ตอนที่ ๑ ตอนที่ ๒ ตอนที่ ๓ ตอนที่ ๔ ตอนที่ ๕
ตอนที่ ๖ ตอนที่ ๗ ตอนที่ ๘ ตอนที่ ๙ ตอนที่ ๑๐
ตอนที่ ๑๑ ตอนที่ ๑๒ ตอนที่ ๑๓ ตอนที่ ๑๔ ตอนที่ ๑๕
ตอนที่ ๑๖ ตอนที่ ๑๗ ตอนที่ ๑๘ ตอนที่ ๑๙ ตอนที่ ๒๐
นสพ. ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๖๑ ลงข่าว ครม. ปลกล็อกงานวิจัยรัฐลงจากหิ้ง ให้สิทธิ์ผู้ทำเป็นเจ้าของนำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ (๑) เป็นข่าวดีของประเทศไทย และต่อวงการวิจัย
แต่ผมยังคิดว่า ยังมี ล็อก อยู่ที่ “ขาขึ้น” ของการทำวิจัยแบบไม่ขึ้นหิ้ง ซึ่งผมขอเรียกว่า “การวิจัยมุ่งนวัตกรรม”
ผมจำได้ว่า ตอนไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวตง ประเทศจีนเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ ตามที่เล่าไว้ที่ (๒) เขาแสดงผลงานวิจัยเพื่อวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาปริญญาเอกด้านพลังงาน ที่โจทย์วิจัยมาจากภาคอุตสาหกรรม ทุนวิจัยมาจากทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาครัฐ ทำวิจัยสำเร็จภาคอุตสาหกรรมเอาไปพัฒนาต่อเพื่อผลิตขาย และทางมหาวิทยาลัยก็เอาไปตีพิมพ์เผยแพร่ โดยทางมหาวิทยาลัยกำหนดไว้ว่าขอให้ลงวารสารที่มี impact factor 5 ขึ้นไป นี่คือตัวอย่างการทำวิจัยมุ่งนวัตกรรมของมหาวิทยาลัย
การวิจัยมุ่งนวัตกรรมคืองานวิจัยที่โจทย์มาจาก “ผู้ใช้” และฝ่ายผู้ใช้เข้ามามีส่วนร่วมในบางขั้นตอนของงานด้วย โดยหวังเอาผลการวิจัยไปใช้ในทางธุรกิจ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะก็ได้ งานวิจัยแบบนี้จึงไม่ขึ้นหิ้ง โปรดสังเกตว่า ตัวอย่างของจีนตามย่อหน้าบน เป็นทั้งงานวิจัยมุ่งนวัตกรรม และงานวิจัยสร้างความรู้ใหม่ด้วย เป็นการทำวิจัยแบบ “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”
ตามข่าว (๑) เป็นเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา ที่ประเทศไทยเราเอาอย่างสหรัฐอเมริกาที่เมื่อปี ค.ศ. 1980 เขาออก Bayh-Dole Act (3) มอบความเป็นเจ้าของสิทธิทางปัญญาที่เกิดจากงานวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง ให้แก่ผู้ทำวิจัย มีผลให้ผลงานวิจัย “ลงจากหิ้งสู่ตลาดง่ายขึ้น” แต่นักวิจัยไทยกับนักวิจัยอเมริกัน อยู่ในบริบทของระบบอุตสาหกรรม และระบบวิจัยและพัฒนาที่แตกต่างกันมาก คือระบบของเขามีพัฒนาการก้าวหน้ามาก ของเรายังเตาะแตะ การจะให้นักวิจัยไทยเอาผลงานวิจัยเชิงประดิษฐ์คิดค้นหรือออกแบบ สู่ตลาดเป็นงานที่ยากมาก หากจะให้ทำได้สำเร็จจริง อาศัยกลไกที่ พรบ. เอื้อตามข่าวจะยังไม่เพียงพอ ต้องอาศัยการจัดการ “ขาขึ้น” คือการจัดการความร่วมมือกับฝ่าย “ผู้ใช้” ทำงานวิจัยมุ่งนวัตกรรมตามที่กล่าวแล้ว
วิจารณ์ พานิช
๒๓ ก.ย. ๖๑
ไม่มีความเห็น