ในช่วงสงกรานต์ ปี 2552 ดิฉัน มีโอกาสพักผ่อนอยู่กับบ้านหลายวัน จึงถือโอกาสจัดชั้นหนังสือใหม่ พอดีไปพบหนังสือเล่มหนึ่ง ที่คนใกล้ชิดให้มาเมื่อตอนปีใหม่ ปี 2549 ยังอ่านไม่ทันจบ ก็มีคนยืมไป แต่เอามาคืนแล้ว และก็มีการจัดนำมาวางไว้บนชั้นหนังสือเมื่อไร ไม่ได้สังเกต เลยนำลงมาอ่านต่อ หนังสือเล่มนั้นคือ The Hidden Messages in Water ของ Dr. Masaru Emoto และเป็น New York Times Bestseller อีกเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนี้ ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ในการศึกษาเรื่อง น้ำ ที่ไม่เคยมีใครพบมาก่อน โดยมีการแสดงโฉมหน้าที่แท้จริงของน้ำ จากภาพถ่ายจากผลึกของน้ำด้วยอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว สนุก น่าทึ่งจริงๆ....แต่จะจริงแค่ไหน ส่วนตัวแล้ว..ไม่ทราบ..รู้แต่ว่า อ่านแล้ว... สนุก ..ไม่ทราบจะเป็น Pseudoscience (a methodology, belief, or practice that is claimed to be scientific) หรือเปล่า อ่านแล้ว ส่วนตัว มีคำถามเกิดขึ้นเยอะ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ที่จะไปค้นหาอะไรมากมายนัก บันทึกนี้ มุ่งเน้น ที่จะกล่าวถึง ประโยชน์ ของน้ำ มากกว่า
ต้นกำเนิดของน้ำจริงๆ ....มาจากไหนไม่มีใครรู้อย่างแ ท้จริง....
แต่ที่แน่นอนก็คือ น้ำบนผิวโลกของเรานี้มีปริมาณคงที่ และส่วนใหญ่อยู่ในรูปของน้ำทะเลซึ่งระเหยขึ้นไปในท้องฟ้าแล้วเป็นฝนตกลงมาใน รูปของน้ำจืด ฝนส่วนหนึ่งตกลงบนพื้นดินเป็นน้ำให้มนุษย์ สัตว์ และพืช ใช้ก่อนที่มันจะระเหยกลับไปหรือไหลกลับลงสู่ทะเลอีกครั้ง
ภาพข้างล่างนี้ hydrologic cycle กระบวนการหมุนเวียนของ น้ำ บนโลกของเรา
จริงๆแล้ว เรื่องของ น้ำ เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะตอนที่เรายังเป็นเซลล์ชีวิตเล็กๆ ที่เกิดจากการปฏิสนธิในครรภ์มารดา เรามีน้ำเป็นองค์ประกอบถึง 99% แต่เมือลืมตามาดูโลก น้ำในร่างกายลดลงมาที่ 90% ต่อมาก็มาอยู่ที่ 70 %ส่วนคนชรา น้ำจะลดลงเหลือเพียง 50 % กล่าวอีกนัยหนึ่ง ชีวิตของคนเรากับ น้ำ มีความสัมพันธ์กันอย่างมาก
ดร.มาซารุ กล่าวว่า ถ้าอยากจะมีชีวิตที่มีความสุข และมีสุขภาพดี แค่ทำน้ำที่มีอยู่ 70% ในร่างกาย ให้สะอาดก็พอ สายน้ำที่ไหลอยู่ตลอดเวลา จะทำให้น้ำสะอาด นั่นคือการไหลเวียนของเลือด ถ้าเลือดไหลเวียนไม่ดี ร่างกายจะเริ่มเน่า ถ้าเกิดกับเส้นเลือดในสมอง ก็ทำให้ถึงตายได้ น้ำมีความสำคัญต่อร่างกายยิ่งกว่าสารอาหารทุกชนิดในโลก ความเสื่่อมของร่างกายและความชราภาพก่อนวัยอันควรนั้น เชื่อว่า เกิดจากการที่เซลล์ของร่างกายขาดน้ำเรื้อรัง ร่วมกับมีอนุมูลอิสระ มาทำลายเซลล์ภายในร่างกาย นั่นเอง
พออ่านเรื่องนี้แล้ว ในครอบครัว ก็เกิดการตื่นตัวเรื่อง น้ำ ในบ้านเป็นการใหญ่ หันมาเอาจริงเอาจังกับเรื่อง น้ำเพื่อชีวิต Water for Life กันมากขึ้น โดยมีแพทย์ประจำครอบครัว คือ ศ.นพ.ดร.วิจิตร บุณยะโหตระ เป็นหัวหน้าทีม เริ่มกันที่ คำถามต่างๆ ดังนี้...
