อนุทินล่าสุด


วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๒๑๓. เตรียมจัดเวทีสุขภาวะชุมชนศึกษา ของเวทีคนหนองบัว นครสวรรค์

วันนี้จะไปเตรียมจัดเวทีพัฒนา CoP และเครือข่ายสุขภาวะชุมชนหนองบัวศึกษา ผ่านกระบวนการถอดบทเรียน อยากนั่งรถไฟไปเพื่อนั่งดูสภาพบ้านเมืองตลอดสองข้างทาง แต่รถเร็วและรถด่วนพิเศษที่จะถึงท่ารถก่อนรถเข้าบ้านที่หนองบัวจะหมด เต็มหมด จะนั่งรถตู้ก็มีบทเรียนว่าต้องนั่งตัวแข็งเบียดกันตลอดทางกว่า ๓-๔ ชั่วโมง นั่งหลับไม่ได้ ต้องนั่งรถทัวร์แล้วไปต่อรถไฟซึ่งออกจากหัวลำโพงตั้งแต่ยังไม่สว่างแต่จะไปถึงนครสวรรค์ตอนบ่ายที่รถทัวร์จะไปถึงพอดี



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๒๑๒. ร่วมเสริมศักยภาพเครือข่ายวิจัยเพื่อชุมชนของ สกว ภาคเหนือ

เครือข่ายวิจัยเพื่อชุมชน ที่ได้รับการสนับสนุนจากศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อชุมชน ภาคเหนือ ของ สกว และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ๓ โครงการของทีมอาจารย์สหสาขาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ล้านนา และมหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น จะทำวิจัยให้เป็นโอกาสเพิ่มพูนประสบการณ์และพัฒนากระบวนการเรียนรู้ทางด้านต่างๆโดยเฉพาะการบูรณาการมิติการวิจัยเข้าสู่การทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตและทางด้านต่างๆของชุมชนท้องถิ่น ผมใช้บ้านเป็นที่ทำเวิร์คช็อป ทีมวิจัยแบ่งเป็น ๒ กลุ่มและทำเวิร์คช็อปย่อย ๒ ครั้ง ครั้งแรกของ มทร และมหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น เมื่อ ๗ เมษยน ๒๕๕๕ วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ นี้เป็นทีมของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ซึ่งทำเรื่องผ้าไหมสันกำแพง และจะสร้างเครือข่ายยุววิจัย เป็นเครือข่ายวิจัยสนาม ทางทีมวิจัย สกว ภาคเหนือ กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ผมช่วยดูกระบวนการพัฒนากรอบแนวคิดเพื่อบูรณาการระเบียบวิธีการวิจัยที่เหมาะสมเข้าสู่กิจกรรมที่ริเริ่มและดำเนินการไปในแนวทางที่แตกต่างกัน รวมทั้งร่วมกับทีมวิจัยให้ได้ใช้การทำวิจัยเป็นการปรึกษาหารือและพัฒนาตนเองเพื่อเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนากระบวนการศึกษาและการดำเนินงานต่างๆในบทบาทของมหาวิทยาลัย



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๒๑๑. ต้องฟัง dialogue ของสายลม ผืนดิน สายน้ำ และธรรมชาติ

ฝนตกหนักและลมแรงติดต่อกัน ๓ วัน ผมถือโอกาสเดินสำรวจบ้านและทั่วบริเวณบ้าน เพื่อดูว่าในสภาพอย่างนี้ หากต้องการสร้างสุขภาวะในบ้าน และในอนาคต ให้ยังคงได้ความรื่นรมย์ของชีวิตการงานไปกับสภาพดินฟ้าอากาศอย่างนี้ ผมต้องจะต้องปรับปรุงและทำอะไรบ้าง ในท่ามกลางสายลมฝนและผืนดินหลังซาเม็ดฝน มีถ้อยคำและบทสนทนาบอกกล่าวไว้ให้มากมาย ก่อนหน้านี้ ผมกับภรรยากำลังวางแผนทำสำนักงานในบ้านเพิ่มอีกสักมุมหนึ่ง โจทย์ของเราอยู่ที่จะออกแบบทำด้วยต้นทุนต่ำ แต่ได้การใช้สอยได้อย่างเอนกประสงค์ มีความเป็นงานศิลปะ สะท้อนการนำเอาความรู้ที่ตนเองใช้ทำงานมาใช้ในชีวิตการอยู่อาศัย แต่หลังจากเจอกับลมฝนในปีนี้ ทำให้ต้องเดินตรวจตราและให้น้ำหนักเพิ่มไปยังความสอดคล้องกลมกลืนกับแนวการพัดกระโชกของลมและสายฝนสาด แนวน้ำหลากและท่วมฉับพลัน ผมเดินรอบบ้านหลายรอบทั้งในขณะฝนตกและหลังฝนหยุด ได้รวบรวมข้อมูลและทำงานความคิดไปด้วย วันจันทร์ทั้งวัน ก็เลยหมดไปกับเดินตัดและตบแต่งต้นไม้รอบบ้านให้ลดการต้านลม รวมทั้งเดินสำรวจเส้นทางเดินทุกมุมของบ้านที่อาจเกิดขึ้นแบบฉุกละหุกในยามฝนตกเพื่อเก็บไม้ไร่ หนาม และสิ่งที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุต่อผู้คนได้ ได้เห็นความจำเป็นของการสำรองน้ำและไฟให้แสงสว่างที่เพียงพอ ทำพุ่มดอกเข็มหรือดอกเล็บมือนางที่กำลังงอกงามและออกดอก รื้อซุ้มไม้ระแนงที่ผุพังออกแล้วทำเสาด้วยลำไม้ไผ่ ๕ ท่อนสูงเกือบ ๓ เมตร ยึดเถาเล็บมือนางให้ขึ้นรูปเป็นทรงสูงเหมือนแจกันขนาดใหญ่ แผ่พุ่มข้างบนและทำให้โปร่งโล่งเดินลอดได้รอบด้าน ตอนเย็นมีฝนตกและลมแรง พุ่มดอกเข็มและต้นไม้ที่ตบแต่งใหม่แล้วไม่ถูกลมตีจนกิ่งหักและใบร่วงอีก



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๒๑๐. ความแม่นยำเที่ยงตรงของสัญญาณและสิ่งบ่งชี้ปรากฏการณ์จากธรรมชาติ

                         Large_bee_4

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ผึ้งฝูงหนึ่งบินวนเข้ามาในบ้านของผมที่บ้านห้วยส้ม สันป่าตอง บินวนอยู่ที่กอไผ่พุ่มเตี้ยๆข้างตัวบ้านอยู่ระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่เกาะ ไม่นานก็เริ่มบินสำรวจตามชั้นล่างของบ้าน กระทั่งเข้าไปเกาะในลำโพงเครื่องเสียงซึ่งตั้งอยู่บนพื้นชั้นล่างติดพื้นดิน พยายามย้ายลำโพงหนีไปตั้งกลางแดดและใช้หญ้าอุดรูที่ผึ้งเข้าออกได้อย่างไรก็ยังคงตามไปเกาะกันทั้งฝูง ต้องยกไปวางไว้สนามหญ้าข้างบ้านหลังเล็ก ใช้หญ้าและใบมะพร้าวอุดตามรูต่างๆแล้ววางคว่ำลงให้ด้านหน้าลำโพงเกือบติดพื้นดิน เมื่อนั่งเฝ้ารอให้ผึ้งทุกตัวที่เข้าไปอยู่ในลำโพงคลานออกมาได้หมดแล้ว ก็คว่ำติดพื้นแล้วทิ้งไว้ ฝูงผึ้งก็ยังคงวนเวียนอยู่ในบริเวณที่มีลำโพงตั้งอยู่และในที่สุดก็พากันเกาะอยู่ใต้ชายคา เกาะอยู่เพียง ๑ วันก็บินไปที่อื่น ระหว่างที่เห็นฝูงผึ้งหาที่ทำรังใกล้พื้นดินและในแหล่งที่เป็นโพลทึบอย่างนี้ ในขณะที่เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วผึ้งและมิ้มควรจะหาที่ทำรังบนที่สูง โดยเฉพาะต้นไม้ที่จะเริ่มออกดอกในหน้าแล้ง ก็นึกอยู่ในใจว่าลักษณะอย่างนี้จะเกิดฝนและลมแรง

                         Large_bee_2

                         Large_bee_1

                         Large_bee_3

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ก็ไปเดินกาดงัวที่สันป่าตองและได้เข้าไปจอดรถในลานวัด ก็เห็นผึ้ง ๓ รวงรังอยู่บนเจดีย์ สังเกตว่า ๒ รังนั้นอยู่บนยอดสูง สูงกว่ายอดไม้ และตัวผึ้งพากันอพยพไปแล้วทั้งสองรัง ทิ้งให้เหลือไว้แต่รวงที่ไม่มีตัวผึ้ง ส่วนอีกรังหนึ่งนั้นยังคงมีตัวผึ้ง แต่เกาะหลบมุมอยู่ส่วนล่างของเจดีย์ในระดับต่ำกว่ายอดไม้ ต่อมา เย็นวันอาทิตย์และต่อถึงกลางคืนก็มีลมแรงและฝนตกอย่างหนัก ต้นไม้และกอไผ่ลู่เอน ใบไม้และกิ่งไม้ขนาดเล็กขาดปลิวว่อน กระเบื้องของบ้านและอาคารหลายแห่งหลุดเป็นบางแผ่น เย็นวันอาทิตย์ก็มีลมแรงและฝนตกอีก



ความเห็น (2)

สวัสดีค่ะอาจารย์วิรัตน์ที่เคารพ

โห...อาจารย์สังเกตสังกาละเอียดสุดยอด

เหมือนตอนเด็ก ๆ เลยค่ะ  พออากาศอ้าว  พ่อจะคันตามเนื้อตัว   เห็นมดเข้าแถวขนย้ายไข่ขึ้นที่สูง  ให้เตรียมเก็บข้าวของ  ไม่ให้ลมพัดเสียหาย.....ประเดี๋ยวฝนจะมา

