ผมเล่าเรื่องโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ต่อเนื่องเป็นเวลาปีเศษ ไว้ที่ (๑) ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมการกำกับทิศของโครงการ ผมเฝ้ามองอย่างใจจดใจจ่อ ว่าโครงการนี้จะก่อผลต่อคุณภาพการศึกษาของประเทศไทยได้สักแค่ไหน และจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้จริงหรือไม่ เพราะโครงการนี้จับที่ความไม่เสมอภาคหลายด้าน ทั้งด้านโรงเรียนที่จะรับครู(รักษ์) ถิ่นไปทำงาน ด้านตัวนักศึกษาครูรัก(ษ์) ถิ่น และด้านภูมิลำเนาของผู้รับทุน
วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๔ ผมเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการกำกับทิศของโครงการ ได้เห็นความก้าวหน้าของโครงการ ในการจัดซื้อคอมพิวเตอร์ให้แก่นักศึกษาที่รับทุนรุ่นแรก และได้รับรู้ข้อมูลด้านความยากจนของครอบครัวนักเรียนที่อยู่ในขั้นตอนการคัดกรอง รุ่น ๒ ว่าทุกคนยากจน (รายได้ครัวเรือนต่ำกว่าเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท) โดยเป็นยากจนพิเศษ กับยากจนธรรมดา ครึ่งต่อครึ่ง
ปัจจุบันโครงการนี้อยู่ระหว่างคัดเลือกนักเรียนรุ่น ๒ และเตรียมออกแบบการดำเนินการรุ่น ๓ มีข้อค้นพบเรื่อง คนยากจนแบบที่ฟังแล้วน้ำตาคลอ และน่าแปลกใจที่พบมากใน ๓ จังหวัดภาคใต้ แต่ในบางพื้นที่หาไม่ได้ เช่นที่เกาะสมุย และแปลกที่ในภาคอีสานก็หายาก ทำให้การคัดกรองเด็กยากจนที่จบ ม. ๖ มารับทุนต้องดำเนินการถึง ๔ รอบ
โปรดสังเกตว่า กสศ. มีการทำงานแบบมีการเรียนรู้และปรับตัวอยู่ตลอดเวลา
รุ่นที่ ๑ จัดการโดย ๑๑ สถาบัน รวม ๓๒๘ คน เรียนแล้ว ๑ เทอม และผลการเรียนออกแล้ว ใน ๑๐ สถาบัน เห็นผลการเรียนแล้วเบาใจ มีได้เกรดต่ำกว่า ๒.๕ เพียง ๕ คน โครงการมีข้อกำหนดว่า ต้องมีผลการเรียนไม่ต่ำกว่า ๒.๕ สองเทอมติดต่อกัน จึงจะได้รับทุน มีรายละเอียดเรื่องการเรียนและการตัดเกรดในแต่ละมหาวิทยาลัย มากมายหลากหลายประเด็น
รุ่นที่ ๒ อยู่ระหว่างการคัดเลือกนักเรียน ๓๐๑ คน ต้องมีการผ่อนผันเกณฑ์บ้าง เล็กๆ น้อยๆ
ถึงตอนนี้ มีสถาบันผลิตครูร่วมในโครงการ ๑๕ สถาบัน
วาระหลักของการประชุมอยู่ที่การเตรียมดำเนินการรุ่น ๓ ซึ่งเรามีข้อมูลจากประสบการณ์ปีเศษเอามาปรับวิธีการดำเนินงานให้เหมาะสมตามพลวัตของโรงเรียนและครู คือมีโรงเรียนขนาดเล็กถูกยุบ หรือกำลังจะถูกยุบในไม่ช้า รวมทั้งเรื่องการเกษียณ และการขอย้ายของครูก็มีอัตราสูงมาก สำหรับโรงเรียนในกลุ่มเป้าหมาย วาระนี้เชื่อมโยงกับdkiทำงานของ สพฐ. มาก ซึ่งก็เชื่อมโยงกับนโยบายทางการเมืองด้วย
ฟังจากการปรึกษาหารือและออกข้อคิดเห็นในที่ประชุม ผมคิดว่าโครงการนี้น่าจะมี spillover effect ในหลากหลายด้าน โดยเฉพาะการวางแผนการทำงานอย่างระมัดระวังรอบคอบ รวมทั้งดำเนินการอย่างซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา เพื่อเป้าหมายหลัก ถือเป็นตัวอย่างวิธีปฏิบัติงานที่ดีให้แก่วงการศึกษาได้
สาระหลักของการหารือ คือควรปรับจำนวนผลิตปีที่ ๓ และ ๔ ให้เป็นรุ่นละ ๔๕๐ คนหรือไม่ เพื่อให้ผลิตครบ ๑,๕๐๐ คนเร็วขึ้น ๑ ปี รวมเวลาของโครงการ ๙ ปี คือถึงปี พ.ศ. ๒๕๗๒ และหากติดตามรุ่นสุดท้ายต่ออีก ๕ ปี เพื่อช่วยหนุนการทำงาน ก็จะถึงปี ๒๕๗๖ น่าจะเกิดการเรียนรู้ และผลกระทบที่มีความหมายมาก ทั้งผลกระทบทางตรง และผลกระทบทางอ้อม
มีข้อสรุปว่าให้เสนอต่อคณะกรรมการบริหาร กสศ. ให้ขยายจำนวนผลิต ปีที่ ๓ และ ๔ เป็นปีละ ๔๕๐ คน และผลิตครูปฐมวัย, ครูประถม, ครูภาษาไทย
ผมเรียนที่ประชุมว่า น่าจะเอากิจกรรมทุกด้าน ทุกขั้นตอน ที่ทำโดยทุกฝ่าย เก็บไว้เป็น digital database ที่จะสามารถวิเคราะห์หาความหมายด้วย big data analytics ในภายหลังได้
วิจารณ์ พานิช
๒๕ ม.ค. ๖๔
ไม่มีความเห็น