การประชุมนี้จัดวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ที่กรีนเลค รีสอร์ท เชียงใหม่ เป็นการจัดร่วมกันระหว่าง กสศ. กับพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดเชียงใหม่ ที่ศึกษาธิการจังหวัดเชียงใหม่เป็นกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อน มีผู้อำนวยการและครูจากโรงเรียนพัฒนาตนเองของ กสศ. ๖๖ โรงเรียน และโรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดเชียงใหม่ ๖๑ โรงเรียน รวม ๑๒๓ โรงเรียน (มีโรงเรียนที่อยู่ในทั้งสองโครงการ ๔ โรงเรียน) มาร่วมประชุมกับ คณะกรรมการกำกับทิศทางโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง ทีมพี่เลี้ยงในโครงการ และเจ้าหน้าที่ของ กสศ. รวมทั้งสิ้นกว่า ๒๐๐ คน
เป้าหมายของการประชุมนี้ ก็เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีจัดการเรียนรู้ที่นักเรียนมีผลลัพธ์การเรียนรู้สูงและครบด้าน
เราได้เรียนรู้เรื่องสถานการณ์จัดการศึกษาจังหวัดเชียงใหม่ จากศึกษาธิการจังหวัดเชียงใหม่ นายกิตติ์ธเนศ พันธ์ภานุฉัตร์ และได้รับฟังเรื่องราวพัฒนาการด้านการพัฒนานักเรียนของโรงเรียนพัฒนาตนเองในเครือข่ายพี่เลี้ยง ๔ เครือข่ายคือ เครือข่ายมูลนิธิสตาร์ฟิช คันทรีโฮม เครือข่ายมหาวิทยาลัยศรีปทุม เครือข่ายมูลนิธิลำปลายมาศพัฒนา และเครือข่ายมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ต่างก็มีจุดแข็งและจุดอ่อนด้านวิธีการคนละแบบ แต่มีเป้าหมายเดียวกัน คือพัฒนานักเรียนให้บรรลุทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ วิธีการที่ถือเป็นแนวเดียวกันคือ ต่างก็เป็น active learning ทั้งสิ้น
นักเรียนในโรงเรียนของทุกเครือข่ายมีการเปลี่ยนแปลง เป็นเด็กที่ฉะฉานกล้าพูดกล้าถามกล้าทำ มีความมั่นใจในตนเอง โดยที่นักเรียนของโรงเรียนเหล่านี้เป็นเด็กจากครอบครัวด้อยโอกาสทั้งสิ้น ความสำเร็จเบื้องต้นของโรงเรียนใน “โครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง” จึงจะนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
เนื่องจากทีมพี่เลี้ยงแต่ละทีมต่างก็มีเครื่องมือที่ให้ผลดีต่างชนิดกัน กรรมการชี้ทิศทางจึงแนะว่า ขอให้โรงเรียนสามารถเลือกใช้เครื่องมือข้ามเครือข่ายได้ สมกับที่เป็น “โรงเรียนพัฒนาคุณภาพตนเอง” เช่นเครือข่ายมูลนิธิลำปลายมาศพัฒนามีเครื่องมือจิตศึกษา โรงเรียนในเครือข่ายอื่นอาจขอเรียนรู้และนำเอาไปใช้ หรืออาจใช้เครื่องมือ STEAM Design Process ของสตาร์ฟิชฯ เป็นต้น
ตอนบ่ายเป็นการพูดคุยกันเรื่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มจากการนำเสนอเรื่อง การสนับสนุนเพื่อการพัฒนาพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา โดยนายพิทักษ์ โสตถยาคม รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา สพฐ. ตามด้วยการตั้งคำถามและเสนอความเห็นเรื่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา
การเดินทางไปเชียงใหม่สองวันนี้ ผมได้ข้อมูลเชิงลึกของวงการศึกษาจากหลายทาง และในหลายประเด็น ยิ่งทำให้ผมคิดว่า ข้อความในบันทึกชุด การศึกษาคุณภาพสูงระดับโลกเป็นจริงมากในระบบการศึกษาไทย คือหลากหลายฝ่ายเข้าไปแสวงประโยชน์ตน แย่งทรัพยากรมาจากเด็ก ทำให้การศึกษาคุณภาพต่ำ ผู้รับเคราะห์คือเด็ก และประเทศ เพราะจะมีผลให้ประเทศไทยมีพลเมืองคุณภาพต่ำ
เราจึงเห็นว่า พรบ. พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๒ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ จนเวลานี้ผ่านมากว่า ๙ เดือน ยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการนโยบาย โดยข้อเสนอตั้งคณะกรรมการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไปดองอยู่ที่รัฐมนตรี ๒ เดือนแล้ว