ขอบคุณอาจารย์ค่ะที่บันทึกไว้ โอ๋คิดถึงสมัยเด็กๆที่ได้อยู่ใกล้ๆคุณย่า ท่านมักจะบอกให้เราสังเกตสังกาสิ่งรอบๆตัวแบบนี้ ตอนนั้นไม่รู้จักจดบันทึก ตอนนี้ไม่มีท่านอยู่ใกล้ๆให้เก็บเกี่ยว ได้แต่ภาวนาให้คนที่มีขุมทรัพย์ความรู้ที่มีชีวิตได้ถ่ายทอดเก็บไว้ให้ลูกหลานนะคะ อ่านที่อาจารย์เขียนแล้วรู้สึกขอบคุณมากมายจริงๆ ความละเอียดอ่อนในการสังเกตสังกาแบบนี้นับวันจะหาได้ยากขึ้นทุกทีค่ะ ถ้ามีคนชี้นำกันมากๆคนรุ่นใหม่จะได้เพิ่มคุณสมบัตินี้ให้กับชีวิตได้มากขึ้นบ้าง

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๒๐๙. จังหวะของธรรมชาติและวงจรชีวิตในระบบนิเวศ

อีก ๕ นาทีตี ๓ นกกระปูดร้อง ตามด้วยนกกวัก จากนั้นก็ร้องต่อกันเป็นทอดๆ ชุดหนึ่ง ๕ นาทีเสียงเริ่มลดลง เว้นไปอีก ๑ ชั่วโมง อีก ๕ นาทีตี ๔ นกกระปูดส่งเสียงร้อง ตามด้วยนกกวักและไก่ขัน อีกชุดหนึ่ง ๕ นาที นกกวักหยุดร้องก่อน จากนั้นเสียงไก่ขันหยุด นกกระปูดหยุดร้องทีละตัวและตัวท้ายสุดหยุดร้องทีหลังเมื่อร้องเป็นชุดเดียวกัน ๘ นาที กบ เขียด อึ่ง ร้องตลอดคืน ตี ๓ ไม่มีเสียงอึ่งร้อง และตี ๔ เสียงกบร้องลดลง ตี ๔ กับอีก ๓๕ นาที ไก่เริ่มขันอย่างเดียวและจากนั้นก็ขันอย่างต่อเนื่อง

ตี ๕ กับ ๔๕ นาที นกกระปูดร้องอีกครั้ง แต่คราวนี้นกที่ร้องตามรับกันเป็นทอดๆ เริ่มผสมผสานสารพัดเสียง มีนกกวัก นกกระจอก นกกวักหรือนกไก่นา นกปรอท ได้บรรยากาศของยามเช้าและการตื่นขึ้นของสรรพชีวิตในวันใหม่อย่างเต็มที่

บ้านห้วยส้ม ตำบลสันกลาง อำเภอสันป่าตอง เชียงใหม่ จันทร์ที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๕



ความเห็น (2)

จันทร์สวัสดีค่ะอาจารย์เซียนศิลป์

ว้าว อาจารย์ บรรยายซะเป็น ท่วงทำนอง มีจังหวะ สัมผัส ซ้ำ เหมือนดนตรี คนอ่านยังอินเลยเจ้า

สุขสันต์ สดใส ในห้วยส้ม เน่อเจ้า :)

ขอบคุณค่ะอาจารย์ อาจารย์ทำให้รู้ว่า ตัวหนังสือก็สามารถทำให้เรา"ได้ยิน"ได้ด้วยนะคะ ชัดเจนทีเดียว

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๒๐๘. อาลัยและขอคารวะอาจารย์พิชัย วาสนาส่ง

ได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์รายงานว่าอาจารย์พิชัย วาสนาส่ง ได้ถึงแก่กรรมแล้วด้วยอายุ ๘๒ ปี ท่านเป็นผู้ที่มีการเรียนรู้อย่างกว้างขวางตลอดชีวิต จบสถาปัตยกรรมศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่คนส่วนใหญ่มักติดตาตรึงใจไปกับความเป็นนักสื่อสารมวลชน คนทำงานสื่อ ผู้บรรยายรายการสารคดี ผู้รายงานเชิงวิเคราะห์ข่าวและสถานการณ์สังคมในระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผมเองนั้น ฟังรายการวิทยุของท่านนับแต่รายการเพลงคลาสิคเมื่อ ๓๐-๔๐ ปีก่อน กระทั่งรายการพบโลกเมื่อก่อนที่ท่านจะถึงแก่กรรมไม่นานนี้เอง ท่านเป็นผู้บรรยายรายการโทรทัศน์เมื่อครั้งยานอพอลโล ๑๑ นำนักบินอวกาศไปเยือนดวงจันทร์ได้สำเร็จเมื่อ ๒๐ กรกรฎาคม ๒๕๑๒ ซึ่งคนหนองบัวพากันไปดูโทรทัศน์ขาวดำเครื่องเดียวในอำเภอที่หัวตลาดถ่ายทอดเหตุการณ์ที่ท่านให้เสียงบรรยายในครั้งนั้น ผมชอบการทำงานและความเป็นนักสื่อสารเพื่อสร้างความรอบรู้ให้กับสังคมของท่านจากทุกเรื่อง ชอบการชมและสร้างความซาบซึ้งทางศิลปะ สถาปัตยกรรม และเหตุการณ์ทางสังคม ที่มีรสนิยม รอบรู้ รอบด้าน เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของมนุษย์ระหว่างสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน การทำสื่อและนำเสนองานทางศิลปะที่มีการทำงานเชิงข้อมูล เชื่อมโยงปัญญา ความสร้างสรรค์ และความมีบทบาทต่อสังคม เข้าหากันได้จากหลายสาขา



ความเห็น (1)

ฟังและติดตามท่านมานาน ประทับใจวิธีการที่ท่านนำเสนอทุกๆเรื่อง ได้ความรู้สึกลุ่มลึกและหนักแน่นน่าเชื่อถือทุกๆงานที่ท่านนำเสนอ เป็นบุคลากรต้นแบบในใจอีกท่านหนึ่งค่ะ ชีวิตท่านทำประโยชน์ให้กับโลกนี้มากมายจริงๆ รำลึกถึงท่านด้วยความอาลัยยิ่งเช่นกันค่ะ อาจารย์

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๒๐๗.การสื่อสารเป็นพัฒนาการของกระบวนการเรียนรู้เพื่ออยู่ร่วมกัน

ที่บ้านผม ภรรยาเลี้ยงหมาและแมวอย่างละ ๔ ตัว ผมสังเกตว่าหมาสองตัวกับแมวอีกตัวหนึ่งมีพัฒนาการในการแสดงสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กับการที่เราเล่นกับเขาด้วย โดยหมาสองตัวชอบคาบใบไม้คลานเข้ามาทักทาย เมื่อเกาหัวเกาพุงก็จะชอบ บางครั้ง เมื่อเห็นกันไกลๆ เขาก็จะคาบใบไม้และยืนมอง หากผมไม่ทำท่าว่าจะเล่นก็จะไม่วิ่งมาหาและวางใบไม้ลง ส่วนแมวตัวหนึ่งนั้น เป็นแมวกำพร้าตั้งแต่ตัวเล็กๆ ภรรยาต้องใช้ไซริงซ์ถอดเข็มออกแล้วดูดนมจากกล่องส่งเข้าปากให้กินจนโต เลยได้เติบโตท่ามกลางหมาและการอยู่กับคน เวลาวิ่งเล่นก็วิ่งปนไปเป็นกลุ่มกับหมา ต่อมาก็มีลูกเล่นเพิ่มขึ้น โดยหากผมไปนอนในห้องทำงาน ก็จะตามไปเคาะและส่งเสียงร้องเรียกจนกว่าจะเปิดประตูให้เข้ามาอยู่ด้วย เมื่อจะออกก็ร้อง หากยังไม่เปิดก็จะตะกาย เมื่อสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเดินทางไปบรรยายหลายแห่งอย่างต่อเนื่อง เลยไม่ได้กลับบ้านหลายวัน พอกลับบ้าน เจ้าแมวตัวนี้ก็มาเคาะห้องทำงานผมโครมคราแต่หัวค่ำ เมื่อเปิดให้เข้ามาอยู่ด้วยก็นอนเฝ้าอย่างเรียบร้อยโดยไม่ออกไปไหนเลย ผ่านไปหลายวันจึงค่อยเริ่มขอออกไปข้างนอกสลับกับขอกลับเข้ามาอีกจนไม่เป็นอั้นหลับอันนอน เมื่อวานนี้ก็มีลูกเล่นใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาอีก โดยขณะเดินอยู่นอกบ้าน ปรกติแล้วเขาก็จะเพียงเดินเอาสีข้างมาถูคลอเคลีย แต่คราวนี้กลับวิ่งกลับไปกลับมากระโดดโลดเต้นเหมือนอย่างพวกหมา ๓-๔ ตัวที่เป็นเพื่อนของเขาทำ พอเหมือนกับสนุกมากๆเข้าก็ม้วนหางตนเองเข้ามากัดเล่น



ความเห็น (7)

อาจารย์บรรยายได้เห็นภาพมากเลยค่ะ แต่ก็อยากเห็นภาพเจ้าเหมียววิญญาณหมาตัวนี้จังค่ะ อาจารย์เก็บมาฝากใน GotoKnow บ้างนะคะ รู้สึกว่าเราจะมีทั้งชมรมคนรักแมว และชมรมคนรักหมาเลยนะคะนี่ 

                         

เคยถ่ายภาพไว้ได้พอดี เลยเอามาฝากครับอาจารย์ อาจารย์ Wasawat Deemarn นักบุญของเหล่าหมาแมวทั้งหลายก็มาเกาะรั้วรอดูไปด้วยเลยเชียวนะครับ ในรูปนี่เป็นเจ้าแมวมหัศจรรย์ นอกจากเขาจะเคาะเรียกแล้ว อาจารย์ดูสิ เขาสามารถปีนขึ้นมาชะโงกดู เมื่อเห็นก็แหกปากร้องแง๊ววว แง๊ววว เหมือนเด็กๆไปเที่ยวมาและเรียกให้เปิดประตูให้เลยละครับ กวนจริงๆ ตรงที่เขาโผล่หน้านี้สูงจากพื้นมากเลยนะครับ

* สัตว์เขาจะรู้เรื่องและสื่อสารดีมับความสัมพันธ์ที่สม่ำเสมอนะคะ..

* บ้านพี่ใหญ่มีเจ้ากระแตว่องไวตัวนี้..จะไต่ลงมารอเนื้อมะพร้าวอ่อนทุกเช้า..ได้แล้วก็วิ่งขึ้นไปกินประจำที่บนคบไม้กิ่งมะม่วง

 

Large_photo273 

Large_photo278

อิ อิ ...แมวลืมตัว วิ่งเล่นกันเป็นฝูงแบบนี้ พวกหมาชัด ๆ เลยนะคะ สิ่งแวดล้อมหล่อมหลอมชนะ DNA นะคะเนี่ย

ขอบคุณค่ะ อ.วิรัตน์Ico48 เค้ามหัศจรรย์จริงๆ ปีนขึ้นมาแบบนั้นได้แถมส่องแบบได้อารมณ์มากเลย สุดยอดเหมียวจริงๆค่ะ อาจารย์เก็บภาพตอนอยู่ในหมู่หมาๆมาฝากบ้างนะคะ ต้องน่ารักน่าชมแน่ๆเลย แค่นึกก็อดจะยิ้มไปด้วยไม่ได้แล้ว

๕๕๕ เห็นภาพแล้วขำไปกับพฤติกรรมของเจ้ามัดหมี่จริงๆ เล๊ยยย ^^

เจ้ามัดหมี่เค้าออกจะเรียบร้อยนะคะ (เฉพาะภาพนี้) ๕๕๕

                                      

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๒๐๖. นานทีติดต่อกันก็ดีใจและมีความสุขดีเหมือนกัน

ผมกับเพื่อนๆที่ชอบเจ้ากี้เจ้าการกับการทำกิจกรรมสำหรับหมู่เพื่อน มักคอยติดต่อให้เพื่อนๆได้ติดต่อกันหรือทำสิ่งต่างๆด้วยกัน หรืออย่างน้อยที่สุดก็คอยกระจายข่าวบอกสารทุกข์สุขดิบให้กัน นับแต่เพื่อนเรียนชั้นประถมศึกษา มัธยม เพาะช่าง กระทั่งทุกกลุ่มในระดับตรี โท เอก ยกเว้นที่ประสานมิตรที่เดียวเพราะผมเรียนภาคค่ำคู่กับการเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมหิดล และเลือกวิชาโทที่ต่างจากกลุ่มเอกศิลปศึกษาด้วยกัน ต้องสลับการเดินเรียนกับคนต่างกลุ่ม ทำให้ไม่ได้ความสนิทสนมกับกลุ่มผู้เรียนในวิชาต่างๆที่เลือก sec เดียวกันในแต่ละภาคการศึกษา หากไม่ได้เจอกันก็มักหาโอกาสโทรศัพท์ติดต่อกันไว้ รวมทั้งบางครั้งก็ต่อว่าเพื่อนที่ไม่ค่อยติดต่อกันกับคนอื่นๆ แต่พอนานเข้าก็ชักไม่ขยันทำอย่างเดิม อีกทั้งเริ่มวางแผนชีวิตออกจากกรุงเทพฯและเชื่อว่าชีวิตการงานหลังจากนี้คงต้องการสมาธิมากกว่าเดิม การทำหน้าที่ติดต่อสร้างความผูกพันให้กับเพื่อนๆก็ชักจะซาไป ซึ่งก็คิดว่าดีเหมือนกันว่า ไม่ต้องติดต่อ ไปมาหาสู่ และรับรู้สารทุกข์สุกดิบกันให้มากนักก็ดีเหมือนกัน เมื่อเกิดความพลัดพรากกันจะได้ไม่ทุกข์มาก ดังนั้น หลังจากเรื่องราวในการติดต่อกับเพื่อนๆทั้งหลายค่อยๆพัฒนาการไปกับกระบวนการเติบโตงอกงามของชีวิต เริ่มตั้งแต่การถามไถ่เมื่อเจอกันหลังจบมัธยมและไกลจากบ้านกันไปว่าไปเรียนต่อยู่ไหน เมื่อตอนจบมัธยม เป็นทำงานที่ไหน บวชเมื่อไหร่ที่ไหนเมื่อจบมหาวิทยาลัย แต่งงานและมีลูกแล้วยังเมื่อทำงานและย่างเข้าเบญจเพส ลูกเรียนที่ไหนดี เมื่อครอบครัวเริ่มเป็นปึกแผ่นและเจอกันได้ยาก กระทั่งเริ่มหายกันเป็นปีๆ และเมื่อติดต่อกันอีกที ต่างก็เป็นผู้ใหญ่ มีบาทบาทในการทำงานและต่างมีภาระความรับผิดชอบในชีวิตรุงรัง คุยกันก็ไม่ค่อยมีเวลาละเลียดเหมือนเมื่อก่อน พอเงยหน้าขึ้นจากงานและคิดว่าเพิ่งได้เจอกันเมื่อไม่นานก็กลับกลายเป็นว่าไม่ได้เจอกันเสียหลายปี ซึ่งกระบวนการของชีวิตก็ทำให้ได้ค่อยๆเรียนรู้และเข้าใจความเป็นปรกติธรรมดาของสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างนี้ แต่เมื่อต้นเดือนนี้ ก็มีเพื่อนรักและคิดถึงกันอยู่เสมอ ๒-๓ คน ซึ่งหายเงียบไปเป็นปี โทรศัพท์มาหา ทำให้ดีใจ และยิ่งได้ความดีใจไปด้วยเมื่อทุกคนติดต่อมาเพราะกำลังมีความสุข คนหนึ่งถึงรอบได้ย้ายจังหวัดการทำงาน ๒ คนลูกสอบเข้าธรรมศาสตร์และมหิดลได้ และอีกคนหนึ่ง ลูกสองคนกำลังจะสำเร็จการศึกษาเป็นหมอฟันกับเป็นนายทหารอากาศ ส่วนตนเองก็สอบป้องกันวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกและได้รับการอนุมัติสำเร็จการศึกษาแล้ว ทุกคนรู้สึกได้ถึงการมีความสุขอย่างล้นอก อยากแบ่งปันความสุขและความภาคภูมิใจ ซึ่งก็ทำให้ผมเองได้ความสุขอย่างประหลาดไปด้วย



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๒๐๕. เห็นพระพุทธบาทเป็นนิมิตรและอารมณ์กรรมฐานของการจงกรม

เมื่อใกล้สว่างของเช้าวันนี้ ผมนั่งทำสมาธิ เมื่อตื่นและนิ่งพอสมควรแล้ว ก็ลุกขึ้นเดินจงกรมและกำหนดการรู้สึกตื่นตัวไปกับการเดิน จะเป็นเพราะด้วยร่างกายกำลังสดชื่น หรือเพราะพื้นบ้านซึ่งทำด้วยคอนกรีตกำลังเย็นตัว ทำให้ความรู้สึกจากการเดินจงกรมและทำสมาธิไหลเทลงไปกับความรู้สึกสัมผัสที่ฝ่าเท้าได้อย่างรวดเร็วและได้ความละเอียด เลยใช้พื้นฐานการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวของหลวงพ่อเทียนเข้ามาช่วย ซึ่งก็ทำให้มีกำลังจากข้างในมาก ระหว่างที่เดิน ก็มีช่วงจังหวะหนึ่งที่เหมือนตัวหายวูบไปและเห็นความเป็นก้อนดำขนาดใหญ่แบบรอยพระพุทธบาท เกิดขึ้นนิดเดียวแต่ชัดเจนมาก หลังจากนั้นแล้ว ก็นึกไปถึงการทำรอยพระพุทธบาทต่างๆทั้งในประเทศไทยและอื่นๆ ที่มักกล่าวเชื่อมโยงกับพุทธประวัติและตำนานการเหยียบโลกของพระพุทธเจ้าว่า บางส่วนที่มีการสร้างขึ้นนั้น อาจจะเป็นการบันทึกนิมิตรอันเกิดจากการได้อารมณ์กรรมฐานด้วยวิธีเดินหรือไม่ เมื่อคิดแล้วก็พยายามค้นหาข้อมูลดู แต่ก็ยังไม่เจอร่องรอยว่าจะเกี่ยวข้องกัน



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๒๐๔. ได้ประสบการณ์ไปกับเครือข่ายทำงานออนไลน์กับการทำงานชุมชนเชิงพื้นที่

หลังเสร็จสิ้นเวทีสัมมนาเชิงปฏิบัติการ 'ภาวะผู้นำกับการบริหารสถาบันอุดมศึกษา' ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ แล้ว ผมก็เดินทางจากสงขลา แล้วก็เลยไปนอนรอรับแผ่นนิทรรศการซึ่งภรรยาผมจะไปรับจาก Graphic House ที่เชียงใหม่แล้วส่งไปให้ที่นครสวรรค์ เพื่อนำไปสมทบกับคนที่อยู่หนองบัวแล้วช่วยกันจัดนิทรรศการต่อไป การเตรียมงานกระทั่งจะนำไปจัดงานด้วยกันนี้ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทำให้ได้ประสบการณ์ที่ดีมากอย่างยิ่ง หลังเสร็จสิ้นงานแล้ว หากได้สรุปบทเรียนก็จะได้องค์ความรู้การปฏิบัติในเงื่อนไขแวดล้อมที่มีนัยสำคัญต่อสังคมปัจจุบันมาก เพราะเป็นการทำงานกันที่บูรณาการหลายมิติ ทั้ง On-Line Community, Off-Line Individual and Community และ Area-Oriented Community โดยผม ท่านพระอาจารย์มหาแล กรรมการจัดงานงิ้วหนองบัว กลุ่มคนทำงานในพื้นที่หนองบัว และภรรยาของผม ต่างประสานงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล ส่งข้อมูล ทำบรรณาธิกร ผ่านสื่อออนไลน์ในระบบ GotoKnow เกือบจะทั้งหมด ผมเองก็เดินทางไปบรรยายตามที่ต่างๆอยู่เป็นระยะๆ ทางกรรมการจัดงานของชุมชนหนองบัวก็เตรียมสถานที่ ท่านพระอาจารย์มหาแลก็เตรียมสื่อและข้อมูลไปเผยแพร่ ทั้งหมดทำกระจายกันอยู่คนละที่ทั่วประเทศแต่มีความเชื่อมโยงกัน แล้วจะนำไปจัดรวมกันในงานจริงโดยมีเวลาสำหรับการติดตั้งไม่นาน



ความเห็น (2)

เห็นความมุ่งมั่นตั้งใจจริงนี้ค่ะ..ขอให้กำลังใจและรออ่านความคืบหน้าค่ะ

อาจารย์บริหารจัดการได้เยี่ยมมากค่ะ เห็นภาพเลยว่าการบูรณาการเทคโนโลยีกับความสัมพันธ์ส่วนบุคคลและสารพัดประสบการณ์ ทำให้งานที่น่าจะจัดให้สำเร็จได้ยากในบริบทแบบนี้ ทำได้สบายมากเลย และที่สำคัญอาจารย์สามารถนำมาถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือให้คนอื่นได้เรียนรู้ได้สม่ำเสมอ น่าชื่นชมมากๆเลยค่ะ ขอบคุณอาจารย์มากๆค่ะ

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๒๐๓. พรุ่งนี้จะไปจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ชุมชนผู้บริหารรุ่นใหม่ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

ทางคุณเมตตาและคณะ ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งผมมักมีภาพว่าเธอเป็นทีมพัฒนาการบริหารจัดการเพื่อการพัฒนาคุณภาพ ได้ขอแรงให้ผมไปช่วยจัดเวทีให้แก่ชุมชนผู้บริหารรุ่นใหม่ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งเป็นรองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี ผู้ช่วยและรองคณบดี จากคณะต่างๆของมหาวิทยาลัย จำนวนกว่า ๑๓๐ คน

เวทีนี้จะจัด ๒ วัน เริ่มจากการให้แนวคิดและเรียนรู้ประสบการณ์กับ ดร.ปริญญา รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากนั้น อีกวันครึ่ง จะให้ผมจัดกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาภาวะผู้นำแบบกลุ่มก้อนให้กับผู้ที่จะเป็นผู้บริหารในอนาคตของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สิ่งที่ผมคงจะไปช่วยเสริมประสบการณ์ให้กับชาว มอ.ได้นั้น ก็คงจะเป็นเรื่องภาวะผู้นำในด้านที่ผมกับทีมมิดลได้เคยช่วยกันทำ โดยเฉพาะภาวะผู้นำในบริบทใหม่ๆ เช่น การนำจากข้างหลัง หรือการเรียนรู้ที่จะเล่นบทเสริมสร้างให้ผู้ปฏิบัตินำการเปลี่ยนแปลงดว้ยตนเอง การปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มปฏิบัติและสายสนับสนุนในเชิงกระบวนการเรียนรู้และสื่อสารเพื่อบริหารการจัดการความเปลี่ยนแปลง การสะท้อนอัตลักษณ์องค์กรบนภาวะผู้นำปฏิบัติของปัจเจกที่มีนัยต่อการสื่อสารนำการเปลี่ยนแปลงขององค์กร และอีกหลายแง่มุมซึ่งจะเป็นการเติมมิติความเป็นชุมชนและวัฒนธรรมการทำงานเป็นกลุ่มแนวราบข้ามศาสตร์ข้ามสาขา เข้าไปในระบบการทำงานเชิงยุทธศาสตร์ขององค์กร

ทั้งหมด ผมเตรียมไว้ว่าจะไม่ใช้วิธีบรรยาย แต่จะให้ประสบการณ์แก่ผู้บริหารรุ่นใหม่ของ มอ.โดยเป็นชุมชนปฏิบัติและเรียนรู้ตนเองจากกันและกันไปเลย  ได้ลองชิมลางการใช้วิถีชุมชนเติมเข้าสู่ภาวะผู้นำการบริหาร ซึ่งจะทำให้เป็นโอกาสได้นั่งคิด คุย และฟังกัน แล้วสร้างความหวัง ความบันดาลใจ สำหรับมองไปในอนาคตที่สะท้อนภาวะผู้นำของทุกคนออกจากใจมากที่สุด

การเตรียมกระบวนการดังกล่าว ทำให้ผมต้องเตรียมตัวและศึกษาข้อมูลหลายอย่างของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ไปด้วย เลยได้ความรู้และเกิดความประทับใจหลายอย่างที่ไม่เคยทราบในรายละเอียดมาก่อน พอนั่งครุ่นคิดกับตนเอง ก็ได้สรุปบทเรียนไปด้วยว่า การบรรยายและการเป็นวิทยากรนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องไปช่วยให้ผู้อื่นเขาเรียนรู้เพื่อทำงานกันอย่างเดียว แต่ตนเองก็กลับได้เรียนรู้อย่างกว้างขวางไปด้วย การต้องสอนนั้นจึงทำให้ได้การเรียนรู้อย่างยิ่ง ได้เรียนรู้สองสามต่อยิ่งกว่าการเป็นผู้เรียนโดยตรงเสียอีก



ความเห็น (1)

ขอไปเป็นลูกศิษย์ด้วยคนค่ะอาจารย์ :)

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๒๐๒. GotoKnow ในฐานะสื่อรายงานความเคลื่อนไหวของสังคมด้วยสื่อออนไลน์

ลักษณะการเขียนบันทึกและถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ใน GotoKnow หลายบันทึกเป็นการนำเอาความเคลื่อนไหวทางด้านต่างๆของสังคมมาบอกกล่าวและถ่ายทอด ทำให้เมื่อติดตามอ่านแล้ว ก็เห็นภาพความเคลื่อนไหวที่เป็นปัจจุบันของสังคมไทยอย่างกว้างขวาง ผมชอบอ่านและเมื่อติดตามอ่านแล้ว ก็มีประเด็นความน่าสนใจอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยที่ทำให้เห็นข่าวจากสื่อมวลชนไม่น่าสนใจมากเท่ากับการเห็นเรื่องราวความเคลื่อนไหวต่างๆใน GotoKnow ผมตั้งใจว่าจะพยายามเขียนและถ่ายทอดบทเรียนวิธีเขียนรายงานในเชิงสารคดี รวมทั้งวิธีเขียนบันทึกสื่อข่าวกิจกรรมทางวิชาการ การเรียนรู้ชุมชน การสื่อสารองค์กร การสื่อสารสาธารณะชุมชน และการพัฒนาทางด้านต่างๆของสังคม เพื่อสนับสนุนคนทำงานให้เป็นผู้สื่อข่าวกิจกรรมการทำงานและนักสื่อสารกับสังคมอย่างมีพลัง ซึ่งจะเป็นการใช้สื่อออนไลน์อย่าง GotoKnow พัฒนาการสื่อสารองค์กรและสื่อสารเรียนรู้กับสาธารณะ ในเรื่องที่จะขาดแคลนสื่อและเข้าถึงได้ยากในสื่อมวลชน จะทำให้ความรู้และความเคลื่อนไหวทางข่าวสารหลายอย่างของหน่วยงานต่างๆ สามารถสื่อสารและส่งถึงสังคมได้มากมายอย่างไม่สามารถทำได้ในสื่ออื่นๆ ส่วนรวมจะเข้มแข็งมากยิ่งๆขึ้น



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๒๐๑. ขอแบบนักเลงก็ต้องให้แบบนักเลง

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้ไปเป็นวิทยากรกระบวนการวิจัย ให้กับเครือข่ายการวิจัย รพสต.และเครือข่ายพัฒนาระบบจัดการสุขภาพชุมชน ของระนองและภาคใต้ จัดโดยศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาสุขภาพภาคประชาชนภาคใต้ นครศรีธรรมราช ในวันสุดท้าย ระหว่างสรุปบทเรียนเวทีและจะเสริมหลักทฤษฎีไปตามประเด็นที่ผุดขึ้นจากบทเรียนภาคปฏิบัติ ทีมนักวิจัยผู้จัดและเป็นพี่ที่ผมเคารพนับถือ ได้ใช้เวลาช่วงท้ายของเวทีพูดเรื่องทั่วๆไปเพื่อช่วยผ่อนคลายเวทีให้ถอนออกจากการทุ่มเทกายใจทำงานกันทั้งวันทั้งคืนในระหว่างการอบรมเชิงปฏิบัติการ ๒ วัน และช่วงหนึ่งก็กล่าวแนะนำผมเพิ่มเติมในด้านที่เป็นความสนใจและเกร็ดประสบการณ์แก่เวที ได้บอกด้วยว่าผมเล่นดนตรีและวาดรูปด้วย ซึ่งในกระเป๋าเสื้อของผมได้พก Ocarina หรือขลุ่ยดินเผาของชนเผ่ามายันด้วย เมื่อท่านกล่าวจบ ผมเลยดึงเอา Ocarina มาเป่าให้เวทีฟังพร้อมกับถือโอกาสใช้เป็นการเฉลิมฉลองปิดท้ายเวทีการทำงานกันแบบเพลินๆ นอกจากเป่าเพลงให้ฟังแล้วก็เล่าความเป็นมาของขลุ่ย Ocarina ตัวที่ผมเป่าให้ฟังด้วยว่าเป็นฝีมือของคนไทยและเป็นเพื่อนบ้านผมเอง แต่ฝีมือดี อีกทั้งความคิดภายใต้การทำก็ทำอย่างเป็นงานศิลปะ ทำด้วยมือชิ้นต่อชิ้น เป็นที่รู้จักและได้การยอมรับในวงการเล่นขลุ่ย Ocarina ทั้งของไทยและต่างประเทศ หลังจากนั้น ก็สรุปบทเรียนเวทีและต่างกล่าวอำลากัน พอปิดเวทีและคนเดินออกจากห้องประชุมหมดแล้ว ก็มีลุงท่านหนึ่ง เป็น อสม. ของจังหวัดระนอง เดินมาหาผมและบอกว่าท่านเป็นคนเล่นดนตรีพื้นเมืองของภาคใต้ มีวงเป็นของตนเอง อีกทั้งปัจจุบันก็เปิดสอนประชาชนและเด็กๆด้วย จากนั้น ก็บอกว่าเมื่อผมกลับบ้านที่เชียงใหม่แล้วก็จะสามารถหาขลุ่ย Ocarina ได้อีก แต่ท่านเองนั้นไม่สามารถไปได้ ดังนั้น .... "ลุงขอซื้อต่อเถอะ มันแปลกและเพราะดี จะเอาไปหัดไว้เป็นสื่อถ่ายทอดให้เด็กๆ" ..... ผมยืนอึ้งไปชั่วครู่ ประการหนึ่งก็เพราะมันเป็น Ocarina ตัวโปรดของผม มีแบบนี้ตัวเดียว ไม่ได้เผาเคลือบ และคนทำเขาให้ผมมาอีกด้วย หากขาย ผมก็ไม่สามารถจะคิดราคาเป็นตัวเงินได้เลย และอีกประการหนึ่ง คุณลุงชาวบ้าน ที่สามารถเดินมาขอซื้อและพร้อมจะควักเงินซื้อเครื่องดนตรี ยอมลงทุนให้กับอาหารทางจิตวิญญาณซึ่งจะเป็นเงินจำนวนมากสำหรับชาวบ้าน เพื่อไปหัดเล่นถ่ายทอดให้คนอื่นต่อไปอีกนี่ ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมานี่ผมยังไม่เคยเห็นเลย เมื่อเป็นอย่างนี้ ผมเลยดึง Ocarina ออกมาและบอกแก่คุณลุงว่า ผมไม่ขายหรอก แต่ขอมอบให้แก่ลุงก็แล้วกัน คุณลุงชงัก แต่ผมสัมผัสได้ถึงความเป็นคนเล่นดนตรีชาวบ้านเหมือนกัน ก็เลยกล่าวชื่นชมวิถีปฏิบัติของท่าน คุณลุงเลยไม่ปฏิเสธ เป็นห้วงจังหวะหนึ่งของการได้ให้ของรักของหวงที่นอกจากไม่รู้สึกเสียดายเลยแล้ว ก็กลับรู้สึกดีและรู้สึกเคารพน้ำใจที่มีต่อผู้อื่นของคุณลุงท่านนี้มาก.



