บันทึกที่ ๑ บันทึกที่ ๒ บันทึกที่ ๓ บันทึกที่ ๔ บันทึกที่ ๕ บันทึกที่ ๖
ในการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ มีการนำโครงการดำเนินการ ๒ โครงการเข้าขอรับการอนุมัติ คือโครงการตามบันทึกที่แล้ว กับโครงการตามบันทึกนี้ ผมเขียนบันทึกนี้จากการอ่านเอกสารการประชุม แล้วใคร่ครวญสะท้อนคิดออกมาเป็นความเห็นหรือความฝันส่วนตัว ไม่ได้เข้าร่วมประชุม
คนเราทุกคนต้องการมีชีวิตที่ดี มีอนาคตที่ดี ไม่มีใครอยากมีชีวิตที่ยากลำบาก หรือชีวิตที่เสื่อมทราม สังคมจึงต้องจัดระบบการศึกษาให้คนได้เรียนเพื่อไปประกอบอาชีพและใช้ชีวิตที่ดีตามความชอบความถนัดของตน
ต้องจัดให้การเรียนสายอาชีพเป็นการเรียนสู่ชีวิตที่ดี
ในอดีตเราเพลี่ยงพล้ำ จัดการเรียนสายอาชีพในลักษณะเส้นทางของ “ผู้แพ้” ทางด้านการเรียนวิชาการ และเป็นเส้นทางที่ก่อปมด้อย รู้สึกว่าผู้คนดูถูกดูแคลน ทำให้นักศึกษาสายอาชีพส่วนหนึ่งมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ยกพวกตีกัน และรวมตัวกันเป็นสมาคมศิษย์เก่าที่คอยสืบทอดนิสัยก้าวร้าวรุนแรงแก่รุ่นน้อง ใครมาขวางเส้นทางของตนก็มุ่งทำร้าย มีคนเล่าให้ผมฟังว่า นายกสภาวิทยาลัยอาชีวะที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง พยายามแก้ไขปัญหานี้ และถูกดักยิง แต่มีการปิดข่าว นั่นคือข่าวด้านลบ ซึ่งเกิดต่อวงการอาชีวศึกษาจำนวนน้อย แต่ก็ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงไปทั่ววงการ
การพลิกฟื้นคุณค่า และเกียรติภูมิของการศึกษาสายอาชีพจึงมีความสำคัญยิ่งต่ออนาคตของบ้านเมือง และน่ายินดีที่เวลานี้เรามีโรงเรียนหรือวิทยาลัยอาชีวะที่มีคุณภาพ ได้รับการยอมรับนับถือ ผู้จบการศึกษาเป็นที่ต้องการของนายจ้าง หลายสถาบัน ในเอกสารภาคผนวกของโครงการระบุชื่อ ๒๔ สถาบัน
โครงการนี้จะให้ทุนนักเรียนกลุ่มที่มาจากครอบครัวยากจน กลุ่มร้อยละ ๒๐ ล่างของประเทศ เริ่มปีการศึกษา ๒๕๖๒ จำนวน ๒,๕๐๐ ทุน เข้าเรียน ปวส. ๒ ปี หรือเข้าเรียน ปวช. - ปวส. ๕ ปี ได้ทุนค่าครองชีพ ค่าที่พัก และค่าวัสดุอุปกรณ์การเรียน เดือนละ ๗,๐๐๐ บาท ในปีการศึกษา ๒๕๖๓ จะเพิ่มเป็น ๓,๐๐๐ ทุน
โดยจะเลือกสถาบันที่จัดการศึกษาระดับอาชีวศึกษา ๕๐ แห่ง (จากที่มีอยู่ประมาณ ๙๐๐ แห่ง) เป็นผู้ดำเนินการ จัดการศึกษาในลักษณะเข้มข้น ทันสมัย และตรงความต้องการ โดยมีงบประมาณสนับสนุนการดำเนินการร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมอย่างเข้มข้น
เน้นที่การสร้างกำลังคนสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ๑๐ อุตสาหกรรมหลักในการพัฒนาประเทศ ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ (first S-curve) ได้แก่ (๑) ยานยนต์ใหม่ (๒) อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (๓) การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (๔) การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (๕) การแปรรูปอาหาร กลุ่มอุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) ได้แก่ (๖) หุ่ยยนตร์อุตสาหกรรม (๗) การบินและโลจิสติกส์ (๘) เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (๙) ดิจิทัล (๑๐) การแพทย์ครบวงจร
เป้าหมายของโครงการมี ๓ ประการ ได้แก่
วิจารณ์ พานิช
๓๑ ต.ค. ๖๑
I read this and compare to การประชุมประจำปี การพัฒนาการศึกษาของวิชาชีพสุขภาพ < https://www.gotoknow.org/posts/658766 > which asserts: - “…การศึกษาต้องไปให้ถึง Transformative Learning จึงจะสร้างคนแห่งอนาคตได้…” and- “เป้าหมายของแผนมี ๔ ข้อ
1. ประชาชนเข้าถึงบริการ อย่างเท่าเทียมกัน คุณภาพของบริการมีความเท่าเทียม 2. หน่วยบริการมีกำลังคนเพียงพอ มีสมรรถนะเหมาะสม 3. ระบบการศึกษาของประเทศ สร้างบุคลากรสุขภาพที่มีสมรรถนะเหมาะสม มีเจตคติที่ดีต่อการทำงานในภูมิภาค และทำงานเป็นทีมข้ามวิชาชีพได้
4. กำลังคนด้านสุขภาพมีความสุข”
I can see some BIG differences in strategies for treatments of “backbone resources” for Thailand 4.0. Perhaps lessons learned from this (การพัฒนาการศึกษาของวิชาชีพสุขภาพ) can be applied to the more generic การศึกษาต่อสายอาชีพชั้นสูง - which includes …(๑๐) การแพทย์ครบวงจร.
Sharing lessons could mean ‘faster track’, ‘lower cost’ (to Taxpayers) and real equality for people of various walks of life.