Learning Organization มีการให้ความหมายในหลายคำเช่น
องค์กร/องค์การแห่งการเรียนรู้
องค์กร/องค์การเพื่อการเรียนรู้
องค์กร/องค์การการเรียนรู้
องค์กร/องค์การเอื้อการเรียนรู้
องค์กร/องค์การที่เรียนรู้
แต่ไม่ว่าจะใช้คำไทยในลักษณะใดก็ให้ความหมายในลักษณะเดียวกัน ขณะที่ความหมายของ Learning Organization (LO) อันเป็นแนวคิดหลักที่มีความเกี่ยวพันกับ Human Resource Development (HRD) และ Knowledge Management (KM) มีการให้ความหมายที่มีมุมมองแตกต่างกันไปได้แก่
Peter Senge ( 1990 ) แห่ง Massachusetts Institute of Technology กล่าวว่า องค์กรแห่งการเรียนรู้ คือ สถานที่ซึ่งทุกคนสามารถขยายศักยภาพของตนเองได้อย่างต่อเนื่อง สามารถสร้างผลงานตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ เป็นที่ซึ่งเกิดรูปแบบการคิดใหม่ ๆ หลากหลายมากมาย ที่ซึ่งแต่ละคนมีอิสระที่จะสร้างแรงบันดาลใจ และเป็นที่ซึ่งทุกคนต่างเรียนรู้วิธีการเรียนรู้ร่วมกัน
Michaek Marquardt (1994) แห่ง George Washington University กล่าวว่า องค์กรที่ซึ่งมีบรรยากาศของการเรียนรู้รายบุคคลและกลุ่ม มีการสอนคนของตนเองให้มีกระบวนการคิดวิเคราะห์ เพื่อช่วยให้เข้าใจในสรรพสิ่ง ขณะเดียวกันทุกคนก็ช่วยองค์การเรียนจากความผิดพลาดและความสำเร็จ ซึ่งผลให้ทุกคนตระหนักในการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
David A. Gavin (1993) แห่ง Harvard University กล่าวว่า คือ
องค์กรที่มีลักษณะในการสร้าง แสวงหา และถ่ายโยงความรู้
และมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเป็นผลมาจากความรู้ใหม่
และการเข้าใจในสิ่งต่างๆอย่างถ่องแท้
ทุกองค์กรทุกแห่งย่อมมุ่งที่จะพัฒนาองค์กรของตนให้ก้าวหน้า สร้างบรรยากาศการทำงาน พัฒนาบุคลากรของตนเองอย่างต่อเนื่อง ทุกองค์กรจึงมีการดำเนินการให้องค์กรเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้มีกระบวนการที่ทำให้องค์กรเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เพียงแต่จะรู้หรือไม่ว่าองค์กรของตนกำลังดำเนินการจัดให้องค์กรเป็น LO หรือทำไปเพียงเพื่อพัฒนาองค์กรเท่านั้นโดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นการมุ่งให้เกิด LO เพราะแท้จริงแล้ว LO มีอยู่ในทุกที่ องค์กรของท่านได้จัดองค์กรแห่งการเรียนรู้อย่างไรบ้าง แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในองค์กรของท่านกับองค์กรอื่น ๆ เพื่อช่วยกันจัดการความรู้เหล่านั้นสู่คนรุ่นหลังในองค์กร
ความใฝ่ฝันของคนหนึ่งคนมักไม่มีข้อจำกัด ในวัยเด็กเราอาจฝันที่จะเป็นหมอ เป็นพยาบาล ทหาร ตำรวจ พอโตขึ้นมาอีกวัยหนึ่งเราอาจฝันที่จะเป็นอะไรก็ได้ที่ได้เงินเดือนมากพอที่จะนำไปแสวงหาความสุข เมื่อมีครอบครัวแล้วความฝันก็อาจเปลี่ยนแปลงได้อีกเช่นกันเมื่อความเป็นผู้ใหญ่ของเรามีอิทธิพลให้เราต้องเกื้อกูลความฝันให้กับสมาชิกในครอบครัว เมื่อสมาชิกในครอบครัวมีฝันของตนเองได้แล้ว เราก็อาจจะฝันเพื่อตัวเราเองต่อไป
ความใฝ่ฝันในชีวิตของผมเองก็มีแนวทางไม่แตกต่างจากที่กล่าวไว้ข้างต้น ลำดับความฝันของผมเองแม้ว่าจะไม่ได้เลือกที่จะศึกษาในวิชาชีพที่ครอบครัวผูกพันด้านแพทย์และพยาบาลเนื่องจากความเบื่อหน่ายกับชีวิตที่ต้องวิ่งเล่นและเติบโตในโรงพยาบาลขนาดต่างๆ ตั้งแต่ภาคกลางไปถึงภาคเหนือ ฝันที่มีจึงไม่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลเลยแม้แต่น้อย
ประสบการณ์ในวัยเรียนระดับอุดมศึกษาหล่อหลอมให้เรียนรู้เรื่องชีวิตและคุณภาพชีวิตของคนจากการออกค่ายอาสาพัฒนาชุมชนของคณะวิชาในช่วงปีหนึ่งและปีสอง ส่งผลให้มีความสนใจที่จะทำงานเพื่อสังคมด้วยการอาสาเป็นตัวแทนนักศึกษาทำงานเป็นนายกสโมสรนักศึกษาของคณะและของมหาวิทยาลัยในสังกัดพรรค 12 ประสาน กิจกรรมส่งเสริมที่ภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการทำก็คือการเปลี่ยนแปลงความคิดของนักศึกษาทุกคณะในการทำกิจกรรม "รับน้องขึ้นดอย" ของชาวลูกช้างเชี่ยงใหม่ ที่มักมีการวิ่งแข่งขัน ร้องเพลงเชียร์อึกทึกที่หน้างบันไดพระธาตุ หรือการแสดงพฤติกรรมที่ไม่ได้มุ่งเดินทางไปเคารพสักการะพระธาตุดอยสุเทพกันเสียเลย เราได้มีการประชุมนายกสโมสรและประธานเชียร์ 12 คณะของมหาวิทยาลัยเพื่อขอความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดกิจกรรม โดยมุ่งวัตถุประสงค์ไปที่การแสดงความเคารพสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และการเป็นตัวแทนทางวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เรามาศึกษาหาความรู้ จากข้อสรุปที่พวกเราได้ร่วมหารือกันในที่ประชุมโต๊ะกลมในปีนั้น เราได้บรรยากาศของการ "รับน้องขึ้นดอย" ที่ประทับใจจนทุกครั้งที่พูดถึงหรือระลึกถึงจะต้องขนลุกเสมอ เสียงเพลงที่บันไดพระธาตุล้วนเป็นแนวล้านนา การแต่งกายของนักศึกษาก็สวมใส่ผ้าทอพื้นถิ่น มีการร่ายกาพย์กลอนบูชาพระธาตุดอยสุเทพจากทุกคณะโดยไม่มีเสียงกรีดร้อง บูม บูม เลยไม้แต่แอะเดียว
การศึกษาและกิจกรรมในช่วงวัยเรียนได้เป็นแนวทางให้ผมมีวิถีชีวิตในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาบุคลากรและแก้ไขปัญหาในองค์การอยู่เสมอ ช่วงการทำงานในหน่วยงานบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ทำให้ผมต้องเรียนรู้การทำงานด้านวิศวกรรมมากขึ้น แม้ว่าประสบการณ์ที่เคยมีนั้นเป็นเพียงความรู้ช่างเทคนิคสมัยเรียนมัธยมแต่ก็ปรับใช้ได้มากทีเดียว เพราะหลักสูตรการสอนแบบไทย-เยอรมันที่วางไว้ทำให้เราเรียนรู้ที่จะทำงานด้วยความเข้าใจมากกว่าการทำตามใบงาน ในหน่วยงานบำรุงรักษาผมได้รับการถ่ายทอดความรู้จากผู้บังคับบัญชาด้วยคำสั่งให้ศึกษา Instruction Book ในการซ่อมโรงไฟฟ้าพลังความร้อนและโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมภายในระยะเวลา 6 เดือน วิธีการที่รวดเร็วที่ทำได้คือ การอ่านคู่มือกว่า 100 เล่มด้วยการดูขั้นตอนการทำงานและรูปภาพประกอบ รวมถึงการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานที่เป็นวิศวกรประจำงานนั้นๆ แม้ว่าต่างคนต่างใหม่แต่ก็แลกเปลียนประสบการณ์ได้ดีเช่นเดียวกับการตั้งวงสนทนากันทุกครั้งที่พระอาทิตย์เริ่มตก จากการทำงานดังกล่าวผมได้นำระบบ Total Quality Management มาประยุกต์ใช้กับงานบำรุงรักษา โดยให้ช่างและโฟว์แมนร่วมกันทำงานและแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมเพื่อให้งานสำเร็จตามเป้าหมาย ผลลัพท์ที่ได้คือการลดระยะเวลาในการบำรุงรักษาได้มากถึง 5 วัน สำหรับโรงไฟฟ้าแล้ว การหยุดเครื่องเพียงหนึ่งวันทำให้สูญเสียรายได้เป็นหลักล้าน สิ่งที่ทำคือการให้ทุกคนช่วยกันมองว่ากิจกรรมอะไรที่จะลดระยะเวลาในการทำงานได้บ้างและทำอย่างไร โดยกำหนดค่าตอบแทนว่าถ้าเราทำได้จะได้รับค่าตอบแทนล่วงเวลาเหมาจ่ายสำหรับวันที่เราลดเวลาบำรุงรักษาได้นั่นเอง
แปดปีกับการบำรุงรักษาเครื่องคงเพียงพอที่จะเบนเข็มชีวิตมาบำรุงรักษาคน ผมออกจากสถาบันพัฒนาฝีมือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมาทำงานกับโรงไฟฟ้าเอกชนในส่วนงานพัฒนาบุคคลากร อุปสรรคด่านแรกคือการพัฒนาคนที่มาร่วมงานกับเราที่มีความหลายหลาย มาจากต่างบริษัท มาจากต่างวัฒนธรรม มาจากพื้นฐานทางครอบครัวที่แตกต่างกัน เพื่อให้องค์การของเราเดินทางไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างสวยงามและมีเสียงแห่งความสนุกสนานในการทำงานที่ท้าทายเสมอๆ โจทย์นี้ทำให้ผมคิดที่จะทำกิจกรรมสร้างทีมงานและสร้างวัฒนธรรมใหม่ขององค์การด้วยการประชุมหารือร่วมกับบริษัทแม่ใน กทม.กำหนดวัฒนธรรมองค์การ RATCH = Respect Awareness Teamwork Creativity Honesty เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาศักยภาพบุคลากร และการบริหารจัดการของผู้บริหาร การพัฒนาคนหรือการซ่อมคนไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อคนมีจิตใจ มีความท้อถอย มีความมุ่งมั่น และมีความน้อยเนื้อต่ำใจ การออกไปทำกิจกรรม outdoor หรือการทำกิจกรรมที่ท้าทาย (challenge) ความสามารถของตัวเขาเองเป็นกิจกรรมที่จะสร้างความเป็นทีมงานได้ กลุ่มงานพัฒนาบุคลากรของกลุ่มบริษัท (บริษัทแม่และบริษัทลูก) ได้ร่วมกันจัดกิจกรรม Rope Course ซึ่งพัฒนามาจากการฝึกทหารของประเทศอังกฤษในการเปิดประตูใจของตนเองตามทฤษฎีของ Johari's windows ให้พนักงานบริษัทได้ทำกิจกรรม outdoor ทั้งไต่เชือก ปีนกำแพง เดินบนที่สูง หรือการลุยน้ำร่วมกัน เพื่อร่วมกันและช่วยเหลือกกันและกันในการฟันฝ่าอุปสรรค ทำให้พนักงานมีความกลมเกลียวกันมากขึ้นและช่วยกันทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง (กรรมการผู้จัดการ) มาร่วมกิจกรรมปีนป่าย ห้อยโหนกับพนักงานด้วยความสนุกสนาน
สัมฤทธิผลที่ได้จากการใช้ชิวิตของผมได้นำมาประสมประสานกับการทำงานได้เป็นอย่างดี กิจกรรมที่ทำตั้งแต่สมัยเรียนอุดมศึกษาจนถึงวัยทำงาน ผมไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง แต่เทคนิคที่มักถูกเรียกใช้เสมอคือการขอความช่วยเหลือ การขอความคิดเห็น และการขอการสนับสนุนจากผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันหารือ หาแนวทางแก้ไข เราทำหน้าที่เป็นเพียงผู้จุดประกายเหมือนไม้ขีดไฟ และปล่อยให้เทียนไขกับใส้เทียนทำหน้าที่ต่อไปเพื่อให้แสงไฟสว่าง พลังในการพัฒนาควรเป็นพลังที่เกิดจากการร่วมมือกัน การเป็นผู้นำในที่นี้แม้เป็นเพียง "คนจุดไฟ" ก็ยังดีกว่าที่เราเป็นคนไม่มีไฟ
หากประสบการณ์นี้เป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านทั้งหลาย
ผมขอขอบคุณท่านเจ้าของ Blog
ที่เปิดโอกาสให้ร่วมแสดงความคิดเห็นและขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่ได้อ้างถึงและมีส่วนร่วมในความสำเร็จของคนอีกหลายๆ
คน
เรียน อาจารย์ปรัชญนันท์ ที่เคารพ
องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization)
ประกอบไปด้วยบุคลากรทุกระดับที่พยายามเพิ่มศักยภาพในการทำงานของตนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้นำไปสู่การเป็นสังคมแห่งความรู้
(knowledge society) ได้ในที่สุด
การพัฒนาให้องค์กรมีศักยภาพดังกล่าวสามารถทำได้
โดยใช้แนวทางบริหารทำให้องค์กรเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ได้โดยมีการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ร่วมกัน
ดังเช่นภาระงานที่เคยปฏิบัติมาในมหาวิทยาลัยของภาครัฐฯ
ในแต่ละหลักสูตรโดยเฉพาะหลักสูตรบัณฑิตศึกษา
ผู้บริหารได้หาแนวทางความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศ
โดยการเซ็นต์ MOU
ร่วมกันเพื่อสร้างความร่วมมือแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ร่วมกัน
มีการแลกเปลี่ยนนักศึกษาให้ไปเรียนในต่างประเทศและนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศก็เดินทางมาเรียน
ณ มหาวิทยาลัยในประเทศไทย อย่างน้อย 1 ภาคการศึกษา
และมีการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างบุคลากร ได้แก่อาจารย์ เจ้าหน้าที่
ของแต่ละมหาวิทยาลัยสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาศึกษาดูงานซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่อง
เป็นต้น
มหาวิทยาลัยของประเทศไทยมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
จะต้องก้าวหน้าไปพร้อม ๆ กับมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพในต่างประเทศ
เพื่อจะได้มีประสิทธิภาพและได้รับการรับรองจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศด้วยเช่นกัน
มหาวิทยาลัยจึงจำเป็นต้องเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ตลอดเวลาเพื่อให้ก้าวทันโลก
ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่จะมีเข้ามาในโลกแห่งการเรียนรู้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้วยความเคารพ
จิตติยา เพชราพันธ์
เรียน ท่านอาจารย์ ปรัชญนันท์ที่เคารพ
เนื่องจากเป็นองค์กรที่บริการในเรื่อง IT solution จึงเป็นนโยบายขององค์กรที่มุ่งเน้นให้องค์กรเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ มุ่งเน้นการพัฒนาพนักงานอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งในด้าน skill ต่าง ๆ และทัศนคติในการทำงานรวมถึง จุดมุ่งหมายให้ทุกคนบรรลุตามเป้าหมายขององค์กร โดยมุ่งเน้นการพัฒนาดังต่อไปนี้
ฝ่ายบริหาร มุ่งเน้นในเรื่อง Strategic thinking ฝ่ายขาย มุ่งเน้นในเรื่อง advance selling skill ฝ่ายเทคนิค มุ่งเน้นการพัฒนาหาเทคโนโลยีใหม่ และมาตราฐานการทำงาน ให้เกิด customer statisfaction ดังนั้น จะมีหน่วยงานที่เป็นองค์กรกลางของบรัษัท คือฝ่ายงาน ฝึกอบรมและเรียนรู้ ซึ่งสังกัดอยู่ในหน่วยงาน hrd โดยการเผยแพร่องค์ความรู้สามารถจัดสรรได้หลายทาง เช่น การอบรมผ่านหัวหน้างาน การแบ่งปันประสบการณ์ภายในจากการจัดสัมมนาของภายในองค์กร วารสารของบริษัทฯ แนวคิดใหม่ ตามบอร์ดตาม ชั้นต่าง ๆ ของสำนักงาน โดยหัวข้อที่นำเสนอจะเป็นหัวข้อที่ค่อนข้างนำสม้ย เช่น การพัฒนาศักยภาพทีมงานขาย การทำงานเป็นทีม หรือ ในเรื่องของเทคนิค เช่นเรื่องของ IP V6 หรือ convergence solution ซึ่งหัวข้อดังกล่าว พนักงานสามารถศึกษาได้จาก intranet ของบริษัทซึ่งพนักงานทุกท่านสามารถ login ได้ผ่านจาก note book ของตนเอง และเรียนรู้ผ่านทางระบบ video conference ขององค์กรในกรณีที่พนักงานประจำอยู่สาขาต่างจังหวัดกว่า 33 สาขา ทั่วประเทศ พนักงานทุกคนสามารถ แบ่งปันความรู้ของตนเอง และแสดงความคิดเห็นลงบนบอร์ดขององค์กร และทุกคนสามารถเข้าดูได้ ดังนั้น G-able ถือเป็น องค์กรที่มุ่งเน้นในเรื่องของ learning organization อย่างแท้จริง โดย KPI ของพนักงานจะวัดจากตามประเภทของงานที่ตนเองรับผิดชอบ เช่น
พนักงานขาย วัด KPI โดยผลประกอบการขาย ผู้บริหารระดับสูง วัด KPI โดยผลประกอบการหน่วยงานที่ดูแล ฝ่ายเทคนิค วัด KPI โดยจะต้องสามารถสอบ certificate ของผลิตภัณฑ์ที่ตนเองดูแลได้ไม่ต่ำกว่า 2 level ต่อปี
เพื่อให้ผลของ LO ได้ผลอย่างแท้จริง บริษัทฯ จะมีการกำหนด KPI ในการประเมินผลการพัฒนาอย่างแท้จริง
ขอบพระคุณมากครับ
องค์กรแห่งการเรียนรู้ เป็นองค์กรที่ประกอบด้วยคนที่มีความมุ่งมั่นที่จะขยายขีดความสามารถของตนผ่านกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็นทีมอย่างต่อเนื่อง และมีบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ พัฒนาความรู้ความสามารถ รวมทั้งการสร้าง การสรรหา การถ่ายโอนความรู้และการเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลมาจากความรู้ใหม่ ๆ มีการกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือและการเรียนรู้เป็นทีมร่วมกัน โดยใช้แนวคิดทางการบริหารจัดการความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัยโดยเน้นที่กระบวนการเรียนรู้ของคนในองค์กรและสร้างนวกรรมใหม่ ๆ โดยองค์กรมีส่วนในการสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ทั้งองค์กร และเพื่อให้เป็นองค์กรมีคุณภาพที่สามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และสามารถดำรงอยู่ในสภาวะที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างยาวนาน ทั้งนี้ องค์กรผมเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้โดยมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ในองค์กรและกับองค์กรอื่นอย่างต่อเนื่องและเพื่อช่วยจัดการความรู้เหล่านั้นสู่คนรุ่นหลังต่อๆไป โดยมีเครื่องมือเป็นกุญแจไขทำให้สำเร็จได้ คือ
การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ ในWEB NOTESขององค์กรจะมีBOXพนักงานหรือผู้รู้เรื่องดี(WISDOMหรือเป็นระดับGURU)มาแลกเปลี่ยนความรู้ต่างในเรื่องที่สนใจและยังมีข้อมูลต่างๆที่ถูกบันทึกไว้เป็นคลังข้อมูลอีกหลายเรื่องง่ายต่อการค้น(ACCESS)ถือว่าเป็นEXPLICIT KNOWLEDGE
การใช้CCTVจะมีรายการปุฉาและวิสัชนาเกี่ยวกับวิชาการต่างๆที่น่าสนใจนำมาถ่ายทอดส่วนใหญ่จะเป็นช่วงเช้าและช่วงกลางวันซึ่งพนักงานได้ดูกันตอนรับประทานอาหาร
เป็นระบบชมรม(CLUB)เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนแชร์ความรู้ซึ่งกันและกันในชมรม จะมีการถ่ายทอดจากผู้รู้ในการคบหาเป็นกัลยาณมิตร สามารถเข้าถึงTACIT KNOWLEDGEของคนบางคนได้ ส่วนมากจะเป็นผู้อยู่ในสายงานเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกัน
การทำงานเป็นทีม ส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบโครงการใหญ่หรือทดลองทำ(PILOT)หรืออาจต้องทำเป็นงานแบบข้ามหน่วยงาน(CROSS-FUNCTIONAL TEAM) เช่น โครงการ IN-STORE-BRANCH
การทำงานเป็นกลุ่มย่อย อาจเป็นงานQCงานทางวิชาการเฉพาะด้าน เช่น ด้านกฏหมาย พูดคุยเพื่อให้เกิดความรู้
COMMUNITIES OF PRATICES(COp)แลกเปลี่ยนความรู้ทำโครงการด้วยกันมารวมตัวกันอย่างสมัครใจจากผู้ปฏิบัติงานที่มีความถนัดเฉพาะด้านของตนดีอยู่แล้ว
เข้าศูนย์การเรียนรู้(LEARNING CENTER)โดยองค์กรผมมีศูนย์ดังกล่าวให้พนักงานเข้าไปฝึกอบรมและเรียนรู้เพื่อเพิ่มทักษะ เช่น มีการเล่มเกมส์ต่าง ๆ ในและนอกอาคาร กลางแจ้ง ในสวน หรือ เกมส์ในคอมพิวเตอร์ การคิดให้พนักงานคิดเป็นระบบ หรือการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ หรือการบริหารการเปลี่ยนแปลง ซึ่งแล้วแต่เลือกวิชามาฝึกอบรมพนักงานในระดับต่างๆ มีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันอื่นมาบรรยายอบรมให้
ระบบCOACHINGมีครูฝึกสอนเฉพาะทาง เฉพาะงาน เฉพาะกระบวนการทำงาน จะเป็นผู้มีความรู้และประสบการณ์ในการทำงานมาเป็นอย่างดี รวมไปถึงการกำหนดเป้าหมายให้พนักงานได้มีการวางแผน การสังเกต ประเมินผล ติดตามผล และให้กำลังใจและหาความรู้ให้ด้วย
ระบบMENTORING SYSTEMหรือระบบพี่เลี้ยงให้ความรู้มากกว่าการสอน เช่น การทำใจ การใช้ชีวิต นัดกันมาไม่ค่อยเป็นทางการ เช่น การใช้ชีวิตหลังออกจากงานทำให้พนักงานที่ทำงานมานานสามารถใช้ชีวิตดำรงอยู่ในสังคมได้นานขึ้น
ทำเป็นวารสาร ซีดี เป็นรูปเรื่องต่าง ๆ เปิดเป็นสารบัญ ดัชนี ไล่หากันเก็บในไว้LIBRARYและแจกให้พนักงานเป็นรายเดือนเพื่อให้พนักงานทราบข่าวสารข้อมูลความรู้ว่าองค์กรกำลังทำอะไรอยู่ หน่วยงานใดทำSIX SIGMA BALANCE SCORECARD CRM หรือ PROอยู่
ซึ่งองค์กรผมสามารถเล่าเป็นประสบการณ์ให้องค์กรอื่นหรือคนรุ่นหน้าเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นประสบการณ์กันได้มาก
Learning Organization
การเรียนผ่านมาหลายเคล็ดวิชาแต่เพิ่งจะมาโดนเต็มๆ ก็เรื่องนี้ และเพิ่งจะได้รับทราบอย่างชัดเจนเมื่อได้เรียนกับอาจารย์ว่า Learning Organization นั้นเป็นอย่างไร เพราะเป็นสิ่งที่ได้ปฏิบัติอยู่แล้วแต่อาจจะไม่ครบเต็มเท่าไรนัก และผมก็คิดว่าหลายองค์กรเป็นเหมือนกันOn the job training & Learning on the work place เป็นสิ่งที่ทำอยู่ประจำเพราะเราเป็นองค์กรที่ทำงานเป็น routine จึงต้องฝึก และเรียนรู้ในเนื้องานของตัวเองเพื่อเพิ่มความชำนาญ เพิ่มทักษะในงานของตนให้มากขึ้น รวมถึงการที่จะเรียนรู้ข้ามสายงานไปจุดอื่นด้วย ในกรณีของ Life long learning & Knowledge based society ไม่ค่อยมีมากเท่าที่ควรเป็นเพราะเนื้องานไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยมากนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลยเพราะต้องขึ้นอยู่กับหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่
Learning Organization Models ที่เราใช้อยู่อาจจะไม่เป็นที่นิยมเท่าไรนักเพราะบังเอิญ เราใช้ที่สอดคล้องกับของ David A. Gavin
กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพและกราบขอบพระคุณที่ให้โอกาสพวกเราได้แสดงความคิดเห็นผ่านเทคโนโลยี
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Information management,
Technology management, และที่สำคัญคือ Knowledge
managementเป็นเวลาหลายสัปดาห์
และในสัปดาห์นี้เป็นเรื่องขององค์การแห่งการเรียนรู้.......
ด้วยสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
จำเป็นอย่างยิ่งคนต้องเปลี่ยนแปลงตามเนื่องมาจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม
ทรัพยากรบุคคลต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
และจำเป็นที่สุดเช่นกันที่องค์การต้องมีการสร้างวัฒนธรรมการจัดการความรู้เพื่อให้สมาชิกมีความรู้ที่ทันต่อเหตุการณ์
สังคมปัจจุบันจึงเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (Learning
society)
และหน่วยย่อยๆในสังคมก็ต้องเป็นหน่วยแห่งการเรียนรู้เช่นเดียวกัน
ซึ่งองค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning
organization)
ตามทัศนะของ
วนิดา ชูวงษ์ (2541) หมายถึง
องค์การที่มีการดำเนินการให้บุคคล
ทีมหรือกลุ่มในองค์การได้มีโอกาสเพิ่มพูนความรู้
ความสามารถในการเรียนรู้ ในการปรับเปลี่ยนตนเอง
ทั้งนี้เพื่อนำองค์การไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้
ซึ่งการเรียนรู้ต้องเป็นไปอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
และเป็นไปอย่างพร้อมเพรียงทั่วทั้งองค์การ
ในปีค.ศ.1990 Dr. Peter Senge
ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับองค์การแห่งการเรียนรู้ไว้ในหนังสือ
The Fifth Discipline : The Art and
Practice of The Learning Organization
โดยได้เสนอองค์ประกอบหลักของ Learning Organization
ไว้ 5 ประการดังนี้
1.Personal mastery
2.Mental model
3.Shared vision
4.Team learning
5.System thinking
1.Personal
mastery
หมายถึง ความรอบรู้แห่งตน
ความใฝ่รู้ใฝ่เรียนของบุคคล
หรือไฟแรงใฝ่รู้ควบคู่ด้วยศักยภาพของบุคคล
ซึ่งประกอบด้วย High standard,
Stretch targets, Willing to learn,
Open-mindness, Flexibility, and Innovation
นั่นคือบุคคลต้องมีความต้องการที่จะเรียนรู้เพื่อยกระดับความสามารถของตนเอง
ต้องมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ มีความมั่นใจในตนเอง
พัฒนางานในหน้าที่ความรับผิดชอบ
และขยายขอบเขตเชื่อมโยงเข้าสู่ระดับงานที่สูงขึ้นในองค์การ
2.Mental
model
หมายถึงแบบจำลองความคิด
การพัฒนากรอบ ความคิด
หรือการรับรู้ภาพลักษณ์โลกรอบตัวอย่างถูกต้อง
เป็นการค้นหาความกระจ่างชัด การจำแนก
ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
การทำความเข้าใจและการแปลความหมายเพื่อการตัดสินใจและการกระทำของบุคคล
หรืออาจกล่าวว่าเป็นการปรับกระบวนทัศน์ใหม่ (Paradigm
shift)
เพื่อลดขั้นตอนในการปฏิบัติงานหรือการก้าวข้ามมาตรฐานเดิมให้ไปสู่มาตรฐานใหม่
ซึ่งเป็นหน้าที่ที่สำคัญของผู้บริหารที่จะกระตุ้นหรือส่งเสริมให้ทีมงานพบแนวทางการดำเนินงานที่ทำให้องค์การประสพผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
3.Shared
vision
การสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน
หรือการมีวิสัยทัศน์ร่วมกันของคนทั้งองค์การ
สมาชิกทุกคนต้องได้รับการพัฒนาให้มีวิสัยทัศน์สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์การเพื่อให้เกิดพลังและแนวคิดไปในทิศทางเดียวกัน
และนำพาองค์การไปสู่เป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ในที่สุด
4.Team
learning
การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม......เกิดจากสมาชิกในทีมมีโอกาสเรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยกัน
มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล
ความคิดและประสบการณ์ซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
ซึ่งการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีมจะทำให้เกิดการพัฒนาความรู้
เกิดการแตกแขนงความคิด จากแหล่งความรู้หลักทั้ง 3
ประเภทคือ Tacit knowledge, Explicit
knowledge, และ Embedded knowledge
5.System
thinking
การคิดอย่างเป็นระบบ......คือความสามารถในการมองแบบองค์รวม
(Holistic)
มีความสามารถในการวิเคราะห์ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันของปัจจัยต่างๆ
รวมทั้งการมีความสามารถในการวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง
โดยต้องตระหนักว่าทุกหน่วยขององค์การมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
ผลของการเปลี่ยนแปลงในองค์ประกอบใดๆจะส่งผลให้องค์ประกอบอื่นๆหรือหน่วยงานอื่นๆเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นกัน
จากกรณีศึกษา
คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพและพยาบาลศาสตร์
มหาวิทยาลัยคริสเตียน
พบว่าการจัดองค์การแห่งการเรียนรู้สามารถอธิบายได้ด้วย
Peter M. Senge , s Five
Disciplines โดยที่
วัตถุประสงค์ของคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพและพยาบาลศาสตร์
มหาวิทยาลัยคริสเตียน มีดังนี้
1.ผลิตบัณฑิตทุกระดับในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ
ตามความต้องการของประทศที่มีคุณลักษณะของความเอื้ออาทร
มีความเชี่ยวชาญในวิชาชีพ
มีทักษะด้านภาษาและการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย
2.เป็นศูนย์กลางด้านวิชาการและการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ
ของภูมิภาคตะวันตกและภาคกลางตอนล่าง
3.สร้างระบบเครือข่ายความร่วมมือทางด้านวิชาการด้านบริการสุขภาพกับองค์การทั้งในระดับชุมชน
ระดับองค์การ ระดับประเทศและระดับนานาชาติ
4.พัฒนาจริยธรรมตามหลักคริสตศาสนา
ในการดำรงชีวิตในสังคม
และส่งเสริมการปฏิบัติวิชาชีพทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ
โดยยึดจรรยาบรรณวิชาชีพเป็นหลัก
5.ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
โดยร่วมกับชุมชน องค์การ
และหน่วยงานภายนอกทั้งภาครัฐและเอกชน
การวิเคราะห์องค์การแห่งการเรียนรู้ตามแนวคิด
Peter M. Senge , s Five
Disciplines พบว่า
คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพและพยาบาลศาสตร์
มหาวิทยาลัยคริสเตียน มีองค์ประกอบทั้ง 5 ประการคือ
Personal mastery, Mental model,
Shared vision, Team learning, และ
System thinking
โดยได้มีการจัดองค์การแห่งการเรียนรู้ภายในคณะวิชาและร่วมกับสถาบันอื่นในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับองค์การอื่นทั้งภาครัฐและเอกชนคือสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศทย
ดังตัวอย่างแนวทางปฎิบัติดังนี้
1.คณาจารย์ต้องมีคุณสมบัติและคุณวุฒิการศึกษาตรงกับสาขาวิชาและหลักสูตรที่เปิดสอนคือต้องจบจบการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไปและต้องจบสาขาการพยาบาลและสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพที่เกี่ยวข้อง
2.คณาจารย์ทุกท่านต้องเข้าร่วมโครงการปฐมนิเทศบุคคลากรใหม่ทั้งระดับมหาวิทยาลัยและคณะวิชา
ทั้งนี้เพื่อให้คณาจารย์มีความรู้ความเข้าใจในองค์การเป็นอย่างดีและสามารถนำพาองค์การไปสู่เป้าหมาย
3.คณาจารย์ใหม่ทุกท่านจะได้รับการดูแลทั้งอย่างเป็นทางการโดยมีอาจารย์พี่เลี้ยงคอยดูแลให้คำปรึกษาและคำแนะนำทั้งเรื่องงานและเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนผู้บริหารและอาจารย์อาวุโสจะคอยดูแลอย่างใกล้ชิดในระบบที่ไม่เป็นทางการแต่ด้วยความเอื้ออาทรอย่างสม่ำเสมอ
4.คณาจารย์ทุกท่านต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อการจัดการความรู้ของสาขาวิชา
หลักสูตรโดยการเข้าร่วมประชุม อบรมและสัมมนา
ทั้งในสถาบัน นอกสถาบัน
ทั้งในระดับในประเทศและต่างประเทศ
5.คณาจารย์ทุกท่านต้องได้รับการสื่อสารแบบ Two way
communications จากที่ประชุมของภาควิชา คณะวิชา
และมหาวิทยาลัยคริสเตียน
คณาจารย์ทุกท่านต้องทราบแผนยุทธศาสตร์ประจำปีการศึกษาแต่ละปีของสถาบัน
และพร้อมที่จะพัฒนาร่วมกับองค์การให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
6.คณาจารย์ทุกท่านต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม
ปรึกษาและร่วมกันแก้ปัญหาในทุกระดับที่เกิดขึ้นหรือมีโอกาสเกิดขึ้น
โดยให้เกียรติและยอมรับฟังความคิดและเหตุผลของผู้อื่น
7.คณาจารย์ทุกท่านต้องร่วมเป็นคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการอื่นๆทั้งด้านการบริการวิชาการแก่สังคม
ศิลปวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้เพื่อให้คณาจารย์เกิดการเรียนรู้และเข้าใจองค์การอย่างต่อเนื่อง
เข้าใจในระบบและองค์ประกอบของสถาบัน
รับรู้ว่ามีปัจจัยหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานของสถาบัน
ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่การเรียนการสอนตามเนื้อหาวิชาในแต่หลักสูตรเท่านั้น
8.คณาจารย์ทุกท่านต้องพัฒนาความรู้ของตนเอง ทั้งสาขาวิขา
หลักสูตรและสถาบัน โดยการทำวิจัยอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งการเผยแพร่ผลงานวิจัย
และการนำผลงานวิจัยไปใช้อย่างต่อเนื่อง
ตลอดจนการพัฒนางานวิจัยด้วยการร่วมทำวิจัยกับสถาบันอื่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ด้วยความเคารพอย่างสูงคะ
เรียน ดร.ปรัชญนันท์ นิลสุข ที่เคารพ
องค์กรการเรียนรู้ (Learning Organization : LO) เป็นกระบวนการบริหารองค์กรรูปแบบใหม่ ที่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาความเป็นผู้นำและการเรียนรู้ของบุคลากรให้เป็นผู้ที่มีความสามารถในการปฏิบัติงานภายในหน่วยงาน นอกจากนี้ องค์กรการเรียนรู้จะเน้นในเรื่องของการทำงานเป็นทีม (Teamwork) มีการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมองค์กร รวมทั้งมีการเสริมสร้างความคิดใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการทำงานอย่างเป็นระบบ เพื่อพัฒนาองค์กรให้เกิดความก้าวหน้า
ยุทธศาสตร์หนึ่งในการพัฒนาบุคลากรของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดราชบุรี คือการทำให้หน่วยงานเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ องค์กรแห่งการเรียนรู้ คือ การที่บุคลากรแต่ละคน แต่ละกลุ่ม ทั้งองค์กรมีอิสระในการเรียนรู้ สร้างความรู้ที่หลากหลาย ร่วมกันแบ่งปันความรู้เพื่อเพิ่มพูนสมรรถนะและมีศักยภาพที่จะก่อให้เกิดความก้าวหน้าในการดำเนินกิจการไปสู่เป้าหมายอย่างต่อเนื่อง การที่จะทำให้หน่วยงานเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และการจัดการความรู้ในส่วนราชการ นั้น ซึ่ง ความรู้นั้นมีหลายประเภทมีทั้งความรู้ที่มีอยู่ในตำรา และความรู้อีกประเภทหนึ่งก็คือ ความรู้ที่อยู่ในตัวของผู้ปฏิบัติงาน หรือที่เรียกว่า Tacit Knowledge ซึ่งถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Assets ) ที่มีส่วนสำคัญในโลกยุคปัจจุบันที่จะเป็นตัวนำพาองค์กรให้เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขัน ดังนั้น เราจะต้องเปลี่ยนความรู้ในตัวบุคคลให้กลายเป็นทุนทางปัญญาขององค์กร และมีการบริหารจัดการทุนทางปัญญาดังกล่าว เพื่อให้องค์กรมีกำไร และขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งในปัจจุบันนี้ทางหน่วยงานสาธารณสุขก็ได้เน้นการจัดการองค์ความรู้ที่มีในตัวบุคคลมาถ่ายทอดให้บุคคลรุ่นหลัง ๆ ได้เรียนรู้มากขึ้น โดยเฉพาะภูมิปัญญาไทยในกลุ่มแพทย์แผนไทย
โลกและสังคมอยู่ในท่ามกลางกระแสการแข่งขันอย่างรุนแรงองค์กรยุคใหม่จึงต้องมีการปรับตัวด้านบริหารจัดการทุกรูปแบบเพื่อความอยู่รอดและยืนหยัดได้ในธุรกิจโลก ดังนั้น สำหรับในส่วนราชการ แล้วจะต้องมีผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารองค์ความรู้ขององค์กร หรือ CKO ( Chief Knowledge Officer ) ที่จะเป็นผู้บริหารจัดการความรู้ภายในองค์กร และกระตุ้นให้คนในองค์กรสนใจในเรื่องความรู้ การจัดการความรู้ และส่งเสริมให้บุคลากรแสวงหาความรู้ใหม่ๆ ในการทำงานของตน และนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากการปฏิบัติงานมาถ่ายทอดต่อให้กับองค์กร
ดังนั้น ปัจจัยที่จะช่วยให้การจัดการความรู้ในองค์กรประสบผลสำเร็จก็คือ ผู้บริหารขององค์กรจะต้องเข้าใจและให้การสนับสนุน พร้อมทั้งมีการกำหนดแนวคิดที่ชัดเจน และถ่ายทอดแนวคิดดังกล่าวไปยังบุคลากรในองค์กรด้วย
สำหรับในส่วนของการจัดองค์กรแห่งการเรียนรู้ในหน่วยงานสาธารณสุขของจังหวัดราชบุรี ได้มีการจัดการองค์กรแห่งการเรียนรู้ดังนี้
1. แหล่งความรู้ องค์กรได้มีการพัฒนาความรู้ใหม่ ๆ โดยมีการศึกษาวิจัยและคิดค้นการรักษาวิธีใหม่ๆ และประยุกต์ใช้ความรู้และถ่ายทอดความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคลนั้นนำมาปรับใช้ในการรักษาแบบแพทย์แผนไทย
2. การสัมมนาและฝึกอบรม และการศึกษาดูงาน เป็นการแก้ปัญหาการทำงานเป็นครั้งคราว
3. การส่งบุคคลากรไปศึกษาต่อเพิ่มเติม
4. มีการเผยแพร่ความรู้
5. มีทัวร์สุขภาพ
6. เน้นการให้ความสำคัญกับการเรียนรู้
7. เน้นการเรียนรู้จากการปฏิบัติ แลกเปลี่ยนกัน เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่ม
8. มีการเรียนรู้ปฏิสัมพันธ์ผ่านสื่ออิเลกทรอนิกส์
องค์การที่ข้าพเจ้าปฏิบัติงานอยู่เป็นโรงพยาบาลในสังกัดของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลให้บริการด้านการรักษาพยาบาลควบคู่ไปกับการศึกษา ดังนั้นองค์การจึงมุ่งเน้นการศึกษา ค้นคว้า วิจัยเพื่อให้ได้ Best practice และเป็นต้นแบบการให้บริการทางการศึกษาและการบริการตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน จนกลายเป็นวัฒนธรรมขององค์การ สิ่งที่ทำให้องค์การเป็น LO และดำรงอยู่ต่อไป การวิเคราะห์องค์การโดยใช้หลัก the fifth Discipline ของ Peter Senge แบบออกได้เป็น 3 ระดับคือ
ระดับองค์การ การกำหนดวิสัยทัศน์ร่วมกัน (Shared vision) องค์การมีกลยุทธ์ด้านการเรียนรู้และการเติบโต โดยมีการสนับสนุนและพัฒนาวัฒนธรรมองค์การสู่การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ โดยมีการบริหารจัดการความรู้เป็นพื้นฐาน
ระดับกลุ่มคน การเรียนรู้ร่วมกัน (Team learning) ของคนในองค์การ การรวมกลุ่มของ CoP มีการประสานงานร่วมกันของ CoP อย่างต่อเนื่องทั่วทั้งองค์การ รวมทั้งการสนับสนุนอย่างจริงจังจากผู้บริหารทุกระดับ
ระดับปัจเจกบุคคล บุคลากรในองค์การต้องมีคุณสมบัติ เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้อยู่เสมอ (Personal mastery)มีการพัฒนากรอบความคิดของตน (Mental model) และ มีความคิดที่เป็นระบบ(System thinking) ซึ่งองค์การใช้ระบบ Competency ในการประเมินเพื่อพัฒนาบุคลากร
กรอบแนวคิดการดำเนินการ การจัดการองค์ความรู้ในโรงพยาบาลศิริราช 6 ด้าน ดังนี้
1. Transition and Behavior Management การวิเคราะห์วัฒนธรรมองค์การเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมการจัดการความรู้
2. Communication มีการสื่อสารเรื่องการจัดการองค์ความรู้ในองค์การ
3. Process and Tools มีขั้นตอนและเครื่องมือที่เหมาะสม ดังนี้
3.1 มีฐานข้อมูล CQI และฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญท่มีประสบการณืในการทำ CQI
3.2 มี CoP
3.3 มีการแลกเปลี่ยนความรู้ CQI อย่างต่อเนื่อง
3.4 มีระบบสารสนเทศท่เอื้ออำนวยต่อการจัดการ
4. Learning มีการฝึกอบรมทักษะที่เกี่ยวข้องในการแลกเปลี่ยนความรู้ให้แก่บุคลากรทางคลีนิก
5. Measurements มีเครื่องชี้วัดการดำเนินโครงการ
6. Recognition and Reward มีระบบการให้รางวัลแก่บุคลากรและทีมงาน เพื่อสร้างทัศนคติท่ดี
ความสำเร็จของการเป็น LO คือการที่บุคลากรมีทัศนคติที่ดี และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆร่วมกันทั้งองค์การ
.......องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization).......
ความมุ่งหมายสูงสุดของแต่ละองค์กร คือ การได้มาซึ่งประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานสูงสุด ความมุ่งหมายดังกล่าวจะสำเร็จได้จะต้องพัฒนาองค์กรให้มีความเป็นเลิศ สามารถเผชิญสภาวะการแข่งขันทุกรูปแบบ และมีความได้เปรียบที่ยั่งยืน นั่นคือจะต้องพัฒนาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ โดยที่บุคคลในองค์กรจะต้องมีการถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกันภายในองค์กร ควบคู่กับการรับความรู้จากภายนอกองค์กร เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่อันนำไปสู่การหาแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) ขององค์กร
ในการพัฒนาไปสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้นั้นสามารถดำเนินการได้ใน 2 ระดับ คือ
1. ระดับตัวบุคคล สามารถดำเนินการพัฒนาได้ดังนี้
1.1 การปลูกฝังทัศนคติและค่านิยมต่อการเรียนรู้ขององค์กรให้ทุกคนได้รู้และเข้าใจ
1.2 พัฒนาทักษะและความสามารถของบุคคลในแต่ละตำแหน่ง
1.3 ปลูกฝังความภาคภูมิใจและความรู้สึกเป็นเจ้าขององค์กรต่อบุคคลทุกคนที่จะต้องมีส่วนรับผิดชอบ
2. ระดับองค์กร สามารถดำเนินการพัฒนาได้ดังนี้
2.1 การสร้างวิสัยทัศน์องค์กรที่ชัดเจนนำไปสู่การปฏิบัติได้ และเป็นที่ยอมรับของบุคคลในองค์กร
2.2 จัดหาปัจจัยพื้นฐาน ประกอบด้วย วัสดุ ครุภัณฑ์ที่ใช้ในการทำงานและกระบวนการเรียนรู้ให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2.3 มีระบบการบริหารจัดการและระบบการทำงานที่ดี
ส่วนขั้นตอนการพัฒนาไปสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ โดยได้ผสมผสานแนวคิดแบ่งออกเป็นขั้นตอนดังนี้ คือ
1) การสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ในองค์กร เพื่อให้ทุกคนในองค์กรได้เห็นความจำเป็นและประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลงไปสู่องค์กรการเรียนรู้
2) พัฒนาวินัยทั้ง 5 ประการ (Five Disciplines) ให้เกิดแก่ทุกคนในองค์กร เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีปฏิบัติต่อตนเองและองค์กร
3) พัฒนาองค์กร โดยการสร้างระบบงานต่าง ๆ และหาปัจจัยพื้นฐาน ให้พร้อมต่อการเรียนรู้และใช้ในการปฏิบัติงาน
4) พัฒนาผู้นำในองค์กร ให้มีทักษะ ต่อการเป็นผู้นำที่มีความเป็นเลิศ
5) พัฒนาบุคลากรในด้านองค์ความรู้และทักษะที่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ความรับผิดชอบ
6) กำหนดแนวทางในการถ่ายทอดองค์ความรู้และทักษะสู่การปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ เพื่อให้การทำงานประสบความสำเร็จ
7) ส่งเสริมการทำงานอย่างเป็นระบบและเป็นทีมภายในองค์กร
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้องค์กรหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นองค์กรที่ได้พยายามส่งเสริมและพัฒนาบุคคลในองค์กรให้มีความรู้ ความสามารถ ทักษะและมีทัศนคติที่ดีต่อองค์กรและการทำงาน จนได้เกิดเป็นแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดขององค์กรในหลาย ๆ เรื่องด้วยกัน เช่น การบริหารจัดการโรงเรียนแบบโซนคุณภาพ การบริการ ณ จุดเดียว การจัดทำคู่มือปฏิบัติงาน การบริหารโรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนวิถีพุทธ เป็นต้น ซึ่งผลงานต่าง ๆ เหล่านี้นับว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นแห่งองค์กรเรียนรู้เท่านั้น แต่ในอนาคตคงจะได้เห็นผลงานที่เด่นชัดเป็นรูปธรรมที่สัมผัสได้อย่างมากมายอีกแน่นอน
เรียน ดร.ปรัชญนันท์ นิลสุข ที่เคารพ
ต้องขอบคุณอาจารย์อย่างสูง ที่อาจารย์ได้ให้ความรู้สำหรับตนเองแล้วเคยรับราชการมาเกือบ 20ปี ได้อยู่ในองค์กรแห่งการเรียนรู้(Learning Organization)เพราะเป็นองค์กรที่จะต้องมีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ในฐานะผู้บริหารจะต้องมีการร่วมประชุม ร่วมสร้างวิสัยทัศน์ สร้างภาพลักษณ์ กำหนดวัตถุประสงค์(Shared Vision)ร่วมกัน มีการทำงานร่วมกันเป็นทีม พัฒนาร่วมกันไปสู่ความสำเร็จ(Team Learning) และจะต้องนำตนเองไปสูความเป็นเลิศ ผลิตฝึกอบรมบุคลากรให้มีความรู้
ในชีวิตประจำวันของเราก็ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาแต่เรายังไม่ได้จัดเป็นระบบ มนุษย์เราเรียนรู้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงหลุมฝังศพ(Lifelong Education) งานการศึกษาต้องเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ในขณะนั้น การเป็นผู้บริหารไม่ค่อยจะได้อยู่ในสำนักงานเพราะต้องมีการร่วมสร้างวิสัยทัศน์กันอยู่ตลอดเวลาและร่วมพัฒนาความรู้ดูความก้าวหน้าของงาน องค์กรได้มีการLearningอยู่ตลอดเวลา
Peter Sange(1990)องค์กรแห่งการเรียน รู้คือสถานที่ทุกคนสามารถขยายศักยภาพของตนได้อย่างต่อเนื่องสามารถสร้างผลงานตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ซึ่งเป็นที่เกิดรูปแบบการคิดใหม่ๆที่ซึ่งแต่ละคนมีอิสระที่จะสร้างแรงบันดาลใจเป็นที่ซึ่งทุกคนเรียนรู้ร่วมกันทุกองค์กรย่อมมุ่งพัฒนาความรู้ของตนเองให้ก้าวหน้าซึ่งองค์กรมีอยู่ทุกที่
นอกจากนั้นPeter Sange ยังได้คิดทฤษฎี Fifth Discipline
1. Persanal mastery การรอบรู้แห่งตน ใฝ่เรียนรุ้ของบุคลต้องมีความต้องการที่จะเรียนรุ้เพื่อยกระดับความสามารถของตนเองต้องมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์มั่นใจในตนเองพัฒนางาน
2. Mental modelแบบจำลองความคิดการค้นหาความกระจ่างชัดเพื่อตัดสินใจการกระทำของบุคคลลดขั้นตอนการปฏิบัติงานก้าวข้ามมาตรฐานเดิมสู่มาตรฐานใหม่
3. Shared visionสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันเพื่อให้เกิดพลังและแนวคิดใหม่ไปสู่เป้าหมายที่ตั้งวัตถุประสงค์ไว้
4. Team learning เรียนรู้ร่วมกันเป็นทีมมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดประสบการณ์ร่วมกัน
5. System thinkingการคิดย่างเป็นระบบการมองอย่างองค์รวมทุกหน่วยมีความสัมพันธ์กันส่งผลให้องค์ประกอบอื่นๆเปลี่ยนแปลงไปด้วย ในองค์กรที่ผ่านมาได้มีการใช้องค์กรแห่งการเรียนรู้อย่างเป็นระบบและต่อไปในภายหน้าไม่ว่าหน่วยงานใดองค์กรเล็กหรือองค์กรใหญ่ก็สามารถที่จะนำLearning Organization ไปปรับใช้นำไปสู่ความสำเร็จและบรรลุเป้าหมายต่อไป
ขอขอบคุณในความรู้ที่ได้รับค่ะ
"ในปัจจุบันหากคุณเป็นผู้นำอยู่ จงอย่าประมาทและคิดว่าตนเองเก่งมากไปกว่าผู้อื่น เมื่อใดก็ตามที่คุณหยุดเรียนรู้สิ่งต่างๆ ไม่สนใจต่อวิทยาการที่เกิดขึ้น ในไม่ช้าคุณจะรู้ว่าคุณได้อยู่เบื้องหลังผู้อื่นจนแทบจะตามไม่ทันเสียแล้ว"
จากโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่สิ่งแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เราต้องมีการปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง สามารถตอบสนองกับความต้องการของลูกค้า และยึดลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลาง หรือมุ่งเน้นลูกค้า ผลิตภัณฑ์ และบริการที่ลูกค้าได้รับจะต้องมีคุณภาพ มีการสร้างองค์การให้เป็นองค์การแห่งคุณภาพ (Quality Organization) ซึ่งองค์การจะต้องสามารถตัดสินใจ และตอบสนองต่อลูกค้าได้ โดยทำให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) เมื่อเรามีการเรียนรู้ก็จะทำให้องค์การสามารถแก้ไขปัญหา และตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ดีและอยู่รอด หรือแข่งขันกับองค์การอื่นได้
การพัฒนาองค์การแห่งการเรียนรู้ เพื่อให้สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เราได้มีแนวทางการเสริมสร้างความสามารถในการเรียนรู้ โดยพิจารณาจากสิ่งต่างๆดังนี้
1.
ใช้การจัดการเชิงกลยุทธ์ในเชิงการเรียนรู้
โดยให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในการกำหนดกลยุทธ์ อันเป็นการเชื่อมโยง
ความคิด ของแต่ละคน
2.
มีการให้พนักงานระดับปฏิบัติการเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนด ปฏิบัติ
และประเมินผลกลยุทธ์
ในการช่วยถ่ายโยงนโยบายไปสู่กระบวนการปฏิบัติงานขององค์การ
และเชื่อโยงความคิดการปฏิบัติ
3.
ให้พนักงานมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย
และระเบียบวิธีการปฎิบัติงานต่างๆ
ซึ่งจะช่วยให้องค์การได้เรียนรู้ความคิดของพนักงาน
และช่วยให้พนักงานเข้าใจ และรู้สึกผูกพันกับนโยบาย กระบวนงาน
และมาตรการต่างๆ ที่ตนมีส่วนกำหนดขึ้น
4.
มีการจัดระบบการกำหนดวิสัยทัศน์ร่วม เป้าหมาย
และการติดตามประเมินผลงาน และการพิจารณาความดี ความชอบให้ชัดเจน
สอดคล้องกับกลยุทธ์และนโยบาย เพื่อเป็นเป้าหมาย
และกระบวนการเรียนรู้
5.
จัดโครงสร้างขององค์การให้เอื้ออำนวยให้คนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติงาน
เช่น ให้คนมีอิสระในการเลือกทดลองวิธีการใหม่ๆ
ให้ขอบเขตความรับผิดชอบของตำแหน่งงาน
ให้สามารถได้รับข้อมูลป้อนกลับจากการทำงาน
เป็นต้น และจัดโครงสร้างองค์กรให้มีลักษณะแบนราบ มีความยืดหยุ่น
เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานทุกระดับในส่วนงานต่างๆ
สามารถสื่อสารถ่ายโยงความคิด ความรู้ถึงกันและกัน
และเพื่อให้สามารถปรับแก้กระบวนการปฏิบัติงานได้โดยสะดวก
6.
จัดช่องทางการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันและกันในองค์การให้สะดวก
เช่น การส่งเสริมให้มีการพบปะประชุมปรึกษาหารือกันในระหว่างฝ่ายต่างๆ
(Management Action Meeting)
จัดระบบสารสนเทศให้สามารถส่งถ่ายข้อมูลความรู้แบบถึงกันและกัน
เพื่อให้การไหลเวียนและแพร่กระจายของนวัตกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็ว
และทั่วถึง
7.
จัดระบบการเงินและบัญชีในลักษณะที่ช่วยส่งเสริมการริเริ่มทดลองสิ่งใหม่ๆ
และจัดระบบบัญชีที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ถึงผลได้เปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายเช่น
การจัดระบบศูนย์กำไร (Profit Center) และการคิดต้นทุนของกิจกรรมต่างๆ
เพื่อให้สามารถติดตามและคำนวณหาอัตราส่วนของผลได้ต่อการลงทุนในแต่ละกิจกรรมได้
8.
จัดระบบการให้รางวัลที่ยืดหยุ่น มีการให้รางวัลประเภทต่างๆ
ตามความต้องการของแต่ละคน แต่ละทีมงาน และมีรางวัลตามเกณฑ์ต่างๆ
เช่นรางวัลชนะเลิศผู้มีพัฒนาการดีเด่น
9.
ใช้ผู้ปฏิบัติงานที่ติดต่อกับภายนอกองค์การเป็นแหล่งสืบค้นความรู้
เพื่อที่จะนำเอาความคิด นโยบาย ระเบียบวิธีการปฎิบัติงานใหม่ๆ
และข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ เข้ามาเผยแพร่
และร่วมกันคิดพิจารณาดำเนินการต่อไป
10.
ส่งเสริมการเรียนรู้ระหว่างส่วนงานและระหว่างองค์การ เช่น
การผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปดูงาน ปรึกษาหารือกันในระหว่างส่วนต่างๆ
หรือไปยังองค์การอื่นๆ
11.
ส่งเสริมให้พนักงานทุกคนได้พัฒนาตนเองทั้งนอก และในสภาพการทำงาน
โดยให้ทีมงานเป็นผู้รับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเอง
12.
สร้างกิจกรรมการเรียนรู้เป็นทีมเพื่อให้มีการถ่ายทอดความรู้ระหว่างกันและกัน
และเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะในการทำงานร่วมกันเป็นทีม
13.
สร้างค่านิยมที่เน้นผลงาน ความสามารถ การเรียนรู้ พัฒนาการ
และการทำงานร่วมกันเป็นทีม
อย่างไรก็ตามมีอุปสรรคหลายประการในการที่จะทำให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้
(Learning Organization) เนื่องจากการยึดติดกับวัฒนธรรมเดิม
ทำให้องค์การไม่สามารถส่งเสริมให้
ทีมงานเกิดการสร้างวัฒนธรรมในการทำงานแบบใหม่ได้
พนักงานยังคงรับรู้และทำตามวัฒนธรรมเดิม
มีหลายส่วนไม่ถ่ายถอดความรู้ให้กับผู้อื่น
ทำให้ไม่สามารถสร้างผู้นำรุ่นใหม่ๆได้
อีกทั้งยังขาดผู้นำทีมที่ดีในการปรับเปลี่ยนเพื่อการเรียนรู้ เช่น
การสั่ง การวางอำนาจ ขาดการประสานงานที่ดีให้แต่ละฝ่ายร่วมงานกัน
ไม่มีแรงจูงใจให้เกิดการเรียนรู้ และการติดต่อสื่อสารที่ไม่ดี
ทำให้เกิดแรงต้านต่อการเปลี่ยนแปลง
มีความรู้สึกว่าตัวเองต้องทำงานหนักขึ้น
ขาดความคุ้มค่าในการทุ่มเทเพื่องาน
"คนเก่งเรียนรู้จากประสบการณ์ตนเอง
แต่คนฉลาดเรียนรู้จากประสบการณ์คนเก่ง"
ทุกวันนี้แนวความคิดและความรู้ใหม่ๆ ในเรื่ององค์กรและการบริหารจัดการกำลังมีความสำคัญมากขึ้นทุกทีเพราะทุกองค์กรต่างต้องการที่จะอยู่รอดและเติบโตต่อไปได้ย่างยั่งยืนในยุคโลกาภิวัฒน์เช่นนี้ จะเห็นว่าองค์กรต่าง ๆ หลายองค์กร ต่างดิ้นรน ขวนขวาย และแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ บางองค์กรก็กล้าพอที่จะ "คิดใหม่ - ทำใหม่" เช่น ธนาคารกสิกรไทย ด้วยการนำ แนวความคิดใหม่ ๆ ทางการบริหารและทางเทคโนโลยี มาประยุกต์ใช้ และ "เรียนรู้" ผลที่เกิดขึ้น เพื่อทำการปรับปรุงแก้ไขสภาพปัจจุบันให้ดีขึ้น
ในครั้งนี้ ผมจะขอพูดถึงแนวความคิดใหม่ ทางการบริหารองค์กร อีกเรื่องหนึ่ง คือ องค์กรแห่งการเรียนรู้ หรือ Learning Organization : LO ซึ่งหมายถึง องค์กรที่เปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคนในองค์กรได้แสดงความสามารถของตนเองอย่างเต็มที่และอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันสร้างผลลัพธ์ที่องค์กรต้องการ โดยองค์กรสนับสนุนให้สมาชิกทุกคนในองค์กรได้ "คิดใหม่" ได้ทำงานร่วมกันและเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อสร้าง "องค์ความรู้" อันเป็นเอกลักษณ์ขององค์กรขึ้น
เป้าหมายสำคัญของ "องค์กรแห่งการเรียนรู้" ก็คือ การสร้างองค์กรที่สามารถ "เรียนรู้" ได้อย่างต่อเนื่อง เรียนรู้ได้เร็วกว่า คู่แข่ง เรียนรู้ถึงเหตุต่างๆ ที่ทำให้องค์กรเกิดความสำเร็จหรือความล้มเหลว คือรู้ว่าอะไรเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จ ( Key Success Factos : KSF ) ขององค์กรและสามารถรักษา ภาวะแห่ง "การเรียนรู้" ไว้ได้อย่างต่อเนื่องยั่งยืนตลอดไป
องค์กรแห่งการเรียนรู้ จึงเป็นองค์กรที่มีความได้เปรียบ ในการแข่งขัน สามารถอยู่รอดและเติบโตก้าวหน้าต่อไปได้ ถ้าเราสามารถสร้าง "องค์กรแห่งการเรียนรู้" หรือ "สังคมแห่งการเรียนรู้" ให้ขยายวงกว้างมากขึ้นมากขึ้น ปัญหาต่างๆ ในองค์กรหรือในสังคมบ้านเราก็คงจะหลุดพ้นจากวงจรซ้ำซากวนเวียนได้ แต่ทุกวันนี้ดูเหมือนจะตรงกันข้าม แทนที่จะสร้าง "องค์กรแห่งการเรียนรู้" บางท่านกล้บสร้าง "องค์กรที่ไม่ยอมเรียนรู้" คือ สอนให้เราปิดหูปิดตา และมุ่งแต่ตัวใครตัวมัน
เรียน อาจารย์ที่เคารพ
องค์การแห่งการเรียนรู้ เป็นกระบวนการบริหารงานที่จะทำให้องค์กรมีความแข็งแกร่ง มั่นคง และมีศักยภาพการแข่งขันที่เหนือคู่แข่ง ดังนั้นในการพัฒนาองค์กรสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้นั้น จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ทั้งในระดับผู้นำและผู้ทำงาน รวมถึงรูปแบบการทำงานเป็นทีม กล่าวคือ องค์จะต้องเน้นการเรียนรู้จากบุคลากรภายในองค์กรที่มองเห็นปัญหา แล้วค้นหาแนวทางแก้ไข เพื่อพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า จูงใจให้เกิดการเรียนรู้เป็นทีมเพื่อประโยชน์ต่อตัวบุคคล ทีมงาน และองค์กร กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ทำในสิ่งใหม่ ๆ ที่แตกต่างและดีกว่าเดิม เร่งเร้าให้เกิดการพัฒนาทักษะ และคุณภาพโดยรวมทั่วทั้งองค์กร ซึ่งทางโรงพยาบาลราชบุรีเองก็มุ่งที่จะพัฒนาให้เกิดเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดมา แต่ก็พบว่ามีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้นตลอดเวลาเนื่องจากเป็นองค์กรที่มีขนาดใหญ่ มีบุคลากรที่มีความรู้แตกต่างกันหลายระดับ ทำให้การขับเคลื่อนรูปแบบการบริหารงานต่าง ๆ เป็นไปอย่างล่าช้า แต่ก็มีแรงผลักดันในการที่จะทำให้เกิดการพัฒนาองค์กรจากนโยบายของรัฐบาลและมาตรฐานของสถานพยาบาลที่จำเป็นจะต้องผ่านการรับรองมาตรฐานการพยาบาล นั่น คือต้องผ่าน HA นั่นเอง ดังนั้นทางโรงพยาบาลจึงได้ดำเนินการโดยยึดหลักของการพัฒนาบุคลากรควบคู่กับการทำ KM เพื่อนำไปสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ โดยยึดหลักการง่าย ๆ 3 ประการคือนั่นคือ ใช้วิธีการเรียนรู้ร่วมกัน โดย เรียนรู้ร่วมกันก่อนเริ่มงาน (learning before), เรียนรู้ร่วมกันระหว่างทำงาน (learning during), และเรียนรู้ร่วมกันหลังงานชิ้นนั้นสำเร็จ (learning after)
ในการทำ HA นั้น จุดเริ่มต้นของการทำจะเริ่มจากการที่ศึกษาจากตำรา การดูงานจากหน่วยงานที่ผ่านการรับรอง HA แล้ว แล้วนำมาประชุมปรึกษากันภายในองค์กร (บุคลากรที่มีส่วนรับผิดชอบในการเป็นผู้ดำเนินงานจัดทำ) เพื่อหาแนวทางที่ดีที่สุดในการที่จะดำเนินการจัดทำ นั่นคือมีการใช้การเรียนรู้ร่วมกันก่อนเริ่มงาน (learning before) หลังจากนั้นได้มีการทำ KPI กำหนดวัตถุประสงค์และผลลัพธ์ (Deliverables)ของงาน จัดทำแบบประเมินตนเองขึ้น เพื่อประเมินงานส่วนใดบ้างที่สามารถทำได้ดีและส่วนใดบ้างที่จะต้องดำเนินการแก้ไข จนเกิดเป็นวงล้อของการพัฒนาขึ้น ที่เรียกว่า CQI และในส่วนนี้คือการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างทำงาน (learning during) หลังจากการดำเนินงานในสิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น หรือภายหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานที่เกิดจากองค์ความรู้ใหม่ ๆ ก็จะมีการประชุมทบทวนงาน (Retrospect) อย่างต่อเนื่อง และร่วมกันหาแนวทางแก้ไข เพื่อให้เกิดการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ นั่นคือ การเรียนรู้ร่วมกันหลังงานชิ้นนั้นสำเร็จ (learning after) ทำให้เกิดคุณภาพการบริการต่อผู้ให้และผู้รับบริการ ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของการทำ HA
เรียนอาจารย์ที่เคารพ
Learning Organization
สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้องค์กรเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ คือ
“คน”
ทั้งนี้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งในด้านเศรษฐกิจ
สังคม การเมือง วัฒนธรรม
ภายใต้สภาวะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
และยากแก่การพยากรณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น
คนจึงต้องพัฒนาตนเองให้เป็นบุคคลที่เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
เพราะคนที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาอย่างมีคุณภาพ
จะทำให้องค์กรมีความแข็งแกร่ง มั่นคง
และมีศักยภาพในการพัฒนางานได้อย่างทั่วทั้งองค์กร
นอกจากคนต้องมีการเรียนรู้แล้ว
คนยังต้องมีการจัดการกับความรู้ที่ดีอีกด้วย
เพื่อให้องค์กรได้มีการพัฒนาไปสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้
Chris Collison & Geoff Parcell ผู้แต่งหนังสือ Learning to Fly
ได้เสนอหลักสำคัญ 5 ประการในการดำเนินการจัดการความรู้ในองค์กร
ดังนี้
1. หา best practices ที่มีอยู่แล้วในองค์กร
ตรวจสอบหาวิธีการจัดการความรู้ที่นำไปสู่ best practices นั้น และหา
"ตัวการ" ที่ทำกิจกรรมนั้น สำหรับดำเนินการขยายผล
2. หา best practices ภายนอกองค์กร เอามาปรับใช้ภายในองค์กร
3. มุ่งเน้นที่เครื่องมือจัดการความรู้เพียง 2-3 อย่าง
ทำจนชำนาญและทำอย่างเรียบง่าย
อย่าพยายามสร้างวิธีการหรือใช้เครื่องมือที่หรูหราโอ่อ่า
4. มุ่งจัดการความรู้ที่ 2-3 ประเด็นที่มีความสำคัญต่อองค์กร
และสามารถพิสูจน์คุณค่าของการดำเนินการจัดการความรู้ได้
5. ตรวจสอบกระบวนการทำงานภายในองค์กร
แล้วปลูกฝังแนวคิดและวิธีการจัดการความรู้ลงไป
จะเห็นว่า หนังสือ Learning to Fly แนะนำให้เริ่มจากการดำเนินการง่ายๆ
เริ่มจากเล็กไปหาใหญ่ และพิสูจน์ผลงาน
สำหรับโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์กรมหาชน) มีการจัดทำ HA
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 โดยมีการแบ่งงานกันรับผิดชอบเป็นทีมต่าง ๆ
เช่น ทีมการบริหารความเสี่ยง ทีมเครื่องมือแพทย์
ทีมการดูแลผู้ป่วยทางคลินิก เป็นต้น
ซึ่งแต่ละทีมจะเป็นสหสาขาวิชาชีพ
จะมีการประชุมปรึกษาแนวทางการจัดทำงานเป็นประจำทุกสัปดาห์ (ใช้
best practices ที่มีอยู่แล้วในองค์กร)
หลังจากนั้นจะจัดให้มีการอบรมในเรื่องต่าง ๆ
ที่จะดำเนินการภายในองค์กรจนครบ 100%
เพื่อให้บุคลากรในโรงพยาบาลได้มีการทำงานเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
นอกจากนี้แล้วยังมีการเสนอผลการประชุมของทีมต่าง ๆ ผ่านทาง Intranet
ของโรงพยาบาลเพื่อเป็นการกระจายข้อมูลให้กับทีมงานอื่น ๆ
หลังจากนั้นจึงนำมาสู่การปฏิบัติ และติดตามประเมินผลจาก
KPI และแบบประเมินตนเองที่แต่ละทีมจะต้องจัดทำขึ้น
ก่อนการทำงานทุกครั้ง
จะเห็นว่าเครื่องมือที่ใช้ในการจัดการความรู้ของโรงพยาบาล
จะเป็นระบบการทำงานผ่าน Intranet การใช้ KPI
และแบบประเมินตนเอง นั่นเอง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นเครื่องมือที่ทำให้องค์กรสามารถพัฒนาองค์ความรู้ต่าง
ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้แล้ว ยังพบว่าปัจจัยที่สนับสนุนให้องค์กรเกิดการเรียนรู้ คือ
โรงพยาบาลบ้านแพ้ว มีผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
มีการคิดทำโครงการใหม่ ๆ อยู่เสมอ
สนับสนุนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถทำงานหรือคิดรูปแบบการทำงานให้สอดคล้องกับนโยบายด้วยตนเอง
ทำให้เกิดความกระตือรือร้นขึ้นทุกหน่วยงาน
บุคลากรกล้าที่จะคิดกล้าที่จะทำ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานที่ดีที่จะทำให้องค์กรพัฒนาไปสู่การเป็น
องค์กรเรียนรู้ (Learning Organization)
จะเห็นว่าโรงพยาบาลบ้านแพ้วนั้น ได้มีการใช้ KPI , KM
และ HRD ในการบริหารจัดการเพื่อให้เกิดเป็นองค์กรเรียนรู้
(Learning Organization) โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเน้น เรื่อง
การพัฒนาคน ซึ่งจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า
เป็นผู้ที่มีความสำคัญที่สุดในการที่จะช่วยผลักดันให้เกิดองค์กรเรียนรู้
(Learning Organization)
กระบวนการ Learning Organization นั้น เป็นส่วนต่อจากกระบวนการKM ซึ่งมีองค์ประกอบหลัก ๆ คือ
1. การจัดการการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม กล่าวคือ วัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญมาสำหรับองค์กรเพราะวัฒนธรรมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคนในองค์กรและเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยากยิ่ง การจัดการความรู้ที่มีประสิทธภาพเริ่มต้นจากคนในองค์กรมีการแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งในองค์กรบ.ทริปเปิ้ลทูนั้น ก็มีวัฒนธรรมในองค์กรที่มีลักษณะเฉพาะ และการแลกเปลี่ยนความรู้ จะดึงประสบการณ์ของแต่ละคนแล้วนำมาแลกเปลี่ยนกันแม้จะไม่ได้จัดเป็นแบบการประชุมแต่จะเป็นการพูดคุยกันระหว่าง ทีมผลิตกันเอง
2. การสื่อสาร เป็นหัวใจหลักที่ทำให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่ององค์กร เรื่องๆ เดียวกันควรเข้าใจให้ตรงกัน ในบ.จะทำเป็น E-mail ส่งให้แต่ละคน รวมถึงปิดประกาศให้ทราบ
3. กระบวนการและเครื่องมือ โดยเลือก 2 ประเภท Tacit และ Explicit
4. การฝึกอบรมและการเรียนรู้ ทางบริษัทมีการจัดอบรมพนักงานหรือส่งไปดูงานด้านตัดต่อแล้วนำมาถ่ายทอดของพนักงานที่มิได้ไปด้วย
5. การวัดผล ดูจากงานที่ออกมา เช่นทางรายการใดมี เรตติ้งสูงก็เป็นตัววัดผลงานได้
6. การยกย่องชนเชยและให้รางวัล องค์กรควรที่จะยกย่องคนที่มีพฤติกรรมที่พึงประสงค์ในการสร้าง ถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อเป้นแบบอย่างแก่เพื่อนร่วมงาน
เมื่อกระบวนการKM เราได้จัดการแล้วก็ควรจัดกระบวนการเรียนรู้ที่พอสรุปได้คือ
1.การค้นหาความรู้
2.การสร้างและแสวงหาความรู้
3.การจัดความรู้ให้เป็นระบบ
4.การประมวลและกลั่นกรองความรู้
5.การเข้าถึงความรู้
6.การแบ่งบันแลกเปลี่ยนความรู้
7.การเรียนรู้
ในบ.ทริปเปิ้ลทู การแบ่งบันความรู้จะใช้ความรู้แบบ Tacit โดยใช้วิธีตามความถนัด และสะดวก เช่น
1.ทีมข้ามสายงาน
2.ชุมชนแห่งการเรียนรู้
3.ระบบพี่เลี้ยง
4.การสับเปลี่ยนงานและการยืมตัวบุคลากรมาช่วยงาน
5.เวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้
โดยในวงจรของการเรียนรู้นั้นเริ่มต้นจาก องค์ความรู้ -->นำความรู้ไปใช้ --> เกิดการเรียนรู้และประสบการณ์ใหม่ -->องค์ความรู้ใหม่
ดังนั้นการจัดองค์การให้เกิดความรู้ผู้บริหารควรเป็นแบบอย่างในการเรียนรู้เพื่อให้พนักงานสามารถใช้เป็นแนวทางปฏิบัติได้
“ชุมชนเข็งแข็ง ร่วมแรงไห้บริการ มาตรฐานคุณภาพชีวิตที่ดี อนุรักษ์ประเพณีและภูมิปัญญาท้องถิ่น ขจัดสิ้นยาเสพติด แหล่งผลิตอาหารปลอดภัย ก้าวไกลเทคโนโลยี การบริหารจัดการที่ดีตามหลักธรรมาภิบาล”
นั่นคือวิสัยทัศน์ของอบต.ไร่ขิง.ซึ่งได้ผ่านกระบวนการคิด การปรึกษาหารือ การค้นคว้า เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาในระดับต่าง ๆ อีกทั้งยังต้องให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ที่จะพึงปฏิบัติได้โดยต้องอยู่ในกรอบตามที่กฎหมายกำหนดเพราะอบต.มิใช่รัฐอิสระและมีสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำมาพิจารณาและมากำหนดเป็นวิสัยทัศน์คือความต้องการของพี่น้องประชาชน และปัญหาที่ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของการเกิดขึ้นของหน่วยงานราชการเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่าอบต.ย่อมาจากคำว่าองค์การบริหารส่วนตำบล ไม่ใช่แปลว่าอมทุกบาททุกสตางค์อย่างที่หลาย ๆ คนเขาว่ากัน จะเห็นได้ว่าอบต.เปรียบเสมือนยาวิเศษขนานหนึ่งเหมือนกันอย่างที่ใครหลายคนคาดหวัง ที่จะทำพี่น้องประชาชนได้อยู่ดีกินดี บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน ถ้าจะเป็นได้อย่างนั้นจริง ๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่อบต.ต้องเป็นองค์กรมีเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ มีมาตรฐานที่สูง มีบุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญในการแก้ปัญหาอย่างมาก ในทางกลับกันอบต.เพิ่งเกิดมาครบ10 ปีเต็มปีนี้เองแล้วจะหวังให้เป็นยาวิเศษได้อย่างไรโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับส่วนราชการด้วยกัน ซึ่งมองให้ดีก็ถือว่าเป็นน้องนุชคนสุดท้องที่กำลังจะเติบใหญ่โดยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีพ่อแม่ พี่ ๆ ให้การอบรมเลี้ยงดูอย่างดี และให้ความรู้ที่ถูกที่ต้อง เป็นต้นแบบที่ให้ลูก ๆ หรือน้อง ๆได้เอาเป็นตัวอย่าง แต่ในความเป็นจริงส่วนราชการที่เกิดก่อนอบต.มีเป็นจำนวนมากที่ประสบความล้มเหลวในการบริหารจัดการ จะมีสัญญาณที่ดีขึ้นสำหรับส่วนราชการก็คือในช่วงที่มีการปฏิรูประบบราชการซึ่งอบต.ไร่ขิงได้โตทันพอดีที่จะได้รับการศึกษา เรียนรู้ว่าจะเป็นองค์กรที่ดีได้อย่างไร สำหรับอบต.ไร่ขิงมุ่งเน้นเรื่องหลักและให้ความสำคัญอย่างยิ่งคือการที่จะสร้างองค์การให้เป็นองค์การที่มีความเป็นเลิศในเรื่องการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล เพราะเราเชื่อว่าถ้าเราสามารถทำได้ตามหลักดังกล่าวข้างต้นอย่างเป็นรูปธรรม ความสุขก็จะเกิดขึ้นทั้งในและนอกองค์การ กับ 9 ปีเต็มที่ได้ปฏิบัติงานในอบต.ไร่ขิงผมได้ยึดหลักดังกล่าวในการทำงานอย่างจริงจังและได้กระจายแนวคิดดังกล่าวให้กับทุก ๆ ฝ่ายที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับอบต.ไร่ขิงซึ่งก็เป็นเรื่องยากเหมือนกันในตอนแรกเพราะต้องยอมรับว่าผลประโยชน์ที่ไม่พึงประสงค์และการเสนอให้มีมากเหลือเกินหรืออีกนัยหนึ่งอาจจะเป็นวัฒนธรรมไปแล้วกระมัง แต่มาถึงวันนี้เราฝ่าฟันและฝืนความอยากได้ไคร่มีมาได้ในระดับหนึ่งซึ่งเป็นระดับที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าใครอ่านขอ้ความของผมแล้วรู้สึกงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับ LO ผมก็อยากตอบว่ามันมีทางสองทางที่จะเลือกเดินคือทางดีกับทางไม่ดี สำหรับทางไม่ดีมันได้มีการเรียนรู้กันอย่างเป็นระบบ ส่วนทางดีมันยังไม่มีการเรียนรู้อย่างเป็นระบบเพราะระบบราชการมีวัฒนธรรมที่ไม่ค่อยเอื้อให้คนทำดีเท่าที่ควรผมคงไม่ต้องอธิบายมากนักหวังว่าทุกคนคงเข้าใจมากกว่าผม และหลักการทำงานของผมอีกหนึ่งซึ่งผมได้ทำสำเร็จและเกิดขึ้นในอบต.ไร่ขิงคือการประชุมเป็นนิจให้ติดเป็นนิสัย เราจะมีการประชุมกันทุกวันในตอนเช้าโดยให้แต่ละส่วนราชการหาวันเวลาที่เหมาะสมในการจัดประชุมเพื่อจะได้รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นพร้อมปรึกษาหารือแนวทางแก้ปัญหาไปพร้อมกัน อีกทั้งยังเป็นเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความรู้หรือประสบการณต่าง ๆ และยังมีการประชุมสรุปงานกันอีกทุกเดือน เมื่อแล้วก็คงจะคล้ายกับสิ่งที่ท่านอาจารย์สอนมา แต่เราไม่ได้แยกแยะออกมาว่านี้คืออะไร จากการปฏิบัตดังกล่าวประกอบกับแนวนโยบายที่ชัดเจนของคณะผู้บริหารทำให้ทุกฝ่ายได้เกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน ในการทำดียึดหลักธรรมภิบาลในการทำงานทำให้เราได้รับรางวัล “ชนะเลิศการประกวดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการบริหารจัดการที่ดีตามหลักธรรมาภิบาล” หลายรางวัลซึ่งเป็นที่น่าภูมิใจอย่างยิ่ง เราไม่ได้โอ้อวดว่าเราดีเราเก่งแต่รางวัลต่าง ๆ บางครั้งก็เป็นน้ำเย็นอันวิเศษที่จะทำให้เราทุกคนได้ดับกระหายความเหน็ดเหนื่อยรวมไปถึงความอยากอะไรบางอย่าง....... เราเองพยายามส่องกระจกมองตัวเองเสมอแล้วเราก็พบว่าเรายังมีเรื่องที่จะต้องพัฒนาอีกมากมายโดยเฉพาะความรู้เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทำให้องค์กรเป็นองค์ที่ทันสมัย และอีกหนึ่งโครงการที่จะสำเร็จภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้คือ ห้องฝึกอบรมของอบต.เอง และเราได้มีการกำหนดหลักสูตรโดยผ่านกระบวนการคิดในระดับผู้บริหารและคณะที่ปรึกษา อีกทั้งยังกำหนดให้ตรงกับความต้องการของพนักงานทั้งฝ่ายข้าราชการประจำ ลูกจ้าง และฝ่ายการเมืองรวมถึงผู้มีส่วนได้เสียกับอบต.เช่น คณะกรรมการประชาคมในทุกระดับ เพราะเราหวังว่าเราจะเป็นท้องถิ่นมีความเข็มแข็งในทุก ๆ ด้านโดยเฉพาะการพัฒนาองค์ความรู้และจะได้ชื่อว่าเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้จริง ๆ ซึ่งจะยังความภาคภูมิใจให้กับทุก ๆ คน เราสัญญาว่าอบต.ไร่ขิงจะเป็นองค์กรที่เป็นที่พึ่งได้จริง ๆ ของพี่น้องประชาชนองค์กรแห่งการเรียนรู้ จริงแล้วเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ต้องเป็นครบทุกด้าน หรือมีหลายด้าน หรือเปล่า อย่างสู่งความเป็นเลิศ เป็นเฉพาะอย่างในการบริหาร หรือไม่