จารุวัจน์ شافعى
ผศ.ดร. จารุวัจน์ ชาฟีอีย์ สองเมือง

ดอกไม้


ดร. ธวัชชัย ปิยะวัฒน์
เขียนเมื่อ

ตอนนี้ GotoKnow เริ่มใช้ Node.js ในบางส่วนของระบบแล้วครับ เพิ่มความเร็วของระบบได้อีกนิดหนึ่งครับ

7
0
โอ๋-อโณ
เขียนเมื่อ

งานนี้ต้องรีบบอกต่อค่ะ ถูกใจมากเพราะตอนนี้มีความรู้สึกอยากช่วยรณรงค์เรื่องนี้จริงๆ นั่นคือมีรายงานยืนยันชัดเจนอีกแล้วค่ะว่า การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตทำให้คนที่อยู่ในภาวะ"ก่อนจะเป็นเบาหวาน" (prediabetic) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าค่าที่ควรจะเป็น แต่ยังสูงไม่ถึงขั้นที่จะโดนติดป้ายว่าเป็น "เบาหวาน" ซึ่งตอนนี้คือกลุ่มที่มีระดับน้ำตาลอยู่ที่ค่าระหว่าง 110-125mg% สามารถที่จะกลับมาเป็นคนปกติที่ไม่ต้องเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานได้ เป็นรายงานจากการศึกษา 2 งาน ในวารสาร American Journal of Preventive Medicine Volume 44, Issue 4, Supplement 4 April 2013 คือ http://www.ajpmonline.org/article/S0749-3797(13)00023-8/abstract" target="_blank">The Healthy Living Partnerships to Prevent Diabetes Study หน้า S324-S332  และ http://www.ajpmonline.org/article/S0749-3797(13)00024-X/abstract" target="_blank">Cost of a Group Translation of the Diabetes Prevention Program หน้าS381-S389 ตามลิงค์ไปอ่านบทคัดย่อได้ค่ะ

ใครที่ตรวจร่างกายแล้วรู้ว่าระดับน้ำตาลในเลือดเริ่มจะขยับขึ้นๆเรื่อยๆจะได้ระวังปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตกันเสียแต่เนิ่นๆนะคะ

6
0
โอ๋-อโณ
เขียนเมื่อ

เพิ่งเขียนเล่าเรื่องที่อ่านพบว่าอัตราคนเป็นอัลไซเมอร์ของอเมริกาจะเพิ่มมากขึ้น แต่ก็มีรายงานในวารสาร Annals of Internal Medicine.5 February 2013;158(3):162-168. ว่าการที่ร่างกายแข็งแรงด้วยการออกกำลังกาย จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคความจำเสื่อมได้มากขึ้น อ่านบทคัดย่องานวิจัยนี้ได้ที่ The Association Between Midlife Cardiorespiratory Fitness Levels and Later-Life Dementia: A Cohort Study

จะได้มีแรงจูงใจให้พยายามออกกำลังกายให้สม่ำเสมอขึ้นอีกอย่างหนึ่งนะคะ

6
0
phakapan
เขียนเมื่อ

9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์ !!

        1. จิบน้ำบ่อยๆ สมอง ประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
        2. กินไขมันดี สมองของคนประกอบด้วยไขมัน ซึ่งจำเป็นจะต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง
         3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้วให้นั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลาย ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้าให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)
         4. ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
         5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความสุข อารมณ์ดี เป็นคนร่าเริงและไม่เครียด
         6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และมีความคิดสร้างสรรค์
         7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระเครียดของสมอง
         8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
         9. ฝึกหายใจลึก ๆ สมอง ใช้ออกชิเจน 20-25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %
             การ มีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม 

3
0
โอ๋-อโณ
เขียนเมื่อ

มีรายงานจากการศึกษาติดตามในคนไข้ Parkinson's disease พบว่าการออกกำลังกายแบบมีระบบมีประโยชน์ อ่านแล้วคิดถึงพยาบาลคนขยันของเรา-น้องโจ้-ชลัญธร ตามไปอ่านรายละเอียดได้ทางวารสาร Archives of Neurology ทางออนไลน์ เลยค่ะ

2
0
ดร. ธวัชชัย ปิยะวัฒน์
เขียนเมื่อ

คิดดูแล้วโลกนี้ก็มีปัญหาการศึกษาทั้งนั้น ไทยมีปัญหา "จ่ายครบจบแน่" หรือ "ความรู้ไม่ต้องน้องขอแค่ใบปริญญา (และพี่ยาขอค่าสอน)" ส่วนเกาหลีตอนนี้มีปัญหาว่าเด็กแข่งขันกันจนไม่เป็นผู้เป็นคน ถึงขั้นต้องมีตำรวจคอยตรวจเพื่อปิดโรงเรียนกวดวิชาที่เปิดเกินเวลา

หรือ "การศึกษา" คือปัญหาของโลก?

