บันทึกเรื่องนี้เกิดจากการที่วันนี้ดิฉันได้เอา computer ไปให้น้องที่ทำงานจัดการไวรัสให้และเอาข้อมูลบางส่วนออกไปบ้างในระหว่างการจัดการทำให้บังเอิญได้เจอ file รูปเก่าๆหลายรูปทั้งรูปเพื่อนเก่า รูปคนที่รักและเคารพ รูปการทำงานในชุมชน ดิฉันวนดูรูปเหล่านั้นอยู่หลายครั้งวนไปเวียนมา เกิดความรู้สึก 2 อย่างจากการดูรูปค่ะคือ ยิ้มทั้งน้ำตา วันเวลาเก่าที่ผ่านมาแล้วเมื่อเราได้ถ่ายภาพถือได้ว่าสิ่งที่อยู่ในภาพเป็นอดีต ซึ่งในอดีตก็จะแบ่งได้ทั้ง 2 ด้านคืออดีตที่สร้างรอยยิ้มและอดีตที่สร้างรอยน้ำตา
เมื่อวานที่ผ่านมาพ่อยังยิ้มอยู่เลย
เมื่อวานที่ผ่านมาเสื้อฟ้าขาวที่ชอบใส่ไปทำงานก็ยังดูหลวมอยู่มากๆ อสม.ยังยิ้มกว้างกันทุกคน
เมื่อวานที่ผ่านมา(เมื่อไม่นาน)เป็นภาพดิฉันกับเสื้อเหลือง สวนลุมและกรุงเทพมหานคร
เมื่อวันนั้นที่ถ่ายภาพไว้ไม่เคยคิดค่ะ ว่าวันหนึ่งภาพถ่ายเหล่านั้นจะสร้างความรู้สึกที่ดีให้มากมายขนาดนี้ เพราะเมื่อกลับมาคิดแล้วการถ่ายภาพก็เท่ากับ mile stone อย่างหนึ่งของชีวิตเช่นกัน เพราะในชีวิตของคนเรามีคนและเหตุการณ์ต่างๆมากมายได้ผ่านเข้ามาในชีวิต ซึ่งในวันนี้ดิฉันได้ข้อสรุปอย่างค่อนข้างแน่นอนสำหรับชีวิตว่าไม่มีใครที่ผ่านมาในชีวิตเราแล้วไม่ผ่านไปแม้แต่คนที่ดิฉันรักมากที่สุดคือพ่อเมื่อชีวิตได้เดินทางมาถึงกิโลเมตรหนึ่งพ่อก็ผ่านไป แต่สิ่งที่อยู่กับตัวเราคือความรู้สึกที่มีกับสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตว่าจะเป็นความรู้สึกที่ดีหรือความรู้สึกที่ไม่ดี เมื่อเป็นความรู้สึกที่ดีเราก็จะมีรอยยิ้มและหากมีความรู้สึกที่ไม่ดีเราก็จะมีรอยน้ำตานั้นน่าจะเป็นตรรกะแบบง่ายๆที่สิ่งที่เกิดขึ้นตอบตัวมันเองค่ะ
ในชีวิตการทำงานของเราดิฉันก็ว่าไม่ต่างกันค่ะ ภาพในวันก่อนที่การเกิดขึ้นของ pcu ถูกทำให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกระแสการดูแลไม่ให้คนป่วยเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงอย่างหนาหู ความเชี่ยวกรากของนโยบายทำให้สถานีอนามัยถูกจับมาแต่งตัวใหม่เป็น pcu ในวันที่ผ่านมาเมื่อกระแสดังกล่าวมาแรงดิฉันพึ่งเข้าเรียนปริญญาโทอยู่ปีที่1 จำได้ว่าสถาบันของดิฉันได้เชิญท่านอาจารย์นายแพทย์ดอกเตอร์โกมาตร์ มาบรรยายเรื่องเครื่องมือ 7 ชิ้นในการศึกษาชุมชนเป็นที่แรกๆ ของอีสาน วันนั้นที่ได้ไปฟังยังได้ไปฟังในฐานะผู้สังเกตุการณ์และเด็กเสริฟน้ำร้อน(ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ภาคภูมิใจมาก) วันนี้อาจารย์จะทราบไหมค่ะว่า pcu แทบทุกที่ในจังหวัดดิฉันใช้เครื่องมือของอาจารย์สิ่งที่แสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมคือทุก pcu มีแฟ้มครัวเรือนครบค่ะแต่สิ่งที่ดิฉ้นคิดแล้วคิดอีกว่าจะเล่าสู่ทุกท่านฟังดีไหมค่ะว่า ทุกวันนี้ตัวดิฉันเองยังงงๆกับสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่(ไม่เกี่ยวกับเครื่องมือของอาจารย์ค่ะเพราะดีมากๆอยู่แล้วค่ะ)ทุกครั้งที่เข้าประชุมจะได้ยินแต่สิ่งที่บอกว่าปัญหาคือ..... แต่ก็ต้องทนเพราะทำอะไรไม่ได้ why or why not ทุกคนมุ่งทำตามนโยบายจนลืมว่าการที่จะได้มาซึ่งเป้าหมายตามนโยบายคืออะไรซึ่งสิ่งนี้จริงๆหากคิดอีกมุมอาจจะเป็นสิ่งที่ดีขององค์กรหรือไม่หมายถึงองค์กรดีอยู่แล้วที่ทำงานเก่งงานบรรลุเป้าหมาย แต่คนที่น่าจะแย่คือคนที่ทำและปรับความคิดไปกับสิ่งที่องค์กรเชื่อไม่ได้นั้นคือ เป้าหมายที่เป็นตัวเลข เป็นเปอร์เซนต์หลายคนคงถามต่ออีกแหล่ะค่ะว่าหากไม่ดูตัวเลขแล้วดูอะไร ....... ดิฉันมีคำตอบสำหรับตัวดิฉันเองแล้วจริงๆค่ะแต่อยากมากๆอยากแลกเปลี่ยน อยากได้รับคำแนะนำ ขออภัยที่เขียนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงานไม่ชัดเจนแต่ดิฉันเชื่อว่าหลายท่านที่จะกรุณาเข้ามาให้คำแนะนำน่าจะเดาได้ถูกภาวนาค่ะ
เครียดมากแล้วค่ะอยากให้ลองฟังเพลงนี้ค่ะเพราะจังค่ะฟังแล้วคิดถึงความหลังในภาพค่ะ และอยากบอกจริงๆค่ะว่าบันทึกฉบับนี้มีเพราะฟังเพลงนี้ค่ะ
ภาพแห่งความหลัง
กว่าที่เรา จะรักกัน ผูกพันกันจนรู้ใจ
เรื่องราวมากมายที่เรานั้นเคยพ้นผ่าน
กับเส้นทางที่คุ้นเคย ที่เคยผ่านมาด้วยกัน
ทุกคืนและวัน ไม่อาจลบเลือนไป
* เมื่อวันที่ใจเงียบเหงา คิดถึงเธอก็มีน้ำตา
จะนานเท่าไหร่ ก็ยังรู้สึกทุกครา
** ภาพแห่งความหลังยังคงเสียดาย
เหมือนมีความหมายเก่าๆ
จะเหมือนกันบ้างหรือเปล่า
คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา..
หนึ่งบทเพลงที่ซึ้งใจ ที่เป็นดั่งเพลงของเรา
ได้ยินอีกคราว ก็ยิ่งปวดร้าวในใจ
ภาพแห่งความหลังยังคงเสียดายเหมือนมีความหมายเก่าๆ
จะเหมือนกันบางหรือเปล่าคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา
อยู่คนเดียวบางทีก็เผลอรู้สึกว่าเธอยังคงไม่ไกล
และกลับไม่เจอเธอข้างกายได้แต่ใจหาย
ภาพแห่งความหลังยังคงเสียดายเหมือนมีความหมายเก่าๆ
จะเหมือนกันบางหรือเปล่าจะเหงาเหมือนกันบางไหม
miss u so my hearted my soul my big father