได้แก้ไขที่แก่นของปัญหา แก้ไขกันที่เปลือกเท่านั้น เพราะเป็นเรื่องของผลประโยชน์ของคนในระบบ โดยที่ประเทศชาติในภาพรวมเป็นผู้สูญเสีย คือก่อความอ่อนแอแก่สังคมต่อเนื่องระยะยาวไปอีกไม่ต่ำกว่า ๒๐ - ๓๐ ปี
การวิจัยแบบนี้ เรียกว่า การวิจัย evidence synthesis เพื่อกำหนดนโยบาย และเพื่อใช้ในการดำเนินการประยุกต์นโยบาย และหากไม่มีข้อมูลปฐมภูมิภูมิเพียงพอสำหรับใช้ทำวิจัยทุติยภูมิ ก็ต้องตั้งโจทย์วิจัยสร้าง evidence สำหรับใช้งาน
งานวิจัยกลุ่มนี้ในประเทศไทยเข้มแข็งในสายสุขภาพ มีหน่วยงานวิจัย IHPP (๒), HITAP (๓) และอีกหลายสถาบันในมหาวิทยาลัย ที่มีขีดความสามารถ ในระดับที่ได้รับนับถือทั่วโลก โดยมี สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) (๔) เป็นหน่วยงานสนับสนุนการวิจัยด้านนี้
ระบบสุขภาพไทย มีกลไกสนับสนุนและทำงานวิจัยเชิงระบบ เชิงนโยบาย ทำให้ระบบสุขภาพของเราเข้มแข็ง เป็นที่ยกย่องไปทั่วโลก
แต่ระบบวิจัยในด้านอื่นๆ ของประเทศไทยไม่เข้มแข็ง ก่อปัญหาการดำเนินนโยบายผิดทาง ก่อความเสียหายต่อประเทศมากเหลือคณา นโยบายที่ผิดพลาดที่เห็นกันโทนโท่คือนโยบายขนส่งและคมนาคม ที่ทำให้ในกรุงเทพและเมืองใหญ่เกิดปัญหารถติด ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจและทางคุณภาพชีวิตอย่างมากมาย
ในมุมกลับการไม่มีระบบวิจัยและนักวิจัยเชิงนโยบาย เชิงระบบนี้ มีผู้ได้รับประโยชน์ด้วย คือผู้ทำมาหากินกับกิจกรรมที่ไร้ประโยชน์แท้จริง รวมทั้งผู้กำหนดนโยบายที่จะได้รับผลตอบแทนโดยมีชอบจากเงินใต้โต๊ะ
แม้ในระบบสุขภาพ ที่วงการวิจัยระบบและวิจัยนโยบายเข้มแข็ง ก็เป็นวงการที่มีศัตรู เช่นบริษัทบุหรี่ยักษ์ใหญ่ และบริษัทด้านอื่นที่ทำมาหากินกับความเจ็บป่วย และคิดค่าสินค้าแพงได้หากไม่มีหลักฐานจากการวิจัยมายืนยันว่า สามารถได้รับผลดีกว่า ในราคาถูกกว่า จากสินค้าหรือผลิตภัณฑ์อื่น วงการเหล่านี้ดำเนินการลับๆ หาตัวแทนทำหน้าที่บั่นทอนความเข้มแข็งของกลไกวิจัยด้านสุขภาพ ที่เรียกว่า องค์กรตระกูล ส
ตัวแทนลับเหล่านี้ เข้าถึง คสช. และกล่าวหากลไกวิจัยด้านสุขภาพผ่านสื่อมวลชน เพื่อบั่นทอนกำลัง สร้างความอ่อนแอให้แก่กลไกวิจัยระบบและนโยบายสุขภาพ แม้นายกลุงตู่จะได้ออกมาขอโทษว่าเข้าใจผิด แต่กลไกบั่นทอนยังคงอยู่ในปัจจุบัน
สามารถบั่นทอนไม่เฉพาะวงการวิจัยนโยบายสุขภาพ แต่บั่นทอนโอกาสพัฒนาประเทศไทย สู่ประเทศไทย ๔.๐ ได้ด้วย
วิจารณ์ พานิช
๒๘ มี.ค. ๖๑
ไม่มีความเห็น