ในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ครั้งที่ ๘/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๓ มีการนำเรื่องการปฏิรูปการบริหารจัดการการอุดมศึกษา เข้าเสวนา
คำถามของผมคือ ทำอย่างไรอุดมศึกษาจึงจะเป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศได้ดีกว่านี้ เน้นที่กลไกการจัดการเชิงระบบ
สิ่งแรกคือ ต้องมีการวิจัยเชิงระบบ ... วิจัยระบบอุดมศึกษา เพื่อหาทางใช้ทรัพยากรของชาติให้เกิดคุณค่ามากกว่านี้ โดยในปีงบประมาณ ๒๕๖๓ ประเทศไทยใช้งบประมาณด้านอุดมศึกษาเกือบ ๑.๑ แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓.๔๒ ของงบประมาณแผ่นดิน และร้อยละ ๐.๕๙ ของ จีดีพี คำถามคือ การลงทุนนี้ให้ Return on Investment อย่างไรบ้าง มีทางบริหารจัดการให้ ROI สูงกว่านี้ได้อย่างไร ประเทศใดที่เขาบริหารจัดการระบบอุดมศึกษาเก่ง เขาทำอย่างไร
ที่จริงรายจ่ายด้านอุดมศึกษายังมีที่ demand side อีก คือค่าใช้จ่ายที่ครอบครัวของผู้เรียนจ่าย แต่เราไม่มีงานวิจัยเชิงระบบ หาตัวเลขด้าน demand side และงบประมาณปีละเกือบ ๑.๑ แสนล้านบาทข้างบนยังไม่รวมงบอุดมศึกษาในกระทรวงอื่นๆ และที่ใช้ดำเนินการสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
ผมลองค้น กูเกิ้ล ด้วย Keyword ว่า Higher Education Systems พบเว็บไซต์ universitas21.com มีเรื่อง U21 Ranking of National Higher Education Systems ที่น่าจะเป็นแหล่งข้อมูลหนึ่งสำหรับการวิจัยระบบอุดมศึกษา สู่เป้าหมายการยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพของระบบอุดมศึกษาไทย
ธนาคารโลกก็มีเว็บไซต์เรื่องระบบอุดมศึกษา (๑) อ่านสองเว็บไซต์นี้แล้ว ผมเกิดความรู้สึกว่า ประเทศไทยเราอ่อนแอเรื่องมุมมองเชิงระบบต่อระบบอุดมศึกษา ผมเข้าใจถูกหรือผิดก็ไม่ทราบ
เรื่อง National Higher Education Systems นี้ น่าจะมีความซับซ้อนกว่าระบบมหาวิทยาลัย เพราะนั่นมันเป็น supply side ระบบอุดมศึกษาของประเทศน่าจะมองที่ demand side ด้วย ประเด็นหนึ่งที่น่าจะหาข้อมูล คือ เราส่งคนไปเรียนอุดมศึกษาต่างประเทศมากน้อยแค่ไหน ส่งไปเรียนอย่างสมเหตุสมผลหรือคุ้มค่าไหม อีกประเด็นหนึ่งคือ เยาวชนไทยเลือกเข้าเรียนหรือไม่เข้าเรียนระดับอุดมศึกษาอย่างไร ผมเข้าใจว่า มหาวิทยาลัยเอกชนหลายแห่งได้รับศรัทธาจากคนบางกลุ่มเลือกส่งลูกเข้าเรียนในสาขาที่ตนต้องการ เพื่อมารับช่วงต่อกิจการของครอบครัว
กลับมาที่ระบบอุดมศึกษาของประเทศอื่น ผมเคยลงบันทึกไว้ว่า จีนมีนโยบายเลิกเอาใจใส่อันดับมหาวิทยาลัยโลก (๒) และตอนนี้มีข่าวว่า จีนแซงสหรัฐด้านความเข้มแข็งเรื่องงานวิจัย (๓) ทำให้นึกได้ว่า จีนน่าจะเป็นตัวอย่างประเทศที่ปฏิรูประบบอุดมศึกษาของประเทศอย่างได้ผล อีกประเทศหนึ่งคือมาเลเซีย ที่เมื่อ ๔๐ ปีก่อนเขาล้าหลังเรา แต่เวลานี้เราล้าหลังเขายิ่งกว่า น่าจะมีการศึกษาว่าเขาทำอย่างไร ในระดับ macro ของประเทศ เวียดนามก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่กำลังไล่กวดเรา ส่วนเกาหลีก็ใช้เวลาสั้นมากในการยกระดับอุดมศึกษาควบคู่กันกับการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ประเด็นหนึ่งคือ รอยต่อ หรือความสัมพันธ์เชิง synergy ระหว่างระบบอุดมศึกษากับระบบอื่นๆ
ในการประชุมครั้งนี้ ทีมวิชาการได้นำเสนอประเด็น ๔ ประเด็นคือ
หัวใจคือ higher education transformation ทั้งในระดับ ระบบอุดมศึกษาของประเทศ และในระดับปฏิบัติการในมหาวิทยาลัย เวลานี้เรามีอุดมศึกษาแห่งศตวรรษที่ ๒๐ ทำอย่างไรเราจะขับเคลื่อนสู่อุดมศึกษาแห่งศตวรรษที่ ๒๑
ข้างบนนั้น เขียนก่อนการประชุม
ในที่ประชุม ผู้เข้าร่วมสนใจแคบกว่าผมมาก มองที่อุดมศึกษาภายใต้กระทรวง อว. และเมื่อพูดถึง demand side ก็เน้นหมายถึงฝ่ายผู้ใช้บัณฑิต ประเด็นการประชุมเป็นเรื่องการบริหารอุดมศึกษาภายใต้กระทรวง อว. และภายใต้โครงสร้างและกระบวนการที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ ซึ่งผมมองว่า จะพัฒนาได้อย่างจำกัด ไปไม่ถึงการ transform ระบบอุดมศึกษา
ผมได้เสนอในตอนท้ายว่า การบรรลุการจัดการอุดมศึกษาภายใต้กระทรวง อว. อย่างมีพลังจริงๆ คนที่ส่วนกลางของ สป.อว. ต้องเปลี่ยน mindset และต้องเพิ่มทักษะในการจัดการระบบแบบ empowerment รวมทั้งทักษะในการทำความเข้าใจ และในการขับเคลื่อนภาพใหญ่ และต้องมีการหมุนเวียนบุคลากรออกไปทำงานนอก สป.อว. เพื่อให้เข้าใจสภาพงานที่หลากหลายของกระทรวง อว.
วิจารณ์ พานิช
๑๐ ส.ค. ๖๓
ไม่มีความเห็น