ผมตั้งใจว่าจะไม่เขียนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง สส.ที่จะมีขึ้นในวันที่ 2 เมษายน 2549 นี้ แต่ก็อดใจไม่ได้ ยิ่งเมื่อเห็นความพยายามหลาย ๆ อย่างในการชี้นำและพยายามโน้มนำสังคม เสมือนหนึ่งว่า “คนอื่นเขาคิดเองไม่เป็น หรือไม่มีความคิด” โดยเฉพาะประเด็นการใช้ชื่อเครือข่ายที่คาบลูกคาบดอกว่าคนโน้นคนนี้เข้าไปเกี่ยวข้องกับแนวทางนั้นด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้วตัวตนเขายังไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย
ทำไมที่ผมพูดได้ และพูดเหมือนไม่อยากเกี่ยวข้อง หรือผมเข้าข้างใดข้างหนึ่งไหม ขอตอบก่อนว่าสำหรับผมแล้วมีคำตอบและแนวทางเรื่องนี้สำหรับตัวเองนานแล้ว ตั้งแต่เกิดความรู้สึกขึ้นและได้บันทึกนี้ไปแล้วคือ “ชอบธรรมเพราะถูกต้องตามกฎหมาย เท่านั้นหรือ?” ซึ่งตีพิมพ์ตั้งแต่ไม่รู้ว่าการเมืองจะเดินมาจนถึงขั้นการยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ เสียด้วยซ้ำ นั่นหมายถึงผมไม่ได้รีรอที่จะเฝ้าดูสถานการณ์ก่อนการเลือก ตัดสินใจ ในฐานะข้าราชการคนหนึ่งผมจึงคิดว่าตรงนี้ผมหลุดมาก่อนโดยไม่สนใจกระแส ไม่รอดูกระแส มั่นใจในความถูกต้องที่ได้ตัดสินใจ และให้คะแนนการตัดสินใจไป ด้วยตัวเอง
ผมไม่เห็นด้วยตรงประเด็นที่ใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มน้อย ๆ กลุ่มหนึ่งในสังคมมักจะใช้วิธีการที่ตนได้เปรียบ ที่ตนเป็นผู้นำทางความคิด ซึ่งสังคมอีกนั่นแหละที่สถาปนาให้เขา ใช้ความคิดเห็นของตนปลุกระดม ชี้ชวน และสร้างกระแส จนคนอื่นสูญเสียความเป็นตัวตนไปเพราะชื่นชม หรือรักคน (กลุ่มคน) นั้น เชื่อ ซึ่งที่เชื่อเพราะเป็นความเชื่อในทุนเดิม โดยเฉพาะประเด็นทางการเมือง เพราะผมถือว่าผมเคารพความคิดเห็นและการตัดสินใจของคนอื่น ฉะนั้นผมจะไม่ทำและจะทำสำหรับการเลือกตั้ง สส. ที่จะถึงนี้ ใน 2 เรื่องคือ...
1. ผมจะไม่ชี้ชวนใคร โดยอ้างในนามของเครือข่าย...ต่าง ๆ ที่ผมร่วมอยู่ด้วย ว่าคิดเห็นอย่างไร และจะดำเนินการอย่างไร นอกจากเพียงบอกว่าผมคิดอะไร และจะทำอะไร ในนามตัวเอง
2. ผมจะไปเลือกตั้งแน่นอน เพราะเป็นหน้าที่ และเพื่อยืนยันว่าผมรักระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ซึ่งแน่นอนเปิดเผยได้ว่าผมจะไม่เลือกใคร เนื่องจากตัวเลือกไม่สมบูรณ์ หาไช่เพราะไม่ชอบใครเป็นพิเศษไม่ ถึงตรงนี้จึงอยากเชิญชวนให้ทุกคนออกไปเลือกตั้ง แต่จะตัดสินใจอย่างไรเป็นสิทธิของท่านครับ ผมคนหนึ่งเคารพในการตัดสินใจของทุกคน
บันทึกนี้เขียนขึ้นเพื่อแสดงเจตจำนงว่าผมไม่เห็นด้วยนักกับการชี้ชวนให้คนอื่นคิดเห็นเช่นตน ในประเด็นทางการเมือง โดยเฉพาะการใช้ชื่อเครือข่าย...ต่าง ๆ ที่ไปกระทบกับคนอีกหลาย ๆ ภาคส่วน โดยเขาไม่ได้รู้เรื่องด้วยเช่นเครือข่ายวิชาชีพสุขภาพ เป็นอาทิ
ครอบงำทางความคิด
"มนุษย์"
นั้นมักครอบงำทางความคิด.."มนุษย์"..
และเลือกใช้ ฐานทางปัญญาที่ตนมี..มา
ตัดสิน..เพื่อครอบงำ
"ความคิด"
เพราะ..
ไม่เชื่อและศรัทธา...ใน "ปัญญา"
ของ
"มนุษย์" ด้วยกัน ว่า..เขาคิดเป็น
จึงมักฉกฉวยโอกาส...ในสิ่ง ณ เวลาที่ตน
คิดว่าอยู่เหนือกว่า...
แต่นั่น..เป็น "คิด"..เขลา..ปัญญามาก
สิ่งที่น่ากลัวมากที่สุด ก็คือ
"มนุษย์"..ที่คิดว่า.."ตนฉลาดกว่าคนอื่น"
มากกว่าที่จะคิดว่า
"ตนฉลาดกว่าตน..ในเมื่อก่อน"
นพ.ปฏิภาคย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ประเด็นที่ผมกล่าวถึงคือเฉพาะ "ประเด็นความคิดเห็นทางการเมือง" ครับ ผมไม่เห็นด้วยที่ใช้เครือข่าย...คลุมไปโดยที่กระทบกับคนอื่นอีกหลายภาคส่วนในทำนองการครอบงำกัน ในเนื้อแท้เป็นรายบุคคลเขาคิดอย่างไร ก็น่าจะเป็นสิทธิของเขา เรื่องความเชื่อทางการเมืองเป็นเรื่องส่วนบุคคล ในครอบครัวเดียวกัน เชื่อไม่เหมือนกันก็ได้ แต่เราเคารพกันครับ องค์กร ภาคี เครือข่ายต่าง ๆ ที่ดำเนินงานโดยเป็นกลางทางการเมือง น่าจะไม่แสดงความโน้มเอียงไปทางใดทางหนึ่งทางการเมืองครับ
หากจะเป็นส่วนตัว ผมเห็นชอบครับ ทั้งนี้ส่วนตัวผมเองก็ได้แสดงจุดยืนไปก่อนหน้านานแล้ว โดยไม่รีรอสถานการณ์ด้วย คือไม่รีรอว่างานนี้...เสี่ยง หรือขอเลี่ยง ๆ ไว้ดูลาดเลาก่อน (ประมาณนั้น) หากแต่เมื่อรีรอแล้วก็กลับดึงเอาเครือข่ายไปเป็นเกราะอีก (คนแถวบ้านผมเขามีคำเรียกคนสไตล์นี้เป็นการเฉพาะครับ) ส่วนตัวผมแสดงไว้ที่บันทึกนี้ครับ ชอบธรรมเพราะถูกต้องตามกฎหมาย เท่านั้นหรือ?
หากเป็นการดำเนินการเรื่องอื่น ๆ โดยเฉพาะการพัฒนาสุขภาพชุมชน ตามนัยยะแห่งวิชาชีพ (ที่ผมภูมิใจ) ได้ดำเนินการอยู่นะครับ และเชื่อมั่นในการดำเนินงานด้วยการขับเคลื่อนแบบภาคีเครือข่าย แต่ก็เลือกที่จะใช้วิธีการสร้างความเข้าใจครับ หาใช่การยัดเยียดสิ่งที่เราคิดว่ารู้กว่า ถูกกว่า (หากเวลาเปลี่ยนไป อาจจะผิดก็ได้ มีหลายเรื่องให้เรียนรู้มาแล้ว) ให้แก่เขาไม่ เราเลือกใช้วิธีการเรียนรู้ร่วมกัน รับฟังกัน และเข้าใจไปด้วยกันครับ ซึ่งพื้นฐานตรงนี้ที่จะต้องมีเสมอคือ เราไม่คิดว่าเรารู้มากกว่าเขา และเราให้เกียรติ รวมถึงเคารพในตัวตนของเขาเสมอ พิสูจน์ได้ว่ายั่งยืนกว่าแม้จะช้าไปบ้าง ซึ่งแตกต่างจากการ พูดให้เขาฟัง คนพูดก็เหนื่อย คนฟังก็เมื่อย สุดท้ายปลายทาง ไม่เข้าใจว่ามาพูดอะไร (ยิ้ม)
ด้วยความเคารพครับที่ได้ ลปรร.กัน และชาวบ้านส่วนใหญ่เรียกผมว่าหมออนามัย หากคิดเห็นไม่ตรงกันก็ไม่ว่ากันนะครับ ลปรร.กันได้เสมอ เมื่อให้เกียรติกันและกัน
ความครอบงำ..กับคำสั่ง..สอน
หากใช้ "ปัญญา"...พิจารณา..
อย่างอิสระ..จะแยกแยะได้
ว่า..อะไร คือ
ครอบงำ
และ..อะไร..คือ..คำสั่ง..สอน
คนไทย.."ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"
ดิฉันอาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินไทยมากว่าสามสิบกว่าปี..เชื่อและศรัทธาในความเป็นคนไทย..จึงไม่เคยคิดที่จะออกไปอยู่ ณ ต่างประเทศใดใด เพียงแค่รู้สึก.เสียดายโอกาสแม้มีโอกาส เพียงเพราะที่อยากจะมองเห็นความเป็นไป..ในความเป็นสังคมไทย..ไม่อยากพลาดแม้โอกาสใดใดที่หลุดลอดสายตา..ของการเปลี่ยนแปลง คน ครอบครัว ชุมชน สังคม และวัฒนธรรมไทย...เพราะเชื่อ "ความมีปัญญาของคนไทย"...
ภายใต้รัฐธรรมนูญไทย...เชื่อและเคารพ..ในสิ่งที่เป็นไปตามกติกา..หากเมื่อใดก็ตามเป็นไปตามกติกา..ที่เรา..คน"สังคม" กำหนดขึ้น..เราต้องยอมรับ..หากแต่เป็นการยอมรับภายใต้สิทธิ..ความเป็น "มนุษย์" ที่มีปัญญา โดยไม่ขึ้นอยู่กับความถูกครอบงำใดใด..ภายใต้บริบททางสังคม เพราะ "เชื่อมั่น" ในอิสระทาง "ความคิด"..ที่พึงมีในฐานะที่เป็น "คนไทย"..ไม่ใช่ในฐานะใดใดทางสังคม..
ณ วันนี้..เมื่อพบเจอ..สิ่งที่เหมือนถูกครอบงำทางความคิดเพียงเพราะสถานะทางสังคม..ที่ยังมีการแบ่งชนชั้นทางวิชาชีพ..ซึ่ง "โอกาสของความเท่าเทียม..ก็ยังไม่สามารถมีได้"..แล้วสถานะทางสังคมนั้น..จะแตกต่างอะไร กับ"บริบททางเมือง" ที่เป็นอยู่..ในฐานะที่..จัดว่าเป็น "คน" วิชาชีพคนหนึ่ง..มี "อิสระ" ทางปัญญามากพอที่จะ "คิด" ด้วยปัญญาของ "ตน" ที่มีอยู่..ภายใต้ความเป็นคนไทย.ที่ศรัทธาต่อ..."ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"...หากเรา.."คนไทย" ที่เชื่อในความเป็นคนไทย..ไม่ลุกขึ้นมากอบกู้..โดยใช้ "ปัญญา" ที่มีอยู่...ที่เรามองว่าเรา "ชาญฉลาด"..อย่างสันติ..แล้วเรา..จะกอบกู้ความเป็น "คน"..."ไทย"..ได้อย่างไรเล่า
เพียงเพราะแค่ใช้ "อารมณ์ ความรู้สึก..และอำนาจที่ตนเชื่อ" มากกว่า "ปัญญา" ของความเป็น "มนุษย์"
ประเด็นน่าจะมาจากบทความนี้ ใช่หรือไม่
แถลงการณ์เครือข่ายวิชาชีพสุขภาพ“คว่ำบาตรการเลือกตั้ง ไม่กาเลือกใคร”
คุณ "ปฏิภาคย์"
"ผมตรวจคนไข้ทุกวันนี้ หลายอย่างต้องทำใจเหมือนกันแต่ผมก็พยายามที่จะพยายามพูดในสิ่งที่เค้าไม่รู้ หรือยังเข้าใจผิด โดยที่ผมพยามยามเข้าใจบริบทของคนไข้หรือบริบทของคนชนบท ร่วมด้วย"
ลองใช้ Mind'eye..เข้าใจ..
เชื่อและศรัทธา..ในความ "มนุษย".. จะทำให้เรา "รัก".."มนุษย์"..ด้วย"จิต"ใจอย่างไร้เงื่อนใดใด..
ยินดี ลปรร. นะคะ.."คุณหมอ" ยิ้มๆๆๆ
นพ.ปฏิภาคย์ ด้วยความเคารพยิ่ง (2)
การครอบงำทางความคิดคือการปิดกั้นไม่ให้เขาเข้าใจได้เอง ไม่พยายามให้เขาเลือกและตัดสินใจ เอง ประมาณนั้น ซึ่งก็คือการโน้มน้าวด้วยเล่ห์เพอุบาย ด้วยฐานความน่าเชื่อถือ หรือการสร้างภาพ ฯลฯ อันนี้พูดโดยรวม ๆ นะครับ ตัวอย่างก็คือการโมษณาชวนเชื่อ การแย่งชิงประชาชนในยุคฝ่ายซ้าย-ขวา ในอดีต หรือในปัจจุบันก็มีให้เห็นเกลื่อน พระพุทธเจ้าเองพระองค์ท่านไม่ได้ใช้วิธีนี้หรอกครับ พระองค์ท่านให้อีกวิธีนึงที่จะกล่าวต่อไป
ส่วนการสร้างความเข้าใจ คือการให้ข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ สังเคราะห์ แก่เขา กระบวนการคิด ตกผลึกอยู่ที่เขา เราจะช่วยได้ก็แค่อำนวยให้เกิดบรรยากาศที่เหมาะสม ช่วยจัดสภาพแวดล้อมให้เกิดกระบวนการทางปัญญา มากกว่าครับ ที่นี้การนำแนวคิดเรื่องการพัฒนาคุณแบบTQM/HA/TQA/MBNQA มาใช้ก็ควรจะดำเนินการในรูปแบบนี้ จึงจะได้การพัฒนาคุณภาพที่เป็นคุณภาพบริการอย่างยั่งยืนมากกว่าครับ แต่อาจจะช้าไปกว่าวิธีแรก แต่นั่นหมายถึง ได้ใจเขามาด้วยแน่นอน ไม่ปฏิเสธลึก ๆ ภายใน อันนี้ดูจาก รพ.บางแห่งผ่าน HA พอเปลี่ยนผู้บริหารถูกประเมินใหม่แล้วไม่ผ่านเป็นตัวอย่างและมีจริง ๆ (ไม่ขอเอ๋ยนามนะครับ)
แม้จะเป็นเรื่องที่ดี เป็นเชิงบวก
ก็น่าจะใช้วิธีการสร้างความเข้าใจ เพราะยังไง ๆ
ก็ดูจะเป็นการเคารพซึ่งกันและกันได้มากกว่า และจะยั่งยืนกว่า
ผมเชื่ออย่างนี้ครับ จึงนำเสนออย่างนี้ พอจะตอบ คห.ที่ 2
ของหมอได้นะครับ
ตัวเองครอบงำตัวเองได้ด้วยใช่ไหมคะ
โดยอาศัยความเข้าใจที่มีที่อาจจะมาจากหลายแหล่งข้อมูล อาจมีความคาดหวังของสังคมที่อยู่ในใจของตัวเอง (คือจริงๆสังคมคาดหวังหรือเปล่าไม่ทราบ)ผสมปนลงไป
แล้วเอามาความคิดความเชื่อนั้นกลับมาครอบงำตัวเองแล้วก็เกิดการปฏิบัติว่า จะทำอะไร ไม่ทำอะไร ด้วยเหตุผลที่มีของตัวเองนั้นๆ
ชอบประเด็นที่ตั้งนี้ค่ะ เกิดการคิดได้หลายทาง และชอบประเด็นที่ นพ. ปฏิภาคย์ พูดถึงเรื่องหมอน้ำมันด้วย เอาไว้คงได้คุยกันต่อเรื่องพวกนี้
ตัวเองครอบงำตัวเองได้ด้วยใช่ไหมคะ
โดยอาศัยความเข้าใจที่มีที่อาจจะมาจากหลายแหล่งข้อมูล อาจมีความคาดหวังของสังคมที่อยู่ในใจของตัวเอง (คือจริงๆสังคมคาดหวังหรือเปล่าไม่ทราบ)ผสมปนลงไป
แล้วเอามาความคิดความเชื่อนั้นกลับมาครอบงำตัวเองแล้วก็เกิดการปฏิบัติว่า จะทำอะไร ไม่ทำอะไร ด้วยเหตุผลที่มีของตัวเองนั้นๆ
ชอบประเด็นที่ตั้งนี้ค่ะ เกิดการคิดได้หลายทาง และชอบประเด็นที่ นพ. ปฏิภาคย์ พูดถึงเรื่องหมอน้ำมันด้วย เอาไว้คงได้คุยกันต่อเรื่องพวกนี้
คุณดอกหญ้า
ขอบคุณที่เข้ามาต่อยอดและยืนยัน
ในความเป็นจริงที่เป็นไปตามจริง
ชื่นชมและชมชอบมากที่บอกว่า
"ทุกคนมีความคิดและจุดยืนเป็นของตัวเอง
แต่ทุกคนควรยอมฟังความคิดเห็นของคนอื่น"
อยากเติมต่อว่าฟังอย่าง Hearing ใช่ไหม
ไม่ใช่เพียงแค่ Listening เท่านั้น
กล่าวคือตั้งอกตั้งใจที่จะฟัง
ใช่ฟังเพราะถูกอบรมให้ฟัง
เพื่อฟังตามกระแส...เท่านั้น
แต่ฟังด้วยจิต...ใจ ที่ยอบรับฟัง...ดูก่อน
หรือว่าอย่างไร
นพ.ปฏิภาคย์ ด้วยความเคารพยิ่ง (3)
ผมเชื่ออย่างนี้ครับ เคยบันทึกไว้ที่ หมอรักษาได้ 20% ที่เหลืออีก 80% หายเพราะเหตุอื่น ซึ่งมีข้อคิดเห็นที่เป็นการต่อยอดความรู้และเห็นว่าเป็นประโยชน์อยู่มาก จากหลาย ๆ ท่านครับ ลองติดตามดูนะครับ
ดีใจมากที่อย่างน้อยก็เห็นหมอคนหนึ่งล๊ะครับ ที่อยากทำงานร่วมกับชุมชน และเข้าใจครับว่าภารกิจของหมอต้องทำในส่วนนั้น (ตรวจคนไข้) เพราะไม่มีใครทำได้อย่างที่หมอทำ ส่วนที่หมออยากทำ พวกผมทำได้ เพียงแต่ขอแรงใจ (ที่เข้าใจจริง ๆ) ให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ผมบ้างเท่านั้นครับ
ปล. คห.อื่น ๆ ของทุกท่าน ผมจะตามตอบทั้งหมดครับ ขอเชิญ ลปรร.ได้เลย
Dr.Ka-poom
วิญญาณและความรู้สึกที่ถูกครอบงำ ได้เคยเรียนรู้ว่าทรมาณมากมันจะนำมาซึ่งความหวาดระแวง กลัว กลัวว่าจะพานพบอีกได้ เพราะมีโดยทั่วไปในสังคมโลก เมื่อคิดว่าไม่มีก็กลับมี
ยังยืนยันว่าไม่คิดแม้จะครอบงำใคร หวังเพียงสร้างความเข้าใจร่วม ดูแล เอาใจใส่กันและกัน โดยฐานคิดหลักคือการไว้วางใจกัน ให้เกียรติกัน เท่านั้นพอ
ครอบงำหรือไม่ บ้างครั้งก็ก้ำกึ่งกันกับการช่วยเหลือเกื้อกูล เจตนาบริสุทธิ์ของผู้ให้ และความเข้าใจของผู้รับ เป็นสิ่งสำคัญ
คุณ jc
