เปลือยความสุข (30) : บ้าน... ผมมีความสุขกับการได้กลับบ้าน


ผมปลูกบ้าน ณ ทุ่งนาอันเป็นพื้นที่ชีวิตของผมเอง ผมกำลังพาตัวเองกลับสู่อดีตกาลของตนเอง และหันกลับไปปลุกอดีตให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยเฉพาะการปลูกต้นไม้ไว้ตามจุดต่างๆ ที่ผมเคยเห็นและเคยได้พิงพักอาศัยในอดีต

          สำหรับผมแล้ว  การกลับบ้านแต่ละครั้ง มักนำพาความอิ่มสุขมาเยือนหัวใจเสมอ
           ระยะทางจากที่ทำงาน (มหาสารคาม)  ไปจนถึงบ้าน (กาฬสินธุ์)  กินระยะทางในราวๆ ๘๐ กิโลเมตร 

          จะว่าไกลก็ไกล จะว่าใกล้ก็แสนใกล้ 
          หากแต่ในโลกแห่งชีวิตนั้น  การงานก็พรากผมห่างเหินไปจากบ้านอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

          บ้านของผมปลูกสร้างขึ้นมาเพียงเพื่อเป็น "พื้นที่ชีวิตของคนรัก"  นับตั้งแต่พ่อ แม่ พี่น้อง รวมถึงเพื่อนชีวิต และเจ้าลูกชายสองหนุ่ม หรือแม้แต่ลูกหลานเหลนโหลนทั้งปวง



 

          เคยมีคนถามทักอยู่บ่อยครั้งว่าทำไมถึงไม่ปลูกบ้านที่มหาสารคามอันเป็นอู่ข้าวอู่น้ำและเมืองแห่งการศึกษาที่เป็นเส้นทางอนาคตของลูกๆ
          หรือแม้แต่ทำไมต้องมาปลูกบ้านอยู่ท้ายทุ่ง ทั้งๆ ที่ในหมู่บ้านก็ยังสามารถรื้อหลังเก่าแล้วปลูกขึ้นใหม่ได้ 
 
          ครับ-ผมไม่เคยรกรำคาญใจกับคำถามสองคำถามเลยแม้แต่น้อย  ตรงกันข้ามกลับสุขใจ-อิ่มใจกับข้อซักถามเหล่านั้นเป็นที่สุด  เพราะมันทำให้ผมทบทวนสุขใจกับวิธีคิด ณ “ต้นน้ำ” ในการปลูกบ้านของตนเอง

           

 

          สำหรับคำถามแรกนั้น – ผมไม่อาจฝังเถ้ากระดูกตัวเองไว้ที่มหาสารคามได้  บรรพชนรากเหง้าของผมอยู่ที่ชนบทกาฬสินธุ์  ในยามที่ผม หรือแม้แต่ผู้คนในเครือญาติสิ้นเวรกรรมหมดลมหายใจไปจากโลกใบนี้ ผมไม่พึงปรารถนาให้กระดูกของผมพลัดบ้านมาไกล  ลำบากลูกเต้าต้องสัญจรกลับไปทำบุญให้กับผมและปู่ย่าตายาย หรือแม้แต่ญาติพี่น้องแบบข้ามจังหวัด 

           เรียกได้ว่าไปครั้งเดียวเบ็ดเสร็จหลายอย่างๆ ในตัวเองนั่นแหละ ซึ่งเรื่องราวที่ว่านี้ได้อธิบายให้เจ้าสองหนุ่มรับรู้ชัดแจ้งแล้ว พร้อมกับการวางแผนให้มีบ้านหลังเล็กๆ ในมหาสารคามอีกหลัง เพื่อรองรับวิถีชีวิตของเพื่อนชีวิตที่ต้องลูกแลเจ้าสองหนุ่มในเรื่องการเรียน  (ส่วนผมเกริ่นบอกไว้ล่วงหน้าว่าจะกลับไปเป็นชาวนา)  โดยกระนั้นก็คงอีกนานแสนนานมิใช่ย่อย เพราะลำพังตอนนี้การจัดการกับหนี้สินก็ยังเป็นเรื่องท้าทายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

 

 

          ส่วนคำถามที่สองนั้น- ผมจงใจปลูกบ้านที่ท้ายทุ่ง  มันเป็นความมั่นคง หรือปลงใจเลือกอย่างไม่อิดออด  เพราะทุ่งนาที่ว่านี้คือพื้นที่ชีวิตที่หล่อหลอมผมมาตั้งแต่เด็ก หล่อหลอมและหล่อเลี้ยงให้ผมเติบใหญ่มาจนบัดนี้  โดยไม่หลุดกรอบไปสู่เรื่องร้ายๆ และกลายเป็นภาระสังคมเหมือนวัยรุ่นทั่วไป

          ครับ-ทุ่งนาอันเป็นพื้นที่ชีวิตการปลูกบ้านของผมนั้น  เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กและวัยแรกหนุ่ม  ชีวิตผมว่ายวนอยู่ตรงนั้น  นับตั้งแต่ “นอนนา,เลี้ยงวัว,เกี่ยวหญ้า,เกี่ยวข้าว,รดน้ำผัก,ถอนมันสำปะหลัง,จับปลา, ดักนก, จีบสาว,” ฯลฯ
          วิถีอันเป็นนาฏการณ์เหล่านั้นฝังแน่นเป็นรากลึกอยู่ในตัวตนของผม  ถึงแม้วันนี้สภาพการณ์ต่างๆ จะเปลี่ยนผ่านไปอย่างมหาศาล หากแต่ทุกครั้งที่กลับบ้าน ผมกลับรู้สึกว่าทุกสิ่งอย่างยังมีตัวตน และกวักมือเรียกผมอย่างสุภาพอยู่ตลอดเวลา




          แน่นอนอนครับ  ผมปลูกบ้าน ณ ทุ่งนาอันเป็นพื้นที่ชีวิตของผมเอง  ผมกำลังพาตัวเองกลับสู่อดีตกาลของตนเอง  และหันกลับไปปลุกอดีตให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยเฉพาะการปลูกต้นไม้ไว้ตามจุดต่างๆ ที่ผมเคยเห็นและเคยได้พิงพักอาศัยในอดีต  หลายต่อหลายต้นถูกตัดโค่นไปเมื่อหลายสิบปีก่อน หากแต่ในปัจจุบัน  ผมเริ่มทยอยปลูกคืนกลับให้ใกล้เคียงกับที่เดิมของมันไปเรื่อยๆ เป็นต้นว่า  ต้นกระโดน,ต้นแดง, ต้นประดู่,ต้นมะกอก, ฯลฯ
          ขณะเดียวกันก็นำต้นไม้ต้นอื่นๆ เข้าไปใช้ชีวิตในพื้นที่เหล่านั้นร่วมกัน เช่น ต้นจาน, ต้นหางนกยูง, ต้นคูน, ต้นสัก, ต้นแคร์นา, ต้นกาสะลอง, ลั่นทม, ค้นยาง, ต้นตะเคียน, ต้นพยอม, ต้นหูกระจง ฯลฯ

         หรือแม้แต่เคยมีสระ ผมก็ขุดสระ  เคยมีเปลให้ผูกนอนก็หาเปลมาผูกมาแขวนไว้  เรียกได้ว่าทำทุกอย่างให้ใกล้เคียงกับพื้นที่ชีวิตในอดีต หรือความทรงจำของตัวเองให้ได้มากที่สุด

          เป็นธรรมดาครับ  หลายคนคงคิดและบ่นจิกในใจตัวเองว่าผมเป็นคนประเภทจ่อมจมกับอดีตอย่างไม่รู้จบ ชอบ (คิด) ใช้ชีวิตแบบเทาๆ หม่นๆ จะสุกใสสว่างชัดก็ไม่ใช่  จะมืดใบ้ก็ไม่เชิง

          ไม่เป็นไรครับ- ผมรู้ดีว่าการจ่อมจมกับภาพความหลังในท้องทุ่งที่ว่านี้  คงไม่ได้ฉุดรั้งให้ผมตกอับ ดักดาน  หรือหล่นหายไปจากสังคมได้หรอก  ตรงกันข้ามมันกลับทำให้ผมมีพลังในการทัดทานรับมือ หรือแม้แต่เอาตัวรอดจากอุปสรรคและความหลอกหลวงจากผู้คนในวันนี้ได้อย่างเข้มแข็ง

          และเชื่ออย่างแม่นมั่นว่า  ทั้งเพื่อนชีวิตและเจ้าลูกชายทั้งสองคนก็หลงรักพื้นที่ชีวิตแห่งนี้ไม่แพ้ผม ดังจะเห็นได้จากเจ้าสองหนุ่มรักที่จะกลับบ้านไปใช้ชีวิตกับปู่-ย่าอยู่เนืองๆ จนเป็นที่มาของบันทึก “เปลือยความสุข”  หรือ “ส่งลูกไปเรียนพิเศษที่บ้านนอก” นั่นแหละ


 

          ครับ- ผมมีความสุขกับการได้กลับบ้านเสมอ  ไม่ว่านานๆ ทีกลับครั้ง หรือกลับเพียงชั่วครู่ชั่วยาม  ผมก็มีความสุข

          และการกลับทุกครั้ง  ผมก็ไม่ลืมที่จะเดินทอดเท้าเยี่ยมชมสนทนากับหมู่ต้นไม้รอบๆ บ้าน  พร้อมๆ กับรดน้ำให้กับพวกมัน  ดึกดื่นก็รด –

          และนอกจากนั้นยังรวมถึงการวิ่งเล่นหยอกล้อกับ “เจ้าตูบ” พันธุ์พื้นบ้านสองสามตัว  ซึ่งทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์บ้านอย่างสัตย์ซื่อ

 

 

 

         ครับ- ผมมีความสุขกับการได้กลับบ้านเสมอ
         เพียง "หลับฝัน"  ว่าได้ "กลับบ้าน" ผมก็มีความสุข –

         ผมมีความสุขที่จะหลับฝันว่าได้กลับบ้าน – กลับบ้าน และกลับบ้าน

 

หมายเหตุ :  
บันทึกนี้เขียนขึ้นจากแรงบันดาลใจเมื่อครั้งกลับบ้านในวันพ่อ โดยการซื้อต้นไม้ไปปลูกเพิ่มไว้ที่บ้าน เป็นเสมือนของขวัญที่มีให้กับพ่ออย่างเงียบๆ 

หมายเลขบันทึก: 557041เขียนเมื่อ 22 ธันวาคม 2013 08:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 ธันวาคม 2013 10:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

ใช่แล้วค่ะกลับบ้านแล้วมีความสุขมากมายถึงแม้จะกลับแล้วอยู่ได้ไม่นาน อ่านจบแล้วได้ยิ้มมีความสุขไปด้วย ดีมากๆเลยค่ะที่มีโอกาสได้เตรียมการความสุขไว้ มีความสุขขณะที่ทำทุกครั้ง และความสุขในวันข้างหน้าที่พร้อมไปอยู่ตลอดไปถึงเวลานั้นต้นไม้คงโตเต็มไปหมด เป็นสิ่งที่พี่ดาเองก็อยากทำมากบ่นกับลูกไว้ ความฝันของแม่คือมีพื้นที่ปลูกต้นไม้มากๆ ตอนนี้ก็มีมากแต่อยู่ในกระถาง ก็สุขใจแต่ไม่เต็มที่สักเท่าไหร่ สงสารต้นไม้อยู่ในกระถาง

แก้วบานเต็มต้นที่บ้านสุพรรณ

เป็นเพราะชีวิตดั้งเดิมของคุณแผ่นดินมีความรัก + ความอบอุ่นมากกว่า...เช่นเดียวกับพี่เอง ไม่มีสิ่งใดที่ให้ความรัก + ความอบอุ่นเราได้เท่ากับครอบครัวของเราเอง...ดีแล้วค่ะ ดังที่พี่เขียนไว้ว่า เมื่อคนเราขึ้นที่สูงได้ ก็ต้องหาทางลงด้วยตัวของเราเองได้ด้วยค่ะ...ชอบภาพหนุ่มน้อยนี้จัง เหมือนชีวิตของ "พี่ภัคร" + "พี่เพรียง" เลยอ่ะ :):)

ชีวิตคนเราจะไปสูงได้นั้น พื้นฐานเบื้องล่างที่อยู่ต้องแน่นและแข็งแกร่งด้วย จะได้เป็นภูมิคุ้มกันให้กับพวกเขาได้ในอนาคตค่ะ เมื่อสูงแล้ว ต้องอย่าลืมอดีตที่เราเคยเป็นมาค่ะ...น้อยคนนักที่จะเป็นได้แบบนี้...ชอบ ๆ ๆ ๆ ค่ะ...

พี่ผมอ่านและเป็นสุขจริงๆบทความนี้ ..ผมเองก็จากบ้านมานับ 10 กว่าปี เรียน จนกระทั่งทำงาน ลืมไปเลยจริงๆความหมายของการอยู่ จนบางครั้งจะซื้อบ้านอยู่เมืองกรุง "แม่บอกว่าบ้านเราก็มีบ้านกลับมาที่บ้าน" ขอบคุณที่เรียกความรักและความทรงจำกลับคืนมากๆพี่ และภาพที่ผมประทับใจเจ้าตัวน้อย ปิ้งเนื้อย่างข้าวกิน จะมีไหมหนอเด้ก กทม. เมืองกรุงเป็นแบบนี้ รู้จักก่อไฟ นึ่งข้าว ย่างหรือไม่...วันนี้มีความสขุจริงๆบทความนี้ ผมอ่านเจอหนังสือบทนี้พอดีให้ด้วยครับพี่

ลูกแผ่นดินบอกว่า "...ผมกำลังพาตัวเองกลับสู่อดีตกาลของตนเอง และหันกลับไปปลุกอดีตให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยเฉพาะการปลูกต้นไม้ไว้ตามจุดต่างๆ ที่ผมเคยเห็นและเคยได้พิงพักอาศัยในอดีต"

...เหมือนอาจารย์แม่เลยค่ะ ที่ "ฟาร์มไอดิน-กลิ่นไม้" อาจารย์แม่จะเสาะหาต้นไม้ที่แม่ของอาจารย์แม่ปลูกไว้ที่สวนข้างบ้าน (ในภาพคือ มะกอก) พืชผักที่แม่ชอบกิน (ในภาพคือ ลิ้นฟ้า) รวมทั้งต้นไม้ที่พบเห็นในป่าเวลาตามแม่ไปเก็บเห็ด (ในภาพคือ มะเดื่อ) เพื่อระลึกถึงความสุขแต่หนหลังครั้งยังเป็นเด็ก และมีความสุขความอบอุ่นเมื่อได้อยู่กับแม่ ค่ะ (ไม่ค่อยได้กล่าวถึงพ่อ เพราะพ่อเสียตอนอาจารย์แม่อายุประมาณ 4 ขวบค่ะ)

กลับบ้านครั้งไหนก็มีความสุขเสมอนะครับ

ขอบคุณมากๆครับ

ขอบคุณมากๆครับ ได้รับความอบอุ่นกับครอบครัวที่มีธรรมชาติและความสุข

อนาคตบ้านหลังนี้ต้องร่มรื่นและเต็มไปด้วยความสุขค่ะ

พี่ขออวยพรให้เป็นเช่นนั้น และจะต้องเป็นเช่นนั้นค่ะ

บ้านที่เราเคยอยู่มาย่อมอยากจะไปอยู่นานๆเพราะยังคงความเป็นบ้านธรรมชาติ ต้นไม้และท้องทุ่งนะคะ คิดถึงบ้านเช่นกันสิ้นปีคงได้ไปนอนกับแม่แล้วค่ะ

น้องวนเวียนกับการทำกินเสมอนะคะ ดูจากหุ่น .... ไม่แปลกใจ

ไม่มีที่ใดสุขใจเท่าบ้านเรา อิ อิ เหมือนกันเลย ๒ - ๓ ทุ่ม ก็ยังรดน้ำต้นไม้

ใกล้เคียงมากค่ะ แบบบ้านและชายทุ่งของบ้านเกิด แต่ที่นาของพี่ห่างไป ๒ หมู่บ้าน

...บ้านดูโปร่งโล่งสบาย อบอุ่นน่าอยู่นะคะ...

คนนี้ .. ทำให้บ้านมีความสุข นะคะ

สบายดีนะครับ

กำลังจะโดนแม่ไล่ออกจากบ้านและกองมรดกเหมือนกันครับ

555

แวะมาสวัสดีปีใหม่กับอาจารย์แผ่นดินนะครับ

ด้วยความระลึกถึง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท