บ่ายวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๔ ผมเข้าร่วมประชุมเพื่อพัฒนาโจทย์วิจัยเพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาด้วยกลไกการกระจายอำนาจของ กสศ. ในช่วงโควิด ๑๙ ระบาดหนักเช่นนี้ ย่อมต้องประชุมทางไกล
กสศ. ดำเนินการ โครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาระยะที่ ๑ ไปแล้วในปี ๒๕๖๓ และได้นำเสนอผลงานในการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา วันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๔ ว่ามีเป้าหมาย พัฒนากลไกจังหวัดในการช่วยเหลือเด็กปฐมวัยที่ยากจนและเด็กนอกระบบการศึกษา ซึ่งก็คือเป็นการทดลองค้นหากลไกกระจายอำนาจทางการศึกษานั่นเอง โดยในขั้นนี้เน้นที่กลไกช่วยเหลือเด็กปฐมวัยในครอบครัวยากจน และเด็กนอกระบบการศึกษา
โดยในปี ๒๕๖๒ - ๒๕๖๓ ได้ร่วมมือกับ ๒๐ จังหวัดนำร่องดำเนินการพัฒนาระบบข้อมูล และระบบดูแลกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
ในปี ๒๕๖๔ จะยกระดับโครงการเป็น การพัฒนาสู่ตัวแบบการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ให้เป็นจริง ผ่านการศึกษาวิจัย เริ่มจากการร่วมกันจัดทำวิสัยทัศน์จังหวัด หรือเป้าหมายของจังหวัดแบบมีส่วนร่วม และใช้ข้อมูลจากผลงานในปี ๒๕๖๒ - ๒๕๖๓ ในการร่วมกันกำหนดวิสัยทัศน์ ตามด้วยการสื่อสารให้รับรู้ทั่วกันเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนทั้งจังหวัด
งานนี้จุดเน้นอยู่ที่การพัฒนาตัวแบบ คู่กับงานวิจัย ที่เป็นการศึกษาวิจัยเชิงระบบเพื่อพัฒนาต้นแบบ 3 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1: โจทย์การวิจัยพัฒนาเครื่องมือเชิงนโยบายระดับพื้นที่ (Area-based Policy Instruments) ประกอบด้วย (1) ระบบข้อมูลสารสนเทศเชิงพื้นที่ (2) กลไกเชิงสถาบันภาคประชาชนเพื่อสนับสนุนการปฏิรูปการศึกษาของจังหวัด (Area-based Civic Institution)
ส่วนที่ 2: โจทย์การวิจัยพัฒนาระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษาเชิงพื้นที่ มี 3 ประเด็น คือ (1) การประกันโอกาสเสมอภาคในการเข้าถึงระบบการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตของของ เด็กเยาวชนในจังหวัด (Equitable Learning Access) (2) การประกันโอกาสเสมอภาคในการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่มีคุณภาพของเด็ก เยาวชนในจังหวัด (Equitable Learning Outcome) (3) การยกระดับศักยภาพและประสิทธิภาพของระบบกลไกและกระบวนการทํางานในระดับ จังหวัด (System Change)
ส่วนที่ 3: โจทย์ศึกษาวิจัยเชิงระบบเพื่อพัฒนาต้นแบบ “จังหวัดปฏิรูป” ที่มีประสิทธิภาพและ สามารถขยายผลเชิงนโยบายได้อย่างยั่งยืน คือ (1) วิจัยพัฒนาต้นแบบกลไกสนับสนุนการปฏิรูปการศึกษาเชิงพื้นที่ตามแนวทางที่กําหนดไว้ใน มาตรา 18 ของร่าง พรบ.การศึกษาแห่งชาติ (2) วิจัยพัฒนาต้นแบบเมืองแห่งการเรียนรู้ (UNESCO’s Learning City)
งบประมาณในปี ๒๕๖๔ รวม ๑๙๕ ล้านบาท
ผมให้ความเห็นว่า ไม่ควรทำใน ๒๐ จังหวัดเดิมทั้งหมด ควรเลือกเฉพาะจังหวัดเดิมที่มีผลงานดี สะท้อนการจัดโครงสร้างและการจัดการที่ดี ไม่ควรเสียเงินและพลังการทำงานที่จังหวัดที่พิสูจน์แล้วว่าทำงานไม่ได้ผล
นอกจากนั้น ต้องคิดให้ดีๆ ว่าเป้าหมายของโครงการนี้คืออะไร เป็นการสร้างโมเดลจัดการศึกษาระดับจังหวัด หรือโมเดลดูแลเด็กเล็กและเด็กนอกระบบที่จังหวัดดูแลเอง สองเป้าหมายนี้ต่างกัน และอาจขัดกันในเชิงยุทธศาสตร์การทำงาน
วิจารณ์ พานิช
๔ พ.ค. ๖๔
ไม่มีความเห็น