ชีวิตที่พอเพียง 3654a. รวมพลังสู้ โควิด ๑๙ ระบาดขยายใกล้ระดับ ๓
วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๓ผมไปร่วมประชุมกลุ่มสามพราน ได้ฟัง นพ.วิชัย โชควิวัฒน เล่าที่มาของความเข้มแข็งของวงการสาธารณสุขในการรับมือโควิด๑๙ วันที่ ๑๔ ผมลงบันทีก ทำไมประเทศไทยจึงชะลอการระบาดของโควิด๑๙ ได้ดีที่ไวรัลกันในวงกว้าง
เย็นวันที่ ๑๗ มีนาคมกัลยาณมิตร โทรศัพท์มาบอกว่า ได้รับแรงบันดาลใจจากบันทึก ทำไมประเทศไทยจึงชะลอการระบาดของโควิด๑๙ ได้ดี จึงหาทางรวมพลังหลายฝ่ายเข้ามาร่วมกันเตรียมรับมือในอนาคตอย่างเป็นระบบ จึงโทรศัพท์ไปหาเพื่อนๆ ทั้งฝ่ายธุรกิจและฝ่ายวงการสุขภาพที่เกี่ยวข้อง จึงได้ข้อมูลข้อจำกัดของฝ่ายระบบสุขภาพ ที่เป็นผู้รู้ด้านนี้โดนฝ่ายการเมืองตามตัวไปซักถามจนหมดแรง นอกจากนั้นยังมีความขัดแย้งส่วนบุคคลภายในหน่วยงานทางวิชาการ ที่มีคนเก่งแต่ล้นอัตตาเข้าไปยึดกุมอำนาจ และความสับสนวุ่นวายไร้ระบบของฝ่ายการเมือง
เช้าวันที่ ๑๘ได้ฟังวิทยุจุฬา ๑๐๑.๕ บอกว่ารัฐบาลออกมาตรการ ๖ ด้าน ในการรับมือโควิด ๑๙ ที่ตรงกับข่าวนี้ ผมก็ผ่อนคลาย ด้วยความหวังว่าฝ่ายรัฐบาลน่าจะเริ่มตั้งตัวติดแล้ว
ช่วงเดียวกัน เว็บไซต์ BBC Future ลงบทความ Covid-19: How long does coronavirus last on surfaces ให้ความรู้ที่มีหลักฐานแม่นยำ จะเห็นว่ายังมีโจทย์วิจัยเกี่ยวกับไวรัส SARS CoV-2(ชื่อเชื้อไวรัสที่ก่อโรคโควิด ๑๙) อีกมากมาย ที่มีความสำคัญต่อการปฏิบัติตัวและปฏิบัติการภาพรวมเพื่อลดการติดต่อของโควิด ๑๙ เรื่องเชื้อทนอยู่ได้นานแค่ไหนบนพื้นผิวประเภทต่างๆ มีความสำคัญมาก และผมยังคิดว่าข้อมูลที่เขาบอกในบทความยังน่าจะต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม โดยเพิ่มเงื่อนไขสภาพแวดล้อมด้านอื่นเข้าไปเช่นอุณหภูมิ ความชื้น ที่ควรวิจัยเร็วมากเพื่อนำผลเอามาใช้แนะนำวิธีปฏิบัติตัวของประชาชน
ทำให้ผมสงสัยว่า มีการประสานงานกันในวงการจัดการงานวิจัย เพื่อทบทวนความรู้นำไปสู่การตั้งโจทย์วิจัยด่วน ที่จะได้ความรู้นำมาใช้ในการรับมือโควิด ๑๙ ผ่อนหนักเป็นเบาแค่ไหน ซึ่งจะต้องทำอย่างเป็นระบบ มีการจัดกลุ่มโจทย์วิจัย และหาทางประสานแบ่งงานกันทำ ไม่ใช่เน้นแข่งขันกันอย่างในสถานการณ์ปกติ
วันที่ ๑๗มีข่าวเรื่องการพัฒนาหน้ากากนาโน (๑) ที่จะผลิตออกจำหน่ายได้ภายใน ๒ เดือน
สถานการณ์วิกฤติจะช่วยแยกแยะคนทำงานจริง กับคนทำงานเอาหน้า ยิ่งในยุคที่สื่อมวลชนกระหายข่าว เรายิ่งมองเห็นง่าย
บ่ายวันที่ ๑๘ อ.หมอปรีดา มาลาสิทธิ์ ส่งรายงานวิจัยจากอังกฤษ เรื่อง Impact ofnon-pharmaceutical interventions (NPIs) to reduce Covid-19 mortality andhealthcare demand มาให้ เป็นงานวิจัยmodelling ที่ใช้ข้อมูลเท่าที่มีจากจีนและประเทศอื่นๆ จากการระบาดครั้งนี้ รวมทั้งใช้สมมติฐาน (เดา) บางประเด็น เพื่อคำนวณจำนวนผู้เสียชีวิตจากการระบาดของโควิด ๑๙ ในสหราชอาณาจักรและในสหรัฐเมริกา และความต้องการบริการเตียงใน ไอซียู ในสถานการณ์สมมติ กรณีไม่ทำอะไรเลย เทียบกับกรณีหาทางยับยั้งการระบาด(suppression) ด้วยมาตรการหลายแบบ กับกรณีหาทางลดความรุนแรงของการระบาด (mitigation) ด้วยมาตรการหลายแบบ
มาตรการที่ใช้ยับยั้งหรือลดความรุนแรงของการระบาดได้แก่ การแยกผู้ติดเชื้อไว้ที่บ้าน สมาชิกในบ้านผู้ติดเชื้อแยกตัวเอง ๑๔ วัน ผู้สูงอายุ ๗๐ปีขึ้นไปรักษาระยะห่างจากคนอื่นๆ (social distancing) ทุกคนรักษาระยะห่างจากคนอื่น ปิดโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ใช้หลายมาตรการผสมกัน ซึ่งหมายความว่ายิ่งใช้หลายมาตรการก็ยิ่งหมดเปลือง และยุ่งยาก
สรุปได้ว่า มีทางเลือกเดียวที่เหมาะสมคือยับยั้งการระบาดแบบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม อย่างที่ประเทศไทยเราทำนี่แหละ แต่ต้องอึดไปนานอย่างน้อย ๑๘ เดือนรอให้วัคซีนมาช่วย และผมยังหวังว่า จะมียาฆ่าหรือยับยั้งการขยายพันธุ์ของเชื้อไวรัสได้รับการพัฒนาขึ้น แต่ข้อสรุปนี้ยังเป็นเพียงข้อสรุปเบื้องต้นเท่านั้น โดยต้องไม่ลืมว่ามาตรการยับยั้งการระบาดแบบเต็มที่นี้ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล
หากไม่ทำอะไรปล่อยให้โรคมันระบาดจนคนติดเกือบถ้วนหน้าและเกิดภูมิคุ้มกันโรคที่เรียกว่า herd immunity โรคมันจะสงบเอง แต่จะมีคนตายในสหราชอาณาจักรราวๆครึ่งล้านคน ในสหรัฐอเมริการาวๆ ๒.๒ล้านคน และการระบาดจะสงบราวๆ เดือนกันยายนปีนี้ โดยมีตัวเลขเปรียบเทียบว่าในปี ค.ศ. 1918มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ทั่วโลก มีผู้เสียชีวิต ๕๐ ล้านคน
แต่หากใช้มาตรการยับยั้งการระบาดจำนวนผู้เสียชีวิตจะลดลงเหลือเพียงร้อยละ ๕ – ๑๐ ของตัวเลขดังกล่าว โดยหากเมื่อการระบาดซาลงเกือบหมดก็หยุดมาตรการ การระบาดจะกลับมาใหม่ ต้องเริ่มมาตรการรอบใหม่เล่นเอาเถิดกันอย่างนี้ไปหลายรอบ เป็นวิกฤติที่คนทั่วโลกต้องร่วมกันเผชิญ และช่วยกันลดการแพร่เชื้อ รวมทั้งช่วยกันหามาตรการทำให้โรคสงบลงอย่างถาวร
เป็นงานวิจัยที่ทำอย่างรวดเร็วสำหรับใช้เป็นหลักฐานประกอบการกำหนดนโยบายรับมือโควิด ๑๙ ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร และเป็นประโยชน์ต่อทั้งโลก
บ่ายวันเดียวกันคนใกล้ชิด อีเมล์ มาบอกว่านักข่าวต้องการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เรื่องการรับมือโควิด๑๙ บอกคำถามมา ๒ คำถาม ผมตอบไปว่าให้บอกให้เขาสัมภาษณ์ผู้รู้จริงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เสพข่าวมากกว่า
วันที่ ๑๘ผมประชุมอยู่ที่ศิริราชทั้งวัน ได้เห็นสภาพการคัดกรองผู้เข้าไปในโรงพยาบาล และควบคุมคนเข้าออกต้องเดินตามเส้นทางที่กำหนด ผมถามอาจารย์แพทย์ที่ประชุมด้วยกันว่า แพทย์พยาบาล และบุคลากรของโรงพยาบาล รู้สึกว่าหมดแรงไหม ได้คำตอบว่า รู้สึกเช่นนั้น งานที่หนักไม่ใช่งานบำบัดผู้ป่วยโควิดเพราะมีเพียง ๑๑ คน และอาการไม่รุนแรง ผู้ป่วยที่อาการรุนแรงอยู่ที่โรงพยาบาลในต่างจังหวัด อาการรุนแรงคือปอดทำงานไม่ได้ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ งานหนักในกรณีของโรงพยาบาลศิริราชคืองานคัดกรองผู้ติดเชื้อ
จะเห็นว่าการรับมือโควิด ๑๙ ต้องทำเป็นระบบอย่างมาก โดยต้องมองไปข้างหน้าเป็นปีหรือนานกว่า เพราะประเทศไทยเราเลือกใช้วิธีรักษาชีวิตคนโดยการป้องกันการติดเชื้อระหว่างคนอย่างเต็มที่ รวมทั้งป้องกันความแตกตื่น ป้องกันคนชั่วแสวงประโยชน์จากสถานการณ์ และป้องกันผู้ปฏิบัติงานรับมือตามมาตรการ ๖ด้านของรัฐบาลหมดแรง หรือขัดแย้งกันเองด้วย
ผมตีความว่ามาตรการที่ประเทศไทยใช้อยู่นี้ เป็นการซื้อเวลา เพื่อรอความรู้และเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น มาตรการที่ใช้จะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆจากความรู้และเทคโนโลยีที่จะมีการพัฒนาอย่างเร่งด่วน โดยที่ประเทศไทยควรมีมาตรการรวมพลังสร้างความรู้และพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นใช้ ย้ำว่าต้องเน้นร่วมมือกันทำอย่างเป็นระบบอย่ามุ่งแข่งขันกัน
คนไทยต้องร่วมมือกันเอง และร่วมมือกับรัฐบาลดูแลให้มีการดำเนินการตามคำแนะนำของผู้รับผิดชอบมาตรการทั้ง๖ เพื่อร่วมกันฟันฝ่าวิกฤตินี้ และร่วมกันพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ดังที่เราคุยกันที่ศิริราชเมื่อวันที่ ๑๘ว่า หลังจากการระบาดของโควิด ๑๙สงบ การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยจะไม่หวนกลับไปเหมือนเดิม จะมีการพัฒนา online learningplatform เข้ามาช่วยให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มขึ้นมาก
เช้ามืดวันที่ ๑๙ สำนักข่าว Nikkei Asian Review ส่งข่าวมาบอกว่าญี่ปุ่นเริ่มใช้ยา favipiravir ที่จำหน่ายในชื่อ Avigan รักษาโรคโควิด ๑๙ (๒) รวมทั้งมีข่าวการระดมกำลังพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด๑๙ หลายทีม และมีความสำเร็จบ้างแล้ว
วิจารณ์ พานิช
๑๙ มี.ค. ๖๓
เป็นกำลังใจให้อาจารย์..และรักษาสุขภาพด้วยนะครับ…ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ
หวังว่า คนไทยจะสามัคคีกัน ถึงจะผ่านโรคนี้ไปด้วยกันได้ ค่ะ
กราบขอบพระคุณอาจารย์มากครับ