ผมเล่าเรื่องชีวิตยามสมองเสื่อมของสาวน้อยเป็นระยะๆ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) (๑๐) (๑๑) (๑๒) ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ ๑๗ (๑๘) (๑๙) (๒๐) (๒๑) (๒๒) (๒๓) (๒๔) (๒๕) (๒๖) (๒๗) ๒๘ ๒๙ ๓๐ ๓๑ ๓๒ ๓๓ ๓๔ ๓๕ (๓๖) (๓๗) (๓๘) (๓๙) (๔๐) (๔๑) (๔๒) (๔๓) (๔๔) (๔๕) (๔๖) (๔๗) (๔๘) (๔๙) (๕๐) (๕๑) (๕๒) (๕๓) เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กับท่านผู้อื่นที่ต้องเผชิญสภาพคล้ายๆ กัน ที่นับวันจะมีจำนวนมากขึ้น
ลูกชายพาไปเที่ยวสวนทิพย์
วันเสาร์ที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๗ ผมปรารภกับลูกสาวว่าอยากพาแม่ไปเที่ยวนอกบ้านบ้าง เพื่อคลายอารมณ์ และเพื่อพบเห็นสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่จำเจ เป็นการกระตุ้นสมอง ลูกๆ เขาเฉยๆ แต่โชคดีตั้มที่หายหน้าไปนาน มาเยี่ยมพร้อมกับแอมมี่ ผมชวนไปกินอาหารเย็นนอกบ้าน ให้เขาเลือก
เขาเลือกไปร้านอาหารในสวนทิพย์ เราออกจากบ้าน ๑๗ น. พร้อมกับรถเข็นใส่ท้ายรถ ขับรถไปไม่ถึงสิบนาทีก็ถึง พบว่าไฟดับ ร้านอาหารเปิดไม่ได้ แต่เปิดให้เข้าไปชมสวนอันสุดแสนจะสวยงามได้ เราพาสาวน้อยนั่งรถเข็นชมสวน เมื่อเข้าไปชนแม่น้ำเจ้าพระยาลูกชายชวนแม่ลงจกรถเข็น ช่วยกันพยุงขึ้นบันไดไปชมและถ่ายรูปกับแม่น้ำเจ้าพระยา
ขากลับ ก่อนขึ้นรถ เจอรถขายไอศครีม ตอนนั้น ๑๘ น. แล้ว เลยเวลาอาหารเย็น ลูกชายซื้อให้ ๑ โคน เอามากินบนรถอย่างชื่นใจ เราไปกินอาหารเย็นที่ร้านริมน้ำที่อยู่ใกล้ๆ
กินอาหารนอกบ้าน
ลูกสาวคนเล็กนัดพี่สาว ๒ คน มาพาแม่ไปกินอาหารเย็นที่ร้านชัยโภชนาเจ้าประจำ เย็นวันที่ ๑๗ มีนาคม ผมบินกลับจากสุราษฎร์ธานีลงเครื่องบินแล้วนั่งแท็กซี่ตามไป ได้กินอาหารกันสนุกสนาน เธอบอกว่าชอบ
ครกมาแล้ว
ครกบดยาครับ เพราะเธอเริ่มกลืนยาเม็ดโตไม่ได้ และมียาเม็ดโตสองชนิด ชนิดหนึ่งเป็นแค็ปซูล ต้องแกะออกละลายน้ำ ส่วนแคลเทรตพลัส แคลเซี่ยมกับวิตามินดี เม็ดใหญ่ต้องบด แม่บ้านของลูกสาวค้นครกบดยาที่ใช้สมัยคุณยายสุพร แม่ของหมออมรา เอามาใช้กับลูกได้อีก
ใครมา
เย็นวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๗ ผมกลับบ้านจากพัทยา ยังไม่ทันทักทาย เธอถามลูกสาวว่า “ใครมา” เพราะผมหายไป ๗ วันเต็มๆ คือไปญี่ปุ่น ๕ วัน กลับมานอนที่บ้านตอนดึกวันที่ ๓๐ มีนาคม แล้วออกไปตอนตีห้าวันรุ่งขึ้น เราจึงไม่ได้พบกัน ๗ วันเต็มๆ เธอจึงจำผมไม่ได้
ลูกสาวตอบว่า สามีใครมาดูดีๆ ซิ และเมื่อผมเดินไปทักทายแบบประชิดตัว เธอก็หัวเราะ และต่อมาเรียก “พ่อ”
ความถดถอย
ไม่ทราบว่าเพราะห่างกัน ๗ วันหรือไม่ ที่ช่วยให้ผมสังเกตเห็นความเสื่อมถอยด้านการเดิน ที่เดินได้ช้าลง หยุดพักหลังเดินไม่กี่ก้าว
ความถดถอยที่ชัดเจนอีกอย่างหนึ่งคือ กลืนยาเม็ดโตๆ ไม่ได้ ต้องบดและละลายน้ำให้กิน
ยืนยันความรัก เพื่อให้รู้สึกปลอดภัย ว่าจะไม่ถูกทอดทิ้ง
ที่จริงในช่วง ๒ เดือนนี้ ผมห่างเหินเธอมากขึ้น เพราะงานนัดของผมมากขึ้น และชมพู่ทำหน้าที่ดูแลเธอได้ดีขึ้นมาก และเธอก็ชอบชมพู่ด้วย
แต่เมื่อไรที่ผมอยู่บ้าน สิ่งที่ทำเป็นประจำคือ
๒๖ เมษายน ๒๕๖๗ วันบอกความทรุดโทรม
น้องๆ นัดวันทำบุญให้พ่อแม่และบรรพบุรุษ ที่ชุมพร วันเสาร์ที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๗ ผมจึงเดินทางไปชุมพรกับสาวน้อย และ ชมพู่ สาวบริบาล ปีนี้พิเศษที่ใต้ ลูกสาวคนเล็ก จัดรถตู้ให้ ระหว่างเดินทางทุกอย่างเรียบร้อยดี ๑๕.๔๐ น. เราก็ถึงโรงแรมนานาบุรี
เมื่อขึ้นห้องเธอก็จำผมไม่ได้ ทำหน้าไม่ไว้ใจผม จัดที่ให้นั่งพักก็ไม่พอใจ สีหน้าแสดงความเครียด เธอพูดออกมาแบบไม่พอใจ แต่ไม่เป็นภาษา ฟังไม่รู้เรื่อง ต้องเรียกชมพู่มาเป็นเพื่อน เพราะเป็นผู้หญิงด้วยกันก็ดูผ่อนคลายขึ้น ชมพู่บอกว่า น่าจะเป็นเพราะไม่คุ้นกับสถานที่ ไม่สบายเหมือนที่บ้านที่เดินเข้าออกได้สะดวก
เหตุการณ์นี้บอกผมว่า การพาเธอเดินทางไปไหนๆ น่าจะสิ้นสุดลงแล้ว เวลานี้สถานที่ที่เธอมีความสุขที่สุดคือที่บ้าน โดยมีพี้เลี้ยงคอยดูแลแบบชมพู่
ต่อมาอีกประมาณ ๑๕ นาที เธอก็เรียกผมว่า “พ่อ” พร้อมกับสีหน้าที่สื่อว่าจำได้ แต่ก็ยังกระสับกระส่าย และบอกว่าอยากกลับบ้าน
เมื่อไปถึงร้านอาหาร น้องใหม่ ที่ปลายสุดของหาดทรายรี พบน้องๆ และน้องสะใภ้ เข้ามาทักทาย เวลาประมาณ ๑๘ น. เศษ เธอรับทักทายและบอกว่าจำได้หลายคน และมีท่าทีผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากนั้น เธออารมณ์ดีตลอดเวลาที่อยู่ที่ชุมพร และตอนเดินทางกลับ
วิจารณ์ พานิช
๓๐ เม.ย. ๖๗
1 ภายในสวนทิพย์
2
3 ช่วยกันพยุงขึ้นบันไดขึ้นไปชมแม่น้ำเจ้าพระยา
4
5
6
7
8 หน้าร้านริมน้ำ
9 ที่ร้านชัยโภชนา ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๗
10
11 ลูกชายและหลานสาวมาเยี่ยม ๓ เมษายน ๒๕๖๗
12 แลกจูบกับหลานสาว
13
14 สีหน้าขณะกำลังไม่รู้จักสามี วันที่ ๒๖ เมษายน ที่โรงแรมนานาบุรี ชุมพร
15 สีหน้าที่ร้านอาหารน้องใหม่ หาดทรายรี ชุมพร ขณะรับไหว้น้องสะใภ้
16 เช้าวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๗
ไม่มีความเห็น