ตอนที่ ๑ ตอนที่ ๒ ตอนที่ ๓ ตอนที่ ๔ ตอนที่ ๕
ตอนที่ ๖ ตอนที่ ๗ ตอนที่ ๘ ตอนที่ ๙ ตอนที่ ๑๐
ตอนที่ ๑๑ ตอนที่ ๑๒ ตอนที่ ๑๓ ตอนที่ ๑๔ ตอนที่ ๑๕
ตอนที่ ๑๖ ตอนที่ ๑๗ ตอนที่ ๑๘ ตอนที่ ๑๙ ตอนที่ ๒๐
ตอนที่ ๒๑ ตอนที่ ๒๒ ตอนที่ ๒๓ ตอนที่ ๒๔ ตอนที่ ๒๕
ศ. ดร. ภัทรพงศ์ อินทรกำเนิด กรุณาส่ง อีเมล์ มาขอบคุณที่ผมช่วยเผยแพร่ผลงานวิจัยของท่าน (๑) พร้อมทั้งแนบข้อเขียนของท่านเรื่อง Intarakumnerd, P., and Liu, Mengchun, (2019). ‘Industrial Technology Upgrading and Innovation Policies: A Comparison of Taiwan and Thailand,’ in K. Tsunekawa and Y. Todo (eds.), Emerging States at Crossroads, Emerging-Economy State and International Policy Studies, Springer: Tokyo, pp. 119-143 มาให้
เป็นบทหนึ่งในหนังสือที่ว่าด้วยประเทศที่ต้องการพัฒนาตนเอง บทที่ ศ. ดร. ภัทรพงศ์เขียน เป็นการเปรียบเทียบประเทศไทยกับไต้หวัน ในเรื่องนโยบายยกระดับเทคโนโลยีอุตสาหกรรม และนโยบายนวัตกรรม ซึ่งรู้ๆ กันอยู่ว่า ดำเนินการได้ผลดีในไต้หวัน ช่วยให้หลุดจาก middle income trap (รายได้ต่อประชากร $ 22,000 ในปี 2015) ไม่ค่อยได้ผลในประเทศไทย ทำให้ไทยยังติดอยู่ใน middle income trap (รายได้ต่อประชากร $ 5,400 ในปีเดียวกัน) โดยที่ทั้งสองประเทศเริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมในช่วงทศวรรษ 1950 เช่นเดียวกัน
ในส่วนของไต้หวัน ผมติดใจที่ในข้อเขียนระบุว่า กระทรวงเศรษฐการ (Ministry of Economic Affairs) ตัดสินใจให้ธุรกิจเอกชนแสดงบทเป็นผู้ดำเนินการหลักในกิจกรรมการลงทุนด้าน R&D รัฐบาลร่วมลงทุนโดยจัดสรร mutual fund ให้แก่โครงการ R&D ที่กำหนด ภาคธุรกิจเอกชนของไต้หวันมีอำนาจตัดสินใจว่าจะซื้อหรือจะพัฒนาเทคโนโลยีเอง โดยภาครัฐให้การสนับสนุน และให้คำแนะนำ ซึ่งสรุปได้ว่า โมเดลของการพัฒนานวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จต้องใช้ยุทธศาสตร์ “ภาคประกอบการนำ” ไม่ใช่ “ภาครัฐนำ” หรือ “ภาควิชาการนำ” อย่างที่ประเทศไทยใช้ตลอดมา ๖๐ ปี
ข้อเขียนนี้มีความยาวและรายละเอียดมาก หลายส่วนผมเข้าใจไม่ชัด แต่ก็มีบทสรุปที่บอกข้อแตกต่าง ๖ ประการ ได้แก่
เพื่อให้บันทึกนี้ไม่ยาวเกินไป ผมจะนำสาระสำคัญของไต้หวันมาลงบันทึกไว้ก่อน ส่วนของไทย จะนำไปลงแยกอีกบันทึกหนึ่ง
เขาแบ่งยุคของการพัฒนาเศรษฐกิจของไต้หวันออกเป็น ๔ ยุค แต่ละยุคมีเครื่องมือหรือกลไกสำคัญต่อไปนี้
กลไกสำคัญในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาของอุตสาหกรรมในประเทศคือสถาบันในกลุ่ม GSRI (Government-Supported Research Institute) เริ่มจากการจัดตั้ง ITRI (Industrial Technology Research Institute) ในปี 1973 ทำวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีหนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศให้แข่งขันได้ ต่อมาในปี 1979 ตั้ง III (Institute for Information Industry) เน้นพัฒนา hardware technology และในปี 1980 ตั้ง Hsinchu Science-based Industrial Park (HSP) และกลไกสนับสนุนชิ้นใหญ่มากคือ Program for Strengthening Education, Training and Recruitment of High-level Science and Technology Personnel ที่เริ่มในปี 1983
HSP ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ในการดึงบริษัทเอกชนเข้ามาอยู่ และพัฒนาสินค้าไฮเทคส่งออก จนในที่สุดมี ๒๐๓ บริษัท พื้นที่คับแคบ ต้องเปิดอุทยานวิทยาศาสตร์เพิ่มอีก ๕ แห่ง
ความสำเร็จในเรื่องกำลังคนระดับสูงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่สำคัญยิ่งของไต้หวัน คือการดึงคนไต้หวันที่ไปเรียนต่อและทำงานในประเทศตะวันตก ให้กลับมาพัฒนาอุตสาหกรรมไฮเทคของไต้หวัน กว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทใน HSP 203 บริษัท ก่อตั้งโดยคนไต้หวันในต่างประเทศที่กลับไปสร้างบริษัทในประเทศ
เขาบอกว่า ในช่วง ๒ ทศวรรษระหว่างปี 1980 – 2000 บัณฑิตไต้หวันถึงร้อยละ ๑๕ เดินทางออกนอกประเทศ ไปเรียนต่อและทำงาน คนเหล่านี้กลายเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมไฮเทคของประเทศ เมื่อกลับมาด้วยมาตรการดึงดูดของรัฐบาล
ที่จริงการเปิดเสรีการค้า ทำด้วยความจำเป็นจากแรงกดดันจากปฏิสัมพันธ์กับนานาชาติ การเปิดเสรีการค้านำไปสู่การปรับตัวด้านต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านขีดความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และเป็นแรงขับดันให้ไต้หวันยกระดับสินค้าของตน สู่สินค้าไฮเทค
โปรแกรม DoIT Taiwan เอื้อสิทธิพิเศษแก่บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ๔ ประการคือ (๑) กำลังคน (๒) ทุน (๓) ยกเว้นภาษี (๔) one-stop service
วิกฤติเศรษฐกิจโลกในปี 2008 ช่วยเป็นพลังขับเคลื่อนความก้าวหน้าของการวิจัยและนวัตกรรมของไต้หวันขึ้นไปอีก โดยกระทรวงเศรษฐการจัดตั้งโปรแกรม LIIEP(Local Industry Innovation Engine Program) เพื่อส่งเสริมให้สถาบันวิจัย (GSRI) เข้าไปจัดตั้งกลุ่มวิจัยให้แก่บริษัทในท้องถิ่นของไต้หวัน รวมทั้งจัดทุนวิจัยสนับสนุนด้วย เพื่อยกระดับความสามารถในการเข้าถึงการสนับสนุน R&D โดยรัฐบาล ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นรูปแบบการสนับสนุน SME ให้พัฒนาขีดความสามารถในการทำวิจัยและนวัตกรรม โดยรัฐบาลสร้างกลไกสนับสนุนให้เข้าถึง SME จริงๆ โดยทั้งหมดนั้น อยู่ภายใต้ “ระบบนวัตกรรมแห่งชาติ” โดยที่เขาคำนึงถึงผลต่อ “การสร้างงาน” อยู่เสมอ
ความก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง ของการสนับสนุนของรัฐบาลไต้หวัน หลังยุควิกฤติเศรษฐกิจโลกปี 2008 คือนโยบาย manufacturing servitization ซึ่งหมายถึงการพัฒนาธุรกิจในลักษณะที่อุตสาหกรรมการผลิต กับอุตสาหกรรมบริการ หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน คือแทนที่จะขายผลิตภัณ์เป็นชิ้นๆ (product) เปลี่ยนเป็นขายเป็นชุด (integrated products) รวมเอาบริการหลังการขายเข้าไปด้วย เพื่อให้ลูกค้าได้รับคุณค่าเพิ่มอย่างมากมาย
จะเห็นว่า ได้หวันขับเคลื่อนนวัตกรรมหลายด้านไปพร้อมๆ กัน ใช้นวัตกรรมของระบบธุรกิจเป็นตัวนำนวัตกรรมของระบบการผลิต และนวัตกรรมของระบบวิจัยและนวัตกรรม ที่ผมขอเรียกว่า “ระบบนวัตกรรมบูรณาการ” (Integrated Innovation Systems) ไม่ใช่ fragmented innovation systems โดยที่มียุทธศาสตร์และมาตรการยกระดับของระบบดังกล่าว เพื่อหนีการแข่งขันจากประเทศที่ค่าแรงต่ำ มุ่งแข่งขันกับประเทศรายได้สูงและระดับพัฒนาการของเทคโนโลยีสูง
และที่สำคัญคือนโยบายพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม และ ระบบวิจัยและนวัตกรรม ของประเทศหันไปมุ่งส่งเสริม manufacturing servitization ซึ่งหมายความว่า เป็นงานวิจัยและนวัตกรรมที่โจทย์ซับซ้อนยิ่งขึ้น
รวมทั้งรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมการผลิตเปลี่ยนกระบวนทัศน์ สินค้า ๔ ด้านคือ (๑) ผลิตตามความต้องการของลูกค้า (customized services) (๒) เปลี่ยนจากขายผลิตภัณฑ์ เป็นขายบริการ (๓) มุ่งสร้างนวัตกรรมเพื่อให้บริการที่เพิ่มคุณค่า (๔) ส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมรวมตัวกันเพื่อเสริมพลังซึ่งกันและกันในการสนองความต้องการของลูกค้า (demand-oriented alliances)
ท่านผู้อ่านพึงระวังว่า ผมมีความรู้เรื่องนี้น้อย อาจตีความเอามาลงบันทึกแบบเข้าใจผิดในบางตอน นอกจากนั้น บันทึกนี้ยังเขียนแบบทำให้ง่าย ตัดข้อความและข้อมูลส่วนที่เป็นวิชาการออกไป หากจะให้ได้สาระที่ถูกต้องครบถ้วน ควรอ่านต้นฉบับเอง
วิจารณ์ พานิช
๒๖ พ..ค. ๖๒
ไม่มีความเห็น