บันทึกที่ ๑ บันทึกที่ ๒ บันทึกที่ ๓ บันทึกที่ ๔ บันทึกที่ ๕ บันทึกที่ ๖ บันทึกที่ ๗ บันทึกที่ ๘
บันทึกนี้เป็นตอนที่ต่อจากตอนที่ ๕ ที่ลงใน บันทึกนี้ ซึ่งเป็นเรื่อง เตรียมการสนับสนุนการผลิตและพัฒนาครูในระบบพิเศษเพื่อยกระดับคุณภาพโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล
เช้าวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ผมไปร่วมประชุมคณะกรรมการกำกับทิศทาง โครงการสร้างโอกาสทางการศึกษาสำหรับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลให้เป็นครูรุ่นใหม่เพื่อสร้างคุณภาพโรงเรียนของชุมชน ของ กสศ. ในฐานะที่ปรึกษา
ผมได้เรียนรู้วิธีทำงานอันชาญฉลาดของ กสศ. ว่าในช่วง ๒ เดือนที่ผ่านมา ได้ดำเนินการขอข้อมูลและคำแนะนำจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สป.สธ. (สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ), สพฐ., กคศ. (คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา), สกอ., และคุรุสภา และได้รับคำแนะนำและการสนับสนุนอย่างดียิ่ง
โครงการสร้างโอกาสทางการศึกษาสำหรับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลให้เป็นครูรุ่นใหม่ เพื่อสร้างคุณภาพโรงเรียนของชุมชน มีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ ๓ ข้อ ดังนี้
โครงการนี้ผ่านการอนุมัติของคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาแล้ว ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
ในคณะกรรมการมีผู้แทนจาก สพฐ. และ สกอ. ซึ่งให้ข้อมูลประสบการณ์การทำงานในภาคปฏิบัติของโครงการคล้ายๆ กัน เป็นประโยชน์ในเชิงเข้าใจบริบท โดยเฉพาะตัวผู้เข้าเรียน อย่างดีมาก แต่ท่านเหล่านี้ อยู่ในกรอบของระบบ จึงแนะนำในเชิงต้องปรับโครงการให้เข้ากับกรอบเดิม ที่เป็นกรอบที่ไม่ดี เป็นกรอบที่สร้างปัญหาแก่บ้านเมือง ผมจึงทักท้วงว่า กติกาต่างๆ ล้วนเป็นสมมติ ที่มนุษย์เราสร้างขึ้น หากไม่เหมาะสมต่องานนี้ ย่อมแก้ไขกติกานั้นได้ เราต้องทำงานแนว result-based ไม่หลงอยู่ใน rule-based แบบราชการและการเมือง
ท่านประธาน (รศ. ดร. ดารณี อุทัยรัตนกิจ) บอกที่ประชุมว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน มีกรรมการท่านหนึ่งบอกว่า กสศ. จะทำงานสำเร็จได้ ต้องทำงานแบบกบฏ ซึ่งผมตีความว่า ทำงานแบบแหวกแนว ไม่ทำตามวิธีเดิมๆ ไปเสียทั้งหมด
เห็นได้ชัดเจนว่า กสศ. จะต้องมียุทธการฝ่าด่านวัฒนธรรมการทำงานแบบล้าหลังในระบบการศึกษา จึงจะทำงานเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาได้สำเร็จ
ในที่ประชุม ดร. อุดม วงษ์สิงห์ ผู้รับผิดชอบโครงการจัดทำกรอบงาน และขั้นตอนการทำงานอย่างละเอียดมาให้คณะกรรมการให้คำแนะนำ เห็นได้ชัดว่า เป็นโครงการสร้างครูแนวใหม่ ที่ต้องออกแรงด้านการจัดการสูงมาก
ผมบอกที่ประชุมว่า ผมมองเห็นคุณค่าของโครงการนี้ ๔ ประการ คือ (๑) เด็กยากจนในพื้นที่ห่างไกลได้เรียนครู (๒) โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ที่จำเป็นต้องดำรงอยู่ (protected schools) มีครู (๓) ปรับปรุงวิธีผลิตครูสมัยใหม่ (๔) เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษา
ผมประทับใจที่ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รศ. นพ. ปรีชา สุนทรานันท์ ที่ “มีใจ” ให้แก่งานนวัตกรรมการศึกษา และลงแรงผลักดันเต็มที่
วิจารณ์ พานิช
๒๖ พ.ย. ๖๑
ไม่มีความเห็น