สำหรับผมแล้ว การกลับบ้านแต่ละครั้ง มักนำพาความอิ่มสุขมาเยือนหัวใจเสมอ
ระยะทางจากที่ทำงาน (มหาสารคาม) ไปจนถึงบ้าน (กาฬสินธุ์) กินระยะทางในราวๆ ๘๐ กิโลเมตร
จะว่าไกลก็ไกล จะว่าใกล้ก็แสนใกล้
หากแต่ในโลกแห่งชีวิตนั้น การงานก็พรากผมห่างเหินไปจากบ้านอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
บ้านของผมปลูกสร้างขึ้นมาเพียงเพื่อเป็น "พื้นที่ชีวิตของคนรัก" นับตั้งแต่พ่อ แม่ พี่น้อง รวมถึงเพื่อนชีวิต และเจ้าลูกชายสองหนุ่ม หรือแม้แต่ลูกหลานเหลนโหลนทั้งปวง
เคยมีคนถามทักอยู่บ่อยครั้งว่าทำไมถึงไม่ปลูกบ้านที่มหาสารคามอันเป็นอู่ข้าวอู่น้ำและเมืองแห่งการศึกษาที่เป็นเส้นทางอนาคตของลูกๆ
หรือแม้แต่ทำไมต้องมาปลูกบ้านอยู่ท้ายทุ่ง ทั้งๆ ที่ในหมู่บ้านก็ยังสามารถรื้อหลังเก่าแล้วปลูกขึ้นใหม่ได้
ครับ-ผมไม่เคยรกรำคาญใจกับคำถามสองคำถามเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับสุขใจ-อิ่มใจกับข้อซักถามเหล่านั้นเป็นที่สุด เพราะมันทำให้ผมทบทวนสุขใจกับวิธีคิด ณ “ต้นน้ำ” ในการปลูกบ้านของตนเอง
สำหรับคำถามแรกนั้น – ผมไม่อาจฝังเถ้ากระดูกตัวเองไว้ที่มหาสารคามได้ บรรพชนรากเหง้าของผมอยู่ที่ชนบทกาฬสินธุ์ ในยามที่ผม หรือแม้แต่ผู้คนในเครือญาติสิ้นเวรกรรมหมดลมหายใจไปจากโลกใบนี้ ผมไม่พึงปรารถนาให้กระดูกของผมพลัดบ้านมาไกล ลำบากลูกเต้าต้องสัญจรกลับไปทำบุญให้กับผมและปู่ย่าตายาย หรือแม้แต่ญาติพี่น้องแบบข้ามจังหวัด
เรียกได้ว่าไปครั้งเดียวเบ็ดเสร็จหลายอย่างๆ ในตัวเองนั่นแหละ ซึ่งเรื่องราวที่ว่านี้ได้อธิบายให้เจ้าสองหนุ่มรับรู้ชัดแจ้งแล้ว พร้อมกับการวางแผนให้มีบ้านหลังเล็กๆ ในมหาสารคามอีกหลัง เพื่อรองรับวิถีชีวิตของเพื่อนชีวิตที่ต้องลูกแลเจ้าสองหนุ่มในเรื่องการเรียน (ส่วนผมเกริ่นบอกไว้ล่วงหน้าว่าจะกลับไปเป็นชาวนา) โดยกระนั้นก็คงอีกนานแสนนานมิใช่ย่อย เพราะลำพังตอนนี้การจัดการกับหนี้สินก็ยังเป็นเรื่องท้าทายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ส่วนคำถามที่สองนั้น- ผมจงใจปลูกบ้านที่ท้ายทุ่ง มันเป็นความมั่นคง หรือปลงใจเลือกอย่างไม่อิดออด เพราะทุ่งนาที่ว่านี้คือพื้นที่ชีวิตที่หล่อหลอมผมมาตั้งแต่เด็ก หล่อหลอมและหล่อเลี้ยงให้ผมเติบใหญ่มาจนบัดนี้ โดยไม่หลุดกรอบไปสู่เรื่องร้ายๆ และกลายเป็นภาระสังคมเหมือนวัยรุ่นทั่วไป
ครับ-ทุ่งนาอันเป็นพื้นที่ชีวิตการปลูกบ้านของผมนั้น เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กและวัยแรกหนุ่ม ชีวิตผมว่ายวนอยู่ตรงนั้น นับตั้งแต่ “นอนนา,เลี้ยงวัว,เกี่ยวหญ้า,เกี่ยวข้าว,รดน้ำผัก,ถอนมันสำปะหลัง,จับปลา, ดักนก, จีบสาว,” ฯลฯ
วิถีอันเป็นนาฏการณ์เหล่านั้นฝังแน่นเป็นรากลึกอยู่ในตัวตนของผม ถึงแม้วันนี้สภาพการณ์ต่างๆ จะเปลี่ยนผ่านไปอย่างมหาศาล หากแต่ทุกครั้งที่กลับบ้าน ผมกลับรู้สึกว่าทุกสิ่งอย่างยังมีตัวตน และกวักมือเรียกผมอย่างสุภาพอยู่ตลอดเวลา
แน่นอนอนครับ ผมปลูกบ้าน ณ ทุ่งนาอันเป็นพื้นที่ชีวิตของผมเอง ผมกำลังพาตัวเองกลับสู่อดีตกาลของตนเอง และหันกลับไปปลุกอดีตให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยเฉพาะการปลูกต้นไม้ไว้ตามจุดต่างๆ ที่ผมเคยเห็นและเคยได้พิงพักอาศัยในอดีต หลายต่อหลายต้นถูกตัดโค่นไปเมื่อหลายสิบปีก่อน หากแต่ในปัจจุบัน ผมเริ่มทยอยปลูกคืนกลับให้ใกล้เคียงกับที่เดิมของมันไปเรื่อยๆ เป็นต้นว่า ต้นกระโดน,ต้นแดง, ต้นประดู่,ต้นมะกอก, ฯลฯ
ขณะเดียวกันก็นำต้นไม้ต้นอื่นๆ เข้าไปใช้ชีวิตในพื้นที่เหล่านั้นร่วมกัน เช่น ต้นจาน, ต้นหางนกยูง, ต้นคูน, ต้นสัก, ต้นแคร์นา, ต้นกาสะลอง, ลั่นทม, ค้นยาง, ต้นตะเคียน, ต้นพยอม, ต้นหูกระจง ฯลฯ
หรือแม้แต่เคยมีสระ ผมก็ขุดสระ เคยมีเปลให้ผูกนอนก็หาเปลมาผูกมาแขวนไว้ เรียกได้ว่าทำทุกอย่างให้ใกล้เคียงกับพื้นที่ชีวิตในอดีต หรือความทรงจำของตัวเองให้ได้มากที่สุด
เป็นธรรมดาครับ หลายคนคงคิดและบ่นจิกในใจตัวเองว่าผมเป็นคนประเภทจ่อมจมกับอดีตอย่างไม่รู้จบ ชอบ (คิด) ใช้ชีวิตแบบเทาๆ หม่นๆ จะสุกใสสว่างชัดก็ไม่ใช่ จะมืดใบ้ก็ไม่เชิง
ไม่เป็นไรครับ- ผมรู้ดีว่าการจ่อมจมกับภาพความหลังในท้องทุ่งที่ว่านี้ คงไม่ได้ฉุดรั้งให้ผมตกอับ ดักดาน หรือหล่นหายไปจากสังคมได้หรอก ตรงกันข้ามมันกลับทำให้ผมมีพลังในการทัดทานรับมือ หรือแม้แต่เอาตัวรอดจากอุปสรรคและความหลอกหลวงจากผู้คนในวันนี้ได้อย่างเข้มแข็ง
และเชื่ออย่างแม่นมั่นว่า ทั้งเพื่อนชีวิตและเจ้าลูกชายทั้งสองคนก็หลงรักพื้นที่ชีวิตแห่งนี้ไม่แพ้ผม ดังจะเห็นได้จากเจ้าสองหนุ่มรักที่จะกลับบ้านไปใช้ชีวิตกับปู่-ย่าอยู่เนืองๆ จนเป็นที่มาของบันทึก “เปลือยความสุข” หรือ “ส่งลูกไปเรียนพิเศษที่บ้านนอก” นั่นแหละ
ครับ- ผมมีความสุขกับการได้กลับบ้านเสมอ ไม่ว่านานๆ ทีกลับครั้ง หรือกลับเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ผมก็มีความสุข
และการกลับทุกครั้ง ผมก็ไม่ลืมที่จะเดินทอดเท้าเยี่ยมชมสนทนากับหมู่ต้นไม้รอบๆ บ้าน พร้อมๆ กับรดน้ำให้กับพวกมัน ดึกดื่นก็รด –
และนอกจากนั้นยังรวมถึงการวิ่งเล่นหยอกล้อกับ “เจ้าตูบ” พันธุ์พื้นบ้านสองสามตัว ซึ่งทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์บ้านอย่างสัตย์ซื่อ
ครับ- ผมมีความสุขกับการได้กลับบ้านเสมอ
เพียง "หลับฝัน" ว่าได้ "กลับบ้าน" ผมก็มีความสุข –
ผมมีความสุขที่จะหลับฝันว่าได้กลับบ้าน – กลับบ้าน และกลับบ้าน
หมายเหตุ :
บันทึกนี้เขียนขึ้นจากแรงบันดาลใจเมื่อครั้งกลับบ้านในวันพ่อ โดยการซื้อต้นไม้ไปปลูกเพิ่มไว้ที่บ้าน เป็นเสมือนของขวัญที่มีให้กับพ่ออย่างเงียบๆ
ใช่แล้วค่ะกลับบ้านแล้วมีความสุขมากมายถึงแม้จะกลับแล้วอยู่ได้ไม่นาน อ่านจบแล้วได้ยิ้มมีความสุขไปด้วย ดีมากๆเลยค่ะที่มีโอกาสได้เตรียมการความสุขไว้ มีความสุขขณะที่ทำทุกครั้ง และความสุขในวันข้างหน้าที่พร้อมไปอยู่ตลอดไปถึงเวลานั้นต้นไม้คงโตเต็มไปหมด เป็นสิ่งที่พี่ดาเองก็อยากทำมากบ่นกับลูกไว้ ความฝันของแม่คือมีพื้นที่ปลูกต้นไม้มากๆ ตอนนี้ก็มีมากแต่อยู่ในกระถาง ก็สุขใจแต่ไม่เต็มที่สักเท่าไหร่ สงสารต้นไม้อยู่ในกระถาง
เป็นเพราะชีวิตดั้งเดิมของคุณแผ่นดินมีความรัก + ความอบอุ่นมากกว่า...เช่นเดียวกับพี่เอง ไม่มีสิ่งใดที่ให้ความรัก + ความอบอุ่นเราได้เท่ากับครอบครัวของเราเอง...ดีแล้วค่ะ ดังที่พี่เขียนไว้ว่า เมื่อคนเราขึ้นที่สูงได้ ก็ต้องหาทางลงด้วยตัวของเราเองได้ด้วยค่ะ...ชอบภาพหนุ่มน้อยนี้จัง เหมือนชีวิตของ "พี่ภัคร" + "พี่เพรียง" เลยอ่ะ :):)
ชีวิตคนเราจะไปสูงได้นั้น พื้นฐานเบื้องล่างที่อยู่ต้องแน่นและแข็งแกร่งด้วย จะได้เป็นภูมิคุ้มกันให้กับพวกเขาได้ในอนาคตค่ะ เมื่อสูงแล้ว ต้องอย่าลืมอดีตที่เราเคยเป็นมาค่ะ...น้อยคนนักที่จะเป็นได้แบบนี้...ชอบ ๆ ๆ ๆ ค่ะ...
พี่ผมอ่านและเป็นสุขจริงๆบทความนี้ ..ผมเองก็จากบ้านมานับ 10 กว่าปี เรียน จนกระทั่งทำงาน ลืมไปเลยจริงๆความหมายของการอยู่ จนบางครั้งจะซื้อบ้านอยู่เมืองกรุง "แม่บอกว่าบ้านเราก็มีบ้านกลับมาที่บ้าน" ขอบคุณที่เรียกความรักและความทรงจำกลับคืนมากๆพี่ และภาพที่ผมประทับใจเจ้าตัวน้อย ปิ้งเนื้อย่างข้าวกิน จะมีไหมหนอเด้ก กทม. เมืองกรุงเป็นแบบนี้ รู้จักก่อไฟ นึ่งข้าว ย่างหรือไม่...วันนี้มีความสขุจริงๆบทความนี้ ผมอ่านเจอหนังสือบทนี้พอดีให้ด้วยครับพี่
ลูกแผ่นดินบอกว่า
กลับบ้านครั้งไหนก็มีความสุขเสมอนะครับ
ขอบคุณมากๆครับ
ขอบคุณมากๆครับ ได้รับความอบอุ่นกับครอบครัวที่มีธรรมชาติและความสุข
อนาคตบ้านหลังนี้ต้องร่มรื่นและเต็มไปด้วยความสุขค่ะ
พี่ขออวยพรให้เป็นเช่นนั้น และจะต้องเป็นเช่นนั้นค่ะ
น้องวนเวียนกับการทำกินเสมอนะคะ ดูจากหุ่น .... ไม่แปลกใจ
ไม่มีที่ใดสุขใจเท่าบ้านเรา อิ อิ เหมือนกันเลย ๒ - ๓ ทุ่ม ก็ยังรดน้ำต้นไม้
ใกล้เคียงมากค่ะ แบบบ้านและชายทุ่งของบ้านเกิด แต่ที่นาของพี่ห่างไป ๒ หมู่บ้าน
...บ้านดูโปร่งโล่งสบาย อบอุ่นน่าอยู่นะคะ...
คนนี้ .. ทำให้บ้านมีความสุข นะคะ
สบายดีนะครับ
กำลังจะโดนแม่ไล่ออกจากบ้านและกองมรดกเหมือนกันครับ
555
แวะมาสวัสดีปีใหม่กับอาจารย์แผ่นดินนะครับ
ด้วยความระลึกถึง