ผมได้เล่าเรื่องชุดโครงการวิจัยหนึ่งที่ วช. ให้ทุน คือชุดโครงการประเทศไทยในอนาคตที่ (๑) (๒) (๓) เป็นงานวิจัยอนาคต (futures sdudies) ที่มีโครงการวิจัยในชุดรวม ๑๐ โครงการ บัดนี้โครงการก้าวหน้าและมีการจัดประชุมคณะกรรมการกำกับโครงการครั้งที่ ๒ ในวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๓ เพื่อพิจารณารายงานความก้าวหน้าใน ๔ เดือนแรกของโครงการ คือ เดือน กุมภาพันธ์ - พฤษภาคม ๒๕๖๓
บันทึกนี้ เน้นการเรียนรู้ด้านการจัดการงานวิจัย ซึ่งกรณีนี้เป็นการจัดการชุดโครงการ ที่ต้องมีการจัดการความเชื่อมโยงระหว่างโครงการย่อย เอาข้อค้นพบออกสื่อสารปฏิสัมพันธ์กับสังคม เพื่อรับข้อคิดเห็นจากสังคมเอามาเป็นข้อมูลด้านหนึ่งของการวิจัย โดยผมมองว่า ชุดโครงการวิจัยนี้ เป็นงานวิจัยและนวัตกรรม ไม่ใช่งานวิจัยเพื่อค้นหาความรู้เท่านั้น แต่เป็นงานวิจัยเพื่อขับเคลื่อนสังคม เน้นเป้าขับเคลื่อนนวัตกรรมสังคม อ่านจากรายงานไตรมาสแรกของ ๘ โครงการย่อย พบการเอ่ยถึงการสื่อสารปฏิสัมพันธ์กับสังคมในโครงการย่อยโครงการเดียว และพบว่าเอกสารรายงานที่ส่งมาให้แตกต่างกันมาก ทำให้เห็นว่า ทาง วช. ไม่ได้สื่อสารให้ชัดในเรื่องลักษณะของรายงานความก้าวหน้า ที่ควรกำหนดให้ไม่ยาวมาก ผมเสนอว่าไม่ควรจะยาวเกิน ๑๐ หน้า
โจทย์ใหญ่ของชุดโครงการคือ การคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต เพื่อเสนอแนะการดำเนินการ (intervention) สู่เป้าหมายที่พึงประสงค์
ผมตีความว่า คณะกรรมการอำนวยการโครงการมีหน้าที่ให้คำแนะนำแก่ วช. ด้านการจัดการชุดโครงการ แต่เมื่ออ่านเอกสารประกอบการประชุมคราวนี้ ก็เห็นชัดว่า สาระสำคัญของคำแนะนำของคณะกรรมการอำนวยการไม่ได้รับการบันทึก และไม่ได้นำไปใช้ ทำให้สัญญาให้ทุนระบุวัตถุประสงค์ไม่ตรงกับที่คณะกรรมการย้ำ คือไม่ใช่แค่เป็นงานวิจัย แต่เป็นงานขับเคลื่อนสังคมด้วย
นอกจากนั้น ในการประชุมเปิดตัวโครงการ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๓ ผมให้ความเห็นว่า ไม่ควรใช้คณะกรรมการกำกับทิศทาง เป็นผู้ประเมินความแม่นยำทางวิชาการ เพราะตัวกรรมการที่เลือกมาเป็นผู้รู้กว้างๆ ไม่รู้ลึกลงไปในแต่ละประเด็นของโครงการย่อย แต่ก็ไม่มีการนำไปปฏิบัติ
เนื่องจากเป็นโครงการใหญ่และซับซ้อน ต้องการผลเชิงขับเคลื่อน การจัดการที่ส่วนกลางจึงต้องเข้มแข็ง ผมจึงเสนอต่อที่ประชุมให้ วช. พิจารณาดำเนินการต่อไปนี้
ผมเพิ่งมีโอกาสเห็นโจทย์วิจัยที่ วช. เซ็นสัญญากับทีมวิจัย ว่าเป็นงานวิจัย และนำเสนอนโยบาย ซึ่งเป็นโจทย์ที่แคบ ไม่รวมกิจกรรมสื่อสารปฏิสัมพันธ์กับสังคม ทั้งๆ ที่ตอนประชุมคณะกรรมการกำกับโครงการได้มีการให้คำแนะนำไว้แล้ว จึงเห็นข้อจำกัดของ วช. ในการจัดการงานวิจัยชุดนี้
ข้างบนนั้น ผมเขียนก่อนการประชุม
หลังการประชุม ที่มีการนำเสนอความคืบหน้าของ ๙ โครงการย่อย จึงได้เห็นว่า โครงการส่วนใหญ่ดำเนินไปด้วยดี มีเพียง ๒ โครงการย่อยที่ดำเนินการแบบ conventional research ไม่ใช่ foresight research หรือ futures studues แต่เนื่องจากหัวหน้าโครงการได้ฟังรายงานของโครงการอื่นด้วย ก็น่าจะนำเอาข้อเรียนรู้ไปปรับงานของตนได้
มีอยู่ ๒ โครงการที่ผมมีข้อสังเกตว่า แม้ไม่มีโครงการวิจัยนี้ เขาก็น่าจะทำงานทำนองนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้นำออกสื่อสารแลกเปลี่ยนกับสาธารณะ ไม่ทราบว่าการให้ทุนวิจัยและนวัตกรรมแก่หน่วยงานแบบนี้ จะต้องมีการจัดการงานวิจัยที่แตกต่างออกไปอย่างไร
ในตอนท้าย ผมเสนอต่อที่ประชุมว่า สวช. ควรหาคนที่มีความสามารถสูงมาทำหน้าที่ผู้จัดการหรือประสานงานชุดโครงการนี้ เพื่อจัดทำกระบวนการบูรณาการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างโครงการย่อย เพื่อให้ค่อยๆ มองเห็น key drivers ที่อาจใช้ร่วมกัน ซึ่ง ศ. ดร. ปิยะวัติ บุญ-หลง เสนอว่า น่าจะให้แต่ละโครงการส่ง ข้อวิเคราะห์ drivers ย่อย ตาม ๖ ปัจจัยย่อย STEEPV (social, technology, economic, environment, politics, values) ที่ได้ในแต่ละรายงานความก้าวหน้า ก็จะช่วยให้ค่อยๆ มองเห็น key drivers สู่ประเทศไทยในอนาคต
บันทึกนี้เขียนออกเผยแพร่เพื่อการเรียนรู้ร่วมกันในสังคมไทย จึงเขียนแบบเสนอความเห็นตรงๆ ไม่มีเป้าหมายทางการเมืองที่จะทำร้ายหรือเยินยอหน่วยงานใด
วิจารณ์ พานิช
๙ มิ.ย. ๖๓ ปรับปรุง ๒๘ มิ.ย. ๖๓
ไม่มีความเห็น