ความเห็น (10)

โห...อาจารย์ขา  ซาบซึ้งจัง

จิตวิญญาณมนุษย์  ศิลปะของชีวิต...การดนตรี  สื่อหากันได้โดยแท้

ชอบคนหัวใจนักเลงแบบนี้จังเลยครับ

นักเลงสมัครเล่น ต้องมีแบบอย่างเช่นนี้

จึงจะได้ใจนักเลงตัวจริง ค ต

ขอมอบบทเพลงจากลิขิตของอาจารย์พุทธทาสภิกขุ บทเพลงนี้แด่ท่านอาจารย์

http://www.youtube.com/watch?v=5TB9CMgX6rs

ขอคารวะด้วยใจครับ...

เชื่อว่าด้วยบุคลิกของอาจารย์ด้วยนะคะที่ทำให้คุณลุงกล้าเอ่ยปาก ซาบซึ้งกับเรื่องราวนี้มากค่ะ อ่านแล้วรู้สึกอิ่มใจ ขอบคุณอาจารย์มากค่ะที่เอาความประทับใจนี้มาฝากให้พวกเราได้รับรู้ด้วย

สวัสดีครับคุณหมอธิรัมภาครับ
จริงครับ มันเหมือนมีสิ่งที่สามารถสื่อถึงกันได้ คุณลุงดูเป็นผู้ใหญ่แบบชนบท คือ ไม่แสดงอารมณ์และความอ่อนไหวในวงสังคมทั่วไป ไม่ค่อยแสดงออกอย่างถือวิสาสะ แต่ก็เดินข้ามพรมแดนหลายอย่างเข้ามาสนทนาบางสิ่งในมิติเดียวกันอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยกับผม ผมเห็นพลังบางสิ่งที่มองไม่เห็นและคนเราสื่อกันได้อย่างที่คุณหมอว่าจริงๆครับ

สวัสดีครับคุณแสงแห่งความดี
ภาษาคนบ้านนอกเหมือนกันนั้น ทำอย่างนี้ต้องเรียกว่าวิถีนักเลง
คือไม่ต้องมีพูดอ้อมค้อม ให้ได้ก็ให้ ให้ไม่ได้ก็ไม่ว่ากัน ดูซื่อๆตรงๆ
ประทับใจภาวะผู้นำแบบชาวบ้านชาวบ้านแบบนี้มากครับ

ขอบพระคุณเพลงธรรมะครับอาจารย์นุครับ

สวัสดีครับท่าน ดร.โอ๋-อโณครับ
ความสุขและความประทับใจก็อยู่ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งด้วยเมือนกันครับ
เพราะพอมองมุมกลับ ก็สะท้อนคิดว่าทำไมคุณลุงท่านกล้ามาคุยและขอ
เพราะดูบุคลิกแล้วไม่ค่อยคุย ตลอดการประชุมก็ไม่ค่อยคุย แต่ดูสงบเยือกเย็น
แบบผู้ใหญ่ใจดี

สวัสดีค่ะ

         ประทับใจและชื่นชมมากค่ะ

ทำให้นึกถึงความกล้าของตัวเองครั้งหนึ่งคล้ายลักษณะนี้

ช่วงที่เป็นนศ.เภสัชกรรมไทย ปี 2 แล้วเข้ารับการสอนอบรมจาก

นายสัตวแพทย์ มล.อัคนีศวร์ นวรัตน   ณ สถาบันภาษา มช.

เรื่อง พลังจิตพิชิตโรค ท่านนำคริสตัล ที่ใช้ในการรักษาโรค

มาให้ชมหลายชิ้นหลายแบบ ช่วงที่ฟังท่านสอน

ก็แอบมองและเห็นว่ามีกระดาษเล็กๆติดไว้น่าจะเป็นราคา

เมื่อท่านสอนจบ จึงถามซื้อจากท่านๆก็บอกว่าคริสตัส

ทั้งหมดนี้เป็นชุดที่ไว้อบรมสอนและใช้รักษาผู้ป่วยด้วย

ท่านไม่ขายแต่บอกว่าอยากได้จริงจะยกให้

ดีใจมากแต่ก็เกรงใจท่าน และรับมา

พอเพื่อนๆคนอื่นๆเห็นท่านใจดี ก็เกิดการขอเพิ่ม

เพราะแต่ละชิ้นที่ท่านนำมาไม่ซ้ำนั้นน่าเก็บไว้รักษาโรคได้

ตามที่ท่านสอน ท่านเลยได้ยกให้ฟรีๆหลายชิ้นค่ะ ดีใจกันมากมาย

ค่ะเมื่อเรามีโอกาสฯ บางครั้งเราต้องกล้าเป็นนักเลงอย่างที่อาจารย์กล่าว 

 

สวัสดีครับคุณกานดาครับ
นี่ก็เป็นเรื่องประทับใจเหมือนกันนะครับ
มันเหมือนกับเป็นจังหวะของคลื่นตรงกันหรือเปล่านะครับ
ขอบพระคุณเรื่องราวดีๆอย่างนี้มากเลยครับ

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๒๐๐. วิธีทำให้ตุ๊กแกห้อยหัวพนมมือไหว้พระ

ผมเห็นข่าวหนังสือพิมพ์ นำเอาภาพข่าวตุ๊กแกห้อยหัวไหว้พระ ๒-๓ ครั้ง ซึ่งก็เป็นที่สนใจของสื่อมวลชนและประชาชนมาก เลยนึกถึงเมื่อตอนเป็นเด็กอยู่ต่างจังหวัดว่าลักษณะอย่างนี้จะเป็นอย่างที่ผมและพวกเด็กๆชอบเล่นหรือมักได้เห็นอย่างเป็นเรื่องปรกติหรือเปล่า กล่าวคือ ในชนบทนั้น หากเราก่อไฟสุมควันเพื่อทำงานต่างๆ เช่น สุมควันเพื่อย่างปลา ซึ่งต้องเกิดควันรมอยู่นาน สุมควันเพื่อไล่ยุงใให้วัวควายซึ่งอยู่ในคอกใต้ถุนบ้านและควันจะรมบ้านไปด้วย รวมไปจนถึงการสุมไฟที่ใช้เตาถ่านและเกิดควันมาก เหล่านี้ มักจะทำให้จิ้งจกและตุ๊กแกเมาควัน จิ้งจกจะหล่นและตกแปะลงพื้น แล้วก็วิ่งหมุนวน นอนนิ่งเหมือนกำลังจะตาย วิ่งชนสะเปะสะปะ เมื่อปล่อยไว้สักพักหนึ่งให้หายก็จะวิ่งหนีหายเข้าหลืบไม้ไป ส่วนตุ๊กแกนั้น ก็จะเมาควัน แต่ไม่ตกเพราะตีนเหนียว จะเกาะยื้อไว้อย่างที่สุดซึ่งก็มักจะอยู่ในท่าห้อยสองขาหลังหรือห้อยขาหลังขาเดียว หากเมามากก็จะห้อยอยู่นาน นอกจากเกิดจากถูกรมควันแล้ว หากนำเอายาสูบแบบฉุนๆมาจุดแล้วพ่นโดยใช้ก้านมะละกอต่อเป็นท่อยาวๆแหย่เข้าไปตามหลืบที่มีตุ๊กแกและจิ้งจกแล้วพ่นควันรม ไม่นานจิ้งจกก็จะวิ่งหมุนและหล่นตกพื้น ส่วนตุ๊กแกก็จะเมาห้อยหัวคล้ายอย่างข่าวตุ๊กแกพนมมือไว้พระ



ความเห็น (2)

สวัสดีค่ะ

เป็นคนชอบ จิ๊งจก-ตุ๊กแกค่ะ

แสดงว่าภาพที่เป็นข่าวตุ๊กแกตัวนั้น เมาควันธูป

เพราะออกมาขณะทำบุญ หรือเปล่าค่ะ 

 

 

