ชีวิตที่พอเพียง 3977. อยู่กับผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม (๒๖) บันทึกเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๔


 

 

 

 

ผมเล่าเรื่องชีวิตยามสมองเสื่อมของสาวน้อยเป็นระยะๆ () ((๓)  (๔)  (๕)  (๖)   (๗)   (๘)   (๙)   (๑๐)   (๑๑)    (๑๒)   ๑๓   ๑๔   ๑๕  ๑๖  ๑๗  (๑๘)  (๑๙)  (๒๐)  (๒๑)   (๒๒)  (๒๓)   (๒๔)   (๒๕)  เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กับท่านผู้อื่นที่ต้องเผชิญสภาพคล้ายๆ กัน ที่นับวันจะมีจำนวนมากขึ้น   

เดือนนี้ขอเน้นเล่ากิจวัตรประจำวันระหว่างผมกับสาวน้อยไว้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้ที่ต้องดูแลคนสมองเสื่อม    ให้เห็นว่ามีส่วนไหนที่เราต้องทำให้ ส่วนไหนที่ควรส่งเสริมให้เขาทำ เพื่อกระตุ้นสมองให้เสื่อมช้าลง   

เตรียมอาหารเช้า

     สาวน้อยติดกาแฟ   ดังนั้นเมื่อผมกลับมาจากการออกไปเดินออกกำลังตอนเช้า เวลาประมาณ ๖.๓๐ น.  ผมจะเข้าไปเติมน้ำและเปิดสวิตช์กระติกน้ำร้อน   เตรียมไว้ให้เธอชงกาแฟกินเอง และชงให้ผมด้วย    ตอนนี้เธอมักยังไม่ตื่น   ช่วงหลังๆ นี้มักตื่นราวๆ ๗.๓๐ น. หรือบางวันตื่น ๘ น.    แต่ก็มีบางวันที่ผมบอกไว้ล่วงหน้าว่าจะออกไปประชุม เธอจะตื่นเช้าราวๆ ๖ น.   

อาหารหลักมื้อเช้าคือไข่ต้ม ๑ ฟอง    แม่บ้านของลูกสาวต้มทีละ ๖ ฟองเอามาให้ใส่ตู้เย็นไว้     เธอจะเอามา ๑ ฟองพร้อมกาแฟที่ชง    ท่าทางถือถ้วยกาแฟ ๒ ใบ และไข่ต้ม ๑ ฟอง ในถาดรองออกมาจากครัวน่าหวาดเสียวมาก ว่าจะทำตกแตก   เธอมักร้องเรียกให้ผมไปช่วยถือตอนจะออกจากประตูบ้าน    เอามาวางที่ระเบียง ที่กินอาหารเช้าของเธอและผม   ผมจะทำหน้าที่ปอกไข่และแกะออกเอาเฉพาะไข่ขาวให้เธอกิน    ส่วนไข่แดงผมกิน โดยยื่นให้เธอกัดนิดหนึ่ง    เป็นท่าทีของการแสดงความรักและเอาใจใส่   การกินไข่ขาวมาจากโรคไตของเธอที่เป็นมานานเป็นสิบปี    ไข่แดงกินไม่ได้เพราะไขมันในเลือดสูง   

ช่วงหลังๆ ผมพบของโปรดของเธอ สำหรับกินตอนเช้า คือถั่วลิสงต้ม    ซื้อมาทีละ ๕๐ บาท ใส่ตู้เย็นไว้ กินได้ราวๆ ๕ วัน     และอีกอย่างหนึ่งคือข้าวเหนียวปิ้งใส้เผือก มัน หรือกล้วย    แม่ค้าขาย ๓ ห่อ ๒๐ บาท    ผมไปซื้อเป็นเจ้าประจำครั้งละ ๔๐ บาท แม่ค้าให้มา ๗ ห่อ   กินได้ ๑ สัปดาห์   ทำให้เธอมีตอนเช้าที่มีความสุขจากการได้กินของโปรด   

บางวันแม่ค้ามีข้าวโพดต้มขาย ในราคา ๓ ฝัก ๒๕ บาท     นี่ก็ของโปรด    ผมซื้อมาแบ่งให้เธอกินวันละฝัก แทนข้าวเหนียวปิ้ง     แม่ค้าคนนี้น่าสงสารมาก  มีโอกาสเมื่อไรผมจะช่วยอุดหนุน    

กรุณาสังเกตนะครับ ว่าผมเป็นคนมีบุญแค่ไหน ที่ภรรยาคู่ชีวิตเป็นคนไม่กินของแพง    เข้ากันได้กับผมพอดี   เพราะตอนเช้าผมกินอาหารเหลือจากวันก่อนในตู้เย็น   

“ขนม” ขนานที่สาม คือนมเปรี้ยว   เป็นน้ำดื่มคู่กับยาที่กินตอนเช้ารวม ๕ ขนาน   ผมจะไปรินนมเปรี้ยวใส่แก้วเอามาให้พร้อมยา    เธอมักยกมือไหว้ขอบคุณ เมื่อผมเอายาใส่มือเธอ    นมเปรี้ยวช่วยเพิ่ม probiotics ในลำไส้   ช่วยให้ถ่ายคล่องและสุขภาพดี   เธอชอบรสชาติ ชมว่าอร่อย    

ดอกไม้บำบัด

ช่วงนี้ดอกลีลาวดีหน้าบ้านของเพื่อนบ้านในหมู่บ้านออกดอกมาก    และมีดอกที่สีสวยงาม    ตอนออกไปเดินผมถือกล่องกระดาษเล็กๆ เอาไปใส่ดอกที่ร่วงลงพื้นมาลอยน้ำให้ความสดชื่น ที่เธอชอบมาก    ดอกลีลาวดีนี้ ออกดอกดกหน้าร้อน    พอเข้าหน้าฝนเขาก็ออกใบแทน   

ดูแลเตียงนอนและโถฉี่กลางคืน

สายหน่อยผมไปสำรวจเตียงนอนที่เมื่อเธอตื่น เธอก็จัดเตียงเองอย่างเรียบร้อย   แต่ต้องสำรวจว่าเธอฉี่รดที่นอนหรือไม่   โดยที่เรามีผ้ายางรองกันเปียกที่นอนไว้แล้ว    เรื่องฉี่รดที่นอนนี้เกิดนานๆ ครั้ง     น่าจะหลายเดือนต่อครั้ง     ที่ต้องสำรวจด้วยคือโถฉี่เข้างเตียง   ที่เธอจะเอาโถชั้นในที่ใส่ฉี่และอึไปเทและล้างวางไว้ในห้องน้ำ     บางทีส่วนที่รองนั่งของโถฉี่โดนฉี่รด และบางทีก็ลงไปนองที่พื้นบ้าง ก็จัดการเอาไปล้าง และเช็ดถูพื้นให้เรียบร้อย    แต่นานๆ สองสามสัปดาห์ครั้ง เธอจะอึด้วย    และแปลกที่ครั้งใดอึ เธอจะไม่เอาไปเท    ผมจัดการเอาไปราดน้ำเอาไปรดต้นไม้ทำปุ๋ย    และล้างผึ่งแดด   

ในช่วงสองสัปดาห์หลังของเดือนพฤษภาคม เธออึใส่โถฉี่บ่อยขึ้น (โดยไม่รู้ตัวว่าอึ) และคืนไหนอึเช้าขึ้นมาจะลืมเท    ส่ออาการสับสนในช่วงนั้น   

คุยยามเช้า

ช่วงโควิดระลอก ๓ ผมอยู่บ้านเป็นส่วนใหญ่    เธอจะนั่งที่ระเบียง    ผมนั่งข้างหน้าอ่านและเขียนหนังสือในคอมพิวเตอร์     เธอจะชวนคุยและถาม “วันนี้วันอะไร”   “พ่อไปไหน”  “วันที่เท่าไร”    บางช่วงก็ถามว่า “บ้านนี้เราเช่าเดือนละเท่าไร”    ถามซ้ำไปซ้ำมาบางเช้าถามคำถามเดิมห้าหกครั้ง    ผมจะตอบคำถาม “วันนี้พ่อไปไหน” ว่า  “วันนี้ปู่เลี้ยงหลาน” เพื่อสร้างบรรยากาศพูดกับเด็ก    ซึ่งก็ได้ผล เธอจะหัวเราะชอบใจและพูดว่า “ดีจัง”   การสร้างบรรยากาศผู้ใหญ่เลี้ยงเด็กนี้ สังเกตว่าเธอชอบ    ผมได้มาจากการลอง   

ราวๆ สองโมงเช้าผมจะเอาอาหารเช้ามากิน   เธอก็จะชวนคุยโดยถามซ้ำไปซ้ำมา   

บางวันผมจะบอกให้เธอนวดให้ผม    อย่างที่เคยเล่าเรื่อง “นวดบำบัด” ไว้แล้ว    คือให้เธอนวดต้นคอและไหล่ผม    เพื่อให้เธอภูมิใจในความสามารถ  และเป็นการออกกำลัง และกระตุ้นสมองไปในตัว   

ช่วงนี้มะม่วงอร่อยและราคาถูก    ผมจะซื้อมาใส่ตู้เย็นไว้    และเอามาให้เธอปอก เป็น “มะม่วงบำบัด” คือได้ออกกำลังกล้ามเนื้อมัดเล็กของมือ เพื่อกระตุ้นสมอง   ตอนแรกผมกลัวเธอทำมีดบาดมือ (เธอกินยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด รักษาโรคหลอดเลือดฝอยในสมอง)    แต่เมื่อลองก็พบว่าเธอทำได้ดีมาก และมีความสุขที่ได้ทำ    โดยเฉพาะได้ปอกให้สามีกิน   

สายราวๆ ๙.๓๐ น. แดดเริ่มสาดมาโดน    ผม “หนีร้อนไปพึ่งเย็น” ที่ห้องทำงาน    เธอไปดูทีวี    เธอจะเอาผลไม้บ้าง น้ำเย็นบ้าง มาให้บริการ    นานๆ ครั้งเธอชงกาแฟกินอีก  หรือไปเอาไข่ต้มมาปอกกินอีก เพราะลืมไปแล้วว่ากินแล้ว

ราวๆ ๑๑ น. เศษๆ แม่บ้านของลูกสาวเอาอาหารเที่ยงมาให้    หากผมไม่ประชุมเราไปกินด้วยกันที่โต๊ะอาหาร    หากผมประชุม (ทางซูม) เธอจะมาเรียกด้วยท่าทางทำมือจับช้อนเข้าปาก   หากประชุมติดพันผมจะเปิดประตูออกไปบอกให้เธอกินก่อน    พอได้จังหวะก็ออกไปตักข้าวมากินในห้องทำงานโดยฟังการประชุมไปด้วย (แต่ปิดกล้องไว้)   บางวันตอนบ่ายเธอมาชวนผมกินอาหารเที่ยงอีกโดยลืมว่ากินแล้ว     พอบอกว่ากินแล้วเธอก็หัวเราะ   

ดูทีวี

กิจกรรมหลักประจำวันคือดูทีวี    ผมมักไปเปลี่ยนช่องไปเป็น MCOT ช่อง ๙   หรือ Thai PBS    แต่ไม่นานเธอก็จะเปลี่ยนไปเป็นช่องโฆษณาสินค้า    และปรับให้เสียงดังขึ้น    เพราะเธอหูตึง เข้าใจว่าจากผลข้างเคียงของยาฉีด สเตร็ปโตไมซิน รักษาวัณโรคปอดสมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ปี ๑  หากเสียงดังมากจนไปรบกวนการประชุมทางไกลที่ผมนั่งประชุมในห้องทำงานข้างๆ    ผมจะไปลดเสียงลง เธอจะหัวเราะและขอโทษ   

ผมสังเกตว่าเธอเอาเสียงทีวีเป็นเพื่อนมากกว่าดูสาระ   และเข้าใจว่าเธอชอบเสียงคนโฆษณาที่พูดจูงใจชวนเชื่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น (แต่ผมไม่อยากได้ยินเลย)   บางครั้งผมก็เห็นเธอนั่งหลับอยู่หน้าทีวี     โดยเธอมักบอกว่าเธอนอนกลางวันไม่เป็น    แต่ช่วงเดือนพฤษภาคมนี้อากาศร้อนมาก    ตอนบ่ายเธอจึง “หนีร้อนมาพึ่งเย็น” ที่ห้องนอน โดยขึ้นไปนอนเล่นบนเตียง (และหลับไป) บ่อยๆ 

กินอาหารเย็น        

ตกเย็น แม่บ้านของลูกสาวจะเอากับข้าวมาให้ราวๆ ๑๖.๓๐ - ๑๗.๐๐ น.    เธอจะเอาข้าวที่หุงใส่ตู้เย็นไว้ (เธอเป็นคนหุง และตักใส่กล่องเข้าตู้เย็น หุงแต่ละครั้งกินได้ราวๆ ๑ สัปดาห์) เอามาอุ่น   และกินอาหารเย็น    โดยผมมักกินแต่กับ ไม่กินข้าว     

แต่เธอมักอุ่นข้าวมาเผื่อผมเสมอ    ทั้งๆ ที่ผมบอกแล้วว่าให้อุ่นมากินคนเดียว   ผมมีหน้าที่แบ่งข้าวเฉพาะเท่าที่เธอกินพอดี และตักกับข้าวให้    ถามว่าพอไหม    เมื่อเธอกิน ผมก็เอาข้าวที่แบ่งไว้ไปเก็บโดยไม่บ่น   ผมถือหลักไม่บ่นเรื่องที่เธอทำผิดๆ พลาดๆ    เพื่อให้เธอมีความมั่นใจในตนเอง    ในการช่วยเหลือตนเองให้ได้นานที่สุด    โดยที่ก็สังเกตเห็นความเสื่อมถอยชัดเจน   

เรามักกินอาหารเย็นที่ชานหน้าบ้าน    นานๆ ครั้งจึงกินที่โต๊ะกินอาหาร   

อีฟนิ่ง วอล์ค

เวลาเย็นเกือบหกโมง คนในหมู่บ้านจะเห็นคุณยายคุณตาสองคนเดินควงแขนกันไปที่ริมสระน้ำ ระยะทางราวๆ ๓๐๐ เมตร    ไปนั่งเล่นหรือยืดเหยียดร่างกายสักครู่ก็เดินกลับ     ระยะทางแค่นี้บางทีเธอต้องหยุดพักเหนื่อยสองสามครั้ง    บางวันก็บ่นปวดสะโพกบ้าง ปวดท้องบ้าง   

ก่อนออกไปเดิน ต้องมีการเตรียมตัว   เปลี่ยนชุดเป็นกางเกงขาสั้น เสื้อยืด   ตอนนี้สาวน้อยน้ำหนัก ๖๖ กก. (ตอนแต่งงานน้ำหนัก ๓๙ กก.  พ่อตาสั่งว่าให้เลี้ยงให้อ้วนอีกหน่อย   ตอนนี้อ้วนเกินที่พ่อตาสั่ง) เหลือกางเกงที่สวมได้ไม่กี่ตัว    ผมต้องช่วยเหลือบ้างตามที่จำเป็น   

แต่ที่ต้องทำให้ เพราะเธอก้มไม่ได้แล้ว คือสวมรองเท้า   สวมเสื้อกางเกงเสร็จ ผมต้องเป็นผู้สวมรองเท้าเดินและผูกเชือกให้    ทำเสร็จบางวันเธอยกมือไหว้ขอบคุณ 

ก่อนออกไปเดินต้องหา “ไม้เท้า” ให้เธอถือ    ซึ่งก็คือร่ม    ตอนนี้มีร่มสีดำคันโปรด    หยิบคันอื่นให้เธอไม่ชอบ  บ่นว่าหนัก   เธอบอกว่าคันสีดำเบาดี   เธอถือลากจนปลายสึกเกือบหมดแล้ว     เธอมักเอาไปวางไม่เป็นที่  และบางวันผมก็หาไม่พบ    ต้องขอให้เธอถือร่มคันอื่นแทน ถือเพื่อเป็นไม้เท้านะครับ         

ยามค่ำ

กลับจากไปเดินออกกำลังตอนเย็นก็เกือบค่ำแล้ว     ผมเข้าห้องทำงานอ่านหนังสือ   ปล่อยให้เธอดูทีวี     เวลาทุ่มเศษๆ ผมก็เอายามื้อค่ำให้กินพร้อมนมเปรี้ยวครึ่งแก้วเล็กๆ (เป็นแก้วที่ลูกชายปั้นอบและเคลือบ เอามาให้)   

ก่อนสองทุ่มเธอเข้าห้อง เพื่ออาบน้ำ    ผมช่วยถอดเสื้อ ส่วนกางเกงเธอถอดได้เอง     เข้าห้องน้ำไปแปรงฟัน    แล้วเข้าห้องอาบน้ำ    เมื่อได้ยินเสียงอาบน้ำสักสองสามนาทีผมก็เข้าไปช่วยราดน้ำถูสบู่ที่หลัง รักแร้ และซอกต่างๆ   เมื่อราดน้ำล้างสบู่ที่หลังและตามซอกเสร็จผมก็ปล่อยให้เธอจัดการด้านหน้าและเท้า    ผมออกมาถือผ้าเช็ดตัวรอนอกห้องอาบน้ำ     เมื่อเธอออกมาก็ช่วยเช็ดตัวให้    ตอนนี้เธอจะพูดบ่อยๆ ว่าเลี้ยงเหมือนลูก

ออกจากห้องน้ำ  ผมเอา lotion ทาหลังให้    และเอาเสื้อนอนสวมให้    ตามด้วยเสื้อยืดแขนยาวสวมให้ความอบอุ่น    รวมทั้งเตือนให้เธอสวม pampers กันฉี่รดที่นอน     

เธอขึ้นเตียงอย่างทุลักทุเล    ผมปล่อยให้ช่วยตัวเอง    แล้วไปช่วยบอกให้เธอขยับตัวเข้าข้างในอีกหน่อย ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับเธอ  แล้วห่มผ้าให้ รวมทั้งหอมหนึ่งฟอด  โดยเธอต้องร้องว่า “ชื่นใจ”    วันไหนเธอลืม ผมจะทวงว่า “ลืมอะไร”    บางวันนึกอยู่สองสามอึดใจจึงร้องออกมาได้    หลังเสียงชื่นใจจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะ   ผมเชื่อว่าเป็นยาวิเศษช่วยชะลออาการสมองเสื่อม        

นอน

กลางคืนเธอนอน ๑๑ - ๑๒ ชั่วโมง (คล้ายเด็ก)    และลุกขึ้นฉี่ ๑ - ๒ ครั้ง โดยน้อยครั้งมากที่ผมจะรู้ตัว   เธอช่วยตัวเองได้อย่างดี   โดยฉี่ลงโถฉี่ที่วางอยู่ข้างเตียง   

อาการหลงลืมรุนแรงขึ้น

ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม อาการหลงลืม หรือสลึมสลือเกิดบ่อยขึ้น   ตอนเช้าแทนที่จะชงกาแฟกลายเป็นรินน้ำเย็นเอามาให้ เกิดบ่อยขึ้น    ตอนค่ำถามว่า “กินข้าวหรือยัง” บ่อยขึ้น    ถามเรื่องบ้าน ว่าเช่าเดือนละเท่าไร    พี่วิจารณ์เป็นข้าราชการที่ไหน   บ่นเรื่องผมดุลูกสาวคนโต    โวยเรื่องกิ๊ก    ถามเรื่องพ่อแม่ของตนเอง    เรื่องลูดคนนั้นคนนี้   

กลางเดือนพฤษภาคม เธอเอ่ยเรื่องตายอยู่สองสามวัน แล้วเล่าว่าฝันว่าตาย   คำถามที่ถามเกือบทุกวันคือตอนนี้เธออายุเท่าไรแล้ว          

วิจารณ์ พานิช 

๓๐ พ.ค. ๖๔

 

 

รูปอมรา

 

1 ที่เมือง Ascona สวิตเซอร์แลนด์ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐

 

2  ที่หมู่บ้าน ๑ พ.ค. ๖๔

 

3 ที่หมู่บ้าน ๑๐ พ.ค. ๖๔

 

4 ที่หมู่บ้าน  ๑๕ พ.ค. ๖๔

 

5 ของโปรดที่ลูกนำมาฝาก ๒๘ พ.ค. ๖๔

หมายเลขบันทึก: 691069เขียนเมื่อ 14 มิถุนายน 2021 17:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2021 17:15 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

รู้สึกซาบซึ้งใจจนน้ำตาซึม รับรู้ถึงความรักความห่วงใยบนความเหนื่อยยาก อาจารย์ช่างเป็นคู่ที่ค้ำคูณกันจนแก่เฒ่าอย่างแท้จริง อ่านไป ลุ้นไป และแอบลุ้นในใจว่าคู่ของตนเองที่เริ่มเสื่อมพร้อมๆ กันนี้ สรุปแล้วใครจะได้ดูแลใคร (ฮา)

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท