สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) ให้ทุนสนับสนุนโครงการพัฒนาเครื่องมือเพื่อประเมินความพร้อมของเด็กและเยาวชนในการเข้าสู่ตลาดแรงงาน และให้นักวิจัยมาเสนอความก้าวหน้าในการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับทิศทางของ วสศ. เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ทำให้ผมได้เรียนรู้ เรื่องเครื่องมือวัด career readiness ของเยาวชน ที่มีเครื่อมือของต่างประเทศมากมาย
หลังการประชุม ผมกลับมาคิดใคร่ครวญที่บ้าน เกิดความคิดว่าเครื่องมือนี้มีเป้าหมายสร้างเครื่องมือ และท่านที่ปรึกษาคณะกรรมการ ดร. ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ผู้มีประสบการณ์มาก เคยเป็นทั้งเลขาธิการ สอศ. เลขาธิการ สพฐ. และปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เตือนว่านักเรียน โดยเฉพาะเด็กอาชีวะเบื่อการทดสอบมาก การทำเครื่องมือแขวนไว้บน cyberspace ให้เด็กเข้าไปทดสอบเอง น่าจะหาผู้ใช้ยาก และผมคิดว่า การลงทุนสร้างเครื่องมือที่ไม่มีคนใช้ ไม่น่าจะเป็นการลงทุนที่ถูกต้อง
ผมคิดว่าโจทย์จริงๆ คือการช่วยให้เด็กอาชีวะ และเด็ก ม. ๓, ม. ๖ ที่จะไม่เรียนต่อ ได้พัฒนาทักษะการทำงาน โจทย์ที่ถูกต้องคือการพัฒนาทักษะของเยาวชนที่กำลังเตรียมตัวออกไปทำงาน ซึ่งผมเชื่อว่าเจ้าตัวต้องพัฒนาเอง ครูและเครื่องมือเป็นเพียงตัวช่วย จึงมีคำถามว่า การเน้นสร้างเครื่องมือที่เน้นเทคโนโลยี และทำโดยนักวิชาการ เป็นการหลงทางหรือเปล่า
ผมตั้งคำถามว่า ในเมื่อวิธีการที่กำลังใช้อยู่ (ผมเรียกว่า academic approach) คงจะใช้ได้ผลกระทบต่อตัวเด็กได้ยาก ทำไมเราไม่คิดลองวิธีการที่แหวกแนว เช่น field approach ดูบ้าง ที่แหวกแนวหนักยิ่งขึ้นคือ ใช้ work seeker approach (หมายถึงให้เยาวชนที่กำลังหางานเป็นผู้ร่วมคิดวิธีพัฒนาทักษะของตนเองและรุ่นน้อง) และ champion approach (หมายถึงหาเยาวชนที่มีงานทำดีมาร่วมคิดวิธีพัฒนาทักษะของรุ่นน้อง) โดยบุคคลที่เข้ามาร่วมกำหนดเกณฑ์ที่นำไปสู่เครื่องมือประเมิน เป็นคนในกลุ่มอายุเดียวกันกับเยาวชนที่เราต้องการวัดทักษะ
Field approach นั้น โอกาสเปิดกว้างในสภาพวิกฤติโควิด ๑๙ ที่เยาวชนที่จบการศึกษา ปวช., ปวศ., ม. ๓, ม.๖ รุ่นใหม่กำลังเผชิญวิกฤติการมีงานทำเพื่อมีรายได้ มีทางไหมที่ให้คนเหล่านี้เองเป็นผู้พัฒนาตัวชี้วัดและวิธีวัดขึ้นมา ที่อาจไม่ใช่แค่ทดสอบในคอมพิวเตอร์ แต่ทดสอบในการปฏิบัติจริง ที่มีครูเป็นผู้ช่วยสังเกตและให้คำแนะนำ
นักเรียนกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนขาดแคลน ที่มีความอ่อนแอในหลายมิติ แต่หากจับเส้นถูก ความแข็งแรงที่ซ่อนอยู่ในความเป็นมนุษย์อาจโผล่ออกมากระทำการ ดังระบุไว้ในภาค ๗ ของหนังสือ สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลน บทที่ ๒๗ เตรียมเข้าสู่บทเรียนหรือเข้าสู่อาชีพ ซึ่งเมื่อมองว่าเยาวชนกลุ่มนี้ต้องการการยอมรับจากผู้อื่น ความมั่นใจตนเอง ความรู้จักจุดแข็งของตนเอง การประเมินเพื่อหาจุดแข็งของตัวตนของเขา โยงสู่งาน น่าจะเหมาะสมกว่า ดึงดูดใจเยาวชนกว่า การประเมินที่เน้นงานเป็นหลักหรือเป็นศูนย์กลาง แนวคิดนี้ตรงกับแนวคิดของคุณหญิงกษมา วรวรรณ เรื่องการวัดแวว ซึ่งทำกันมานานแล้ว น่าจะเข้าไปศึกษาและหาวิธียกระดับความแม่นยำและการใช้ประโยชน์
เยาวชนในกลุ่มนี้บางคนอาจไม่ต้องการหางาน แต่ต้องการสร้างงาน สร้างธุรกิจเล็กๆ ของตนเอง คือเป็นผู้ประกอบการ (entrepreneur) จะมีเครื่องมือใดที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจแก่เขา และช่วยแนะว่าเขาต้องพัฒนาทักษะใดเพิ่มเติม
ผมจินตนาการว่า เครื่องมือวัดที่สุดยอดน่าจะช่วยตอบคำถามของเยาวชนเป็นรายคน ให้เขาบอกว่า ในอนาคตอันใกล้เขาต้องการทำงานแบบไหน (บอกเป้าหมายชีวิต) แล้วเครื่องมือเลือกคำถามชุดที่จำเพาะต่อผู้นั้น ให้เขาตอบ แล้วเครื่องมือให้ข้อมูล feedback ชุดหนึ่งแก่ผู้นั้น การประเมินก็จะเป็นแบบ tailor-made เป็นรายคน จินตนาการของผมเตลิดเปิดเปิงไปไกลเกินไป จนไร้ประโยชน์หรือไม่ก็ไม่ทราบ
ผมมองว่า โครงการแบบนี้ ต้องมีนักจิตวิทยาวัยรุ่น นักจิตวิทยาการทำงานระดับแรงงานฝีมือไม่สูง เข้าร่วมออกแบบ ต้องสร้างเครื่องมือให้เยาวชน หรือวัยรุ่นใช้ ไม่ใช่เครื่องมือไปวัดหรือทดสอบเขา
วิจารณ์ พานิช
๖ พ.ค. ๖๓
ไม่มีความเห็น