บ่ายวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ผมเข้าประชุมคณะอนุกรรมการกำกับทิศทางสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ ทางออนไลน์ มีวาระสำคัญเรื่อง (ร่าง) รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการวิจัยพัฒนานวัตกรรม เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาของสถานศึกษาระดับประถมศึกษาในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร (Innovative Equity Education Program for Small Primary Schools) ที่นำมาสู่บันทึกนี้
ชื่อวาระการประชุมเน้นที่โรงเรียน แต่ผมเอามาแปลงชื่อบันทึกให้เน้นที่ตัวมนุษย์ คือเด็กในพื้นที่ห่างไกล เพราะผมคิดว่า การศึกษาต้องเน้นที่คนเป็นหลัก ไม่ใช่เอาโรงเรียนเป็นหลัก การเรียนกับการไปโรงเรียนไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
กล่าวอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่าโรงเรียนไม่สำคัญ โรงเรียนสำคัญยิ่ง แต่ เราต้องไม่หลงให้ความสำคัญแก่โรงเรียนจนลืมเด็ก
จากรายงานผลการวิจัยที่ วสศ. สนับสนุนทุนให้ธนาคารโลกดำเนินการ เพื่อหาวิธีจัดการเพื่อแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดาร จำนวนกว่า ๑,๕๐๐ แห่งที่ยุบไม่ได้ แต่หากได้รับทรัพยากรด้วยเกณฑ์ในปัจจุบัน จะเป็นโรงเรียนคุณภาพต่ำ จึงต้องหาเกณฑ์จัดสรรงบประมาณด้วยหลักความเสมอภาค โดยธนาคารโลกมีเครื่องมือเรียกว่า FSQL (Fundamental School Quality Level) ให้ยึด แล้วคิดต่อไปยังวิธีคิดเกณฑ์จัดสรรทรัพยากรให้แก่โรงเรียนเหล่านั้น
เท่ากับเป็นการพลิกกระบวนทัศน์ในการจัดสรรทรัพยากรแก่โรงเรียน ที่เดิมรัฐบาลไทยใช้เกณฑ์เดียวครอบคลุมทุกโรงเรียน ไม่ได้ดูบริบทของโรงเรียน เอาเกณฑ์เป็นตัวตั้ง ปล่อยให้คุณภาพของโรงเรียนเป็นตัวแปร บัดนี้ ในร่างรายงานที่เอามาเสนอในวันนี้ ทีมวิจัยของ WB (ซึ่งก็เป็นคนไทย คือ ดร. ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์) เสนอให้เอาเกณฑ์คุณภาพของโรงเรียนเป็นตัวตั้ง ให้เกณฑ์จัดสรรทรัพยากรเป็นตัวแปร
ถือเป็นการเปลี่ยนใหญ่ระดับกระบวนทัศน์ทีเดียว
จึงเป็นยุทธศาสตร์ที่แหลมคมยิ่ง ที่ ผอ. วสศ. ไปเชื้อเชิญประธาน กพฐ. คือ รศ. ดร. เอกชัย กี่สุขพันธ์ มาเป็นผู้เสนอแนวทางนำผลการวิจัยไปใช้ต่อที่ประชุมด้วย
ผมมองว่า การประชุมวาระนี้เป็น downstream management ของการจัดการงานวิจัย เป็นเรื่องการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ ซึ่งกรณีนี้เป็นการเอาไปใช้ทดลองดำเนินการในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา สำหรับเป็น pilot project สู่การเรียนรู้ สู่การขยายผลไปใช้ทั่วประเทศ ในโรงเรียนจำนวนกว่า ๑,๕๐๐ คน มีนักเรียน ๑ แสนคนในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดารได้รับประโยชน์เชิงความเสมอภาคของคุณภาพการศึกษาที่ได้รับ
ในภาพใหญ่ นี่คือเรื่องโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งมีร้อยละ ๕๗ ในกลุ่มโรงเรียนสังกัด สพฐ. (๑๖,๖๕๗ จากจำนวนทั้งหมด ๒๙,๔๖๖ โรงเรียน) ซึ่งต่อไปจะต้องมีมาตรการควบรวมเพื่อให้โรงเรียนขนาดเล็กมีคุณภาพได้มาตรฐาน แต่ในจำนวนนี้มีราวๆ ๑,๕๐๐ โรงเรียนที่ไม่มีทางควบรวม เพราะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล จะยุบก็ไม่ได้เพราะมีเด็กจำนวนหนึ่งต้องการเรียน จะไปเรียนที่อื่นก็ไม่ไหว เพราะมันไกลมาก จึงต้องใช้มาตรการปรับเกณฑ์และวิธีสนับสนุนทรัพยากร เพื่อให้เป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพเข้าเกณฑ์ โดย WB เสนอเกณฑ์ FSQL