เป็นไปได้เหมือนกันนะครับ
นอกจากจิ้งจกตุ๊กแกแล้วนี่ พวกคางคกและหนู หากพ่นควันใส่ก็เมา เดินหมุนเหมือนกันครับ
คางคกนี่หากเอาก้นยาฉุนให้คาบ ก็กระโดดหงายท้องหงายไส้ไปไหนไม่เป็นนานเลยละครับ

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๑๙๙. ขอรำลึกถึงและน้อมคารวะดวงวิญญาณป้าภิรมย์ ภูมิศักดิ์ พี่สาวของจิตร ภูมิศักดิ์

ป้าภิรมย์ ภูมิศักดิ์ พี่สาวของจิตร ภูมิศักดิ์ ได้ถึงแก่กรรมแล้วด้วยอายุ ๘๔ ปี ท่านเป็นพี่สาวที่รักและผูกพันกับจิตร ภูมิศักดิ์ นักคิด นักเขียน นักประวัติศาสตร์ นักภาษาศาสตร์ นักวรรณคดี นักต่อสู้ทางสังคม และผู้ถ่ายทอดเรื่องราวการต่อสู้ทางสังคมเป็นบทเพลงและบทกวี ที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งต่องานทางความคิดและงานทางวิชาการทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาของสังคมไทยในยุคเปลี่ยนผ่านทางสังคมก่อนสิ้นสุดยุคสงครามเย็น ป้าภิรมย์ ภูมิศักดิ์เป็นผู้ซึ่งให้การดูแลและเก็บรักษาผลงานต่างๆของจิตร ภูมิศักดิ์ไว้ หลังจากจิตร ภูมิศักดิ์ถึงแก่กรรมแล้ว ผลงานเหล่านั้นจึงได้รับการเก็บรักษาและนำมาเผยแพร่สู่สังคมอย่างหลากหลาย ก่อให้เกิดคุณูปการหลายอย่างต่อสังคมและต่อวงวิชาการในกาลต่อมา



ความเห็น (1)

ขอร่วมรำลึกถึงคนดีที่จากไปแต่กาย...ฝากความงามแห่งคุณธรรมที่บำเพ็ญไว้เป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้สืบสานต่อไปค่ะ

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๑๙๘. ไปด้วยใจก็แล้วกัน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมไปช่วยถอดบทเรียนเสริมพลังให้กับเครือข่ายคนทำงานเชิงพื้นที่ภาคใต้ของ รพสต. และเครือข่ายจัดการสุขภาพชุมชน ของนครศรีธรรมราชกับระนอง ประสานงานโดยศูย์ฝึกอบรมและพัฒนาสุขภาพภาคประชาชนภาคใต้ นครศรีธรรมราช พอเสร็จงานก็มีอาการเหมือนเป็นไข้หวัด เมื่อกลับมาถึงที่พักในกรุงเทพฯ นอนสัก๑ คืนเพื่อรอไปร่วมเวที HA Forum 2012 ในส่วนเวทีย่อยของเครือข่าย gotoknow ที่อิมแพ็คเมืองทองธานี ก็ให้ยิ่งรู้สึกเป็นไข้รุมๆครั่นเนื้อครั่นตัว มึนทึบในหัว หากยังไปไหว ก็คงจัดว่าได้ไปด้วยใจ เพื่อขอคารวะทุกท่านในหมู่คนทำงานในเวทีย่อยของ gotoknow โดยเฉพาะทีมที่จะเล่าเรื่องนำการสนทนาและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันของเวที คือท่านอาจารย์หมอ JJ ท่านอาจารย์วัลลา และท่านอาจารย์จันทวรรณ



ความเห็น (1)

อาจารย์คะ

ขอให้อาจารย์หายป่วยไวๆ นะคะ ^_^

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๑๙๗. โลกน่ารักจากเรื่องเล่า

วันนี้ ผมไปเป็นวิทยากรกระบวนการวิจัยและพัฒนารูปแบบการบริการจัดการอย่างมีส่วนร่วมเพื่อยกระดับงานสาธารณสุขมูลฐานสู่การจัดการสุขภาพชุมชน ของศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาสุขภาพภาคประชาชนภาคใต้ นครศรีธรรมราช ระหว่างคุยกันเมื่อเดินทางไปถึงและพี่ๆน้องๆซึ่งเป็นเจ้าของงานมารับเดินทางเข้าที่จัดประชุม ก็ได้คุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันมากมายสารพัดเรื่อง หนึ่งในจำนวนนั้นก็มีเรื่องหนึ่งที่แสนจะงดงามและน่ารักมาก ....เมื่อไม่นานมานี้ มีหมาไล่กัดแมว แมววิ่งหนีขึ้นไปบนต้นตะเคียนสูงในป่าอนุรักษ์ข้างโรงพยาบาลนครศรีธรรมราชและหลังศูนย์ฝึกอบรมฯ แล้วก็ติดอยู่บนต้นไม้อย่างนั้นแม้หมาเลิกไล่กัดแล้ว ต่อมาก็มีฝนตกและลมแรง กระทั่งผ่านสู่วันที่สามแมวก็ยังไม่ยอมลงจากต้นไม้ อีกทั้งส่งเสียงร้องได้ยินอย่างทั่วกันอยู่ตลอดเวลา ทำให้หลายคนเริ่มเกิดความสงสารแมว แต่ต้นตะเคียนสูง และแมวซึ่งหนีขึ้นต้นไม้อย่างเตลิดเปิดเปิงนั้นก็คงจำวิธีไต่ลงไม่ได้แล้ว หากปล่อยไปก็คงอดโซจนตกลงมาตาย เจ้าหน้าที่หลายคนจึงออกปากระดมทุนเพื่อจ้างคนขึ้นไปช่วยนำแมวลงมาจากต้นตะเคียนให้ได้ ปรากฏว่ามีคนต่างๆเห็นด้วยและช่วยรวบรวมเงินได้ถึง ๕๐๐ บาท จนสามารถนำไปจ้างคนให้ขึ้นต้นไม้และนำเอาแมวลงมาได้อย่างปลอดภัย



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๑๙๖. พื้นที่ความสร้างสรรค์และเวทีสัมผัสเรียนรู้สังคมวัฒนธรรมชุมชน

เมื่อบ่ายแก่ๆกระทั่งกว่า ๒ ทุ่มของเมื่อวาน เสาร์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์ รองศาสตราจารย์ ดร.วรลัญก์ บุณยสุรัตน์ ประธานหลักสูตรปริญญาโท สาขาการจัดการทางศิลปวัฒนธรรม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับหนิมและตี๋ เครือข่ายสถาปนิก คน.ใจ.บ้าน และทีมบางกอกฟอรั่มในฐานะผู้สนับสนุนทางวิชาการเพื่อการเสริมศักยภาพเครือข่ายฟื้นย่านผ่านเวียงของเมืองเชียงใหม่ ได้บอกกล่าวและชวนเชิญให้ผมกับภรรยาได้ไปร่วมงาน ฮ่วมแฮงฮ่วมใจ๋ คนพวกแต้ม อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ที่วัดพวกแต้ม ข้างสวนบวกหาดในตัวเมืองเชียงใหม่ ได้เห็นความริเริ่มหลายอย่างของชุมชนร่วมกับคนหนุ่มคนสาวโดยเฉพาะกลุ่มสถาปนิก วิจิตรศิลป์ และผู้เรียนปริญญาโทสาขาการจัดการทางวัฒนธรรม ที่ให้ความใส่ใจต่อการเดินออกไปทำงานเสริมพลังการจัดการตนเองอย่างเข้มแข็งของชุมชน



ความเห็น (1)

รองศาสตราจารย์ ดร.วรลัญก์ บุณยสุรัตน์ ... เรียนจบปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยผมเอง รุ่นแรก ... ลุ่มน้ำโขงอะไรนี่แหละครับ

เติบโตว่องไวมากเลย เป็น รศ. ไปแล้ว

จำไม่ผิด เขียนหนังสือ เรื่อง "หลวงพระบาง" ด้วย ;)...

เล่าสู่กันฟังครับท่านพี่

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๑๙๕. Well Rounded Person : ศาสตราจารย์ ดร.นันทวรรณ บุญประภัสสร

วันศุกร์-เสาร์ที่ผ่านมานี้ ผมมีโอกาสดีได้รู้จักและนั่งสนทนากับสุภาพสตรีท่านหนึ่งที่ผมประทับใจและคิดว่าเป็นยอดในหลายด้าน ทั้งยอดครู ยอดนักวิจัย ยอดนักวิชาการ ยอดนักวิทยาศาสตร์สุขภาพ ยอดเภสัชกร ยอดหมอยาสมุนไพรไทย ยอดผู้อาวุโสที่ทรงภูมิปัญญาอย่างยิ่ง แต่ก็ติดดินอย่างยิ่ง ท่านคืออาจารย์นิด ศาสตราจารย์ ดร.นันทวรรณ บุญประภัสสร มหาวิทยาลัยมหิดล และเป็นผู้ประสานงานโปแกรมการวิจัยที่สำคัญหลายเรื่องของประเทศและของนานาชาติของ สกว. เมื่อแรกเจอนั้น หากใครไม่รู้ ก็ต้องคิดว่าอาจารย์คือหญิงสาวชาวบ้านทั่วไปคนหนึ่งที่คล่องแคล่ว อัธยาศัยดี งามทั้งรูปลักษณ์ บุคลิก และการโอภาปราศัย ต่อเมื่อได้คุยแล้วก็จะต้องออกปากอุทานไปแทบทุกเรื่อง เพราะท่านอาวุโสกว่า ๖๐ ปีแล้ว อีกทั้งทรงคุณวุฒิและมีบทบาทต่อการสร้างผลงานวิจัยที่นำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งดีๆหลายอย่างของสังคมไทยและวงวิชาการของโลก อาจารย์สอนผมหลายอย่างในทางอ้อมผ่านการเล่าประสบการณ์และสะท้อนคิดผสมผสานอยู่ในเรื่องราวต่างๆที่ท่านเล่า ทำให้ผมเห็นความเป็นนักวิชาการที่มีอุดมคติต่อประเทศชาติ งานวิชาการ การสร้างคน



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๑๙๕. สตูดิโอการเรียนรู้ทางสังคม กับนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ลำปาง

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้ไปสอนนักศึกษาปริญญาตรี คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ สาขาการพัฒนาชุมชน ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง เป็นครั้งแรกที่เคยไป มหาวิทยาลัยเหมือนตั้งอยู่ในที่ราบมีแนวเขาโอบโดยรอบ ไกลออกไปจากถนนสายหลักไม่มากนัก สภาพโดยรอบเหมือนแยกออกจากโลกภายนอก บรรยากาศเงียบเหมือนไม่ค่อยมีคน ดูแล้วเป็นมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสภาพชนบท ท้องถิ่นมีความมั่งคั่งหลากหลายทางสังคมวัฒนธรรม ใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้านรอบด้าน น่าเป็นสถาบันการศึกษาที่เหมาะสำหรับสาขาทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สิ่งแวดล้อม ชุมชน และทางด้านศิลปกรรมศาสตร์ มาก



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๑๙๔. ดูงานศิลปะที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ถนนเจ้าฟ้า

หลังได้ร่วมฟังปาฐกถาอุทัย ดุลยเกษม ครั้งที่ ๑๐ เรื่อง กองทัพบกกับความมั่นคงแห่งชาติ โดย พล.ท.อักษรา เกิดผล รองเสนาธิการกองทัพบก ที่กรมวิทยาศาสตร์ทหาร กองทัพบกแล้ว วันอังคาร ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ นี้ ผมจะไปคุยแนวการทำงานในอนาคตของคนทำงานทางเวชนิทัศน์และสาขาเทคโนโลยีการศึกษาทางการแพทย์ ของผู้ที่เพิ่งจบการศึกษาใหม่ ในสาขาเวชนิทัศน์ ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วันนี้เลยถือโอกาสระหว่างรอเดินทางในเย็นวันพรุ่งนี้ ไปดูงานศิลปะที่หอศิลป์ถนนเจ้าฟ้า เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ได้ดูงานอย่างจุใจ เพราะมีงานแสดงทางศิลปะแบบหมุนเวียนถึง ๔ งานด้วยกัน ๑.งานแสดงผลงานเดี่ยวของจิตรกรหญิงสุดรัก อุทโยภาศ ในชุด Once ณ ช่วงเวลาหนึ่งในอดีต ๒. การแสดงผลงานเดี่ยวของจิตรกรเขียนภาพแนวศิลปะล้านนา ๓. การแสดงผลงานของโครงการศิลปะคนรุ่นใหม่ ทางด้านศิลปะ ๒ มิติ ประติมากรรม วรรณกรรม ศิลปะภาพยนต์ ศิลปะการถ่ายภาพ ๔. วจนพุทธปฏิมา : Talking Budha Image นอกจากนี้ก็ได้ดูงานที่จัดแสดงถาวรอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ ได้ดูงานของขรัวอินโข่ง ดูงานของศาสตราจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ ดูลายรดน้ำตู้พระธรรมวัดอนงคาราม ดูภาพเขียนพระบท ดูภาพจิตรกรรมฝีพระหัตถ์ ดูงานของพระสรลักษณ์ลิขิต งานของกรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ฯ ซึ่งนับแต่ได้มีโอกาสเข้ากรุงเทพฯ ๓๐-๔๐ ปี ก็ได้ดูมาแล้วมากกว่า ๑๐ รอบ แต่ยิ่งได้ดู ก็ยิ่งสามารถซาบซึ้งแง่มุมต่างๆได้ดีขึ้น อาณาบริเวณโดยรอบหอศิลป์ ถนน และทางเดินเพื่อเข้าถึง ยังเข้าถึงได้ยากและไม่สะดวกแก่คนทั่วไปด้วยประการทั้งปวงอยู่เหมือนเดิม ดูไม่มีความเป็นสง่าราศรีของประเทศชาติ ทั้งไม่เอื้อต่อการที่ชาวบ้านและครอบครัวคนทั่วไป จะได้มีโอกาสพัฒนารสนิยมชีวิตและความลึกซึ้งแยบคายโดยงานศิลปะและภูมิปัญญาของชาติในงานศิลปะบ้าง เพิ่งได้ทราบจากข้อมูลนำชมว่าหอศิลป์ถนนเจ้าฟ้านี้เพิ่งจะเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อปี ๒๕๒๐ แสดงว่าผมได้เริ่มเข้ามาชมงานศิลปะ ณ ที่แห่งนี้ตั้งแต่ในปีแรกมาเลยทีเดียว



ความเห็น (1)

โห...อาจารย์ขา ดูไปดูมา ๓๕ ปีเอง

ไม่มากค่ะไม่มาก ถ้าเทียบภาษิตฝรั่ง

ชีวิตยังไม่เริ่มต้นเลย...อิอิ

ไม่ใช่อายุจริงนี่นา

ที่ มข.ก็มีพิพิธภัณฑ์นะคะ ทางออกประตูสีฐาน

สวัสดียามดึกนะคะอาจารย์

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๑๙๓. ความมั่นคงกับความเปลี่ยนแปลงในบริบทใหม่ของสังคมไทยและสังคมภูมิภาค

เมื่อวันเสาร์ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ผมได้ฟังปาฐกถาอุทัย ดุลยเกษม ครั้งที่ ๑๐ เรื่อง 'กองทัพบกกับความมั่นคงของชาติ' โดยพลโทอักษรา เกิดผล รองเสนาธิการกองทัพบก ที่กรมวิทยาศาสตร์กองทัพบก พล.ต.จเด็ด ใจมั่น เจ้ากรมวิทยาศาสตร์กองทัพบก เป็นเจ้าภาพในนามของลูกศิษย์ปริญญาเอก สาขาพัฒนศึกษาศาสตร์ ของท่าน ดร.อุทัย ดุลยเกษม ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร และพล.ท.อักษรา เกิดผล ผู้แสดงปาฐกถา ก็เป็นลูกศิษย์ของดร.อุทัย ดุลยเกษมเช่นกัน ในอนาคต มิติความมั่นคงของชาติ มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงต่างไปจากอดีตมาก ทั้งในระดับโลก ในประเทศ และในระดับภูมิภาค แนวคิดเกี่ยวกับความมั่นคงจะมีความเชื่อมโยงกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก และจะมีความเป็นการทำงานเชิงสังคม พัฒนาความร่วมมือกันในมิติอื่นๆของสังคม มากกว่าจะเน้นใช้พลังอำนาจทางทหารอย่างในอดีต กองทัพและทหารมืออาชีพ ก็จะมีการพัฒนาบทบาทการสร้างความมั่นคงทางสังคมในมิติอื่นๆเพื่อให้สอดคล้องกับภัยคุกคามอย่างใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนและเกิดมากขึ้น เช่น การกอบกู้อุบัติภัย การเผชิญความรุนแรงและการก่อการร้ายในเมือง การปฏิบัติการทางข่าวสารและสื่อทันสมัยในโลกไซเบอร์



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๑๙๒. พลังการใช้ตัวเราเองเป็นสื่อบุคคลเพื่อประสานเครือข่ายการงานและน้อมคารวะกัน

เมื่อวานนี้ ผมได้ต้อนรับแขกผู้มาเยือน ๒ คนด้วยความประทับใจและทำให้ได้การครุ่นคิดดีๆหลายอย่างเกิดขึ้นตามมาด้วย ทั้งสองท่านเป็นเด็กรุ่นใหม่ เป็นคนเรียนดีทั้งคู่ และเพิ่งจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คนหนึ่ง อีกคนหนึ่งเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเมื่อปีกว่า ปัจจุบันทำงานที่สถาบันพัฒนาการเรียนรู้และประชาสังคม หรือ Civicnet Institute ซึ่งเป็นสถาบันวิชาการและองค์กรทำงานแนวประชาสังคม มีเครือข่ายในภาคประชาสังคมอยู่ทั่วประเทศ ได้รู้จักและร่วมงานกับผมผ่านการทำงานเครือข่ายฟื้นฟูย่านอาศัยและเมืองเก่า และเครือข่ายพัฒนาการเรียนรู้สุขภาวะชุมชนในหลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร แพร่ น่าน ลำพูน และเชียงใหม่

เหตุที่ขึ้นไปเชียงใหม่และไปหาผมที่บ้านสันป่าตอง ก็เนื่องจากคนหนึ่งนั้นได้ไปบวชที่บ้านเกิดจังหวัดอุดรธานีและเพิ่งสึกออกมา มีโอกาสได้ไปประสานเครือข่ายการทำงานที่เชียงใหม่จึงได้เลยแวะไปให้ผมได้มีโอกาสอนุโมทนาบุญด้วย ผมไม่เคยเห็นคนรุ่นหลังจากผมเป็นสิบยี่สิบปี โดยเฉพาะคนที่ได้ผ่านการศึกษาสมัยใหม่ในขั้นสูง ว่ายังคงถือคติของสังคมดั้งเดิมอย่างนี้อยู่อีก ทั้งสองคนไปเช่ารถมอเตอร์ไซค์มา ๒๐๐ บาทแล้วขับตะลุยคลำทางเอาดาบหน้าไปหาผมที่บ้านสันป่าตอง ซื้อส้มติดมือไปกินด้วยกัน ๑ กิโล นั่งสนทนากันอย่างสัพเพเหระ แล้วต่างก็สะท้อนความสนใจว่าอยากมุ่งทำงานและเรียนรู้ที่จะทำให้ชีวิตมีความหมายมากกว่าเพียงการได้มีงานทำ มีเงินเดือน มีรถ มีบ้าน และสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างที่คนทั่วไปชอบมี

ผมจึงพาไปรู้จักครอบครัวเพื่อนบ้านของผมซึ่งดำเนินชีวิตอยู่ด้วยการทำงานศิลปะ จากนั้นก็พาเดินรอบๆบ้านและพานั่งคุยตามมุมต่างๆของบ้าน ผมรู้สึกดีที่ได้เห็นคนรุ่นใหม่มีวิธีคิดจริงจังต่อชีวิตและมีวิถีปฏิบัติของตนที่สะท้อนคุณค่าภายใจจิตใจออกมาสู่สิ่งต่างๆ อย่างนี้ด้วย



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๑๙๑. ระยะห่างและการรักษาความเชื่อมั่นงานทางวิชาการเชิงสังคมของการทำงานเชิงพื้นที่

ในแหล่งที่มีความขัดแย้งกันสูง และแหล่งที่มีขั้วทางสังคม ที่มีความแข่งขันและช่วงชิงการได้เปรียบกันหลายขั้ว รวมทั้งในสภาพที่อยู่ท่ามกลางความไม่นิ่งของสังคมและการเมืองนั้น การเดินเข้าไปทำงานเชิงพื้นที่ในหลายแห่งของประเทศทั้งในส่วนกลางและในท้องถิ่นของหลายภูมิภาค ได้ให้บทเรียนอย่างหนึ่งสำหรับการรักษากระบวนการทำงานในระยะยาวให้ดำเนินไปได้โดยได้รับความเชื่อถือและวางใจต่อกระบวนการทางวิชาการเป็นอย่างดีจากผู้คนหลากหลายกลุ่มในชุมชน ที่สำคัญคือ ในสภาพการณ์ดังที่กล่าวมานั้น ผู้คนจะหวาดระแวงว่าใครจะเป็นพวกใครและฝ่ายไหน และเมื่อมีส่วนร่วมในการทำงานเชิงพื้นที่ต่างๆแล้ว จะเป็นอันตรายต่อตนเอง, จะถูกดึงไปเป็นพวก, หรือจะตกเป็นเป้าถูกจับตามองของใครอย่างไรหรือไม่ ทำให้ริเริ่มและเข้าถึงการทำงานเชิงลึกที่เป็นเรื่องชีวิตการเป็นอยู่ต่างๆของคนในพื้นที่ไม่ได้

ดังนั้น สิ่งที่จะต้องตระหนักและให้ความสำคัญไปด้วยอยู่ตลอดเวลาก็คือ การมีกระบวนการที่สามารถแสดงให้เห็นได้อยู่ในตนเอง ที่จะมีผลต่อการปกป้องประชาชน ปัจเจก และชุมชน ให้พ้นออกจากสถานการณ์ในระดับความขัดแย้งและแบ่งเป็นขั้ว จัดกระบวนการเรียนรู้ค้นหาความเป็นส่วนรวมที่มีความเป็นเรื่องของทุกคนในชีวิตประจำวันและในอนาคตที่ไกลกว่าความขัดแย้งเฉพาะหน้า ทั้งนี้ ก็เนื่องจากในพื้นที่ซึ่งผู้ทำงานมีเครือญาติและตนเองมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน หรือมีกิจการ ตลอดจนมีการทำประโยชน์ต่างๆอยู่ในถิ่นนั้น จะสามารถตกเป็นเป้าหมายความหวาดระแวง ถูกบิดเบือนให้ความหมายการทำงานในพื้นที่ว่าเป็นการทำเพื่อสร้างฐานมวลชน สร้างพวกพ้อง สร้างผลประโยชน์เพื่อตนเองและทำลายโอกาสของผู้มีผลประโยชน์ที่แตกต่างฝ่ายอื่น ได้โดยง่าย คนทำงานจะต้องระมัดระวังในการรักษาระยะห่างและมุ่งการสนับสนุนเชิงวิชาการมากกว่าการปฏิสัมพันธ์ที่จะถูกให้ความหมายอย่างไม่สร้างสรรค์ได้อย่างง่ายดาย

ส่วนในพื้นที่การทำงานอื่นที่คนทำงานอยู่ในฐานะคนภายนอกพื้นที่หรือต่างถิ่น ก็ต้องหาโอกาสแสดงตนถึงความเป็นคนนอก ทำความเป็นคนนอกให้เป็นจุดแข็งโดยมุ่งทำงานอย่างทุ่มเทจริงใจ เพื่อให้เนื้องานและวิถีปฏิบัติต่างๆ ได้แสดงตนเองให้ชุมชนและคนอื่นๆเห็นได้ถึงการมีความลึกซึ้งต่อเรื่องราวต่างๆแบบคนที่อยู่ในชุมชน ซึ่งจะทำให้ผู้คนที่หวาดระแวงกัน มีความวางใจว่ากระบวนการทำงานของเรานั้นจะไม่เป็นขั้วการเมืองที่กำลังสร้างพวกพ้องและสั่งสมฐานการเมืองอีกพวกหนึ่ง เพราะมีความจริงใจต่อการปฏิบัติและเป็นคนนอกที่ไม่ได้มีขั้วผลประโยชน์อย่างที่คนอื่นเขาขัดแย้งกัน

ขณะเดียวกัน กระบวนการทำงานความรู้เชิงสังคมในพื้นที่และวิธีการทางวิชาการต่างๆ ก็จะได้ความเชื่อมั่น ผู้คนอุ่นใจ และถือเอาเป็นกลไกเพื่อการทำงานส่วนรวม เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง และก้าวข้ามผลประโยชน์ระดับการแบ่งขั้วกันได้

ดังนั้น วิธีหนึ่งที่ดีคือการมีหลักทำงานเชิงพื้นที่ให้ยืดหยุ่นเหมาะสมต่อเงื่อนไขอันแตกต่างกันในข้างต้น โดยในชุมชนอันเป็นถิ่นเกิดและถิ่นอาศัยของเรานั้น ต้องมุ่งรักษาระยะห่างและสร้างความวางใจให้หันเหออกจากความหวาดระแวง มุ่งไปสู่กระบวนการทางวิชาการให้เด่นชัดกว่าด้านอื่น ส่วนในถิ่นอื่นที่เราสามารถมีบทบาทในฐานะกลไกภายนอก ต้องทำในทางตรงข้าม โดยต้องมุ่งเข้าถึงอย่างทั่วถึงทุกฝ่ายอย่างใกล้ชิดเพื่อได้ความมั่นใจว่าคนทำงานนั้นสามารถคิด มีความซาบซึ้งต่อความเป็นชุมชน และรู้สึกร่วมต่อสิ่งต่างๆได้อย่างคนในชุมชน สร้างความวางใจในความเป็นกระบวนการที่เปิดกว้างและมีความเป็นสาธารณะสำหรับทุกคน

หลักการทำงานดังกล่าวนี้ เป็นหลักปฏิบัติที่ให้ความสำคัญต่อบริบทจำเพาะของชุมชนกับคนทำงานที่ผมได้บทเรียนจากพื้นที่หลายแห่งของประเทศเป็นครูในระยะกว่า ๑๐ ปีที่ผ่านมา หลายแห่งที่ไม่ละเอียดอ่อนต่อธรรมชาติอย่างนี้ของสังคมไทย ก็มักปรากฏให้เห็นอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยว่าการทำงานเชิงพื้นที่กลายเป็นถูกดึงให้เข้าไปเป็นองค์ประกอบของปัญหาต่างๆเสียเอง ทำงานเชิงลึกและสร้างความสืบเนื่องในระยะยาวไม่ได้ รวมทั้งเครือข่ายคนทำงานมักตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ต่างๆได้อย่างง่ายดาย ทำให้สังคมเสียโอกาสสร้างสรรค์สิ่งดีๆ  อังคาร ๑๑ มกราคม ๒๕๕๕



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เขียนเมื่อ

๑๙๐. ปีนี้ฤดูแล้งมาเร็ว

เมื่ออยู่ที่สันป่าตอง เชียงใหม่ ผมจึงจำเป็นที่จะต้องพยายามหาวิธีเห็นจังหวะความเคลื่อนไหวของชีวิตสังคม รวมทั้งสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อได้แนวจัดจังหวะและวาระความสนใจในวงจรชีวิตการทำงานของตนเองให้สอดคล้องพอดีๆกับถิ่นที่อาศัย ผมทำความรู้จักเทศกาลและสภาพสังคมแบบกว้างๆ ขณะเดียวกัน ก็ตบแต่งบ้านและจัดสภาพแวดล้อมชีวิตในบ้าน เพื่อให้เอื้อต่อการทำงานด้วยหรือทำให้การทำงานกับความเป็นชีวิตมีความสะท้อนกันไปด้วย ทำไปตามกำลังสติปัญญาและเงื่อนไขชีวิตที่จะลงมือทำขึ้นมาได้ มุมหนึ่งผมทำที่บอกระดับน้ำในสระบัว และทำให้เป็นองค์ประกอบศิลปะจัดวางตนเองของสภาพแวดล้อมในธรรมชาติรอบๆ โดยใช้ท่อน้ำประปาขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑ นิ้วครึ่ง ยาว ๔ เมตร ทาเป็นสีแดงกลีบกุหลาบและตบแต่งด้วยเส้นบอกระดับน้ำในสระ หลังจากทำแล้วจึงทำให้ได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงโดยรอบที่สะท้อนอยู่ในการลดและเพิ่มขึ้นของระดับน้ำได้อย่างชัดเจนมากกว่าที่ก่อนหน้านั้นจะดูจากแนวตลิ่ง วันนี้ ก็ได้สังเกตอีกว่า น้ำลดลงไปเกือบ ๗ เซ็นติเมตรหรือเกือบฝ่ามือ เมื่อลองเดินสำรวจแหล่งน้ำขังรอบบ้านและตามข้างถนน ก็พบว่าแหล่งที่เคยมีน้ำขังได้เหือดแห้งไปหมดทั้งที่เมื่อวานนี้ก็ยังมีอยู่พอสมควร ลักษณะอย่างนี้ หากเป็นในอดีตเมื่อตอนที่อยู่บ้านนอกที่นครสวรรค์ ก็จะเกิดภาวะแห้งแล้งเร็ว วัวควายและสัตว์ต่างๆ จะมีน้ำท่าที่ตกค้างตามแอ่งน้ำขังให้ได้ดื่มกินไม่คุ้มหน้าแล้ง แต่แมลงและเขียดกับสัตว์ที่กินแมลงจะมีมากกว่าปีอื่นๆ



ความเห็น (1)

พยายามจินตนาการ เรือนริมบัว

แล้วก็นึกถึงเพลง วิมานดิน เลยเจ้าค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท