คิม นพวรรณ


-
คนบ้านบ้าน อยู่อย่างเอกเขนก
Username
krukim
สมาชิกเลขที่
36128
เป็นสมาชิกเมื่อ
เข้าระบบเมื่อ
-
(ไม่มีตั้งแต่ พ.ศ. 2564)
ประวัติย่อ

 รางวัล "สุดตะลึง"

http://gotoknow.org/blog/pr4u/260154

ประจำเดือน เมษายน ๒๕๕๒

http://gotoknow.org/blog/pr4u/258552

 
  • เคยรับราชการครู   สอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนบ้านนอก   รับใช้ราชการเป็นเวลา ๒๖ ปี   เป็นผู้ที่ไม่มีสิ่งที่น่าสนใจ  ค่อนข้างธรรมดา ๆ

     

    ส่วนตัว : เป็นคนซื่อบรื้อ  รักษาสัจจะ รักษาสัญญา  รักษาเวลาและโอกาส  "เป็นมิตรกับทุกคน"

     

    สิ่งที่ไม่ชอบ : คนเหลวไหล 

     

    คติเตือนใจ "ทำดีเพื่อดี ทำงานเพื่องาน" 

     

    เมื่อเป็นครูก็ฝันว่า "ขอเป็นครูคนหนึ่งที่นักเรียนรู้จัก"

     

    ผลงาน : ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ ให้สังคมเฉลยเอง

     

    การศึกษา :  ศศ.ม การบริหารการศึกษา และ ฯลฯ 

      

    ปัจจุบัน : ไม่มีอาชีพ 

     

               ลาออกจากราชการตามโครงการมาตรการปรับปรุงอัตราข้าราชการครู กระทรวงศึกษาธิการ (เออร์ลี่รีไทร์) เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ 

     

             สาเหตุที่ลาออกเพราะเบื่อระบบ   เป็นทุกข์เพราะทำงานไม่ได้เต็มที่  เมื่อลาออกจากราชการแล้วก็กลายเป็นคนไม่มีอาชีพ  แต่ไม่ว่างงาน  มีงานทำตามอำเภอใจ  สิ่งสำคัญหลัก ๆ คือ "การสอนตัวเอง" แบ่งเวลา แบ่งความสุขให้คนรอบข้างตามโอกาส

     

    http://www.okkid.net/blog_profile.php

    http://portal.in.th/krukim/pages/11685/


    Large_k9922

    Large_k0847

    ก่อนวัยเรียนและวัยเรียน

                เราเป็นเด็กที่ถูกเตรียมความพร้อมมาก่อน  เมื่อถึงคราวไปโรงเรียน  ทำให้เราพอจะแตกฉานกว่าคนอื่น  อ่านออกและบวกเลข ลบเลขได้  คุณครูคนแรกเป็นครูผู้ชายชื่อคุณครูบุญรัตน์ อานุภาพ  ตัวสูงยาว เก้งก้าง คุณครูชมว่าเราเป็นเด็กเรียนเก่ง เรียนดี  ตามความคิดของสมัยก่อนโน้น  ตลอดเวลาของชั้นประถมศึกษาก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเด็กเรียนดีเยี่ยมยอด จะเห็นว่ายังมีคนอื่น ๆ ที่เรียนดีกว่า

     

                เมื่อผ่านชั้นประถมศึกษา  สู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น  เราก็ยังถูกคุณครูหรือใคร ๆ มองว่าเราเป็นเด็กกลุ่มเรียนดี เรารู้ตัวทุกครั้งเมื่อถูกชม  อันที่จริงเราไม่ได้เป็นเด็กเรียนเก่งหรือเรียนดีเหมือนที่ทุกคนเข้าใจ  แต่เป็นเพราะเรามีโอกาสในการทุมเทให้กับการเรียนมากกว่าเพื่อน ๆ ต่างหาก วัน ๆ เราไม่ได้ทำอะไรเลย  หมกมุ่นอยู่กับการอ่านการเขียน กองหนังสือโต ๆ ใครเดินผ่านไปผ่านมาก็นึกชื่นชมว่าเป็นเด็กขยัน  เนื่องจากถูดจำกัดสิทธิ์ในการออกไปคบเพื่อนอย่างอิสระต่างหาก

     

                เรารู้ตัวเสมอว่าเราชอบหรือไม่ชอบเรียนวิชาใดบ้าง วิชาที่น่าเบื่อและไม่ชอบเรียนได้แก่วิชาพลศึกษา เพราะครูดุ ตีนักเรียนด้วยสายนกหวีด ทำให้เราต้องหาเรื่องป่วยไปนอนที่ห้องพยาบาลเสมอ ๆ เราไม่มีทักษะในกีฬาทุกประเภท  วิชาศิลปศึกษา เราก็ไม่ชอบเป็นรองลงมา เพราะเป็นครูผู้ชายเช่นกัน และดุมากหน้าตามีแต่บูดบึ้งไม่มีรอยยิ้ม  เหมือนเครียดมาตลอดชีวิต อีกวิชาหนึ่งคือวิชาภาษาไทย  ครูพูดไม่ได้ยินและครูนั่งอยู่ที่โต๊ะ นาน ๆ จะมาเขียนกระดานสักครั้งหนึ่ง

     

                ครูทั้ง ๓ ท่านที่กล่าวมามีคุณลักษณะตรงกันคือเป็นครูที่ลำเอียง  ครูผู้ชายชอบหยอกล้อกับนักเรียนหญิงที่หน้าตาดี และแก่นแก้ว  ส่วนครูภาษาไทยเลือกลงโทษ  ไม่ลงโทษเราตอนที่เราทำผิด เนื่องจากวันนั้นเรามีเต้นท์ทหารมาให้สามีของคุณครูยืม สาเหตุที่ทำผิดคือนักเรียนทุกคนนำกระดาษมาพันแล้วใส่ยางวงยิงกันเล่นในห้องเรียน แล้วบังเอิญมีคนหนึ่งยิงไปถูกแขนของคุณครู  ทำให้คุณครูมาสอบถามหาคนที่เล่นแบบนี้  มีเล่นกันหลายคนรวมทั้งเราด้วย  คุณครูจึงลงมือตีเรียงไปทีละคนแต่เว้นเราไป แม้ว่าเราจะสารภาพผิด

     

                วิชาที่ฉันชอบมากอยากเรียนทุกวันคือ  ประวัติศาสตร์ คุณครูผู้หญิง ตัวเล็กบอบบาง แม้ว่าหน้าตาจะไม่สวย ผิวค่อนข้างคล้ำแต่คุณครูมีความน่ารักมาก  เพราะใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา คุณครูท่านนี้ชื่อคุณครูคมขำ  (บุคลิกภาพสมชื่อ) เปิดโอกาสให้นักเรียนซักถามตลอดเวลา วันที่มีเรียนวิชาประวัติศาสตร์เราจะเตรียมตัวดีมาก  อ่านไปล่วงหน้า ตั้งใจฟังตั้งแต่วินาทีแรกจนจบชั่วโมง  จำคำพูดของคุณครูได้ทุกถ้อยคำ  รองจากวิชาประวัติศาสตร์คือวิชาภาษาอังกฤษ  เพราะคุณครูส่วนมากเป็นต่างชาติ มีกระบวนการเรียนการสอนดี ไม่เบื่อหน่าย ให้กำลังใจเสมอ ๆ ไม่ตำหนิให้อับอายเพื่อน ๆ และเป็นวิชาที่เรียนแล้วรู้เรื่องเข้าใจ  จำได้ก็ไม่มีปัญหา  นอกนั้นชอบบ้างไม่ชอบบ้าง แต่ไม่ถึงกับเกลียด  เช่นวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ก็ไม่น่าเบื่อไม่ยากเกินไป  เพราะคุณครูสอนดี เอาใจใส่นักเรียนเสมอกัน จึงทำให้เราตั้งใจเรียนทำให้เราเรียนภาษาอังกฤษได้ดี  เพราะเรามี "ครูดี"  และสนใจประวัติศาสตร์มาจนทุกวันนี้

     

               จบการศึกษาชั้นมัธยมต้นแล้ว เราเลือกไปเรียนต่อมัธยมปลายสายวิทยาศาสตร์  ทำให้เราเปลี่ยนบุคลิกภาพจากหน้ามือเป็นหลังมือ  เพราะเราเรียนไม่ทันเพื่อน  แต่ละวันรู้สึกงงแม้กระทั่งไม่สามารถจดจำทิศทางกลับบ้านได้ ต้องนั่งทบทวนอยู่นาน  ถ้าวันไหนมีการเรียนภาษาอังกฤษบ้างก็พอหายเครียด  แต่เราก็เรียนจบมาด้วยโรงเรียนกวดวิชาและการท่องจำ ท่องแม้กระทั่งคำนวณเป็นข้อ ๆ

     

              เรามีความฝันว่าอยากจะเรียนเป็นนักสังคมสงเคราะห์   เนื่องจากสมัยนั้นการแนะแนวยังไม่เฟื่องฟูเหมือนปัจจุบัน แต่พ่อและแม่ก็ให้อิสระในการเลือกอาชีพ ฝันที่เป็นรองก็คือเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ  และอยากมีแฟนเป็นนักการเกษตรทำไร่ ทำสวนอยู่ในฟาร์มเล็ก ๆ

     

             ความเป็นจริงซึ่งมันไม่ใช่ความฝัน  ไม่มีหนุ่มนักเกษตรคนไหนมาให้เราเลือก  สุดท้ายเราเป็นฝ่ายถูกเลือก  และมีจังหวะได้เลือกอีกส่วนหนึ่งคือเลือกใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายในเครื่องแบบ  แต่เป็นเครื่องแบบคนละสีกับสายเลือดอันเข้มข้นของเรา  เพราะเหตุนี้เครื่องแบบคนละสีจึงมีความแตกต่างที่เด่นชัดเรื่องระเบียบวินัยและวัฒนธรรม ความล้มเหลวจีงเกิดขึ้น  เมื่อผ่านพ้นมาได้ถือว่าเป็นฝันร้ายชั่วขณะ

     

            เราใช้เวลาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเกินหลักสูตรคือ  ๔ ปี และอีก ๑ ภาคเรียน  เพราะขี้เกียจ ไม่ขยันเรียน  ไม่ส่งรายงานตามกำหนด ทำคะแนนไม่ถึง  สอบไม่ผ่าน  รวมแล้วเป็นเรื่องของระดับสติปัญญาไม่ดี  มากกว่าความเกเรหรือหนีเรียน ผลของระดับคะแนนก็ออกมาต่ำคือแค่ผ่าน  สมัยนั้นการศึกษาต่อในระดับปริญญาโทจะหมดสิทธิ์ไปทันที ต้องออกไปทำงาน  และมีโอกาสได้มาเรียนต่อระดับปริญญาโทนอกระบบในภายหลังที่เขาเปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการพัฒนาตนเอง โดยไม่จำกัดเกรดเฉลี่ย 

     

             การเรียนในระดับปริญญาโท เป็นไปตามความจำเป็นเพื่อต้องพัฒนาตนเองมากกว่าความนิยม  แต่ละที่แต่ละแห่งเราสามารถฝ่าฟันไขว่คว้าเอาปริญญามา รู้สึกว่าเหมือนการเดินทางไปท่องเที่ยว ไปหาเพื่อนที่ไหนสักแห่งในเวลาอันจำกัด หมดเวลาก็ต้องกลับบ้าน  ที่ไหนมีประตูเปิดกว้างก็หาเรื่องไปเที่ยวอีก  ทำให้ฉันมีโอกาสไปเดินเล่น ๆ เรียน ๆ ในระดับปริญญาโทหลายแห่ง หลายสถาบัน  เพราะเรียนยิ่งเรียนก็ยิ่งสนุก

     

             แต่การเรียนรู้ชีวิตนี้มันมากล้น และมีความมันที่จะเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ไม่จำกัดกาลและเวลา เสพมันได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่ต้องไม่เหนือกว่าสติ

     

    วัยหาเลี้ยงชีพ

              งานแรกที่ต้องทำคือ "ลูกจ้างเอกชน" และเปลี่ยนที่ทำงานไปหลายแห่งออกมาเกาะพ่อแม่กินไปวัน ๆ   ในที่สุดก็ออกมา "รับราชการครู" และเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้ายและตามที่เคยใฝ่ฝันไว้ตอนวัยเด็ก  จึงมี "ความศรัทธาเรื่องความใฝ่ฝัน" ถ้ามีฝันก็จะสมปรารถนา ตอนนั้นยังไม่ทราบว่าครูบ้านนอกนั้นเป็นอย่างไร  หากติดตามอ่านบันทึกของเราก็จะได้รายละเอียดเกี่ยวกับเรา

     

             อาชีพครู ทำให้เรารักและภาคภูมิใจมากกับคำว่า "ครูบ้านนอก" เข้ากระแสเลือด  ทั้งจิตใจและวิญญาณมันบอกเราว่า "อุดมการณ์กินไม่ได้ก็จริง  เพราะมันไม่ได้มีไว้กิน"  เราตั้งใจว่าจะไม่ลาออกก่อนเกษียณอายุราชการ  หากถ้าเราครบเกษียณแล้ว  เราจะกลับไปทำงานสอนเด็ก ๆ ให้กับโรงเรียนเดิมที่เราเคยอยู่  เพราะอย่างน้อยเราก็มีเงินเดือนข้าราชการบำนาญอยู่แล้ว  ผสมผสานกับเงินที่เราคอยเก็บเล็กผสมน้อยมาเรื่อย ๆ ก็ทำให้เราอยู่ได้ไม่ขัดสน

     

             ประวัติการทำงาน  : ครูโรงเรียนเอกชน  บริษัทเอกชนหลายแห่ง ลาออกไปเตะฝุ่นอยู่เกาะกินพ่อแม่เรื่อยไปเพราะร้อนวิชา  เอาดีไม่ได้หันกลับมาสอบแข่งขันเข้ารับราชการครู  ครั้งแรกในการรับราชการคือเมื่อตำแหน่งอาจารย์ ๑  ระดับ ๓  พัฒนาตนเองเข้าสู่ตำแหน่งอาจารย์ ๓ ระดับ ๖ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๐   และครั้งสุดท้ายในตำแหน่งราชการคือ ครู ค.ศ. ๓ วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ

     

             การเข้าสู่ตำแหน่งอาจารย์ ๓ ระดับ ๖ วิชาภาษาอังกฤษ  (รุ่นโบราณตามกาลเวลา) ใช้เวลาพัฒนาตนเองเป็นเวลา ๔ ปี  ตั้งแต่มีตำแหน่งเป็นอาจารย์ ๒ ระดับ ๕ เมื่อเงินเดือนถึงระดับ ๖   จึงส่งผลงานขอเลื่อนระดับเพื่อให้ตำแหน่งทางวิชาการตามเกณฑ์ (สมัยนั้น) จึงมีงานเป็นชิ้นเป็นอันดังนี้

     

    ๑. แผนการเรียนรู้รายชั่วโมงตลอด ๑ ปีการศึกษา จำนวน ๒๐๐ แผน

    ๒. นวัตกรรม ๑ เล่ม  ๔๐ แบบฝึกหัด  ใช้เวลาทดลองสอนจริง  ๔๐  ชั่วโมง สำหรับแก้ปัญหานักเรียนไม่เข้าใจวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา

    ๓. หนังสือส่งเสริมการอ่าน Nakornthai Tourist Attraction ๑ เล่ม  ใช้เวลาสอนจริง ๑๐ ชั่วโมง

    ๔. รายงานการใช้นวัตกรรม (วิจัยในชั้นเรียน) ๑ เล่ม

     

             Expert ผู้ให้การตรวจสอบโดยละเอียดและจริงใจที่สุดคือ "นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖"  ทุกรุ่นที่ได้ทดลองใช้นวัตกรรม  ทำให้ผลงานทางวิชาการได้รับการอนุมัติเป็นอาจารย์ ๓ ระดับ ๖ โดยไม่ต้องปรับปรุง  และมีเงินวิทยฐานะเพียง ๓๕๐๐  บาท  เท่ากับครูชำนาญการในปัจจุบัน

           

     

    วัยเลยครึ่งร้อย

            แต่...ภายหลังและปัจจุบัน    เราไม่สามารถทำตามความตั้งใจที่ดีที่สุดได้ เมื่อเราได้เรียนรู้ตัวเองมากขึ้น  จึงเต็มใจที่จะออกมาใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างธรรมดา...เหมือนทุกวันนี้  เรียนรู้ชีวิตและสอนตัวเองเท่านั้น  เพราะมีความเข้าใจโลกและชีวิตมากขึ้น

     

           เวลาที่เหลืออยู่  "เรามีพร้อมทุกอย่างด้านวัตถุ  ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนขวนขวายสิ่งใดอีก  นอกจากการดูแลรักษาสุขภาพทางกายให้แข็งแรง"  เพื่อรองรับสิ่งที่ขาดและต้องเติมเต็มคือด้านการพัฒนาจิตใจและการแบ่งปัน  จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการ  "ขออุทิศเพื่อชีวิตและสังคม"

     

    Large_k0936Large_k0939

      Large_271rp 

     Large_bmt1294

     

     

     

    Large_k1038 

     

    Large_k1068

     

    Large_393 

     

     

     

     

    Large_k0097

     

    Large_k0800

     

    Large_k0809 

     

     

    Large_8844 

    Large_k0182 Large_k0242 

    Large_k7902 

     

    Large_75 

     

     

     

     ดอกไม้ที่ชอบ

     

     

    Large_kim33333 

    Large_083 

    Large_mom111 

     

    Large_k1015 

    เอกเขนก 

    Large_k4258 

    Large_k3869 

    Large_n3295 

    Large_n3471 

    Large_kk9425
    ภาพหลายแห่งหายไปเหลือไว้แต่ความทรงจำ
    Large_kms1347 

    Large_topl4Large_b2559 

     

    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท