ตอนที่ ๑ ตอนที่ ๒ ตอนที่ ๓ ตอนที่ ๔ ตอนที่ ๕
ตอนที่ ๖ ตอนที่ ๗ ตอนที่ ๘ ตอนที่ ๙
ข่าวหน้าหนึ่ง ใน นสพ. ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ ๑๘ - ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เรื่อง ทุ่ม R&D แสนล้าน อุตฯอาหารนำโด่ง บอกว่า สวทน. รายงานว่า ผลการสำรวจข้อมูลปี ๒๕๕๙ ประเทศไทยลงทุนวิจัยและพัฒนา ๑๑๓,๕๒๗ ล้านบาท เป็นปีแรกที่เงินลงทุนวิจัยของประเทศเกิน ๑ แสนล้านบาท และคิดเป็นร้อยละ ๐.๗๘ ของจีดีพี
สัดส่วนลงทุนวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนต่อภาครัฐ เท่ากับ ๗๓ : ๒๗ ซึ่งนับเป็นเรื่องน่ายินดี และเป็นแนวโน้มที่สนับสนุนการขับเคลื่อนสู่ประเทศไทย ๔.๐
แต่นั่นเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ สิ่งที่สำคัญกว่าคือข้อมูลเชิงคุณภาพ ที่ช่วยตอบคำถามว่า การลงทุนวิจัยและพัฒนาของประเทศไทยก่อผลที่ต้องการมากน้อยเพียงใด เพราะรู้กันทั่วไปว่า การลงทุนให้ผลสองแบบ คือคุ้มค่า กับสูญเปล่า วงการจัดการงานวิจัยและพัฒนาต้องช่วยกันทำให้เงินลงทุนคุ้มค่า ซึ่งส่วนที่เอกชนลงทุน ๘๒,๗๐๑ ล้านบาทนั้น ไม่น่าห่วง เพราะภาคเอกชนไวต่อการบริหารผลลัพธ์และผลกระทบอยู่แล้ว
ที่น่าห่วงคือเงินลงทุนวิจัยและพัฒนาภาครัฐ ๓๐,๘๒๖ ล้านบาท ว่าเป็นส่วนที่ให้ผลลัพธ์และผลกระทบสูง กับส่วนที่สูญเปล่าหรือค่อนข้างสูญเปล่า ในสัดส่วนเท่าไร สวทน. น่าจะลงแรงทำวิจัยประเด็นนี้ โดยไม่ได้มีเป้าหมายจับผิด แต่เพื่อนำมาเป็น feedback ปรับปรุงวิธีจัดการทุนวิจัย ให้เป็นการลงทุนที่ก่อผลกระทบสูง สร้างความน่าเชื่อถือในสังคม ซึ่งจะสร้างกระแสสังคมให้ภาครัฐลงทุนวิจัยและพัฒนามากยิ่งขึ้น โอกาสเคลื่อนสู่ประเทศไทย ๔.๐ ก็จะสูงขึ้น
ในอดีต ที่ผมยังอยู่ในวงการบริหารงานวิจัย เรารู้ๆ กันว่า เงินวิจัยที่ส่งไปยังหน่วยราชการต่างๆ โดยตรงนั้น มีการรั่วไหลมาก บางหน่วยราชการเอาไปให้ผู้บริหารเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ บางหน่วยราชการเอาไปว่าจ้างบุคคลภายนอก โดยมีอัตรา “เงินทอน” สูงลิ่ว เรื่องแบบนี้เป็นข่าวเล่าลือ หาหลักฐานยืนยันไม่ได้ แต่ผู้เล่าและเรื่องราวน่าเชื่อถือ
การลงทุนวิจัยและพัฒนาของภาครัฐ ควรมีการจัดการอย่างมียุทธศาสตร์ ที่จะทำให้ประเทศไทยมีการผลิตการทำงานแบบมี นวัตกรรม มีบูรณาการ และมีการสร้างคุณค่าและมูลค่าสูง เมื่อกำหนดยุทธศาสตร์และมีการดำเนินมาตรการแล้ว ต้องมีการเก็บข้อมูล และติดตามผล เพื่อประเมินว่าก่อผลลัพธ์และผลกระทบอย่างมีประสิทธผลและประสิทธิภาพหรือไม่ สำหรับเป็น feedback ปรับปรุงระบบต่อไป
ข้อมูลที่น่าชื่นใจอีกตัวหนึ่ง คือจำนวนนักวิจัย ที่พบว่ามี ๑๑๒,๔๐๐ คน คิดเป็น ๑๗ คนต่อประชากร ๑๐,๐๐๐คน ซึ่งสูงกว่าเป้า ๑๕ : ๑๐,๐๐๐ ซึ่งผมก็มีข้อวิพากษ์ในเชิงคุณภาพเช่นเดียวกัน
บริษัท SCG เป็นตัวอย่างบริษัทไทยที่ลงทุนวิจัยและพัฒนาถึงร้อยลำ ๐.๙ ของยอดขาย คือยอดขายปี ๒๕๖๐ อยู่ที่ ๔.๕ แสนล้านบาท และลงทุนวิจัย ๔,๑๗๘ ล้านบาท
วิจารณ์ พานิช
๒๒ ก.พ. ๖๑
ห้องรับรองการบินไทย สนามบินสุวรรณภูมิ
ไม่มีความเห็น