1.ใน 1 วัน ควรดื่มน้ำเท่าไรดี.... แพทย์ประจำที่บ้าน แนะนำว่า สำหรับผู้ชาย ดื่มวันละ 3 ลิตรหรือ 13 แก้ว แต่ผู้หญิง ให้ดื่ม 9 แก้ว หรือ 2.2 ลิตร ส่วนหลังการออกกำลังกายช่วงสั้นๆ ให้เพิ่มได้อีก1-2 แก้ว แต่ถ้าออกกำลังกายช่วงยาวๆ ให้เพิ่มได้อีกเป็น 2-3 แก้ว
2.ช่วงเวลาการดื่มน้ำ แพทย์ประจำที่บ้าน ให้ดื่มหลังตื่นนอนเลย 1 แก้ว เพื่อลดความเข้มของโลหิต และเพื่อความสดชื่นของร่างกาย ต่อไป ช่วงสายๆอีก 2 แก้ว เพื่อช่วยชำระของเสียในร่างกาย ตอนบ่ายๆ ดื่มน้ำอีก 3 แก้ว ตอนเย็นอีก 3 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว เพื่อชำระล้างสิ่งที่ตกค้างในลำไส้และกะเพาะอาหาร ถ้าเป็นน้ำอุ่น จะยิ่งทำให้นอนหลับดียิ่งขึ้น
พฤติกรรมการดื่มน้ำในแต่ละวัน จะเริ่มตรงไหน...1.แพทย์ประจำที่บ้าน บอกว่า พอตื่นขึ้นมา ก็ให้เริ่มดื่มน้ำเลย 1 แก้ว เพื่อความสดชื่น
2.ถ้าไปนอกบ้าน ก็ให้มีน้ำดื่มแบบขวดประจำรถไว้ด้วย แม้กระทั่งเวลา ทำงาน ก็ให้วางขวดน้ำไว้ใกล้ๆเลย
3.เพื่อไม่ให้รับประทานอาหารมากเกินไปในเวลากลางวัน ให้ดื่มน้ำก่อน 1 แก้ว สำหรับ ผู้ที่ มีระบบการย่อยดีมาก หิวบ่อย เพื่อป้องกันไม่ให้รับประทานมากเกินไป แพทย์แนะนำให้ ดื่มน้ำเย็นๆสักหนึ่งแก้ว เพื่อให้ร่างกายได้ใช้พลังในการทำให้น้ำเย็นๆดังกล่าว มีอุณหภูมิอุ่นขึ้นไปถึง 98.6°F.
สำหรับสารอาหารของน้ำ 1 แก้ว 250 mL มีดังนี้ ::...แคลอรี่: 0.0 โปรตีน: 0.0g คาร์โบรไฮเดรต : 0.0g ไขมัน0.0g ไฟเบอร์ :0.0g
นอกจากนี้ ยังได้อ่านพบ งานวิจัยของ Alfred Goodman Gilman ซึ่งเป็น American pharmacologist และ biochemist ท่านได้รับ 1994 Nobel Prize in Physiology or Medicine กับ Martin Rodbell ในการค้นพบเรื่อง G-proteins ซึ่งเป็นการค้นพบว่า น้ำ ทำหน้าที่เป็นสื่อระหว่างเซลล์ต่างๆ เชื่อมทุกระบบในร่างกายเข้าด้วยกัน เซลล์ในร่างกาย จะส่งคลื่นวิทยุติดต่อระหว่างกัน โดยที่สัญญาณวิทยุนี้นี้ จะส่งจากน้ำที่มีโครงสร้างขนาดเล็ก ที่อยู่ในเซลล์นั่นเอง
ในขณะเดียวกัน ดิฉันก็คิดไปถึง การดื่ม น้ำล้างโรค ที่เป็นส่วนหนึ่งของ โฮมีโอพาธี Homeopathy ซึ่งคือ การรักษาแบบองค์รวม โดยมองว่า การเจ็บป่วย เป็นสัญญาณ ของความไม่สมดุลภายในร่างกาย ดังนั้น จึงเน้นแก้ไข ปัญหาพื้นฐาน ทั้งทางร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย ไม่ใช่รักษาแต่อาการ ที่แสดงออกมาเท่านั้น และจะมีการ ใช้ยาจากธรรมชาติ เพื่อเพิ่มพลัง ในการให้ร่างกาย รักษาตัวเองด้วย การรักษาแบบนี้ เก่าแก่มาก ย้อนไปถึงศตวรรษ ที่4-5 ก่อนคริสตกาล สมัยฮิปโปเครติส ภาพนี้คือ ครกบดยาโบราณ ในการใช้การรักษาแบบ homeopathic remedies
ปัจจุบัน ทราบว่า ในประเทศญี่ปุ่นก็กำลังนิยมการดื่มน้ำเมื่อท้องว่างผ่านกระเพาะเพื่อรักษา สุขภาพที่ดี พฤติกรรมนี้เกิดจากข้อเท็จจริง ที่ยืนยันด้วยการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่พบว่า น้ำสามารถใช้ชะลอความแก่ และบำบัดรักษาโรค แบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างได้ผล แต่จะ 100%หรือเปล่า ไม่แน่ใจ โรคที่มักจะใช้วิธีดื่มน้ำล้างโรคนี้คือ โรคความดันโลหิตสูง โรคกระเพาะ โรคเบาหวาน โรคท้องผูก โรคมะเร็ง และวัณโรค โดยแนะนำ ดื่มน้ำ 4 แก้ว (640 ซีซี) ทันทีที่ตื่นนอนตอนเช้า
ภาพข้างล่างนี้ เป็นภาพโมเลกุลของน้ำ(H2O)
แม้ว่า โครงสร้างโมเลกุลของน้ำ จะดูเรียบง่าย แต่สถานะทางกายภาพและทางเคมีของน้ำ กลับเป็นเรื่องซับซ้อน และก็ไม่ใช่ รูปแบบปกติสามัญที่พบเห็นกันทั่วๆไปในพิภพ เช่นก้อนน้ำแข็ง ที่ลอยน้ำอยู่ในแก้วน้ำ ก็มิใช่ คุณลักษณะ ทางเคมีโดยปกติ เพราะถ้าเป็นลักษณะของสารประกอบโดยทั่วไปแล้ว สภาพที่เป็นก้อนทึบ จะต้องหนักกว่าน้ำ และน้ำแข็งก็ควรต้องจมอยู่ที่ก้นแก้ว หรือแม้กระทั่งก้อนน้ำแข็งใหญ่ๆ ที่บริเวณที่มีอากาศหนาวเย็นจัดต่างๆ ก็ยังลอยอยู่เหนือน้ำได้ และยังมีชีวิตสัตว์อีกไม่น้อย ที่อาศัยอยู่ภายใต้ ก้อนน้ำแข็งยักษ์เหล่านั้น จาก..เอนไซโคลพีเดีย Britannica
เอนไซโคลพีเดีย Britannica
ทีนี้ มาดูถึงคุณภาพของน้ำ ที่เหมาะสมที่จะดื่ม...ปกติ ดิฉันจะไม่ดื่มน้ำจากก๊อกน้ำประปา แต่จะดื่มน้ำที่ผ่านการกรองระบบ Reverse osmosis systems เท่านั้น แต่ปัจจุบัน มีการศึกษาถึง คุณสมบัติของน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ จากข้อเขียนของ ศ.นพ.วิจิตร บุณยะโหตระ ย่อๆ ดังนี้....
1.ควรมีฤทธิ์เป็นด่าง ( pH 7.6-8.5) เพราะ น้ำที่มีฤทธิ์เป็นด่าง จะช่วยล้างพิษของความเป็นกรดในร่างกาย สร้างสภาวะสมดุล ให้แก่ปฎิกิริยา ชีวเคมีที่สำคัญๆ ภายในเซลล์ รวมทั้งการสร้างเอนไซม์และฮอร์โมนเป็นต้น
2.น้ำที่มีฤทธิ์เป็นด่าง เป็นสารละลายที่ดีที่มีแรงตึงผิวต่ำ สามารถละลายสารอาหารได้ครบถ้วนสมบูรณ์ อีกทั้งน้ำที่เป็นด่าง สามารถดูดซับอ็อกซิเยนเข้ามาเก็บไว้ได้มากกว่าน้ำที่เป็นกรดถึง 100เท่า เป็นต้น
3.มีข้อมูลทางวิชาการ ปรากฏอยู่ อ้างว่า ด้วย นาโนเทคโนโลยีล่าสุด เราสามารถย่อยโมเลกุลของน้ำให้เกาะกลุ่มเล็กลง และมี รูปร่างเป็นรูปหกเหลี่ยม ซึ่ง สามารถเข้าและออกจากเซลล์ได้ดี ทั้งยังมีคุณสมบัติต่อสุขภาพหลายประการ สามารถวัดค่าได้ทางวิทยาศาสตร์ เช่น ค่าความสามารถต้านอนุมูลอิสระ (ORP) ค่าความเป็นด่าง และค่าออกซิเจน ที่สูงกว่าน้ำธรรมดาทั่วไป ( ข้อนี้ มีรายละเอียด แต่ไม่ขอกล่าวถึง เพราะไม่สามารถรับประกันความถูกต้อง ของข้อมูลได้ )
อย่างไรก็ตาม ดิฉันก็ยังเชื่อว่า การดื่มน้ำ ก็ควรอยู่ในปริมาณที่พอดี ซึ่ง ความพอดีนี้ ก็ขึ้นอยู่กับ ความพอดี ของแต่ละคนด้วย เพราะผลเสียจากการดื่มน้ำในปริมาณมากเกินไป ก็มีเหมือนกัน เช่น ท้องอืด ปัสสาวะบ่อย แต่ในทางกลับกัน ถ้าดื่มน้ำ น้อยเกินไป ร่าง กายก็จะเหี่ยวเฉา ผิวหนัง ผิวกายและเส้นต่างๆ ก็จะตึงเพราะเลือดข้นมาก ทำให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้น การสูบฉีดเลือด ก็จะเป็นไปอย่างลำบาก ทั้งการส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆในร่างกายก็จะไม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
หมายเหตุ อ้างอิงจาก :: 1.จากประสบการณ์ชีวิตส่วนตัว ด้าน Water Treatment และเรื่องอาชีวอนามัย มาหลายปี ดูแลเอง อย่างใกล้ชิด โดยได้มีโอกาสทำงานกับผู้เชี่ยวชาญทั้งคนไทย และต่างประเทศ ในเรื่องนี้ด้วย
2. ข้อมูล จาก เอนไซโคลพีเดีย Britannica
3. The Hidden Messages in Water ของ Dr. Masaru Emoto
4. จาก The US Environmental Protection Agency
5. กรมควบคุมมลพิษ