บันทึกนี้ได้จากการใคร่ครวญสะท้อนคิด (reflection) การประชุมครบรอบ ๑ ปี ของโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง ของ กสศ. “ยกระดับคุณภาพโรงเรียน ลดความเหลื่อมล้ำ : ก้าวต่อไปอย่างยั่งยืน” เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๓ ที่โรงแรม ทีเค พาเลซ แจ้งวัฒนะ ช่วงบ่าย ในการเสวนา “กระบวนการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบอย่างต่อเนื่อง” ผู้ร่วมเสวนา รศ. ดร.พิณสุดา สิริธรังศรี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ หัวหน้าโครงการวิจัย ติดตามและประเมินผล เสนอผลการประเมินไว้อย่างดี มีข้อมูลเพียบ ลงท้ายด้วยข้อเสนอแนะ ๓ ข้อที่ผมเห็นด้วยทั้งหมด
ผมสนใจผลการประเมินว่า มีโรงเรียนกลุ่มพัฒนาดีเยี่ยม ๓๔ โรงเรียนจากทั้งหมด ๒๙๐ โรงเรียน คิดเป็นร้อยละ ๑๒ และได้คุยกับคุณหมอสุภกร ผู้จัดการ กสศ. ว่า ควรหาทางใช้โรงเรียนกลุ่มนี้เป็น change agent เพื่อหนุนให้โรงเรียนนอกโครงการที่สนใจ ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงแก่ตนเอง เป็น “โรงเรียนพัฒนาตนเอง” โดยไม่ต้องเข้าโครงการ ซึ่งจะเป็นโรงเรียนพัฒนาตนเองที่แท้จริง และจะเป็นการเพิ่มพลังของ Q-Network ด้วย
หากจะให้เกิดการขยายผลดังกล่าวได้อย่างแท้จริง คงต้องขอให้ทีม รศ. ดร. พิณสุดา วิเคราะห์กลุ่มโรงเรียนพัฒนาดีเยี่ยม เทียบกับกลุ่มอื่น ว่ามีการดำเนินการแตกต่างอย่างไร นักเรียนมีผลลัพธ์การเรียนรู้ดีกว่าอย่างไร ครูมีคุณลักษณะ สมรรถนะ และพฤติกรรมการทำงานแตกต่างอย่างไร ผู้บริหารโรงเรียนแสดงบทบาทอย่างไร ผู้ปกครองและผู้นำชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างไร ผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษาและ ศน. มีส่วนช่วยหนุนอย่างไร แตกต่างจากที่โรงเรียนกลุ่มที่เหลือได้รับหรือไม่ โดยทาง กสศ. น่าจะได้นำแนวคิดนี้เข้าปรึกษาในคณะกรรมการชี้ทิศทางโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง
สิ่งที่ผมอยากรู้คือ โรงเรียนพัฒนาดีเยี่ยมมีปฏิสัมพันธ์กับทีมพี่เลี้ยงแตกต่างจากโรงเรียนที่เหลืออย่างไร ผมอยากรู้ความเป็นตัวของตัวเอง และระดับการเรียนรู้จากการทำงานของโรงเรียนกลุ่มดีเยี่ยมนี้
เพื่อให้โรงเรียนกลุ่มนี้ได้เรียนรู้ศาสตร์และศิลป์ของการเป็นโรงเรียนสมรรถนะสูง ผมได้เสนอต่อคุณหมอสุภกรและ ดร. อุดมว่า เนื่องจากคุณ Paul Collard จะมาช่วยงานของ กสศ. สองสามเดือนในช่วงฤดูหนาวนี้ น่าจะขอให้ท่านจัด High Functioning Classroomworkshop ให้แก่โรงเรียนกลุ่มพัฒนาดีเยี่ยม และแก่ทีมพี่เลี้ยง ในลักษณะ training of the trainers เพื่อให้มีทีมไทยที่สามารถพัฒนาเพื่อนครูและผู้บริหารจากโรงเรียนอื่นๆ ได้ โดยปรับแปลงให้เข้ากับบริบทไทย
อีกทักษะหนึ่งที่ กสศ. น่าจะขอให้คุณ พอล ฝึกให้แก่ทีมจากโรงเรียนกลุ่มพัฒนาดีเยี่ยม และกลุ่มพี่เลี้ยง คือ ทักษะการประเมินแบบ formative assessment + constructive feedback ในลักษณะ training of the trainers เช่นเดียวกัน
ขบวนการโรงเรียนพัฒนาตนเอง ต้องสร้างผลกระทบกว้างขวาง ไม่จำกัดอยู่แค่ในกลุ่ม ๗๓๓ โรงเรียนเท่านั้น
เพิ่มเติมวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๓
ผมส่งข้อความข้างบนไปให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ จึงได้ความเห็นเพิ่มเติมมา ๒ ประเด็น
ดร. เจือจันทร์ จงสถิตอยู่ เสนอให้ตรวจสอบให้แม่นยำ ว่าโรงเรียนพัฒนาดีเยี่ยม ๓๔ โรงเรียนนั้น ผลการพัฒนาเข้าเกณฑ์ดีเยี่ยมจริง และเกณฑ์ที่ใช้เหมาะสม
ผู้จัดการ กสศ. นพ. สุภกร บัวสาย เห็นโอกาสที่จะขยายการประชุมแบบที่จัดเมื่อวันที่ ๒๖ – ๒๗ กันยายน นี้ ไปเป็นการประชุมระดับชาติ ที่ผมขอตั้งชื่อสำรองไว้ว่า Thailand National School and Teacher Forum จัดพื้นที่ให้โรงเรียนและครูเอาผลงานสร้างผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เลียนแบบ National HA Forum ของ สรพ. ที่มีคนในสาขาสุขภาพลงทะเบียนจ่ายเงินเข้าประชุมเป็นหมื่น
วิจารณ์ พานิช
๒๗ ก.ย. ๖๓ เพิ่มเติม ๒๘ ก.ย. ๖๓
วัฒนธรรมการทำงานที่โรงเรียนหรือหน่วยงานเบื้องบนที่เกี่ยวข้อง เน้นตามนโยบายหรือเฉพาะที่ตนเองมีโอกาสจะได้จะเสียเท่านั้น การรายงานผลก็ควรทำให้ถูกอกถูกใจเจ้าของ..คุณค่าของงานที่ทำจึงไม่ค่อยเห็น ดูประโยชน์น้อย หรือทำไปอย่างนั้นเองไม่ให้ถูกตำหนิเอาได้
สำหรับครูที่คลุกวงในอยู่ที่โรงเรียนจริงๆ จึงคิดอยู่บ่อยๆว่า อีกหลายอย่างที่โรงเรียนควรทำเสียยิ่งกว่า..ควรเน้นหรือทำก่อน ตัวอย่างชัดๆก็คือการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนของครู อาจเพราะดูเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อย หรือเรื่องที่อย่างไรก็ต้องทำเป็นประจำทุกวันอยู่แล้วก็ได้ ในสายตาระดับนโยบาย