รายงานการวิจัยนี้มีตัวเลขเพียบ ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาของโรงเรียนขนาดเล็กคือมีครูไม่ครบชั้น หากจะทำให้มีครูครบชั้น ต้องเพิ่มครูอีก ๗๖,๐๐๐ คน ซึ่งผมเถียง
ผมเคยไปเห็นที่ ฟินแลนด์ ว่าการเรียนคละชั้น มีประโยชน์ หากจัดเป็น ได้ผลลัพธ์การเรียนรู้ครบถ้วน โดยที่เด่นด้านการเรียนจาก socialization เด็กโตได้เรียนรู้จากการช่วยเด็กเล็ก และเคยได้ยินว่า ตอนเริ่มต้นโรงเรียนรุ่งอรุณก็จัดการเรียนแบบคละชั้น
ผมจึงสงสัยว่า ทีมวิจัยของ WB ย้ำคิดเรื่องครูต้องมีครบชั้นมากไปหรือเปล่า โดยไม่คิดแนวทางทางเลือกสำหรับการจัดการเรียนการสอนในพื้นที่ห่างไกล ข้อจำกัดอย่างหนึ่งคือ ทีมวิจัยไม่เคยเป็นครู
แต่มองเชิงโครงสร้างภาพใหญ่ รายงานผลการวิจัยนี้น่าสนใจมาก เสนอ transformation ของระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศที่ผมชอบมาก เพราะจะนำไปสู่ Good education at reasonable cost แทนที่ Poor education at high cost อย่างที่เป็นอยู่ โดยเขาเสนอว่า ปิดโรงเรียนจำนวน ๑๗,๑๒๐ โรงเรียนลงไปได้ คือโรงเรียนของ สพฐ. สามารถลดจำนวนลงเหลือเพียงร้อยละ ๔๒ ของจำนวนทั้งหมดในปัจจุบัน และคุณภาพการศึกษาเพิ่มสูงขึ้น แต่เรื่องนี้ขอละไว้ นำไปเขียนในบันทึกต่อไป
ขอกลับมาที่โรงเรียนประมาณ ๑,๕๐๐ โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ผมชอบเครื่องมือ SFQL (Standard Fundamental School Quality) มาก เพราะเป็นการยึดคุณภาพขั้นพื้นฐานของโรงเรียน โดยที่มีการปรับรายละเอียดของมาตรฐานตามสถานการณ์ได้
ยิ่งเมื่อได้อ่านปัจจัยหลัก ๘ ประการของ FSQL ผมยิ่งชอบ ปัจจัยดังกล่าวได้แก่
มาตรฐานมีไว้เป็นเครื่องมือจัดการคุณภาพ ซึ่งต้องตามมาด้วยการประเมิน (Assessment ไม่ใช่ evaluation) ตามมาตรฐานนั้น สำหรับใช้ผลการประเมินเพื่อพัฒนากิจกรรมในชั้นเรียน นี่คือส่วนที่ระบบการศึกษาไทยอ่อนแออย่างน่าตกใจ โดยที่ FSQL ที่เสนอโดย WB มีความยืดหยุ่นให้เรากำหนดระดับและจุดเน้นของมาตรฐานขั้นต่ำได้
ผมจึงคาดหวังว่า จะมีข้อตกลงในการประชุมนี้ ว่าจะมีการวิจัยเพื่อนำ FSQL ไปประยุกต์ใช้ในการยกระดับโรงเรียนในกลุ่มโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดารจำนวนหนึ่ง สำหรับขยายผลไปทั่วทั้ง ๑,๕๐๐ โรงเรียนในโอกาสต่อไป และสู่การขยายผลไปใช้กับทุกโรงเรียนในประเทศ
ข้างบนผมเขียนก่อนประชุม ในการประชุมหลังจาก ดร. ดิลกะ เสนอผลการวิจัยที่ชี้ให้เห็นจุดอ่อนด้านความไม่เท่าเทียมเชิงระบบของการศึกษาไทยแล้ว รศ. ดร. เอกชัย ก็เสนอว่า จะสนับสนุนการนำ FSQL ไปใช้ในโครงการนำร่อง ทั้งในโรงเรียนในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ในเขตพื้นที่การศึกษาที่มีความพร้อม รวมทั้งในบางจังหวัดที่มีความพร้อม ซึ่งหมายความว่า จะมีการทดลองควบรวมบางโรงเรียนเข้าด้วยกัน เพื่อให้เด็กได้รับการศึกษาคุณภาพสูง ข้อมูลจากผลงานวิจัยนี้ บอกชัดเจนว่า หากดำเนินการตาม FSQL จำนวนครูเท่าที่มีอยู่มากเกินพอ และในภาพรวม เด็กจะเดินทางไปโรงเรียนด้วยระยะทางสั้นลง เด็กที่ต้องเดินทางไกล ก็สามารถจัดงบประมาณช่วยค่าเดินทางได้
ผลการวิจัยใช้ Software model คิด คำนึงถึงสารพัดมิติ แต่ไม่มีมิติทางการเมืองสารพัดด้าน ที่ในทางปฏิบัติเป็นเรื่องของชีวิตจริง ละเลยไม่ได้ เราคงจะได้เห็นกันว่า ตอนเอาผลวิจัยลงสู่การปฏิบัติ มันมีมิติที่มากกว่าตอนวิจัยมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารสังคม ตามทฤษฎีสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา
วิจารณ์ พานิช
๘ ก.ค. ๖๓
ไม่มีความเห็น