"ตัวเองครอบงำตัวเองได้ไหม" น่าสนใจ ผมว่าได้นะ ผมเองก็ยังมี อาจจะเป็นการครอบงำได้ทั้งทางบวกและทางลบ หากใช้ฐานคิดว่า "คนเกิดมาว่างเปล่า" ในตอนแรก แล้วค่อย ๆ ปนเปื้อนทุกสิ่งทุกอย่าง ที่สัมผัส ติดไว้ ผ่านพ้น หรือสลัดไป
วันหนึ่งเรารับรู้และเข้าใจในตนเองได้ว่า "ตัวเราเป็นอย่างไร" ในขณะที่มีรายล้อมเป็นบริบทที่ต้องแคร์ ต้องอยู่ร่วมกันให้ได้อย่างเข้าใจและไม่เสียสมดุล หากยังสมดุล ก็ยังไม่มีการครอบงำตนเองเกิดขึ้น
วันต่อมา เราเริ่มรู้สึกตัวว่า "เสียสมดุล" ของความเป็นตนเอง เพราะส่วนหนึ่งจะจะเกิดจากการครอบงำตนเองนี้แหละครับ อาทิ กิเลส (ก็คือของตนเอง) ได้ครอบงำให้เกิดความโลภขึ้น ในใจ แล้วผลักใสให้กระทำการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน อย่างไร้คุณธรรม จริยธรรม อย่างที่ท่านผู้นำฯ ได้กระทำลงไปจนวุ่นวายฉะนี้
นี่แหละน่าจะเป็นตัวอย่างที่เรียกว่า "ครอบงำตัวเอง และตัวเองก็ถูกตัวเองครอบงำ"
น้องตุมปัง
น้องคือมิตร ที่แนบแน่นสนิท ชื่นชมและอยากให้เห็นเป็นตัวอย่างของอิสรภาพ สนับสนุนที่บอกว่า จง... "ตัดสินกันเองด้วยสติและปัญญา อย่านำอติใด ๆ มาครอบงำใจตน จนขาดอิสระ"
Dr.Ka-poom (2)
"คน" มีภูมิปัญญา แน่นอน จึงดำรงความเป็นคนมาได้ คนมีสิทธิตามปัญญาที่มี แต่ไม่ได้ใช้สิทธิอย่างเท่าเทียมกัน เป็นเพราะโอกาสในการใช้ปัญญานี่แหละ
ฉะนั้น เราต้องร่วมด้วยช่วยกัน คนละไม้ คนละมือ เพื่อเอื้ออำนวยให้เกิดการใช้โอกาสที่มี เพื่อ "คน" ได้นำปัญญาที่มีออกมาใช้กันครับ ไม่ถูกกดโดย "คนที่คิดว่าตนมีปัญญากว่า"
ปัญญามีไม่เหมือนกันแน่นอน แต่ไม่ใช่การพูดว่ามีเท่ากันหรือไม่ ใครมากกว่าใคร การพูดเช่นนี้ เป็นการไม่ให้เกียรติ ไม่เคารพในปัญญาของกันและกันครับ
คุณ jc (2)
ต่ออีกนิด หากแต่การใช้ปัญญาของตนอย่างอิสระครับ ผมเชื่อว่าจะจัดการกับการ "ครอบงำตัวเอง และตัวเองก็ถูกตัวเองครอบงำ" ได้ ฉะนั้น กระบวนการทางปัญญา อย่างอิสระในตัวตนของตัวเอง จะช่วยได้ จึงต้องละเว้นการครอบงำกันและกัน ดีไหม
ทุกท่าน
พระพุทธเจ้า..สอนว่า..อย่าได้ "เชื่อ"..อะไรง่าย
โปรดใช้ "ปัญญา" ในการคิดพิจารณาไตร่ตรอง
คุณดอกหญ้า
ยิ้ม..ๆๆ...ไม่ลอง Knowledge Construction ก่อนเหรอคะ..
ค่อยเชื่อ..ว่าที่ท่านพระพุทธเจ้าทรง "สอน"..นั้นจริงเท็จแท้หรือไม่...อย่างไร
ขอเติมเต็ม เพื่อร่วม ลปรร.และพิจารณาต่อนะครับ
พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเรื่องกาลามสูตร 10
ไว้ดังนี้
1.
อย่าได้เชื่อเพราะเพียงว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่บอกต่อ ๆ กันมา
2.
อย่าได้เชื่อเพราะเพียงว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาได้ทำตาม ๆ กันมา
(ประเพณี)
3.
อย่าได้เชื่อเพราะเพียงว่า
มันเล่าลือกันกระฉ่อนไปหมดแล้วว่าเป็นความจริง
4.
อย่าได้เชื่อเพราะเพียงว่า มันมีอ้างอยู่ในปิฎก (คัมภีร์,ตำรา)
5.
อย่าได้เชื่อเพราะเพียงว่า เป็นตรรก หรือการคำนวณ
6.
อย่าได้เชื่อเพราะเพียงว่า ได้อนุมานเทียบเคียง
หรือคาดคะเนเอาเอง
7.
อย่าได้เชื่อเพราะเพียงว่า ได้ตรึกตรองเอาตามอาการ
8.
อย่าได้เชื่อเพราะเพียงว่า มันเข้ากันได้กับลัทธิความเชื่อ
และทฤษฎีของตน
9.
อย่าได้เชื่อเพราะเพียงว่า รูปร่างลักษณะน่าเชื่อถือ
หรือ 10. อย่าได้เชื่อเพราะเพียงว่า
ผู้สอนเป็นครูเป็นอาจารย์ของเรา
คุณ "ปอม"
หนังสือที่ คุณ"ปอม" แนะนำมาได้อ่านแล้วค่ะ...หากใคร..มีโอกาสลองหาอ่านนะคะ..
ปล. ดีใจจัง..ที่เปิดมาพบ "คุณ(พี่)ปอม" มาร่วม ลปรร. หลังจากห่างหายไปนาน..(พี่)สบายดีนะคะ..ไปพัทลุงครั้งนั้น "คุณชายขอบ" บอกว่าจะหาเวที ลปรร. แบบ F2F สักวัน..ก็จำต้องพลาดทุกครั้ง...ทวงนะคะ..ยังอยาก ลปรร. แบบ F2F "คนคอเดียวกัน" อยู่นะคะ
จาก...คนนอกกรอบ(ยิ้มๆๆๆ)
ปอม
ในหนังสือนั้นจะเข้าใจอะไรได้เหรอครับ ที่บอกว่า "อาจทำให้เข้าใจอะไรได้ดีขึ้น"
"การลองผิดลองถูกในการทดลอง" เยี่ยมครับ เพราะได้รู้โดยการปฏิบัติ สิ่งนี้แหละที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำโดยการ "ทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง" หากแต่ KM แท้จริงนั้น อาจมีของดีอยู่แล้วในองค์กร ลองหลับตาค้นหาใหม่ จะเจออะไร ๆ ได้ และมีค่า...ดีใจนะที่เพื่อน...กำลังลงมือ
ปอม และ Dr.Ka-poom
จนแล้วจนรอด ก็ถูกทวง (อายเลย) ขอโทษด้วยที่ F2F ไม่เกิดขึ้นในครั้งนั้น เพราะงานที่ชุมชนติดพันจนวัน Dr.Ka-poom บินกลับ แต่ภารกิจนี้ยังมีอีกเนิ่นนานและต่อเนื่อง...เกิดขึ้นแน่ สัญญา...ด้วยใจ
ตอบเพื่อนเรา(คุณชายขอบ)
ในหนังสือเล่มนั้น(หน้า 84)เขียนไว้ว่า ความรู้สร้างระยะห่าง...ความรู้แบ่งแยกระหว่าง"ความเป็นเรา" กับ "ความเป็นเขา" แยก"ประธาน"ออกจาก"กรรม"...แยก"ผู้รู้"ออกจาก"สิ่งที่ถูกรู้ "... แยก"ผู้สังเกต"ออกจาก"สิ่งที่ถูกสังเกต" ความรู้ได้แบ่งแยกสิ่งต่างๆ อย่างที่ไม่สามารถนำมาเชื่อมประสานกันได้อีก และนี่คือสาเหตุที่ทำไมผู้ที่มีความรู้มาก จึงเข้าใจความเป็นหนึ่งหรือองค์รวมได้ยากขึ้น... เหมือนกับคำที่พระเยซูได้กล่าวว่า "มีแต่เด็กเท่านั้นที่สามารถเข้ามาในอาณาจักรของข้าได้" มีแต่เด็กเท่านั้นหรือ...อะไรคือคุณสมบัติที่เด็กมีแล้วเราไม่มี? สิ่งที่เด็กมีก็คือ..เด็กไม่มีความรู้มากนัก ไร้เดียงสา มองโดยไม่มีอคติ ไม่มีการตัดสินล่วงหน้าว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด...
ที่อยากให้อ่านก็เพราะกำลังคิดว่า...คุณหมอปฏิภาคย์กำลังที่จะ..ก้าวพ้นการคิดแบบแยกส่วน การสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพป่วยโดยการมองแบบองค์รวม เข้าใจความ"เ้ป็นเขา"(ที่ยังต้องการคำอธิบายมากมายนัก)...ซึ่งโรงเรียนแพทย์ไม่มีสอนได้ดีขึ้น...(คุณหมอที่บ้านพี่ก็เหมือนกัน...กำลังเริ่มคิดแบบองค์รวมเป็นแล้วหล่ะค่ะ)
คุณ "ปอม" ..นิดนะคะ (ลปรร.นะคะ)
อะไรคือคุณสมบัติที่เด็กมีแล้วเราไม่มี? สิ่งที่เด็กมีก็คือ..เด็กไม่มีความรู้มากนัก ไร้เดียงสา มองโดยไม่มีอคติ ไม่มีการตัดสินล่วงหน้าว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด...
ความรู้ "มนุษย์" มีทุกคน ไม่ขึ้นกับเพศ วัย อายุ หากขึ้นอยู่กับ "โลก-World" ของแต่ละคน..ที่สั่งสมมา..ความรู้ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามลำดับขั้นของวัย..เช่น..ผู้ใหญ่บางคนเพิ่งจะมาขับมอเตอร์ไซด์หรือปั่นจักรยานได้ เมื่ออายุล่วงเลยมาสามสิบปีแล้ว
"โลกแต่ละคนมีขนาดไม่เท่ากัน...ตามการรับรู้ เรื่อง "โลก"
หลังม่าน
น่ากลัวยิ่งกว่า
การเผชิญหน้า
มาเพื่อพบเจอ
"เรา" มาเจอคุณหมอ "ปฏิภาคย์" ที่นี่..
และได้ตามไปที่.."คุณภาพที่กำลังงอกเงยที่โรงพยาบาลไพศาลี"...เพื่อ ลปรร. กันยิ่งขึ้น
คุณ "แวะมา"
ใช่ครับหลังม่านน่ากลัวยิ่งกว่า แต่หาเราต้องช่วยการเปิดม่าน เพื่อให้เห็นเข้าไปพร้อม ๆ กัน ว่าแท้จริงหลังม่านเขากำลังทำอะไร อย่างไร โดยไม่บิดเบือน ดีไหม...
คุณ "แวะมา"
ใช่ครับหลังม่านน่ากลัวยิ่งกว่า แต่หาเราต้องช่วยการเปิดม่าน เพื่อให้เห็นเข้าไปพร้อม ๆ กัน ว่าแท้จริงหลังม่านเขากำลังทำอะไร อย่างไร โดยไม่บิดเบือน ดีไหม...