สวัสดีค่ะคุณเม้ง
ขอบคุณค่ะ...แล้วคิดออกจะมาบอกอีกนะคะ
สวัสดีครับคุณครูอ้อยที่น่ารัก
สวัสดีครับพี่ครูเสือ
สวัสดีครับคุณครู
สวัสดีครับคุณราณี
สวัสดีครับคุณครูที่น่ารัก
เรามาช่วยๆกันกระพริบถี่ๆๆๆนะคะ
ฮุยเลฮุย
สวัสดีครับคุณครู
โอ้โห !!!!!!!!!
สวัสดีครับพี่เหลียง
อิอิ...คารวะด้วยน้ำชาหลายๆจอกค่ะ
ผมได้อ่านความเห็น ครูอ้อย เข้าลึกถึงความรู้สึกของครูอ้อย บุคคลที่ซ่อนความเป็นอัจฉริยะอยู่ภายใน ไม่ยอมเปล่งประกายของความยิ่งใหญ่ออกมาให้ผู้คนได้เห็น ตัวจริงของครูอ้อยได้เรียนรู้จากการที่ได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกัน ความจริงที่หวังและต้องการ รอวันเวลาที่จะแสดงออก ไม่ผิดหรอกครับ สู้เพื่อการศึกษาไม่มีวันตายจาก
ว้าวท่านเหลียง..
สวัสดีครับคุณครู
อย่างแรกเลยคือ เราจะดึงการศึกษาออกจากการเมืองได้อย่างไร
เพราะอย่างไรเสีย องค์กรการศึกษาก็ต้องใช้งบประมาณจากรัฐบาล
คุณคิดว่าคุณจะตอบสองคำถามนี้ว่าอย่างไรครับ
อย่างแรกเลยคือ เราจะดึงการศึกษาออกจากการเมืองได้อย่างไร
สวัสดีครับคุณสมพร
ไฟแรงมากครับ เป็นบทความที่มีพลัง จนต้องขอคิดลึกๆ และสะท้อนมุมหลากหลายเข้าไปเพิ่ม momentum
เริ่มจากคำ "การเมือง" ถ้าหมายุถึง "การเมืองไทยแบบที่แล้วๆมาจวบปัจจุบัน" ก็คงจะเห็นด้วยหลายส่วน (ไม่ทั้งหมด) แต่จริงๆ ที่เรา "เล่น" กันอยู่นี้ไม่ใช่การเมืองเสียทีเดียว ในแง่การเมืองที่มีไว้เพื่อสังคมมนุษย์กลุ่มใหญ่ๆ เพราะ เช่นอย่างในที่สุดแล้ว การบริหารการศึกษา อย่างน้อยก็อาจจะมีสภาการศึกษา มี hierachy ของการบริหาร การเมืองก็จะเข้ามาเกี่ยว แต่ตัวที่มีการเมืองมาเกี่ยว ไม่จำเป็นต้อง evil เสมอไป (รึเปล่า?)
มันจะเกิดสภาวะ contradiction หน่อยๆ ก็คือ การบริหารจัดการทีดี สมบูรณ์ของสภาการศึกษาที่เป็น independent จาก การบริหารประเทศน้นเป็นเช่นไร การมี investment ในด้านต่างๆ จำเป็นต้องมีการจัดสรรทรัพยากรที่มี (จำกัด) ให้ทรงประสิทธิภาพที่สุด การแยกการศึกษาออกมาจากภาคอืนๆนั้น จะมีผลกระทบอย่างไรกับ ความเป็นองค์รวม
เคยเสนอโครงการขึ้นไป บรรทัดแรกๆบอกว่าเกี่ยวข้องกับ หมอ ครู พระ ฉะนั้นขอการสนทนาร่วมระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษา และกระทรวงวัฒนธรรม ปรากฏว่าทำไม่ได้ซะแล้ว มันขาด jurisdiction ของระหว่างกระทรวง เพียงแต่ว่า "ชีวิต" ของมนุษย์นั้น เจ็บป่วย เรียนรู้ จิตวิญญาณ มันอยู่ในร่างเดียวกัน รวมทั้งร่างที่ทำมาค้าขาย ประกอบอาชีพต่างๆด้วย
New Sciences กำลังหาวิธี approach แบบ holistic เช่น การทำ dialogue ของ David Bohm เพื่อหา collective thought ของคนในสังคม เรา "ต้อง" สนทนากันมากขึ้น (รึเปล่า) หรือเราควรจะ "แยก" กันออกไปจากกันมากขึ้น?
เป้นแค่ปัญหาทางปรัชญา เป็นกระษัยเริ่มต้นครับ ยอมรับว่าเป็น think off the box ที่ ท้าทาย ในหนังสือ World Cafe' ของ David Isaac กล่าวว่า ถ้ามีการเปลี่ยน If only ไปเป็น What if ไปเป็น Why not ไปเป็น Why not now เราก็จะได้ human evolution ใหม่ขึ้นมาได้ ตอนนี้เลยขอโยน What ifs เข้าไปให้สมการมีตัวแปรเยอะๆหน่อยครับ
สวัสดีครับคุณหมอ
New Sciences กำลังหาวิธี approach แบบ holistic เช่น การทำ dialogue ของ David Bohm เพื่อหา collective thought ของคนในสังคม เรา "ต้อง" สนทนากันมากขึ้น (รึเปล่า) หรือเราควรจะ "แยก" กันออกไปจากกันมากขึ้น?
เป้นแค่ปัญหาทางปรัชญา เป็นกระษัยเริ่มต้นครับ ยอมรับว่าเป็น think off the box ที่ ท้าทาย ในหนังสือ World Cafe' ของ David Isaac กล่าวว่า ถ้ามีการเปลี่ยน If only ไปเป็น What if ไปเป็น Why not ไปเป็น Why not now เราก็จะได้ human evolution ใหม่ขึ้นมาได้ ตอนนี้เลยขอโยน What ifs เข้าไปให้สมการมีตัวแปรเยอะๆหน่อยครับ
กราบขอบพระคุณมากๆ เลยครับ ผมดีใจครับ ที่ได้ความเห็นของคุณหมอเพิ่มครับ ผมอยากให้ท่านอื่นๆ ช่วยวิจารณ์ด้วยครับ
สำหรับเรื่องนี้ผมยังเด็กมากๆ นะครับ แต่คิดไว้ เพราะผมก็เอาโจทย์นี้ใส่ในหัวมาสิบปีแล้วครับ ตั้งแต่สมัยปริญญาตรีนะครับ เรื่องการศึกษาของเด็กทุกระดับชั้นนะครับ ประกอบกับผลกระทบบางอย่างจากการเมือง
การเมืองเป็นสิ่งที่ดีนะครับ หากทำให้เกิดผลที่ดีอย่างจริงจัง ผมมองว่าการเป็นเป็นการจัดสรรเรื่องผลประโยชน์ ในการบริหารประเทศ (ตรงนี้ผมอาจจะมองผิดนะครับ รบกวนชี้แนะด้วยครับ) แล้วผลประโยชน์จากการบริหารประเทศควรจะตกที่ไหนครับ แผ่นดิน ประชาชน หรือใครครับ
แต่การศึกษาผมมองว่าเป็นการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นการลงทุนของรัฐเพื่อสมองของประเทศ การศึกษารัฐจะต้องลงทุนให้กับประเทศ ไม่ผลักภาระส่วนใหญ่ให้อยู่กับประชาชนมากเกินไป พูดง่ายๆ คือ การศึกษาไม่ควรเป็นธุรกิจ แต่เป็นการลงทุนของรัฐนะครับ โดยที่คนทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการเรียน ทุกระดับชั้น จนจบ ม.ปลาย หรือ ปวช. หรือมากกว่านั้นครับ ระดับ ม.3 ที่เราวางไว้ 9 ปีนั้น จริงๆ น้อยเกินไป แต่ในทางปฏิบัติเราไปไม่ถึงครับ ค่าเฉลี่ยตอนนี้ เกิน ม. 3 หรือไม่ครับ ถามว่า เพราะเหตุใดครับ
เชิญอาจารย์ตอบคำถามต่อที่นี่ นะครับ เรื่อง เด็กสองแสนคนที่หายไปนะครับ เด็กสองแสนคนหายไปไหน ใครตอบได้ช่วยบอกทีครับ (การศึกษา)
มาเถอะครับ มาหาทางออกร่วมกันนะครับ เพื่อให้ลูกหลานของเราได้พัฒนาประเทศร่วมกันครับ แล้วออกไปทำงานเพื่อสังคมจริงๆ ด้วยใจบริสุทธิ์ กระจายอยู่ทั่วไป ทั่วประเทศครับ
ขอบคุณมากๆ นะครับ
สวัสดียามเช้าค่ะน้องเม้ง...