7
4
โอ๋-อโณ
เขียนเมื่อ

กินยาแก้ปวดที่ใช้กันบ่อยๆ 2 ชนิดนี้คือ Ibuprofen และ acetaminophen ที่ปกติเราจะเป็นห่วงแค่ว่ามันมีฤทธิ์กัดกระเพาะสำหรับ Ibuprofen ส่วน acetaminophen หรือที่เราคุ้นกับการเรียกว่ายาพาราเซ็ตนั้นก็เป็นพิษต่อตับ มีงานวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่า ในผู้หญิงหกหมื่นกว่าคน อายุช่วง 31-48 ปีที่ใช้ยา 2 ชนิดนี้บ่อยๆคือ 2-3 วัน/สัปดาห์, 4-5 วัน/สัปดาห์ และมากกว่าหรือเท่ากับ 6 วัน/สัปดาห์ จะมีโอกาสสูญเสียการได้ยินมากกว่ากลุ่มคนที่กินน้อยกว่าสัปดาห์ละครั้ง เพราะยา 2 ตัวนี้มีผลต่ออวัยวะในช่องหูด้วย แต่เราอาจจะไม่ค่อยรู้ ในผู้ชายก็มีการศึกษาที่พบผลเช่นนี้เหมือนกันค่ะ 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ Analgesic Use and the Risk of Hearing Loss in Women จากวารสาร American Journal of Epidemiology 

เป็นความรู้ใหม่ที่น่าเก็บมาเตือนกันต่อค่ะ ยาแก้ปวดที่เราคุ้นเคยไม่เป็นมิตรกับหูเรานะคะ อวัยวะไหนๆเมื่อตึงก็ดูเหมือนจะดีขึ้น ยกเว้นก็แต่"หู"นี่แหละ ต้องถนอมเอาไว้ให้ดี 

13
3
ผศ.ดร.วศิน เหลี่ยมปรีชา
เขียนเมื่อ

โจรกรรมทางวรรณกรรม  

จากที่ได้ไปเป็นกรรมการสอบสวนเรื่องเหล่านี้มา  การเอางานตัวเองมาใช้ แต่ไม่มีการอ้างอิงไว้ ถือว่าเป็น การโจรกรรมงานของตัวเอง ก็เข้าข่ายละเมิดด้วยเช่นกันครับ

3
3
ทิมดาบ
เขียนเมื่อ

เรามาเพื่อรับ...เพื่อเรียน... (เข้าใจชีวิต)  

 

ช่วงบ่าย...ผมออกไปตรวจสุขภาพพระ...กับน้องผู้ช่วย

การเข้า-การออก...แต่ละวัดให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไป

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง คือ ความสงบ ร่มรื่น และมวลต้นไม้

 

ระหว่างนั่งรถ...ไปอีกวัดหนึ่ง...มีเสียงมือถือเรียกเข้า

น้องที่อนามัยนั่นเอง...บอกว่า...พี่ๆ มีข่าวดีสำหรับพี่

ผมรีบบอกออกไป...มีคนไข้ไข้เลือดออกเหรอ?

เพราะเมื่อเสร็จคลินิกเบาหวาน...ผมก็ลงหมู่บ้านไปสอบสวนโรค

และแจ้ง อบต. ออกมาพ่นยา...ไม่ให้เกิดไข้เลือดออกอีก...และแจ้งข่าวหมู่บ้าน

ผมเลยกังวลในใจว่า...จะควบคุมโรคไม่อยู่...

 

น้องรีบบอกว่า...มีผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษา...ที่ท่านมาล้างแผลกับเรา

ท่านมาขอบคุณเรา...ที่เราให้บริการอย่างดี

ผมพอจำได้...เพราะมีคนไข้ที่เป็นคน กทม. ไม่มาก...แต่ไม่นึกว่า...ท่านจะเป็นผู้ใหญ่

พวกเราก็ให้บริการตามปกติ...

 

สำหรับผม...ผมก็ผ่านคำชม..และคำติ

คำชม...ก็รับไว้...ด้วยหัวใจที่ผู้ที่ต้องการให้เรา

ตำติ...ผมก็พยายามแก้ไขปรับปรุงตัว

เพราะชีวิตผม...มาเพื่อรับ...เพื่อเรียน....

และก้าวเดินทางไปท่ามกลางชีวิต

ที่ภาวนาเหลือเกิน...ให้มีสติและมีปัญญาเกิดขึ้นในชีวิตบ้างเท่านั้นครับ....

 

30 ส.ค.55

13
5
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท