ผมได้รับ อีเมล์ จากคุณวนิดา คุณรอด ผู้ประสานงาน ทุนพัฒนาอาชีพโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ของ กสศ. ดังนี้
เรียน ศ.นพ.วิจารณ์ที่เคารพ
ตามที่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้แจ้งอาจารย์ว่า ทางโครงการทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐานอยากจะขอสัมภาษณ์อาจารย์สำหรับการลงหนังสือถอดบทเรียนโครงการ
โดยมีประเด็นที่จะสัมภาษณ์ดังนี้
1. การเรียนรู้ตลอดชีวิตในทัศนะของอาจารย์
2. การเรียนรู้ตลอดชีวิตสัมพันธ์กับการพัฒนาทักษะอาชีพในศตวรรษที่ 21 อย่างไร
3. แนวทางในการส่งเสริมหรือสร้างโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส
4. ในยุคสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อาจารย์มองทิศทางการประกอบอาชีพของคนไทยเป็นอย่างไร/แนวทางการแก้ไขคืออะไร
5. ในมุมมองของอาจารย์คิดว่า “การพัฒนาทักษะอาชีพที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน” ควรเป็นอย่างไร และสอดคล้องกับวิกฤติของประเทศในปัจจุบันหรือไม่
ทำให้ผมมีโอกาสใคร่ครวญว่า ในการทำกิจการใดๆ ต้องคิดให้ตกเสียก่อน ว่าจริงๆ แล้วงานนั้นคืออะไร คุณค่าแท้จริงคืออะไร มีอะไรที่เป็น “ม่านกำบัง” เป้าหมายแท้จริงของกิจการนั้น วิธีคิดแบบนี้มีตัวอย่างโด่งดังที่สุดในปาฐกถาธรรม ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรมของท่านพุทธทาส ที่แสดง ณ พุทธสมาคม ในปี ๒๔๙๐ (๑)
ข้อเรียนรู้สำหรับ กสศ. ก็คือพึงระวังอย่าให้ ทุนพัฒนาอาชีพที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน เป็นม่านกำบังความต้องการของเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา หรือ อย่าเผลอให้กิจกรรมของเรา บดบังเป้าหมายหลักที่เราต้องการทำให้แก่สังคม นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ ที่มักเผลอเอาตัวเองเป็นฐาน เหมือนกับพ่อแม่ที่รักลูก อยากให้ลูกเติบโตไปเป็นคนดี แต่หลงหวังให้ลูกประพฤติตัวตามใจของพ่อแม่
นั่นคือคำตอบต่อคำถาม ข้อ ๕ การพัฒนาอาชีพของเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ควรดำเนินการตามความต้องการของเด็ก เด็กเป็นศูนย์กลางของเรื่อง ไม่ใช่ทุนพัฒนาอาชีพเป็นศูนย์กลาง และไม่ใช่ชุมชนเป็นศูนย์กลาง
นี่คือวิธีคิดให้ชัด โดยใช้ยุทธศาสตร์คิดแย้ง ซึ่งในทางปฏิบัติจริง ไม่ได้ปฏิเสธทุนสนับสนุน และไม่ปฏิเสธชุมชนที่เด็กและเยาวชนเป้าหมายดำรงชีวิตอยู่ หลักการสำคัญคือ แยกเป้าหมาย (end) กับวิธีการหรือเครื่องมือ (means) ให้ชัด อย่าสับสน หรือหลง ในที่นี้เป้าหมายคือเด็กที่หลุดออกนอกระบบการศึกษากลางคัน เป็นเด็กด้อยโอกาส ส่วนทุนและชุมชน เป็นเครื่องมือ
จุดอ่อนในการทำงานที่มีความยากและซับซ้อนแบบนี้ ก็คือเราไม่เข้าใจเป้าหมาย และความซับซ้อนของเป้าหมาย และบริบทโดยรอบ (ซึ่งในกรณีนี้คือชุมชน และสังคมวงกว้าง) ซึ่งในกรณีนี้คือความเข้าใจตัวเด็กกลุ่มเป้าหมาย
ข้อเผลอที่พบบ่อยคือ เรามักหลงคิดว่าเด็กกลุ่มนี้มีลักษณะหรือความต้องการเหมือนๆ กัน โดยเราคิดเอาเอง ไม่เคยไปถามเด็ก ซึ่งหากถาม จะพบว่าจริงๆ แล้วเด็กนอกระบบการศึกษามีที่มาที่ไป ความต้องการที่ตนคิด และมีจุดแข็งจุดอ่อนเฉพาะตน ไม่เหมือนกัน และความต้องการแท้จริงของบางคนเป็นเรื่องอื่น ไม่ใช่อาชีพ ข้อพึงตระหนักก็คือ ควรทำความรู้จักเด็กที่เป็นเป้าหมายเสียก่อน
ที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้นก็คือ ในหลายกรณี เด็กก็ไม่รู้จักตนเอง มีความสับสน มีความอ่อนแออยู่ภายใน มีบาดแผลจากครอบครัว หรือจากโรงเรียน ความต้องการที่เด็กบอกจึงอาจไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริง
เงินทุนจึงเป็นเพียงส่วนเดียวของความช่วยเหลือที่เด็กต้องการ สิ่งที่เขาอาจต้องการมากกว่า คือการเยียวยาความอ่อนแอที่สะสมมาตั้งแต่แรกเกิด (หรือตั้งแต่ในครรภ์มารดา) ความอ่อนแอของ executive functions ของเปลือกสมองส่วนหน้า (prefrontal cortex) ความอ่อนแอของพัฒนาการตัวตน ตามแนวทางของ Chickering (๒) ที่ทำให้เด็กขาดความมั่นใจตนเอง ขาดเป้าหมายในชีวิต
ตอบคำถามข้อ ๕ ตรงๆ ได้ว่า การพัฒนาทักษะอาชีพที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ควรเน้นตัวเด็กเป็นหลัก และควรจัดการอย่างมี double-loop learning
ซึ่งนำไปสู่คำถามข้อแรก การเรียนรู้ตลอดชีวิตคืออะไร คำตอบส่วนหนึ่งอยู่ในย่อหน้าที่แล้ว จะทำอะไรก็ตาม ต้องให้มี learning loop เสมอ และต้องหาทางให้เป็น double-loop learning (มี feedback สู่การปรับเป้าหมาย) และ triple-loop learning (มี feedback สู่การปรับกระบวนทัศน์)
การเรียนรู้ตลอดชีวิต หมายความว่า ประเทศ หน่วยงาน และบุคคล ทำกิจการใดก็ตาม ต้องมีเป้าหมายชัดเจน และเมื่อดำเนินการมีการเก็บข้อมูลผลที่เกิด และข้อมูลการดำเนินการที่ทำ เอามาเป็นข้อมูลป้อนกลับ (feedback) สู่การเรียนรู้และปรับตัว โดยที่ต้องมีทักษะนำข้อมูลมาหาความหมาย ผ่านกระบวนการ ใคร่ครวญสะท้อนคิด (reflection) หน่วยงานและบุคคลที่มีทักษะเรียนรู้ตลอดชีวิตจึงต้องมีทักษะใคร่ครวญสะท้อนคิดจากข้อมูลในการทำงาน ซึ่งนำสู่การตอบคำถามข้อ ๒ และ ๓ ไปในตัว
ในการดำเนินการโครงการการพัฒนาทักษะอาชีพที่ใช้ชุมชนเป็นฐานจึงควรมีการฝึกทักษะ reflection ให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย รวมทั้งฝึกทักษะการเก็บข้อมูลจากการประกอบอาชีพเพื่อการเรียนรู้ด้วย ข้อมูลที่ต้องเก็บ มีทั้งข้อมูลเชิงปริมาณ และข้อมูลเชิงคุณภาพ ที่จะต้องฝึกการเก็บให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำและลึก
ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะตอบคำถามข้อที่ ๔ เพราะผมไม่เข้าใจบริบทของคนที่ถูกระทบจากโควิด ๑๙
ทั้งหมดนั้น เขียนก่อนเหตุการณ์จริง
ตอนคุยกันจริงๆ ผมได้รู้ว่าผมเข้าใจผิดเรื่อง โครงการการพัฒนาทักษะอาชีพที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน คือที่จริงเป็นการพัฒนาอาชีพในชุมชน เน้นผลที่ชุมชน ไม่ได้เน้นเด็กและเยาวชนที่หลุดออกนอกระบบการศึกษา หากจะมีเด็กแบบนี้เข้าร่วมโครงการบ้าง ก็เป็นผลพลอยได้ ไม่ใช่เป้าหมายหลัก
เราจึงคุยกันเรื่อง การเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นหลัก ที่ผมชี้ว่า เป็นเรื่องของ “การสั่งสมทุนชีวิต” ที่มนุษย์เราเริ่มทำตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา เป็นกระบวนการตามธรรมชาติ แต่ก็ต้องการแรงกระตุ้นจากปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ช่วยด้วย ส่วนหนึ่งของแรงกระตุ้นคือการเลี้ยงดูในครอบครัว และการเข้าโรงเรียน
กสศ. เป็นสำนักงานกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ชื่อและกฎหมายชวนให้เขว หลงไปคิดว่าทุนเพื่อการเรียนรู้มีเฉพาะทุนที่เป็นเงิน จึงหลงเข้าไปทำงานในที่แคบได้ง่าย ผู้บริหารของ กสศ. พึงตระหนักในกระบวนทัศน์นี้ ผมมีความเห็นว่า “ทุน” เพื่อส่งเสริมความเสมอภาคทางการศึกษา มีกว้างกว่าทุนที่เป็นเงิน
เราคุยกันลงลึกเรื่องกระบวนการเรียนรู้ เมื่อเขาตัดต่อและเอาขึ้น YouTube แล้ว ผมจะเอาลิ้งค์มาเผยแพร่ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้
วิจารณ์ พานิช
๙ ก.พ. ๖๔
ไม่มีความเห็น