ตอนที่ ๑ ตอนที่ ๒ ตอนที่ ๓ ตอนที่ ๔ ตอนที่ ๕
ตอนที่ ๖ ตอนที่ ๗ ตอนที่ ๘ ตอนที่ ๙ ตอนที่ ๑๐
ตอนที่ ๑๑ ตอนที่ ๑๒ ตอนที่ ๑๓ ตอนที่ ๑๔ ตอนที่ ๑๕
ตอนที่ ๑๖ ตอนที่ ๑๗ ตอนที่ ๑๘ ตอนที่ ๑๙ ตอนที่ ๒๐
ตอนที่ ๒๑ ตอนที่ ๒๒ ตอนที่ ๒๓ ตอนที่ ๒๔ ตอนที่ ๒๕
ตอนที่ ๒๖ ตอนที่ ๒๗ ตอนที่ ๒๘ ตอนที่ ๒๙ ตอนที่ ๓๐
ตอนที่ ๓๑ ตอนที่ ๓๒ ตอนที่ ๓๓ ตอนที่ ๓๔ ตอนที่ ๓๕
ตอนที่ ๓๖ ตอนที่ ๓๗ ตอนที่ ๓๘ ตอนที่ ๓๙ ตอนที่ ๔๐
ตอนที่ ๔๑ ตอนที่ ๔๒ ตอนที่ ๔๓ ตอนที่ ๔๔ ตอนที่ ๔๕
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดการประชุมระดมความคิดเห็น“การวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์กับความท้าทายของสังคมไทยในปัจจุบันและอนาคต” ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๓.๓๐ น. ผมได้รับเชิญเข้าร่วมด้วย และโชคดีมีเวลาเข้าร่วมได้ จึงได้โอกาสไปเรียนรู้ว่านักวิจัยสายสังคมศาสตร์มนุษยศาสตร์ โดยเฉพาะคนหนุ่มคนสาว เขาคิดอย่างไร
จะฟังคนอื่นได้แม่นยำ ผมต้องคิดเองล่วงหน้าไปก่อน ว่าผมมีประเด็นข้อสงสัยหรือคำถามอะไรบ้าง
ผมคิดว่า ผู้ดำเนินการประชุมน่าจะดำเนินการประชุมให้ผู้เข้าร่วมคิดเรื่อง ความท้าทายของสังคมไทยในปัจจุบันและอนาคตก่อน แล้วจึงโยงเข้าสู่ การวิจัยด้านสังคมศาสตร์มนุษยศาสตร์ ต้องชวนผู้เข้าร่วมประชุมคิดภาพใหญ่ก่อน เพื่อ prime ความคิด ให้ไม่คิดแยกส่วน ไม่เอาการวิจัยเป็นตัวตั้ง แต่เอาความต้องการของสังคมไทยเป็นตัวตั้ง เอาการวิจัยเป็นตัวสนอง
หากคิดตามแนวที่ผมเขียนข้างบน (เขียนตอนตีห้า วันที่ ๑๙ กันยายน ก่อนการประชุม) โจทย์วิจัยที่เหมาะสมหรือมีลำดับความสำคัญสูง จะตามมาเอง
แต่ (ผมคิดว่า) โจทย์วิจัยที่ดีเท่านั้น ไม่เพียงพอ ต้องการการดำเนินการ อย่างน้อย ๓ ด้านที่เชื่อมโยงกัน เพื่อให้การวิจัยด้านสังคมศาสตร์มนุษยศาสตร์ สนองความต้องการของสังคมไทยในปัจจุบันละอนาคต ได้แก่
เช้าวันที่ ๑๙ กันยายนนั่นเอง นสพ. บางกอกโพสต์ลงข่าว Stanford studies Thai society (2) โดยบริษัทใหญ่ของไทย ๓ บริษัทเอาเงิน ๑๐๐ ล้านบาทไปให้ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัสแตนฟอร์ดทำวิจัยตอบโจทย์หลากหลายด้านของสังคมไทย ข่าวบอกว่าทีมสแตนฟอร์ดจะเปิดเผยผลวิจัยใน ๔ ปีข้างหน้า คือ พ.ศ. ๒๕๖๖ ทำให้ผมเดาว่า งานวิจัยนี้บริษัทเอกชนที่ลงทุน ต้องการผลไปใช้ประโยชน์ก่อนใครๆ นี่คือตัวอย่างขีดความสามารถของทีมมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในการจัดการข้อ ๑ และข้อ ๒ ข้างบน เพื่อใช้การวิจัยด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ แก้ปัญหาที่ซับซ้อนของสังคม (จ. น่าน) และเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันในอนาคตของบริษัท (เอไอเอส)
ข้างบนนั้น เขียนก่อนการประชุม
เมื่อไปถึงที่ประชุม จึงทราบว่าเป็นการจัดการประชุมร่วมกันระหว่าง วช. กับราชบัณฑิตยสภา มีเป้าหมายความร่วมมือ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓ - ๒๕๘๓) ในหัวข้อ ประเทศไทยในอนาคต เพื่อสร้าง “เครือข่ายบุคลากรวิจัยและทรัพยากรอันมีคุณค่ายิ่งต่อการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศไทย ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และจะเป็นการบูรณาการศาสตร์แขนงต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศได้อย่างดียิ่ง และจะส่งเสริมการจัดทำโครงการ ‘ประเทศไทยในอนาคต (Future Thailand)’ เพื่อฉายภาพอนาคตที่เป็นจริงได้ ของประเทศไทยในอนาคต ในมิติสำคัญๆ ของประเทศ”
ผู้ยกร่างแนวคิด ได้มองมิติต่างๆ ที่จะนำมาประกอบเป็นภาพฉายอนาคตของประเทศ ถึง ๑๐ มิติ คือ (๑) คนไทยและโครงสร้างประชากร (๒) สิ่งแวดล้อม (๓) การเมือง (๔) การศึกษา (๕) ชนบทและการเกษตรกรรม (๖) บริบทโลก ปัจจัยคุกคาม และความมั่นคงของประเทศ (๗) โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ (๘) วัฒนธรรมและภาษาไทย (อัตลักษณ์ความเป็นไทย) (๙) โครงสร้างสังคม (๑๐) เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และการบริการ ถือได้ว่า คิดมาครอบคลุมดีมาก
ผมตีความว่า ผู้คิดโครงการเน้นที่ supply-side research คือวิจัยเพื่อบอกสังคม ซึ่งก็นับว่าเป็นการริเริ่มที่มีคุณค่ายิ่ง แต่ผมคิดว่าวิธีคิดแบบนี้เป็น 20thCentury Research Approach ผมมองว่าในยุคนี้ต้องจัดการงานวิจัยด้วย 21st Century Approach
ดู ppt ประกอบการประชุมแล้ว ผมเกิดคำถามว่า การประชุมสามชั่วโมงครึ่งนี้ต้องการอะไร ต้องการให้แสดงความเห็นต่อโครงการ ประเทศไทยในอนาคต หรือแสดงความเห็นในภาพใหญ่ของการวิจัยสนองความท้าทาย
ผมจ้องไปฟังข้อคิดเห็นของนักสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ จึงไม่ออกความเห็นเมื่อท่านผู้อำนวยการ วช. ขอให้พูด โดยแจ้งว่า อยากฟังความเห็นของคนรุ่นหนุ่มสาว ผมอยู่ในที่ประชุมถึง ๑๕.๒๐ น. แล้วต้องออกไปทำธุระต่อ ในช่วงเวลาเกือบสองชั่วโมงผมได้ความรู้มาก และได้คำตอบว่า ที่ประชุมมุ่งเสนอประเด็นหรือโจทย์วิจัย โดยที่ความเห็นในที่ประชุมมีความเหมาะสมมาก และหลายประเด็นมีความลุ่มลึกสูงมาก
ศ. ดร. ผาสุก พงษ์ไพจิตร ราชบัณฑิตท่านหนึ่งที่ได้รับเชิญมากล่าวนำ เสนอประเด็นที่ลุ่มลึกและเชื่อมโยงตามสไตล์ของท่านและเสนอกลไกการวิจัยข้ามศาสตร์ ศ. ดร. เอนก เหล่าธรรมทรรศน์ ราชบัณฑิตอีกท่านหนึ่งชี้ให้เห็นจุดแข็งของสังคมไทย ๔ ข้อ เพื่อใช้ทำวิจัยต่อยอดขยายผล ได้แก่ (๑) ความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น (๒) การกลายเป็นเมือง (๓) คนไทยเป็นมีความ “หลั่นล้า” เป็นจุดแข็งทางสังคม (๔) ภูมิศาสตร์ที่เอื้อ
รวมความแล้วบรรยากาศของที่ประชุมเน้นไปที่โจทย์วิจัย ก่อนผมจะออกมาจากห้องประชุม ดร. วีระ สมบูรณ์ เสนอเรื่องการจัดองค์กรสนับสนุนการวิจัย เสนอให้แยกหน่วยจัดการงานวิจัยด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ออกมาต่างหาก
ผมเดินไปลาท่าน ผอ. วช. (ศ. ดร. นพ. สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล) มอบหนังสือ การบริหารงานวิจัย แนวคิดจากประสบการณ์ ให้ ๑ เล่ม และบอกว่าจะส่ง reflection ของผม (ซึ่งก็คือบันทึกนี้) ไปให้ท่านทางอีเมล์
ผมมีความเห็นว่า ความสำเร็จของระบบวิจัย ในการทำหน้าที่ขับเคลื่อนประเทศออกจากกับดักรายได้ปานกลาง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโจทย์วิจัยที่ดีหรือถูกต้องเท่านั้น ยังขึ้นกับปัจจัยอื่นอีกหลายประเด็น และที่สำคัญที่สุดคือการจัดการระบบที่ถูกต้อง ที่ผมเรียกว่า 21stCentury Approach of research management ที่ผมหมายความว่า จัดการงานวิจัยให้ฝ่าย “ผู้ใช้” ผลงานวิจัยเป็นผู้ตั้งโจทย์ และมีส่วนร่วมในการสนับสนุนและทำวิจัย ด้วย ดังตัวอย่างข่าวในบางกอกโพสต์ข้างบน
ลองคิดให้ลึกๆ นะครับ ว่าข่าวในบางกอกโพสต์มันบอกอะไรเรา ในความหมายระหว่างบรรทัดบ้าง
การประชุมวันนี้จึงเป็นการประชุม supply-side เท่านั้น หากจะให้งานวิจัยด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรม ก่อคุณค่าขับเคลื่อนสังคมไทยอย่างแท้จริง ยังต้องมีกระบวนการดำเนินการเพื่อรวมพลังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรึกษาหารือ ทำความเข้าใจกับฝ่าย “ผู้ใช้” และการร่วมกันตั้งโจทย์ “ชุดโครงการวิจัย” (การจัดการต้นทาง) ที่มีการจัดการสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือกัน และมีกระบวนการช่วยเหลือให้ได้ผลงานคุณภาพสูง (การจัดการกลางทาง) และเมื่องานวิจัยเสร็จ ก็มีการจัดการสื่อสารสังคมในวงกว้าง เพื่อให้งานวิจัยก่อผลกระทบต่อสังคม (การจัดการปลายทาง) ซึ่งหน่วยงานจัดการงานวิจัยต้องมีทักษะในการดำเนินการ รายละเอียดอยู่ในหนังสือ การบริหารงานวิจัย แนวคิดจากประสบการณ์
การจัดการงานวิจัย ไม่ใช่แค่การจัดสรรทุนวิจัยเท่านั้น
วิจารณ์ พานิช
๑๙ ก.ย. ๖๒
ไม่มีความเห็น