เราได้รับทราบว่าที่เชียงใหม่ มีการกำหนดโรงเรียนนำร่อง ๖๑ โรงเรียน แต่เรื่องอื่นๆ ที่สมควรก้าวหน้าก็นิ่งอยู่ มีคนเล่าความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานด้านการศึกษากันเอง รวมทั้งความขัดแย้งที่ตัวบุคคลด้วย ผมชี้ให้ที่ประชุมเห็นว่า ที่เชียงใหม่ขาดหน่วยงานทำหน้าที่ประสานงาน (coordinator) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประสานงานที่ไม่เป็นทางการและมีความคล่องตัว มีความจริงใจเอาจริงเอาจัง
จะเห็นว่า โรงเรียนในโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง ดำเนินการมาเพียงภาคการศึกษาเดียว การจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนก้าวหน้าไปมาก นักเรียนได้รับประโยชน์ ทำให้ชีวิตการเรียนในโรงเรียนเป็นเรื่องสนุก ได้เป็นตัวของตัวเอง เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง เพราะโครงการนี้มีการจัดการดี มีการประสานงานดี มีวงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างทีมพี่เลี้ยงทั้ง ๕ ทีม และระหว่างโรงเรียนในโครงการ
ผมหวังว่า ผู้บริหารโรงเรียนและครูที่เชียงใหม่จะได้เข้าใจอุปสรรคที่แท้จริงของความเลื่อมล้ำทางการศึกษา และของความด้อยคุณภาพของการศึกษา
ในที่ประชุมมีการพูดกันเรื่อง school-based education development คือในเมื่อระบบมันเน่า โรงเรียนและครูก็อย่าไปกังวลกับมันนัก หันมาทำงานสร้างสรรค์ที่ตัวเด็กดีกว่า ดังมีตัวอย่างโรงเรียนแม่คือวิทยา ผู้อำนวยการ คือนายสุริยน สุริโยดร ดำเนินการปรับย่อหลักสูตร ๘ สาระให้กลายเป็นหลักสูตรบูรณาการ ลดสาระให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อประโยชน์ต่อการเรียนของเด็กนักเรียน และต่อครู คือให้นักเรียนได้เรียนรู้และพัฒนาได้ดีกว่าเดิมโดยการบูรณาการหลักสูตร ทำได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ (ดูบันทึกชุด ทำงานเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา บันทึกที่ ๓๙) อย่างที่มีคนบ่นในที่ประชุม
ในชุมชนที่มีปัญหา เพราะถูกอำนาจกดทับ คนที่มีความสร้างสรรค์บางคนไม่กล้าออกนอกกรอบ นั่นคือสภาพที่วงการศึกษาไทยต้องแก้ไขเชิงระบบ เราต้องการสร้างคนที่กล้าออกนอกกรอบ เพื่อประโยชน์เชิงสร้างกุศล ไม่ใช่ออกนอกกรอบเชิงสร้างอกุศลอย่างที่ดาษดื่นในสังคมไทยเวลานี้
ตอนเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ดร. สุธีระเอ่ยเรื่องการถูกครอบงำทางความคิด ว่าเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ ผมจึงเสนอว่าการถูกครอบงำทางความคิดอย่างหนึ่งคือครอบโดยทฤษฎี ยึดมั่นถือมั่นกับทฤษฎีที่สอนตามๆ กันมาจนไม่กล้าคิดนอกกรอบ ใครไม่คิดตามทฤษฎีถือว่าอุตริ หรือผิด ในขณะที่ผลงานวิจัยสมัยใหม่ว่าด้วยกลไกการเรียนรู้ บอกว่าการเรียนรู้ที่ลึกและเชื่อมโยงเกิดจากการปฏิบัติ แล้วโยงไปทำความเข้าใจทฤษฎีหรือสร้างทฤษฎีใหม่ (หรือปรับปรุงทฤษฎีเดิม) คนที่จะคิดสร้างสรรค์ได้จึงต้องไม่ถูกครอบงำโดยทฤษฎี
ช่วงหนึ่งของการเสวนา ที่มีคนเอ่ยเรื่องการทำหน้าที่โค้ชให้แก่โรงเรียน ทำให้ผมชี้ให้ที่ประชุมสังเกตว่าการโค้ชอาจมีหลายแบบ หลายจุดเน้น มองมุมหนึ่งมีสองขั้วตรงกันข้ามของแนวทางโค้ช คือแนวทางเน้นข้อมูลจากห้องเรียน จากการเรียนรู้หรือพฤติกรรมของนักเรียน (student-based coaching) กับอีกขั้วหนึ่ง เป็นการโค้ชโดยเน้นอิงทฤษฎี หลักสูตรมาตารฐาน และกฎระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ (rule-based coaching) ผมมีความเห็นว่า การโค้ชที่ดีต้องโน้มเอียงไปทางขั้วแรกให้มากๆ
ในที่ประชุม เราได้สัมผัสกับคนที่พูดเก่ง จับประเด็นได้เร็ว แต่ไม่เคลื่อนงาน เดาว่าเพราะไม่อยากเข้าไปอยู่ภายใต้ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มผลประโยชน์
สังคมนี้มีคนยึดประโยชน์ตนมากเกินไป (ครูเพื่อกู) แต่เราก็โชคดี ที่ยังมีผู้บริหารโรงเรียนและครูจำนวนหนึ่ง มุ่งมั่นทำงานเพื่อประโยชน์ของการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างแท้จริง ผมขอเป็นกำลังใจและคารวะท่านเหล่านี้ ... ครูเพื่อศิษย์
วิจารณ์ พานิช
๒๖ ก.พ. ๖๓
บนรถยนต์ เดินทางไปประชุมที่สถาบันอาศรมศิลป์
1 บรรยากาศในห้องประชุม
2 ถ่ายจากอีกมุมหนึ่ง
ไม่มีความเห็น