สวัสดีครับคุณครูอ้อยที่น่ารัก
อย่าไปคิดดึงการศึกษาออกจากการเมือง มันเหนื่อยและยาก
ถ้าระบบศาลช้า ไม่เอาด้วย
เห็นป้ายริมถนนไหมครับ
เขียนและปักเข้าไป
เขียนในระบบไอที
เขียนป้ายผ้าแขวนหน้าบ้าน หน้าหมูบ้าน ข้อความรึครับ
"เราไม่ต้องการนาย.....เพราะมันโง่ ไม่จริงใจทำหน้าที่.." อย่างลงชื่อละเดี๋ยวมันเต๊ะเอา หรือเอาลูกน้องมาแกล้งเรา เว้นแต่จะทำกันมากๆจนไม่รู้จะแก้อย่างไร "
เรื่องนอกกติกา นอกระบบ ต้องใช้วิธีนอกระบบ
เขียนลงในนสพ. ยิ่งอาจารย์มหาวิทยาลัยเขียนยิ่งดี เพียงแต่ตอนนี้เขียนน้อยนับตัวได้ ลองช่วยกันขย่มสิครับ ตกเก้าอี้ไปนานแล้ว บ้านเมืองไม่ย่ำแย่อย่างนี้หรอก
กราบสวัสดีท่านครูเคารพ
สวัสดีค่ะ น้องเม้ง
ครูบาเขียนข้อคิดเห็นไว้ในบันทึก "อาจารย์ไม่มีคุณภาพ" ไว้ตรงประเด็นและโดนใจมากเลยค่ะ อยากให้น้องเม้งลองเอามารวบรวมในส่วนของภาพรวมดูค่ะ เผื่อจะต่อ jigzaw ไปได้เรื่อยๆ : )
สู้ๆ ต่อไปค่ะ
ชีวิตคน ถ้าจะขอ oversimplify แป๊บนึง อาจจะแบ่งเป็น 3 ฐาน ได้แก่ ฐานกาย ฐานใจ ฐานความคิด
ฐานกาย คือ ความสมบูรณ์ของร่างกาย ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เวลามีอะไรมาคุกคาม ก็จะเกิดกลไกปกป้องตนเอง มีความกลัว เกิดขึ้น เป็นฐานเบื้องต้น
ฐานใจ สูงขึ้นมานิดนึง เมื่อร่างกายปลอดภัย ไม่ถูกคุกคาม ก็จะสามารถ "รัก" คนอื่นๆได้ เผื่อแผ่คนอื่นได้ เรียนรู้ได้ ถ้าฐานใจถูกคุกคาม ก็จะเกิดความหวาดระแวง ความเห็นแก่ตัว อยากเอาตัวรอด
เมื่อฐานกายและฐานใจดี เราก็จะมีฐานความคิดที่สร้างสรรค์ มี new idea มีการมองค้นหาตนเอง ค้นหาชีวิตที่มีความหมายอย่างแท้จริง
ในสังคมของเรา ทั้งสามฐานถูกสิ่งแวดล้อมเข้ามากระตุ้นทั้งทางบวกและทางลบตลอดเวลาครับ เราอยากจะสร้างสรรค์ แต่ถ้าค่าเช่าบ้านยังหาไม่ได้ (ฐานกาย--- จะไปอยู่ที่ไหน ถูกคุกคาม) หรือ พร่งนี้จะสอบ สมัครงาน (ฐานใจ-- อารมณ์กังวล) โอกาสที่จะมีความคิดสร้างสรรค์ตรงนั้นคงจะยาก
การศึกษา สำคัญจริงครับ เป็นเครื่องมือหนึ่งที่เราจะนำไปใช้ แต่ที่จริง "ชีวิตทุกชีวิตก็คือการศึกษาอยู่แล้ว ใช่หรือไม่?" เราไม่ได้พูดถึงการศึกษาในระบบอย่างเดียว ใช่ไหมครับ เพราะการศึกษาไม่จำเป็นต้องเป็น system แต่เราเรียนรู้ตั้งแต่เกิด จน โต
ประเด็นคือ "ความล้มเหลวของการศึกษา" นี่ เราพอจะ "ชี้นิ้ว" ได้หรือไม่ว่าเป็น ของ "ใคร"
ที่การเมืองเป็นอย่างนี้ เป็นความล้มเหลวทางการศึกษาอย่างนึง แต่ก็เป็นการศึกษา "ภาคสังคม" คือการเรียนรู้จากทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัวเรานี่แหละครับ การเรียนรู้ที่ทำงาน การเรียนรู้ที่บ้าน การเรียนรู้ที่โรงเรียน ที่วัด ฯลฯ ทุกๆที่ที่มี stimulation เซลล์ของเราเกิดการเรียนรู้ตลอดเวลา
ดังนั้น องค์รวมจึงสำคัญ เราจึง doom to fail ถ้าเราไม่ได้ address ปัญหาที่มี อิทัปปัจจยตา เพราะเราไม่เห็นความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องของปัจจัยต่างๆ แต่พยายามจะแยกส่วน
ใน dependent origination หรือ ปฏิจจสมุปบาท นั้น แสดงให้เห็นสมการความเชื่อมโยงเหล่านี้ และแสดงเหตุและผลของความล้มเหลวด้วย ในอวิชชา4 นั้น ข้อหนึ่งก็คือการไม่ตระหนักถึง เหตุปัจจัยที่เชื่อมโยงกันและกัน
บางที ที่คุณสมพรได้เริ่มเผยแพร่ความสำคัญเรื่องนี้ สัมฤทธิผลอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นตอนที่เราจะมี หรือไม่มี หรือจะสร้าง separated education council ขึ้นมาในประเทศไทย แต่เป็นการรณรงค์ให้ผู้คนหันมาสนทนาเรื่องที่ matter ต่อชีวิต ต่อสังคมมากขึ้น ก็เป็นได้ครับ
สวัสดีน้องเม้ง
สวัสดีครับ ครูบา สุทธินัน ที่เคารพ
สวัสดีครับพี่กมลวัลย์
สวัสดีครับคุณหมอ
การศึกษา สำคัญจริงครับ เป็นเครื่องมือหนึ่งที่เราจะนำไปใช้ แต่ที่จริง "ชีวิตทุกชีวิตก็คือการศึกษาอยู่แล้ว ใช่หรือไม่?" เราไม่ได้พูดถึงการศึกษาในระบบอย่างเดียว ใช่ไหมครับ เพราะการศึกษาไม่จำเป็นต้องเป็น system แต่เราเรียนรู้ตั้งแต่เกิด จน โต
ใช่แล้วครับ การศึกษาก็มีอยู่ในทุกชีวิตอยู่แล้วครับ เรียนรู้มาตั้งแต่เกิดจากพระอรหันต์ของแต่ละคน จากครอบครัวใช่ไหมครับ
การศึกษาที่พูดถึงนี้ คือทุกอย่างนะครับ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ ผมเลยยกเอามาตาม กฏหมายที่บัญญัติเอาไว้นะครับ ว่ามีการศึกษาในระบบ นอกระบบ และอัธยาศัย นั่นคือ การศึกษาแบบอัธยาศัยจะเป็นพื้นฐานในตัวคนอยู่แล้วตั้งแต่เกิด และต่อมาจะเข้าสู่ระบบได้หรือไม่ แล้วจะยังอยู่ในระบบหรือนอกระบบ ในช่วงเวลาถัดไป โดยจะแฝงแบบอัธยาศัยอยู่ตลอดเวลาครับ
ประเด็นคือ "ความล้มเหลวของการศึกษา" นี่ เราพอจะ "ชี้นิ้ว" ได้หรือไม่ว่าเป็น ของ "ใคร"
การศึกษาและความล้มเหลว หากจะชี้นิ้ว ก็คงชี้เข้าหาตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกนะครับ เพราะนิ้วชี้ที่ชี้ออกไป ยังมีอีกสามนิ้วที่ชี้เข้าหาตัวเรา ดังนั้น หากจะชี้ตรงนี้ ก็ต้องโทษตัวเองก่อนครับ นั่นคือ ความล้มเหลวของการศึกษา อยู่ที่การศึกษาเองก่อนเป็นสำคัญ ต่อมา ก็จะมีสิ่งแวดล้อมรอบข้างที่มีผลต่อการศึกษาครับ แล้วอาจารย์คิดว่า มีอะไรบ้างครับ หากเราจะมองในทิศทางนี้
ใน dependent origination หรือ ปฏิจจสมุปบาท นั้น แสดงให้เห็นสมการความเชื่อมโยงเหล่านี้ และแสดงเหตุและผลของความล้มเหลวด้วย ในอวิชชา4 นั้น ข้อหนึ่งก็คือการไม่ตระหนักถึง เหตุปัจจัยที่เชื่อมโยงกันและกัน
เห็นด้วยนะครับ ในการมองทั้งระบบ ดูการเชื่อมโยงกัน จริงๆ แล้วมันแยกออกจากกันไม่ได้ในเรื่องระบบครับ เพราะทุกสิ่งล้วนสัมพันธ์กัน แต่หากเราทราบว่าเราคันตรงไหน แล้วตรงไหนเป็นปัญญหา เราอาจจะต้องเกาให้ตรงที่คัน ซึ่งผมไม่แน่ใจว่า ทำแบบนี้มันยังใช้ได้อยู่หรือเปล่านะครับ เหมือนเราจะแก้ตาข่ายเอางูที่ติดอยู่ในข่ายดักปลา เราจะเริ่มกันที่งู หรือว่าที่ตาข่ายดีครับ เพราะมันเป็นระบบที่ร่วมกันและต่อเนื่องกันโยงในเข้าหากัน
บางที ที่คุณสมพรได้เริ่มเผยแพร่ความสำคัญเรื่องนี้ สัมฤทธิผลอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นตอนที่เราจะมี หรือไม่มี หรือจะสร้าง separated education council ขึ้นมาในประเทศไทย แต่เป็นการรณรงค์ให้ผู้คนหันมาสนทนาเรื่องที่ matter ต่อชีวิต ต่อสังคมมากขึ้น ก็เป็นได้ครับ
ใช่แล้วครับ เป้าหมายแรกคือหากคนเราจะต้องการเรื่องการศึกษา หรือต้องการเรื่องใด เราต้องให้ความสนใจกับเรื่องนั้นก่อนครับ เพราะโดยหลักเหมือนที่ อาจารย์ว่า นะครับ หากกายไม่พร้อม ใจไม่พร้อม จะไปบำรุงสมองคงยาก
ปัญหาเด็กสองแสนที่หายไป ก็เพราะส่วนใหญ่ติดอยู่ที่ ปัญหาของกาย นะครับ คือปัญหาปากท้อง ยังติดชะงักอยู่นะครับ เลยก้าวมาถึงการศึกษาไม่ได้
เด็กเค้าไม่สนใจหรอกครับ ว่าเค้าจะได้ทุนไปเรียนหรือไม่ แต่เค้าทราบว่าเค้าต้องออกไปทำงานจ้างเพื่อเอาข้าวมาเลี้ยงคนในครอบครัวมื้อเย็นนี้ เจอแบบเข้ากับตัวผม ผมก็คงตื้อไปเลยเรื่องจะไปคิดถึงเรื่องการศึกษา ซึ่งเรื่องเหล่านี้ รัฐต้องลงมาดูแลจริงๆ ครับ แล้วเด็กสองแสนคนจะลดลงครับ
เข้ามาร่วมถกประเด็นกันต่อนะครับ คุณหมอ ผมเชื่อว่าแนวทางที่ดีจะเกิดครับ ผมยังด้อยประสบการณ์นักครับ และพร้อมจะรับฟังทุกประเด็นนะครับ สิ่งที่ผมรู้ตอนนี้น้อยยิ่งนัก คงจะต้องใช้เวลาอีกนานมากที่จะเข้าใจอะไรมากขึ้นดังนั้นผู้มีประสบการณ์ทุกท่าน เชิญเข้ามาให้ความเห็นกันนะครับ
วิจารณ์ได้ทุกอย่างนะครับ ด้วยความยินดี เชิญทุกท่านตีด้วยความปรารถนา จะเป็นพระคุณยิ่งครับ
สวัสดีครับพี่เหลียง
สวัสดีครับพี่อัมพร
ขอเพิ่มทักษะชีวิต และรักษ์สิ่งแวดล้อม สำนึกจิตสาธารณะด้วยนะต่อนะครับ
ในทุกๆมิติของสังคม แนวระนาบ แนวดิ่ง การเรียนรู้เกิดขึ้นตลอดเวลา (ถ้าเรามองหามัน บางครั้งโอกาสรียนรู้กวิ่งผ่านใต้จมูกเราเองทุกวี่วัน แต่ไม่ได้เรียน ดังภาษิต "แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน")
การแก้ปัญหาองค์รวม เราอาจจะเริ่มจากก้าวถอยห่างจาก "ปม" นิดหน่อย จะได้ทราบว่าจริงๆแล้ว มันต่อเนื่องเชื่อมโยงกับอะไรบ้าง งูติดหลังแหนั้น เราอาจจะต้องถอยมาดูว่าแหนี้ อยู่ตรงนี้เพราะอะไร มีวัตถุประสงค์อะไร ทางแก้ อาจจะแค่ทิ้งไว้สักพัก ไปทำอะไรที่อืน งูก็อาจจะเลื้อยไปเอง หรือทางแก้อาจจะต้องเป็นเลิกใช้แห เพราะถอยมาดู ปรากฏว่าทุกๆแหมีงูติดทั้งนั้นเลย บางทีเวลาเราหมกมุ่นกับปัญหาปมนึง เราจะพลอยไม่เห็นปมที่เชือมกันอยู่ เหมือนกับเราทำงานใน unit ของเรา อาจจะเป็นแค่เสมือนชิ้นโมเสอิกชิ้นนึง จนกระทั่งถอยออกมาดูบนยอดตึก เราจึงพบว่าชิ้นของเราที่ทำอยู่คือปลายหนวดของรูปขนาดใหญ่ก็เป็นได้
ในความเห็นส่วนตัวของผม IMHO เรื่องนี้ไม่ใข่เรื่องของนักการศึกษาฝ่ายเดียว ไม่ใช่เรื่องของนักการเมือง แพทย์ พระ ผู้นำศาสนา ครู พ่อค้า ประชาชน แต่เป็นเรื่องของทุกคนครับ เพราะถ้าเราแยกเมื่อไร ชั้นทำของชั้นเฉพาะตรงนี้ เราจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมคนอื่นไม่มาช่วย เพราะคนอื่นจะทำงานในส่วนของเขาเหมือนกัน (และอาจจะคิดแบบเดียวกับเรา "ต่อเรา" ก็เป็นได้)
ดังนั้น "เวทีของการศึกษา" ไม่ใช่เวทีเฉพาะกิจกระมัง ถ้าไม่มีการศึกษาที่ที่ทำงาน ไม่มีการศึกษาในหน่วยงานศาสนา ไม่มีการศึกษาในระบบสาธารณสุข ไม่มีการศึกษาในระบบพานิชย์ ไม่มีการศึกษาในระบบการต่างประเทศ ไม่มีการศึกษาในวัฒนธรรมประเพณี ไม่มีการศึกษาในการทหาร ไม่มีการศึกษาในการคลัง การเงินของประเทศ ก็คงจะไม่ได้
สุดท้ายเราจะ "แยกการศึกษา" ออกจากอะไร? ในเมื่อ ทุกๆที่ที่มีคน ที่นั้นต้องมีการศึกษา และการศึกษาที่ดีที่สุด ควรจะออกมาจากตนเอง ไม่ใช่จากคนอื่น จากกฏหมาย หรือจาก "ผู้รู้"
ในการแก้ปัญหา แทนที่จะ "ดึงแยกออก" ถ้าเราทำกลับกันล่ะครับ เรา "จับแทรกเข้า" แทน เอาการศึกษาไปใส่ให้การเมือง ให้การแพทย์ การสาธารณสุข การปกครอง การศาล การพานิชย์ การฑูต ใส่มันลงไปในทุกๆที่ที่มี "คน" อยู่ จะเป็นอย่างไร?
ใส่เหมือนๆกันหมดได้ไหม?
ไม่น่าจะได้มั้ง เพราะ "บริบท" ที่ต่างกัน เครื่องมือ เครื่องใช้ คุณค่าก็คงจะต่างกัน
เราพูดถึง "ภูมคุ้มกัน" กันบ่อยระยะหลัง โดยเฉพาะในเศรษฐกิจพอเพียง ที่ว่าเราต้องเพาะสร้าง "ภูมิคุ้มกัน" แต่ภูมิคุ้มกันนี้จะสร้างแค่บางที่ บางตอนได้หรือไม่ ในทางการแพทย์นั้น เมื่อไรก็ตามที่ภูมิคุ้มกันล้มเหลว เราจะตายทั้งตัว การติดเชื้อเริ่มขึ้นที่ปลายนิ้วเท้า ก็ทำใหสมองตายได้ ถ้าเราทอดทิ้งการเมือง เอาการศึกษาออกจากการเมือง การเมืองก็จะแคระแกร็น ไม่เติบไต เราก็จะได้รับผลกระทบจากความแคระแกร็นนั้นแน่ๆในที่สุด เพราะ ความต่อเนื่องเชื่อมโยง เพราะอิทัปปัจจยตา นั้น จริงแท้แน่นอน
สวัสดีครับคุณหมอ
สุดท้ายเราจะ "แยกการศึกษา" ออกจากอะไร? ในเมื่อ ทุกๆที่ที่มีคน ที่นั้นต้องมีการศึกษา และการศึกษาที่ดีที่สุด ควรจะออกมาจากตนเอง ไม่ใช่จากคนอื่น จากกฏหมาย หรือจาก "ผู้รู้"
ในการแก้ปัญหา แทนที่จะ "ดึงแยกออก" ถ้าเราทำกลับกันล่ะครับ เรา "จับแทรกเข้า" แทน เอาการศึกษาไปใส่ให้การเมือง ให้การแพทย์ การสาธารณสุข การปกครอง การศาล การพานิชย์ การฑูต ใส่มันลงไปในทุกๆที่ที่มี "คน" อยู่ จะเป็นอย่างไร?
สิ่งที่ผมเสนอในเรื่องการแยกนี้ ไม่ใช่ แยกการศึกษาออกจากคนนะครับ แต่ผมเน้นเรื่องการบริหารนะครับ รอบกวนคุณหมอตอบข้อสงสัยของผมกันต่อนะครับ ก่อนจะตอบในประเด็นคุณหมอครับ
ประเด็นแรกคือ ผมคิดว่า การศึกษานั้นสำคัญที่สุดในการพัฒนาชาติ นั่นคือพัฒนา กาย จิตใจ และสมอง และตอนนี้การศึกษาเรามีปัญหาไหมครับ หากมี ต่อด้วยประเด็นที่สองนะครับ
ประเด็นที่สอง ผมคิดว่า การเมืองนั้นไม่มีความแน่นอน หรือเสถียรจากการเป็นวาระ ในวาระสี่ปี หรือบางครั้งมีการยุบสภา หรือหยุดชะงักในบางช่วง ซึ่งผมคิดว่า การศึกษาเรานั้นต้องมีผลกระทบไปด้วย ตรงนี้คุณหมอมีทางออกให้ผมไหมครับ ว่าผมจะทำอย่างไร ให้มีคนจัดการทางการศึกษาไปได้โดยไม่หยุดชะงักเมื่อการเมืองมีปัญหา หากแก้ไขไม่ได้เชิญคุณหมอต่อประเทศที่สามครับ
ประเด็นที่สามคือ ผมมองเห็นว่า จริงๆ แล้วตอนนี้ การเมืองที่ต้องหยุดชะงักและมีผลกระทบต่อการบริหารการศึกษานั้น และการเมืองก็ได้เข้าไปแทรกอยู่ในการศึกษาทุกๆ ส่วน ทุกๆ ระดับ ด้วยความจำเป็นว่าการบริหารการศึกษานั้น ต้องมีความเป็นอิสระในการบริหาร และต้องมีความต่อเนื่องมากกว่าการมีวาระดังเช่นพรรคการเมือง และการศึกษาต้องไม่ใช่การแสวงหาผลประโยชน์อย่างพรรคการเมือง (จริงหรือเปล่าในความจริงคืออะไรครับ) การศึกษาต้องให้โดยไม่เอาคืนโดยเน้นประโยชน์ของชาติเป็นหลักสำคัญ
ตรงนี้คุณหมอมีทางออกให้ผมจะเสนอไหมครับ ว่าทางออกที่ดีควรจะเป็นอย่างไรดีครับ
เชิญประเด็นถัดไปต่อนะครับ
ประเด็นที่สี่ หากแก้ไม่ได้และต้องเป็นอย่างนี้ ผมถึงนำเสนอการผ่าทางตันว่า ในเมื่อการศึกษาต้องสร้างคนให้มีคุณภาพ นักการเมืองมีคุณภาพหรือไม่ก็ต้องโทษการศึกษาเพราะการศึกษาสร้างคนในชาติ แต่นั่นคือ การศึกษาก็ต้องผ่านการบริหารจากนักการเมือง แล้วการศึกษาใครควรจะมาบริหารครับ
ที่เสนอให้แยกคือการแยกกันบริหารแบบอิสระ จะว่าแยกเหมือนศาลก็ได้ครับ คือ ห้ามการเมืองมายุ่งกับการศึกษาในลักษณะการแทรกแซง แต่ต้องส่งเสริมให้กับการศึกษา การศึกษาจะได้ทำหน้าที่สร้างคน และพัฒนาคนในการศึกษาแล้วส่งคนที่มีคุณภาพส่งไปให้กับองค์กรต่างๆ และงบประมาณมาจากงบที่รัฐบาลต้องจัดสรรให้ตามอัตราส่วนที่จำเป็นในระดับที่เพียงพอ เพราะการเมืองต้องเน้นการสนับสนุนในการสร้างคนด้วย
ตรงนี้หล่ะครับ จุดที่ผมเน้นคือ จะสร้างคนให้มีคุณภาพ แล้วส่งคนไปบริการชุมชน สังคม อย่างมีอิสระ
สำหรับเรื่อง งูติดแห นั้น คือ หากมันพันกันหนักครับ หากไม่แก้หรือแยกงูออกมาใส่ยา หรือแยกแหออกไป ท้ายที่สุด ก็ปล่อยไป ก็เน่าทั้งแห ทั้งงูครับ งูก็ตาย แหก็ทิ้งให้ผุ
แต่หากเราแยกแหหรืองูออกมาได้ เราจะมีโอกาสทำให้งูรอดชีวิต หรือซ่อมแซมแห ได้เช่นกันครับ แล้วคุณหมอคิดว่า จะทำอย่างไรดีครับ
สำหรับภูมิคุ้มกัน การศึกษาคือภูมิคุ้มกันให้กับคนตั้งแต่จีบๆ กัน ก่อนจะเป็นพ่อแม่คนใช่ไหมครับ นี่คือภูมิคุ้มกัน เด็กคลอดออกมา ก็ต้องให้ภูมิคุ้มกันตัวเขา ให้โตมาแล้วเข้าใจมองปัญหาออก
ผมถามว่า หากที่หนึ่งมีนายทุนจะไปตั้งบ่อนวัวชนในหมู่บ้าน และได้รับการอนุญาตจากจังหวัดนะครับ ถามว่าคุณหมอจะยอมให้เค้าสร้างไหมครับ เค้าอยากจะไปเช่าที่ที่บ้านคุณหมอ...
หากคุณหมอตอบว่า ไม่ยอมให้สร้าง...(คุณหมอมีภูมิคุ้มกันใช่ไหมครับ)
แล้วหากเค้ามาหาคุณหมอแล้วคุณหมอไม่ให้สร้างในพื้นที่คุณหมอ แล้วหากเค้าไปขอเช่าคนอื่น คนอื่นให้เช่า...คนอื่นมีภูมิคุ้มกันไหมครับ....ถามต่อว่า คนอื่นคนนั้นกับคุณหมอต่างกันไหม.....ทำอย่างไรที่จะแก้ไขความแตกต่างตรงนี้ และให้มีภูมิคุ้มกันในชุมชนครับ
คำตอบของผมก็คือ การศึกษา....
ขอบคุณมากๆ เลยครับ ได้ถกกับคุณหมอ สนุกที่สุดครับผม ผมต้องขออภัยด้วยนะครับ หากถกหรือตอบตรงไปเพี้ยนไปจากประเด็นที่คุณหมอได้วางเอาไว้นะครับ
มาถกไว้อีกนะครับผม ขอบคุณมากๆ เชิญท่านอื่นๆ ด้วยนะครับ
สิ่งหนึ่งที่ผมมีความเชื่อ และคิดว่าเกี่ยวพันกับประเด็นนี้ก็คือ เราไม่สามารถจะ "แยก" อะไรออกจากกันได้จริงๆ ไม่ใช่เพราะ "ระบบ" ที่เราใช้ แต่เป็นเพราะเรื่องราวมันเกี่ยวเนื่องกัน
ถ้า การเมืองเกี่ยวกับเศรษฐกิจ เกี่ยวกับปากท้อง เกี่ยวกับความปลอดภัยบนท้องถนน เกี่ยวกับ well-being เกี่ยวกับงบประมาณสาธารณสุข มันจะเกี่ยวกันหมดทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งสถาบันอะไรก็ตามที่เราอยากจะตั้งมาแบบ independent ด้วย
สถาบันการศึกษา หรือผู้บริหารในสภาการศึกษา (หรือจะเรียกองค์กรนี้ว่าอย่างไรก็ดี) คนในสถาบันนี้อยู่ใน สังคม อยู่ดี แปลว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ต่อความมั่นคงของบ้านเมือง ต่อความยุติธรรม social welfare พรบ.สุขภาพ ก็จะเป็นภาระต่อ "คน" ในองค์กรนี้ เพราะไม่ว่าเราจะตั้งองค์กรแบบไหนขึ้นมา องค์กรนั้นมี "คน" อยู่ในนั้น และคนนี่เองที่เป็นตัวเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับสิ่งอื่นๆ แม้ว่าองค์กรจะดูเหมือน isolated แล้วก็ตาม
ถามว่า "เรา isolated การเมืองออกจากอะไรได้บ้าง?"
ถ้าการเมืองหมายถึงรัฐบาล ลองพิจารณากระทรวงที่นอกจากกระทรวงศึกษาที่เหลือ
เราอยากจะ isolated การเมืองออกจากอะไรสักอย่างหนึ่ง เราทำได้อยางไร?
กระทรวงที่เหลืออยู่ (สมมติเราตั้งองค์กรการศึกษาแยกออกมา) ที่ยกตัวอย่างมา มีผลกระทบต่อ "การศึกษา" อย่างไรหรือไม่?
ไม่ว่าระบบการศึกษาดีอย่างไร แต่ถ้าความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตไม่ได้สอดประสาน งานที่รองรับบัณฑิตไม่ได้ orgqanized ตามความจำเป็นเร่งด่วนของบ้านเมือง เศรษฐกิจ การคลัง การต่างประเทศ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นองค์กรที่มีชีวิต และคนที่การศึกษาจะมอบให้ ก็คือคนที่มีชีวิต ที่ยังอยู่ในสังคม และถูกกระทบจาก การเมือง และทุกสิ่งทุกอย่างเช่นเดิม
ผมคิดว่าเราเห็นด้วยว่า การศึกษาสำคัญ เห็นด้วยว่าควรจะ improve แต่ประเด็นที่อยู่บนโต๊ะ คงจะเป็นเรื่อง การแยก หรือ การรวม หรือ "วิธี" การแก้ปัญหา มากกว่า
ผมรู้สึกว่า เราอาจจะกำลังใช้คำ "การเมือง" ที่มีความหมายไม่ตรงกันเสียทีเดียว และเป็นการทำให้การมา cross ตัดกันของประเด็นเกิดยาก
การที่การเมืองไทยไม่ mature ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถตัดหางปล่อยวัดการเมืองไปได้เฉยๆ และหันไปดูแลอย่างอื่นได้ ถ้า การเมือง หมายถึงการบริหารบ้านเมืองนะครับ
ที่เราต้องการ ก็คล้ายๆกับที่ท่านครูบาสุทธินันท์พูด ก็คือ การเลือกเอาคนที่บริหารบ้านเมืองดีๆเข้าไป เอาคนที่ รู้และเข้าใจการเมืองที่ถูกต้องแท้จริง เข้าไปทำงาน
เพราะที่สุดแล้ว ประเทศ ต้องมีผู้บริหาร และเราไม่สามารถจะบำรุงแต่การศึกษา โดยปล่อยให้ "ใครก็ได้" บริหาร หรือ เล่นการเมืองของประเทศ
และจะว่าไป ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "ถ้ามีเวลาสอนใครน้อยๆ ก็ให้สอน ครู ก่อน" มาเป็น "ถ้าการหาคนบริหารดีๆได้แค่ไม่กี่คน ก็หามา บริหารประเทศก่อน" บริหารอย่างอื่นก็จะตามมาเอง
ข้อเสนอ
ผมยังไม่ได้เสนออะไรมาวางคู่ขนานกับโจทย์ เพียงแค่วิเคราะหฺ สังเคราะห์ เฉยๆ เลยจะขอร่างอะไรออกมาสักนิดนึง เท่าที่มีตอนนี้ คงไม่ค่อยละเอียด ครอบคลุม แต่น่าจะต่อเนื่องกับที่พูดไปแล้วพอสมควร
ผมคิดว่า การวางแผนบริหารที่น่าจะ work (ไม่กล้าบอกว่าอุดมคติ เพราะมันจะเว่อร์ไป) ผม "อยากเห็น" แผนที่บูรณาการสิ่งต่างๆเข้าด้วยกัน มากกว่าแบ่งอยกออกให้ละเอียด เพื่อควบคุมมากขึ้น
กลับไปที่ ฐานกาย ฐานใจ และฐานความคิดใหม่
การเมือง หรือ การบริหารบ้านเมือง จะต้องทำให้ฐานทั้งสามพัฒนา และมี "รากที่ลึก" เริ่มจาก ฐานกาย นั่นคือ ความเป็นอยู่ ความปลอดภัย ความรู้สึกมั่นคงในชีวิต ถ้าจะมีผู้บริหารประเทศ ที่วางนฌยบายโดยคำนึงถึงประเด็นเหล่านี้ได้ ในระบอบประชาธิปไตยนั้น เราก็ต้องทำให้ "สังคม" คิดว่าเรื่องเหล่านี้แหละ ที่มีคุณค่า และใครขาย idea หรือสัญญาว่าจะบริหารให้ได้ วางอยู่บนหลักการทั้งสามประการ ก็เลือกเข้าไปทำ
ในสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาของอาจารย์ประเวศ วะสี เริ่มจาก "ความรู้" ความรู้ที่ว่านี้ไม่ใช่ความรู้เชิงทฤษฎี แต่เป็นความรู้ เป็นปัญญาเชิงปฏิบัติ
สังคมยูโธเปียที่ "อยู่อย่างพอเพียง" มีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงภายนอก และมีฐานภายในที่ยืดหยุ่น
เราจะต้องมี "การเมืองประชาธิปไตย" และต้องมีประชาธิปไตยที่ดูแล เอาใจใส่คนทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคนส่วนใหญ่ คุณค่าทางสังคมแบบนี้จึงจะเป็นรากที่หยั่งลึกลงไปในสังคม
เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ที่สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ชีวิตอยู่อย่างมีความหมาย
จิตอาสาที่จะเกิดขึ้นนั้น มาจากไหน?
มาจากหน่วยที่เล็กที่สุดของสังคมก่อนหรือไม่? เช่น ฐานครอบครัว ชุมชน หมู่บ้าน พวกเรามีสังคมที่รักใคร่กลมเกลียว ที่มีการพบปะพูดคุยกันสักกี่มากน้อย และจะทำอย่างไรให้ดีขึ้น เช่น เริ่มจากการสนทนา พูดจากันมากขึ้น และ รับฟังซึ่งกันและกันมากขึ้น
Collective Minds หรือ Collective perception ที่จะดึงสังคมเข้าสอดประสานกัน เราพยายามสร้างสังคมอยู เพราะฉะนั้นมันจะต้องไม่ใช่การแยกกันทำงาน แยกกันอยู่ ถ้าเราใช้หลักอิทัปปัจจตา สำนึกในปฏิจสมุปบาท สังคมที่เราอยู่ องคาพยพต่างๆต้องสอดประสานกัน เมื่อเท้าเหยียบตะปู เท้ากระตุก สะโพกงอ อีกเท้ากระโดดโหยงออกไป เอว หลัง ไหล่ เลี้ยงตัว ตามองหาตะปู หาพื้นที่ปลอดภัย ปากร้องเตือน มือกุมปกป้องเท้า
ประเทศก็เหมือนสิ่งมีชีวิตแหละครับ เมื่อมีอะไรจุดหนึ่งล้ม ถ้าอวัยวะที่เหลือไม่ช่วยกันดูแล คิดว่าจะต่างคนต่างอยกกันทำงาน แยกกันอยู่ ส่วนที่ตายนั้นจะลุกลามไปทั่วร่างกายจนได้ เพราะชีวิตนั้นมีปัจจัยที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันทุกอย่าง ตลอดเวลา
ฟังดูอาจจะไม่ใช่แผนที่ solidอะไรนัก แต่คิดว่าอาจจะพอเป็น draft ของแผนอะไรขึ้นมาพอได้
มั้ง
สวัสดีครับคุณหมอ
สวัสดีครับพี่อัมพร
สวัสดีครับคุณหมอที่เคารพ
สวัสดึครับ รมต.ช่วย
สวัสดีครับพี่เหลียง
คำถามคุณเม้งน่าสนใจครับ
อะไรคือคุณภาพชีวิต วัดอย่างไร
อะไรคือคุณภาพคน วัดอย่างไร
อะไรคือสวยงาม อะไรคือความดี อะไรคือเมตตา อะไรคือปัญญา เรียน "จริยศาสตร์" จะวัดสัมฤทธิผลอย่างไร? ปรัชญามหิดล อตฺนานํ อุปมํ กเร บัณฑิตพึงเอาใจเขามาใส่ใจเรา วัดสัมฤทธิผลอย่างไร?
ของบางอย่าง ผมคิดว่ามองหารูปธรรมอย่างเดียว แล้วเมื่อไรคนถึงจะมีจิตวิญญาณที่เติบโต?
มีบทความมาฝากเพิ่มเติมครับ ของท่าน ศ.ดร. จีระ นะครับ วาระแห่งชาติ น่าสนใจมากทีเดียวครับ
ขอบคุณมากๆ นะครับ
วันนี้ขออนุญาตินำถ้อยคำบางตอนของ อาจารย์ ธเนศ ขำเกิด มาลงไว้เป็นแง่คิด
“…ถ้าเราอยากบรรลุความสำเร็จในสิ่งที่ไม่เคยสำเร็จมาก่อน ต้องอย่าทำเหมือนสิ่งที่เคยพยายามทำมาแล้ว เพราะฉะนั้นต้องคิดและทำใหม่ ในความคิดใหม่ ในรูปแบบใหม่ จึงจะมีโอกาสบรรลุความสำเร็จในสิ่งซึ่งไม่เคยสำเร็จมาก่อนได้…”
การคิดเชิงกลยุทธ์เป็นการคิดที่ช่วยเพิ่มโอกาสแห่งความสำเร็จ เพราะเป็นการคิดที่มีเป้าหมายตามความต้องการที่กำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจน
ต่อเรื่อง model กันหน่อยนะครับ
model แบบองค์รวม ถ้าจะเปรียบเทียบกับ model รูปตัว Y ของคุณเม้งก็คือ ขาหนึ่งของ "การเมือง" นั้นไม่มี เป็นอะไรที่ต้องมีการดูแล หล่อเลี้ยง ด้วยเช่นเดียวกัน
รูปร่างคงจะเป็น "เกลียวพลวัต" ที่ยอดนั้นมองมาจากที่ที่ มองเห็นได้ทั่วถึง ดูแลได้ทั่วถึง เห็นความเชื่อมโยงทั้งหมด ค่อยๆลาดลงเป็นนโยบายหลัก นโยบายจำเพาะ projects ลงมาเป็นฐานกว้างของกิจกรรมทุกๆมิติ
การที่จำเป็นต้องมีคนมองเห็น ภาพรวม ไม่ใช่ภาพแยกส่วน นั้นเป็นเรื่องสำคัญ มิฉะนั้นบางทีเดินเหยียบตาปู เดี้ยงไปข้างหนึ่งแล้ว ส่วนที่เหลือยังพยายามกระโดดต่อ ความไม่สมดุลที่ฝืนกระทำ ก็จะทำความบาดเจ็บเล็ก กลายเป็นบาดเจ็บใหญ่ เหมือนเวลาเราเป็นหวัด แต่ขายังดีอยู่ ให้ขาทำงานต่อไป พาไปโน่นไปนี่ ไม่ได้พักผ่อน อีกหน่อยระบบอื่นๆที่ต้องทำงานเพิ่มมากขึ้นก็จะเจ็บตามจนขาที่ดีนั้นพิการไปด้วยในที่สุด
Newtonian sciences นั้น ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำ เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยง หรือ อิทัปปัจจยตา เท่าไหร่ ซึ่งจะอิงทฤษฎี chaos ของ quantum physics มากกว่า บริบทเป็นเรื่องที่สำคัญมาก วิธีอย่างหนึ่งในบริบทอย่างหนึ่ง เราจะไปสรุปว่ามัน work หรือ ไม่ work ในคนละบริบทไม่ได้ วิธีอย่างหนึ่งที่ไม่ work ในบริบทแบบหนึ่ง ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่าจะไม่ work ในคนละบริบท
เพราะเรื่องราวต่างๆไม่ใช่ linear equation
คุณสมพรกำลังศึกษา Ph.D. อยู่พอดี สาเหตุหนึ่งที่เราต้อง review original paper ก็เพื่อศึกษา รากความคิด รากปัญญา ไม่ได้มาศึกษาที่กิจกรรมปลาย การทดลองสุดท้าย หรือผลสรุป ซึ่งเป็นปลายเหตุสุดๆ แต่กลไกและที่มาของความรู้นั่นต่างหากที่จะเป็นแหจับปลา ที่จะเป็น Giant's shoulder ที่เราจะยืน ขอยืมมายืนข้างบน จะได้ต่อยอดได้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทุกคนทำอยู่ในทุกวันนี้ เพื่อสองประการเท่านั้นเองครับคือ
คุณค่าของชีวิต และคุณค่าของสังคม ทั้งสองอย่างสอดประสาน และไม่แยกจากกัน ถ้าเมื่อไรก็ตาม เราไม่เข้าใจในคุณค่า ความหมายที่แท้จริงของงานของเรา เราจะขาดเครื่องยึดเหนี่ยว แต่จะไป attach กับอะไรที่ไม่เพียงพอ ไม่แน่นอน หวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะ "แน่นอน" เหมือนสมการ แต่สิ่งเดียวที่แน่นอนก็คือ "ทุกชีวิตต้องตาย ทุกสังคมต้องถึงวาระเปลี่ยนแปลง" เพราะอนิจฺจํ นั้น แน่นอน
มนุษย์เป็นสัตว์ภาษา ซึ่งภาษามีข้อจำกัดเยอะ เผอิญ "คุณค่า" ของสิ่งที่เราคิดว่าดีนั้น หลายๆอย่างไม่สามารถใช้ภาษา หรือ เครื่องมือที่มีอยู่มาอธิบายได้เพียงพอ ต้องใช้ประสาทการรับรู้อื่นๆมาช่วยด้วย
อร่อย ที่เราพูดๆกันนั้น ก็ไม่ตรงกันเสียแล้ว สวย ที่เราเห็นๆกันก็ไม่เหมือนกัน ดี ยิ่งแล้วกันไปใหญ่ว่าอะไรคือดี เป็น controversial issue ระดับอภปรัชญา (ไม่ใช่ measurement แน่นอน)
ดังนั้นประสบการณ์ การรับรู้ที่เป็นองค์รวมจึงเป็นอะไรที่พอจะ represent ความเป็นมนุษย์ได้ใกล้เคียง เราไม่สามารถจะ "แยกแยะองค์กร ออกจากสิ่งมีชีวิต" ได้ เพราะถ้าเม่อไรเราทำลงไป มันจะไม่มีพฤติกรรมอย่างการผสมสี ผสมปูน สิ่งมีชีวิตมีพฤติกรรมที่ซับซ้อนไปกว่านั้น
เวลาที่ร่างกายเป็นปกติดี ความสุข/ทุกข์ของสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนไปตลอดเวลาเพราะ สิ่งแวดล้อม เราไม่สามารถจะหลอกตนเองว่าเราไม่เปลี่ยนตามสิ่งแวดล้อม เพราะเราอยู่ใน ecology นั้นๆ อยู่ในระบบนิเวศน์เดียวกัน
ในยุคสมัย newtonian science คนชอบการ "ฟันธง" การฟันธงนั้น มาจากการแข่งขันกีฬาประเภทลู่ ที่เส้นชัยมีคนถือธง เมื่อคู่แข่งขันมีใครวิ่งผ่านเส้นนี้ ก็จะฟันธงตัดสินให้ชนะ การฟันธงก็คือการตัดสินอะไรโดยใช้ parameter น้อยที่สุด อาจจะเพียงหนึ่งอย่าง สองอย่าง เท่านั้น ก็พร้อมที่จะตัดสินคุณค่าไปได้แล้ว เป็นระบบความคิดแบบ judgemental attitude ตัดสินคน ตัดสินเรื่องราวแบบรวบรัด
ในโลกนี้มีสักกี่อย่างที่มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงแค่ 1-2 parameter นอกเหนือจาก controlled environment แบบนั้น?
โดยเฉพาะถ้าเราทำงานกับคน ประเมินคน ประเมินประเทศ ประเมินสังคม?
การเมือง นั้นตัดหางปล่อยวัดได้หรือไม่? ลองพิจารณาดูเถิดครับ อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าการเมืองถูกisolated และจะ isolated อย่างไร? จะ independent กับเรื่องอื่นๆอย่างไร ถ้าการเมืองหมายถึงการบริกหารประเทศส่วนที่เหลือทั้งหมด จะแยกจากการศึกษานั้น หมายความว่าอย่างไร? การศึกษา ที่โดดเดี่ยว stand-alone จะเป็นเช่นไร? ตรงนี้คุณสมพร คนคิด model คงจะต้องแปลเป็นอะไรที่มากไปกว่า independent เราจึงจะช่วยกันวิเคราะห์ สังเคราะห์ได้ว่า สมบูรณ์แบบ เป็นอุดมคติ หรือมีอุปสรรค มีข้อควรคำนึงอย่างไร อะไรบ้าง
จะเอาใจช่วยครับ
สวัสดีครับพี่เหลียง
ไม่แสดงตน |
สวัสดีครับ
สวัสดีครับ คุณหมอ
สวัสดีครับคุณสมพร
ดีใจที่สนุกครับ ผมชอบ good quality conversation มากเหมือนกัน :)
ไส้ติ่งเป็นหนึ่งในอวัยวะที่คงจะ "หลงเหลือ" มาในวิวัฒนาการ ตอนนี้ทางการแพทย์ยังไม่พบว่าคนที่ไม่มีไส้ติ่ง (เพราะถูกตัด) จะเสีย function อะไรไปบ้าง เพราะตอนคนอายุมากขึ้น มันก็จะค่อยๆฝ่อไปเองอยู่ดีถึงไม่โดนตัดก็ตาม
ร่างกายมนุษย์นั้นซับซ้อนมากครับ คุณเม้ง ตอนผมเรียนศัลยศาสตร์นั้น เราพบว่าเราต้องเรียนเรื่อง ทำอย่างไรจึงไม่ต้องผ่า พอๆกับ หรือยิ่งมากไปกว่าจะผ่าตอนไหนเสียอีก เพราะทันทีที่กรีดมีดลงไป เราจะเริ่ม compromize ความสมบูรณ์ที่ออกแบบมาแต่แรกทันที ผิวหนังที่หายจากมีดกรีด ก็จะไม่นุ่ม ไม่ยืดหยุ่น ไม่เหมือนเดิม
ปรากฏว่าอวัยวะต่างๆของคนนั้น ไม่เหมือนกิ่งไม้แขนงหนึ่งของต้นไม้ ตรงที่ differentiation หรือการพัฒนาให้มีหน้าที่จำเพาะนั่นเอง ถ้าจะเปรียบ สมมติว่าแขนสองข้างมีเหลือเฟือ ทศกัณฐ์ที่มียี่สิบแขนก็พอจะเป็นต้นไม้อย่างที่คุณเม้งว่าได้ ตัดไปสัก 18 แขนก็ยังไม่เดือดร้อนมาก
แต่อวัยวะของคนคงไม่ใช่แบบนั้น เราสูญเสีย function ไปหลายเปอร์เซนต์ทีเดียวเวลาสูญเสียอวัยวะ ตบอดสองข้างนี่ ทางกฏหมายให้เป็น 50% loss หรือ disable เลยทีเดียว เป็นต้น
ผมคิดว่าการเมืองที่ไม่ได้กำกับด้วยการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม จะกลายเป็นการเมืองที่ไม่ได้ serve ชีวิตและสังคมครับ
เพราะการเรียนรู้นั้น เป็นการเชิดชูชีวิต เป็นการเสริมสร้างสังคม การเมืองที่ไม่มีการเรียนรู้ จะกลายเป็นสถาบันไม่มีชีวิต หมายถึงเป็น materialistic organization สุดท้ายก็จะเป็นกิ่งกาฝาก ดูดทรัพยากรจากลำต้นหลัก และในที่สุดกิ่งการศึกษาก็จะขาดน้ำ ขาดอาหาร ถ้าปล่อยให้ cancer อย่างกิ่งมะเร็งการเมืองเติบโต
ในปัจจุบัน การใช้เคมีบำบัดรักษามะเร็งก็เหมือนการดื่มยาพิษแก้กระหาย เพราะยาเคมีบำบัดนั้น เป็นการประลงอว่า หากกินยาพิษนี้เข้าไป ระหว่างเซลล์มะเร็ง กับร่างกาย ใครจะเป็น last man standing ไม่ใช่วิธีที่ผมคิดว่าสวยงามนัก
และน่าจะมีวิธีอื่น
ถ้ามีเวลา เดี๋ยวจะเล่าเรื่องทำไมเซลล์ๆหนึ่งของเรา จึงต้องทำงาน "ร่วมกับเซลล์อื่นๆจึงจะอยู่รอด" เดี๋ยวไปทานข้าวก่อนนะครับ
สวัสดีครับคุณหมอสกล
ผมคิดว่าการเมืองที่ไม่ได้กำกับด้วยการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม จะกลายเป็นการเมืองที่ไม่ได้ serve ชีวิตและสังคมครับ
อันนี้เห็นด้วยล้าน % เลยครับ
เป้าหมายของบทความนี้ ลึกๆ คือตรงนี้เลยครับ
แล้วคำถามต่อมา แนวทางที่เราจะจัดการตรงนี้ เราจะทำอย่างไรดีครับ
ผมไม่รู้ว่าจะเทียบอะไรกับเซลล์มะเร็งนะครับ ในระบบใหญ่ของประเทศเรา แต่หากเรามีมะเร็งนี้ เราจะทำอย่างไรครับ เราจะดื่มยาพิษแล้วดูว่าใครจะอยู่จะไป หรือเราจะอยู่ร่วมกันแบบไหนครับ ให้เซลล์ทุกเซลล์ยังทำงานร่วมกันได้ แล้วร่างกายยังอยู่ได้ โดยไม่ล้มไปทั้งยืนไปพร้อมกันทุกๆ ระบบย่อยภายในครับ
ตรงนี้น่าจะเป็นทางออกครับ
ผมรอที่จะอ่านบทความเซลล์ต่อนะครับ ที่มีผลต่อ "ร่วมกับเซลล์อื่นๆจึงจะอยู่รอด" นะครับ
ขอบคุณมากนะครับ
สวัสดีค่ะน้องเม้ง....
น้องเม้งเห็นด้วยไหมคะ
ขออภัยตอบไม่ตรงประเด็นค่ะ...อิอิ
สวัสดีครับพี่อ้อย
ชีวิตคือองค์รวม
ขออนุญาตใช้ reference จาก field ของผมเป็นหลักก็แล้วกันนะครับ เพราะผมจะแปลหลัก ประชญา อะไรต่างๆ based on ประสบการณ์ตรงทางด้านนั้น
เซลล์ของเรามี 2 modes คือ mode ปกติ และ mode ปกป้อง
ใน mode ปกติ เซลล์เราทำหน้าที่ 4 อย่างคือ เจริญเติบโต ซ่อมแซม สื่อสาร และเรียนรู้ เมื่อไหร่ก็ตามที่ shift ไปอยู่ใน mode ปกป้อง หน้าที่ตามปกติก็จะหยุดทำงาน
mode ปกป้องเกิดขึ้นในภาวะอันตราย ภาวะเครียด หรือที่ที่มี situation คุกคามในลักษณะต่างๆ ยิ่งมีความรุนแรง เข้มข้น หน้าที่ตาม mode ปกติของเซลล์ก็จะลดลงไปด้วย
เซลล์มะเร็งก็คือเซลล์ที่แยกตัวเองจากสิ่งแวดล้อม (ในด้านของการรับรู้) เซลล์มะเร็งไม่สนใจความเป็นอยู่ของสิ่งแวงดล้อม ดังนั้นมันขยายตัว แย่งกิน ซ่อมตัวเอง เบียดเบียนคนอื่น ไม่พูดจากับผู้อื่น ไม่เรียนรู้ ปกติแล้วเซลล์ธรรมดาๆมีการเติบโต พอไป "ชนขอบ" (นึกถึงแผล) ก็จะรู้ว่ "พอแล้ว" จึงหยุดเจริญเติบโต หยุดเบียดเบียน
การคิดว่าเซลล์จะอยู่รอด ถ้าเราแยกตัวออกมาจากระบบอื่นๆ นั่นก็คือการคิดแบบเซลล์มะเร็งนั่นเอง
การเมืองที่ประสบความสำเร็จนั้น คือการเมืองที่คิดเผื่อทุกๆอวัยวะ ทุกๆองคาพยพ เพราะการบริหารประเทศนั้นจะต้องวางแผนจัดหาทรัพยากรที่จำเป็น เราควรจะมีบัณฑิตปริญญตรีกี่คน ปริญญาโทกี่คน บัณฑิตสายวิชาชีพ สายงานฝีมือกี่คน ตลาดค้าขายในสัดส่วนเท่าไหร่ ตลาดพานิชย์ในและนอกประเทศเท่าไหร่ จัดหาคนดูแลเรื่องสวัสดิภาพ ความปลอดภัย ความยุติธรรมในสังคม และยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมประเพณี รากฐานที่มาของคนไว้อย่างไร
ของพวกนี้มันต้องไปด้วยกันตลอดครับ
ยิ่งถ้าเราหมายถึงคำ การเมือง คำเดียวกัน คือการระดมกำลังส่วนใหญ่ของชุมชนว่าเราควรไปในทิศทางไหน เพื่ออะไร ใช้ทรัพยากรอย่างไร ผมไม่คิดว่าการตัดหางปล่อยวัดการเมือง โดยไม่ดูแลอย่างใกล้ชิดแล้ว เราจะสามารถมีประเทศที่มั่นคงได้อย่างไร องค์กร "อิสระ" จากการ "บริหาร" เป็นอย่างไร ตอนนี้ผมก็ยังนึกไม่ออกจริงๆครับ อาจจะเป็นเพราะมีความรู้ทางเศราฐศาสตร์ การบริหารประเทศ และข้อมูลที่จำเป็นน้อยเกินไปหน่อย แต่พอได้ยินคำ การแยกกันทำงาน เมื่อไหร่ logic ของผมมันรวนเรไปหลายองศา ตรงนี้อาจจะเป็นเพราะการรับรู้ของตัวผมเองก็เป็นได้
การคิดว่าเซลล์จะอยู่รอด ถ้าเราแยกตัวออกมาจากระบบอื่นๆ นั่นก็คือการคิดแบบเซลล์มะเร็งนั่นเอง
การเมืองที่ประสบความสำเร็จนั้น คือการเมืองที่คิดเผื่อทุกๆอวัยวะ ทุกๆองคาพยพ เพราะการบริหารประเทศนั้นจะต้องวางแผนจัดหาทรัพยากรที่จำเป็น เราควรจะมีบัณฑิตปริญญตรีกี่คน ปริญญาโทกี่คน บัณฑิตสายวิชาชีพ สายงานฝีมือกี่คน ตลาดค้าขายในสัดส่วนเท่าไหร่ ตลาดพานิชย์ในและนอกประเทศเท่าไหร่ จัดหาคนดูแลเรื่องสวัสดิภาพ ความปลอดภัย ความยุติธรรมในสังคม และยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมประเพณี รากฐานที่มาของคนไว้อย่างไร
คมมากครับผม สำหรับแนวทางนี้ครับ
ระบบตัว Y model หรือสิ่งที่ผมคิดอยู่ก็คือว่าปัญหาดังต่อไปนี้นะครับ ผมจะเอาถึงการทำท่าทางไปด้วยกันก็ได้นะครับ ทดลองทำดูกันไปพร้อมๆ กันตามลำดับต่อไปนี้ก็ได้นะครับ คือ
ผมสมมุติว่า มือเราซ้ายขวา เป็นระบบการศึกษาและการเมือง โดยให้มือซ้ายเป็นการเมืองนะครับ แล้วมือขวาเป็นการศึกษานะครับ
ต่อมาคือ ให้เอามือซ้ายและขวาประสานกันนะครับ โดยใช้นิ้วสลับกันในการประสานกันนะครับ นั่นคือยึดกันแน่นมากๆ นะครับ
แล้วระบบที่เป็นอยู่ตอนนี้คือ คือ หัวแม่โป้งซ้ายกดหัวแม่โป้งขวาอยู่นะครับ นั่นคือ การศึกษาถูกกดอยู่ด้วยการเมือง นั่นคือนักการเมืองคุมการศึกษาอยู่ครับ
ทางแก้ที่ผมนำเสนอ ที่สมมุติขึ้นมาด้วยการแยกคือว่า ให้ดึงหรือยกหัวแม่โป้งซ้ายออกมาให้ชี้ขี้น แล้วให้หัวแม่โป้งขวา ชี้ขึ้นเช่นกันครับ โดยที่นิ้วอื่นๆ ทั้งแปดยังประสานกันอยู่อย่างแน่นแฟ้นเช่นเดิม
นั่นคือ การเมืองก็ให้อิสระทางการศึกษา และการศึกษาก็มีอิสระในการบริหาร แต่การศึกษาก็ผลิตคนดีในสังคม ออกมาเมื่อส่งผ่านไปให้การเมือง โดยผ่านการส่งด้วยนิ้วทั้งสี่ทางซ้ายขวาเป็นตัวเชื่อมโยง
และการเมืองก็จะสนับสนุนการศึกษาเช่นกันโดยส่งผ่านการช่วยเหลือผ่านทางนิ้วทั้งสี่เช่นกัน เป็นการส่งผ่านความช่วยเหลือถึงกันนั่นเอง
ซึ่งจะเป็นเหมือนกับ แนวคิดของ Y model เช่นกันคือ จะมีการเชื่อมกันที่แกนลำต้น โดยพันและเชื่อมกันก่อนจะแยกปลายให้เป็นอิสระ มองตัว Y สร้างมาจาก เชือกสองเส้น ที่พันกันแล้วปลายแยกอิสระ ในการบริหาร นะครับ
ผมพยายามอธิบายเพื่อให้เห็นภาพแนวคิดที่ผมมองนะครับ ระหว่างการศึกษาและการเมืองนะครับ ไม่ได้แยกออกจากกัน แบบมือซ้ายอยู่แต่มือซ้าย และมือขวาอยู่แต่มือขวานะครับ จับมือกัน แต่ให้ปลายหัวบริหารมีโอกาสเป็นอิสระ
เสมือนที่ว่า การเมืองไม่เสถียรที่เกิดจากต้องมีวาระไงครับ ทุกๆ สี่ปี แต่การศึกษาต้องทำอย่างไรให้เดินต่อไป การศึกษาแยกจากอะไรไม่ได้เพราะต้องปกครองประเทศ การศึกษาต้องซึมอยู่ทั่วๆ ไป
พูดง่ายๆ คือ การเมืองก็มาจากการศึกษา นักการเมืองก็ควรจะเป็นผลผลิตของการศึกษา ในการทำให้นักการเมืองมีคุณภาพ (ตอนนี้ก็มีคุณภาพนะครับ) แต่อยากให้มีมากๆ ยิ่งขึ้น แล้วการศึกษาต้องสร้างคนส่งไปให้กับทุกๆ องค์กรในประเทศ จนถึงชุมชน หรือครอบครัว และระดับปัจเจกครับ
นี่คือเป้าหมายของผมทั้งหมดนี้
ในอีกนัยหนึ่งคือ หากการเมืองยังมีปัญหาเพราะนักการเมือง การศึกษาจะอยู่ไม่ได้ เพราะจะพังทันที นี่เป็นสาเหตุที่อยากให้ นิ้วโป้งซ้ายให้โอกาสนิ้วโป้งขวา มีโอกาสชี้ขึ้นมาได้นะครับ
ขอบคุณมากๆ เลยนะครับ
ผมยังอยากได้ความเห็นของคุณหมอตลอดไปนะครับ สนใจเรื่องเซลล์มะเร็งต่อด้วยนะครับ เพราะผมอยากจะเห็นว่า คุณหมอจะเทียบเซลล์มะเร็งในระบบการศึกษาและการเมืองของเราอย่างไรครับ
ขอบพระคุณมากๆ เลยครับ
เรากำลังมอง model หรือ ปรัชญาครับ?
ขอคิด model ในทางปฏิบัตินิดนึงก็แล้วกัน
อะไรที่จะเป็นตัว empower การบริหารการศึกษาแบบอิสระ?
กฏหมาย รัฐธรรมนูญ?
แต่นั่นก็อยู่ใน jurisdiction ของการบริหารบ้านเมืองอยู่ดี.... หรือไม่ครับ?
การศึกษาที่อ่อนแอนั้น เป็นเพราะ การเมือง "จงใจกด" หรือเพราะว่า "คน" ในภาคการเมืองสายตาไม่ถึง ฝีมือไม่พอ หรือบริหารไม่ดี กันแน่?
effectiveness ของการบริหารนั้น ก็ไปได้ "ไกลสุด" เท่าที่คนบริหารมีกึ๋นเท่านั้น ถ้าเรามีนักการเมืองที่ใจกว้างพอจะ spared education section ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นักการเมืองแบบนี้ก็จะ harmless ต่อการศึกษาอยู่แล้ว แต่ถ้านักการเมืองที่ ต้องการจะ harmful ต่อการศึกษา อะไรจะห้ามไม่ให้มาควบคุม? กฏหมายสูงสุดของประเทศก็มาจากสภา และ ถูกเขียนใหม่ ถูกฉีกใหม่ ได้ตลอดเวลา ยังไงๆเราก็ไม่สามารถเขียนกฏหมายที่บอกว่าตัวกฏหมายฉบับนี้ห้ามเปลี่ยนแปลงแก้ไข นั่นจะเป็นการเล่นเกมไก่กับไข่ ไม่มีกฏหมายฉบับไหนสามารถมอบอำนาจไม่จำกัดแกตัวกฏหมายเองได้
เราจะสามารถออกกฏหมายอะไรที่สามารถการันตีว่าไม่มีมนุษย์หน้าไหนจะมาปรับเปลี่ยนได้จริงหรือ? ตรงนี้เป็น contradiction in term หรือไม่?
ย้อนกลับไปที่ ผู้ให้อำนาจ ที่จะปกป้ององ๕กรการศึกษาที่ว่านี้ จะต้องเป็นผู้ที่การันตีกฏหมายที่บริสุทธิ์ อมตะ และ untouchable ไม่ว่านักการเมือง corrupted แค่ไหน ก็ไม่สามารถจะแจะต้องกฏหมายฉบับนี้ได้ คนๆนี้คือใคร? เป็นใครก็ตามจะต้องเป็น timeless and immortal ระบบนี้จึงจะยั่งยืนต่อไป
ในทางปฏิบัติแล้ว ผมว่าเรา educate คนที่จะมาเสริม มาสร้าง มาดูแลซึ่งกันและกัน จะเป็นระบบ ที่ fail-safe มากกว่าการหวังว่าเราจะมีกฏหมายที่ไม่มีทางถูกฉีกได้ หรือไม่?
ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์สายชีวภาพ ผมจำเป็นต้องมี ความหวัง ว่าชีวิตนั้นมีหนทาง คนเป็นคนดีได้ การเมืองต้องสามารถเติบโต mature และงอกงามได้ ตรงนี้เป็น ความหวัง โดยที่เราจะได้ไม่ต้องพึ่งอะไรที่ฝืนกฏ impermanence เช่น กฏหมายเหนือกฏหมายทั้งมวล เหนือบุคคล เหนือกาลเวลา
ดังนั้น model ตัว Y นั้นเกิดขึ้นได้จริงครับ เมื่อ จิตใจของคนที่ใช้กฏหมายสูงพอ แต่ในบริบทนั้น จะแยกหรือไม่แยก ก็ไมแปลกอะไร
ถ้าจิตใจไม่สูงพอ ขาตัว Y อีกข้าง ก็ไม่มีอะไรจะบอกว่ามันจะเป็นอิสระไปได้เลย
ลืมไปจริงๆที่ไม่สำรวจให้ดี เล่นยอกันเองสองคน คุณอ้อยก็มี พร ด้วย แฮะ ว่าจะร้องเพลงให้ฟังเสียแล้ว
ขอโทษอย่างแรงครับไม่ตั้งใจครับ
ขอบคุณมากครับ มีแบบว่ามาช่วยคลายเครียดกันด้วยหรือครับ อิๆ ขอบคุณมากครับผม
มาจิบชา แล้วถกกันต่อนะครับ....
วันนี้ผมจะไปร่วมฟังการบรรยาและพบปะพูดคุยที่นี่ด้วยนะครับ
------------------------------
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน, สถานกงศุลใหญ่ ณ นครแฟรงเฟิร์ต และสถานกงศุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองชตุทการ์ท ขอเชิญพี่น้องชาวไทยในสหพันธ์ เข้าร่วมพบปะกับผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ, นายสุรสีห์ ดกศลนาวิน, นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์, ศ. ดร. จรัส สุวรรณมาลา, นายสุรักษ์ โหราชัยกุล และ ผศ. ดร. พิรงรอง รามสูต เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง และกระบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทย ณ วัดพุทธวิหาร กรุงเบอร์ลิน ในวันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม 2550 เวลา 15.30 – 18.30 น.
วันเสาร์จัดที่ เมืองชตุทการ์ท
วันอาทิตย์จัดที่ เมืองเบอร์ลิน
------------------------------
คงได้พูดคุยอะไรบ้างนะครับ แล้วจะค่อยเอาประเด็นมาเล่าให้ฟังกันบ้างนะครับ
ถกกันต่อได้เลยนะครับผม จะได้มีความต่อเนื่องนะครับ ผมจะกลับมาพูดคุยกันตอนเย็นๆ ค่ำๆ อีกทีนะครับ
ขอบคุณมากๆ นะครับ
ถึงตรงนี้จำเป็นต้องขอ สมมติ แล้ว เพราะไม่มีข้อมูลดิบที่ valid จริงๆในมือ ฉะนั้น มีสิทธิ์เป็นเพียงฝัน
สมมติว่า "ระบบ" ในอนาคตของประเทศไทยยังเป็นประชาธปไตย
อำนาจมาจากประชาชน เราก็ต้องเริ่มที่ประชาชนก่อน พฤติกรรมมนุษย์นั้น เป็นไปตาม "กระบวนทัศน์" (paradigm) หมายความว่าเราคิดยังไง เราก็ทำอย่างนั้น ฉะนั้นเรื่องเจตนคติสำคัญและเป็นทุกสิ่งทุกอย่างก็ว่าได้ของพฤติกรรม กระแสความเคลื่อนไหวที่ตามมา
ถ้า
เราอาจจะสังเกต คุณค่า ที่ชี้นำ (รู้ตัว /ไม่รู้ตัว) สังคมอยู่ในปัจจุบันนี้ได้ไม่ยาก มองไปรอบๆตัว อ่านหนังสือพิมพ์ เร็วๆนี้ มีรายงานเกี่ยวกับยอดการลงทุนใน advertisement หรือการสื่อโฆษณา ซึ่งพอจะเป็น index ได้ว่า อะไรกำลัง HOT อยู่ปรากฏว่าปีนี้ แชมป์เก่าคือ เครื่องสำอางค์ ถูกแซงโดยม้ามือน้องใหม่ คือ เครื่องลางมงคลของขลัง นับเป็นมูลค่า (โฆษณาอย่างเดียว) 22,000 ล้านบาท มากกว่างบประมาณการศึกษาทั้งประเทศ
นี่คือสถานกาณ์คร่าวๆของปัจจุบัน
และรับประกันได้ว่า แรงผลักในกิจกรรมนี้ ไม่ได้มาจากคนไม่มีการศึกษา หรือจากคนที่ไม่มีฐานะแน่นอน แต่มาจากประชาชนจำนวนมีนัยสำคัญที่อยู่ในตลาด demand นี้
ผมคิดว่าเรามี ปัญหาที่ระบบการคิด ระบบการใคร่ครวญ ระบบการไตร่ตรอง ครับ
สถาบันที่เกี่ยวข้อง?
เริ่มจากหน่วยเล็กสุดของสังคมเป็นไงครับ? ครอบครัว เพื่อนบ้าน ชุมชน แหล่งยึดเหนี่ยวจิตใจของคนอยู่ที่ไหน? (ถ้าจากข้อเสนอของ รมต. ที่เกี่ยวข้อง ที่ว่าควรจะจัดธรรมเทศนา ให้พระไปอยู่ที่ศูนย์การค้า ก็พอจะบอกได้หรือไม่ ว่า คน "ไปอยู่ที่ไหนกัน" หรือเขาคิดว่าคนไปอยู่ทีไหนกัน
จกว่าเราจะเริ่มมี "เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจใหม่" โดยที่ไม่จำเป็นต้องกราบไหว้บูชาอะไรเพื่อ "โคตรรวย รวยไม่รู้เรื่อง รวยไม่มีเหตุผล ฯลฯ อีกหลายร้อยรุ่น" นักการเมืองที่จะถูกเลือกเข้าไปบริหารประเทศ ก็คงจะเป็นพวกที่ตอบสนองต่อ demand แบบนี้ได้ ถ้าเป็นเช้นนั้น การศึกษา จะแยก หรือจะรวม มันก็ doomed พอกัน
อะไรจึงเรียกว่า ชีวิตที่ดี ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ ชีวิตที่มีความหมาย
ถึงตอนนี้ ผมคิดว่าเราต้องมองย้อนกลับไปที่อะไรที่เป็น นามธรรม บ้างแล้ว (มั้ง?)
ถ้าชีวิตของเรานั้นเร่งรีบ ต้องฟันธง ต้องด่วนตัดสิน เราก็จะอดไม่ได้ที่จะพยายามตัดสินอะไรเพียงฉาบฉวย โดยอะไรที่มองเห็น แต่ไม่ใช่อะไรที่ต้องใช้ "ความรู้สึก ความใคร่ครวญไตร่ตรอง" เพราะเรา "ไม่มีเวลา" จะทำอย่างนั้น
แทนที่เมื่อเรามีเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ รถ เครื่องบิน ทีวี มือถือ internet เราจะได้ใช้ "เวลาที่ว่างมากขึ้น" กลับไปหาตัวตนที่แท้จริง จิตวิญญาณของมนุษย์ เรากลับดูเหมือนมีเวลาน้อยลง ต้องรีบมากขึ้น ต้องแก่งอย่งแข่งขันกันมากขึ้น แม้แต่โรงเรียน โรงพยาบาล ก็ต้องมีการจัด ranking
มือกระดิกคลิ้กโดยไม่ตั้งใจ
และเราก็จะเลือกคนที่สัญญาว่าจะให้ life style แบบนั้นแหละแก่เรา
คำตอบไม่ง่ายนัก มีสั้นๆก็คือ คนที่สนใจในวิถีใหม่ การดำเนินชีวิตแบบใหมท่ คงต้อง voice ออกมามากขึ้น สนทนากันบ่อยมากขึ้น รับฟังมากขึ้น ฟังให้เยอะๆ จะได้เข้าใจในปัญหาต่างๆได้ดียิ่งขึ้น
quick fix คงจะเหมาะสำหรับอะไรที่เปฯระยะสั้น แต่การสร้าง "วัฒนธรรม ความเชื่อ กระบวนทัศน์" ต้องใช้อะไรที่ subtle แต่มีพลังยืนยาว และเป็นปฏิรูป ไม่ใช่ปฏิวัติ
กราบสวัสดีครับคุณหมอ
เจริญพร
เป็นความคิดรวบยอดได้ดีมากเลย....ทำตามแล้วเห็นภาพอย่างนี้เรารูปแล้วเราควรช่วยกันเปลี่ยนแปลกระบบ ถ้าสามารถทำได้จะดีมาก
สวัสดีค่ะ คุณเม้ง
เพิ่งมีโอกาสแวะเวียนมาเยี่ยมค่ะ สำหรับอ๋อมีความเห็นว่า ผู้มีอำนาจในการปกครอง น้อยนักที่จะตระหนักในความสำคัญของการพัฒนาการศึกษาของผู้อยู่ใต้ปกครอง ตราบใดที่สังคมเรายังไม่มีผู้ปกครองที่มีธรรมาภิบาล ขอบคุณมากค่ะ
กราบนมัสการพระคุณเจ้า เหยี่ยวอินเดีย
กราบขอบพระคุณมากครับ ใช่ครับ เราต้องเริ่มกันที่ตัวเราแล้วทำร่วมกันเป็นเครือข่ายแล้วเดินไปด้วยกัน ผลักดันสิ่งเหล่านี้ให้เป็นภารกิจสำคัญของชาติครับ การศึกษาเท่านั้นผมว่าที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่เราประสบกันอยู่ตอนนี้
กราบขอบพระคุณมากครัีบ
สวัสดีครัีบคุณ อ๋อทิงนองนอย
ขอบคุณมากๆนะครัีบ ที่แวะมาเียี่ยมเยียนนะครัีบ สำหรัีบการศึกษานั้น ผู้ที่เห็นความสำคัญของการศึกษาเท่านั้นครับ ที่จะสนับสนุนและเปิดโอกาสให้คนอื่นๆ ได้ศึกษาและพัฒนาการศึกษา จิตใจ และร่างกาย มิฉะนั้นเราก็พัฒนากันแต่เพียงด้านวัตถุ รื้อแล้วสร้างแล้วถมแล้วถอนแล้วสร้าง วนเวียนอยู่นี่หล่ะครัีบ
เราทุกคนมีส่วนสร้างการศึกษาของชาติด้วยกันครัีบ เริ่มที่ระบบคิดของพวกเรานี่หล่ะครัีบ แล้วพลังจะเกิดครับ หากผู้หาเสียงไปหาชาวบ้าน ชาวบ้านบอกว่า สิ่งที่เราต้องการคือ การศึกษาภาคชุมชน การศึกษาอิสระในชุมชน การศึกษาของลูกหลาน เมื่อนั้นหล่ะครับ ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจะต้องคิดหนัก...
ขอบคุณมากครับ
ใครๆก็ว่าความรู้เป็นสิ่งสำคัญ แต่...ไม่เห็นมีใครให้ความสำคัญกับคนให้ความรู้ (อย่างจริงจัง )ว่ามะ อ่ะ อ่ะ อ่ะ
สวัสดีครับคุณ yay tom
ขอบคุณมากๆ เลยครัีบ ก็เป็นอย่างที่ว่าครับ เราลืมไปเรื่อง
ขอให้โลกนี้จงสงบเถิดครัีบ หันมายิ้ม มาจรรโลงธรรมชาติ ให้ใจกันครัีบ
สวัสดีครับ พอดีตามลิ้งค์มาจากของน้อง nth ในบอร์ด บาวูคลับ ครับ เห็นมีคนจริงใจกับการศึกษาได้ขนาดนี้ก็น่าดีใจเลยหละครับ เสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสรู้จักพี่เม้งจริง ๆ จัง ๆ ตอนนี้เห็นว่าพี่กลับเมืองไทยไปแล้ว ขอให้เต็มที่กับการพัฒนาการศึกษาไทยครับ ไอเดียที่จะแยกการเมืองออกจากการศึกษานี่ผมคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ครับ การเมืองการปกครองมันซ่อนอยู่ในองค์กรทุกระดับ ถึงแม้ว่าเราจะมีกลุ่มคนที่เล็กขนาดไหน การแก้ปัญหาในลักษณะนี้ผมว่าจะเป็นการหนีเสือปะจรเข้ซะมากกว่า แค่คิดว่าเราจะต้องเอางบประมาณมา มันก็ต้องผ่านสภา ซึ่งมันก็ต้องเป็นการเมืองในตัวอยู่แล้ว ผลที่ได้ถ้าเราต้องการตัดขาดจริง ๆ จากการเมืองเราก็อาจจะต้องแยกส่วนงบประมาณของส่วนการศึกษาออกมาจากการเมืองด้วย นั่นอาจหมายถึงเราจะต้องให้ส่วนการศึกษายืนได้ด้วยตัวเอง คือมีเงินหมุนเวียนได้ด้วยตัวเอง อันนี้ลำบากมากขึ้นไปอีกครับเพราะค่าใช้จ่ายต่อคนต่อปีที่รัฐช่วยแบกรับ (อ้างอิง : http://www.prachatai.com/05web/th/home/15535)
ผมว่าปัญหาอย่างหนึ่งของการศึกษาไทยคือ ความเข้าใจเรื่องการศึกษาครับ การศึกษาไม่ใช่จุดเริ่มต้น การศึกษาไม่ใช่แค่ปรัชญา เราจะแยกการศึกษาออกมาโดด ๆ มันแปลก ๆ
อย่างการพัฒนาการศึกษาของเยอรมันเอง ที่ส่วนวิจัยของมหาวิทยาลัยกับภาคอุตสาหกรรมค่อนข้างเกื้อซึ่งกันและกัน ถ้าเราขาดการเมืองเป็นเครื่องมือหนุนหรือผลักดันความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมตรงนี้คงจะยาก ถ้าเราแยกการศึกษาออกมาโดด ๆ
สำหรับของอเมริกาเอง ส่วนที่เป็นการศึกษาระดับสูง ส่วนนี้ได้รับการส่งเสริมโดยตรงจากรัฐบาลจากกองทัพ การพัฒนามันต้องใช้เงิน แหล่งเงินก็มาจากฝ่ายทหารซะส่วนใหญ่ รัฐบาลของอเมริกาจะเป็นผู้ใช้คนแรก ๆ ของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็เพราะต้องจ่ายเงินเข้าไปซื้อเพื่อให้ศุนย์วิจัยมีเงินไปพัฒนาต่อเนื่อง
ถ้าเราตัดการศึกษาออกจากการเมือง การพัฒนาอย่างเป็นระบบของการศึกษาผมว่ามันคงขาดช่วงไป
สำหรับผมปัญหาเรื่องการเมืองกับการศึกษามันคงเป็นเพราะนักการเมืองไม่ได้ให้ความจริงใจกับการศึกษาอย่างที่พี่เม้งว่าไว้ในตอนข้อท้าย ๆ แต่การแยกการศึกษาออกมาจากการเมืองผมว่าไม่ใช่คำตอบ
ถ้าการบริหารแบบ ท็อปดาวน์ บ้านเรามีปัญหา ก็ต้องใช้แบบ บอททอมอัป หละครับ หิ่งห้อยตัวเดียวมันคงทำอะไรไม่ได้มากอย่างว่า แต่ถ้าหลาย ๆ ตัวถ้าเอามารวมกันใส่ขวด มันก็คงพอเป็นแสงส่องนำทางได้ แต่ถ้าคิดในอีกทางนึง ถ้าหิ่งห้อยในขวดบินกระจายทั่วต้นไม้ ต้นไม้ทั้งต้นก็สว่างได้เลยนะครับ บางทีการทำให้สว่างได้ก็ไม่ต้องเอามารวมกันเสมอไป ถ้ามีวิธีการสร้างหิ่งห้อยเยอะ ๆ แล้วปล่อยไปให้ทั่วต้นไม้ วันนั้นคงจะได้เห็นต้นไม้สว่างสดใส ในคืนที่มืดมิดครับ
สู้ ๆ ครับพี่เม้ง มาร่วมกันพัฒนาการศึกษาไทยกัน... :)
สวัสดีครับ พอดีตามลิ้งค์มาจากของน้อง nth ในบอร์ด บาวูคลับ ครับ เห็นมีคนจริงใจกับการศึกษาได้ขนาดนี้ก็น่าดีใจเลยหละครับ เสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสรู้จักพี่เม้งจริง ๆ จัง ๆ ตอนนี้เห็นว่าพี่กลับเมืองไทยไปแล้ว ขอให้เต็มที่กับการพัฒนาการศึกษาไทยครับ ไอเดียที่จะแยกการเมืองออกจากการศึกษานี่ผมคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ครับ การเมืองการปกครองมันซ่อนอยู่ในองค์กรทุกระดับ ถึงแม้ว่าเราจะมีกลุ่มคนที่เล็กขนาดไหน การแก้ปัญหาในลักษณะนี้ผมว่าจะเป็นการหนีเสือปะจรเข้ซะมากกว่า แค่คิดว่าเราจะต้องเอางบประมาณมา มันก็ต้องผ่านสภา ซึ่งมันก็ต้องเป็นการเมืองในตัวอยู่แล้ว ผลที่ได้ถ้าเราต้องการตัดขาดจริง ๆ จากการเมืองเราก็อาจจะต้องแยกส่วนงบประมาณของส่วนการศึกษาออกมาจากการเมืองด้วย นั่นอาจหมายถึงเราจะต้องให้ส่วนการศึกษายืนได้ด้วยตัวเอง คือมีเงินหมุนเวียนได้ด้วยตัวเอง อันนี้ลำบากมากขึ้นไปอีกครับเพราะค่าใช้จ่ายต่อคนต่อปีที่รัฐช่วยแบกรับ (อ้างอิง : http://www.prachatai.com/05web/th/home/15535)
ผมว่าปัญหาอย่างหนึ่งของการศึกษาไทยคือ ความเข้าใจเรื่องการศึกษาครับ การศึกษาไม่ใช่จุดเริ่มต้น การศึกษาไม่ใช่แค่ปรัชญา เราจะแยกการศึกษาออกมาโดด ๆ มันแปลก ๆ
อย่างการพัฒนาการศึกษาของเยอรมันเอง ที่ส่วนวิจัยของมหาวิทยาลัยกับภาคอุตสาหกรรมค่อนข้างเกื้อซึ่งกันและกัน ถ้าเราขาดการเมืองเป็นเครื่องมือหนุนหรือผลักดันความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมตรงนี้คงจะยาก ถ้าเราแยกการศึกษาออกมาโดด ๆ
สำหรับของอเมริกาเอง ส่วนที่เป็นการศึกษาระดับสูง ส่วนนี้ได้รับการส่งเสริมโดยตรงจากรัฐบาลจากกองทัพ การพัฒนามันต้องใช้เงิน แหล่งเงินก็มาจากฝ่ายทหารซะส่วนใหญ่ รัฐบาลของอเมริกาจะเป็นผู้ใช้คนแรก ๆ ของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็เพราะต้องจ่ายเงินเข้าไปซื้อเพื่อให้ศุนย์วิจัยมีเงินไปพัฒนาต่อเนื่อง
ถ้าเราตัดการศึกษาออกจากการเมือง การพัฒนาอย่างเป็นระบบของการศึกษาผมว่ามันคงขาดช่วงไป
สำหรับผมปัญหาเรื่องการเมืองกับการศึกษามันคงเป็นเพราะนักการเมืองไม่ได้ให้ความจริงใจกับการศึกษาอย่างที่พี่เม้งว่าไว้ในตอนข้อท้าย ๆ แต่การแยกการศึกษาออกมาจากการเมืองผมว่าไม่ใช่คำตอบ
ถ้าการบริหารแบบ ท็อปดาวน์ บ้านเรามีปัญหา ก็ต้องใช้แบบ บอททอมอัป หละครับ หิ่งห้อยตัวเดียวมันคงทำอะไรไม่ได้มากอย่างว่า แต่ถ้าหลาย ๆ ตัวถ้าเอามารวมกันใส่ขวด มันก็คงพอเป็นแสงส่องนำทางได้ แต่ถ้าคิดในอีกทางนึง ถ้าหิ่งห้อยในขวดบินกระจายทั่วต้นไม้ ต้นไม้ทั้งต้นก็สว่างได้เลยนะครับ บางทีการทำให้สว่างได้ก็ไม่ต้องเอามารวมกันเสมอไป ถ้ามีวิธีการสร้างหิ่งห้อยเยอะ ๆ แล้วปล่อยไปให้ทั่วต้นไม้ วันนั้นคงจะได้เห็นต้นไม้สว่างสดใส ในคืนที่มืดมิดครับ
สู้ ๆ ครับพี่เม้ง มาร่วมกันพัฒนาการศึกษาไทยกัน... :)
สวัสดีครับน้อง Ekktha
ขอบคุณมากๆ และยินดีที่ได้รู้จักนะครับ จริงๆ ในบันทึกนี้ต้องการอยากให้แยกเพื่อจะแก้ปัญหาเบื้องต้นเพื่อให้คนทำงานบริหารชาติมีความรับผิดชอบต่อชาติให้มากขึ้นและรักชาติรักคนไทยด้วยกันในทุกๆระดับชั้น จะว่าไปไม่มีอะไรแยกออกจากอะไรได้นะครับ เพียงแต่ว่าเราอาจจะต้องแก้ไขปัญหาเบื้องต้นครับ
น้องมีหลานๆ เรียนอยู่ระดับประถมบ้างไหมครับ ตอนนี้การศึกษาในการสอนเปลี่ยนระบบการสอนการสะกดภาษาไทยไปแล้วนะครับ ไม่ได้ใช้การสะกดตามอักขระวิธีอย่างเดิมครับ
เป็นเรื่องที่หลายๆ ที่น่าคิด
อย่างเช่นคำว่าโรงเรียน เราอาจจะสอนแบบใหม่ให้สะกดเป็น
รอ โอ งอ โรง แต่เด็กอาจจะคิดและเขียนแบบภาษาอังกฤษ เช่น
รอ โอ งอ รโง เพราะแนวทางการสะกดเลียนแบบ CAT แคท
อันนี้เป็นตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ครับ นศ.ในระดับมหาลัยก็มีหลายๆ เรื่องให้น่าสนใจมากกว่าการเรียนรู้ เป้นเรื่องที่อาจารย์ผู้สอนต้องปรับการะบวนการสอนเช่นกันครับ
จริงๆ แล้วหากคนมีคุณภาพนะครับ จะทำอะไรก็เจริญแน่นอนครับ ปัญหาคือจะทำอย่างไรให้คนบ้านเรามีความสุขในการใช้ชีวิตครับ
แล้วจะมาร่วมถกกันต่อนะครับ
พี่เห็นด้วยกับความเห็นน้องๆในทุกๆ อย่างนะครับ พี่จะไปเยอรมันอีกรอบ เดือนสองเดือนอาจจะมีโอกาสได้เจอบ้างครับ
มีความสุขในการเรียนนะครับ
www.somporn.net มาเยี่ยมได้ครับ
ด้วยมิตรภาพ
พี่เม้ง
ถ้ามาอย่าลืมบอกนะครับ อยากนัดพี่เม้งดื่มกาแฟ คุยกันแบบสบาย ๆ เกี่ยวกับเรื่องพัฒนาการศึกษา และ พัฒนาประเทศของเราซักครั้งครับ :)
สวัสดีครับน้อง
ด้วยความยินดีครับ แล้วจะแจ้งข่าวไปนะครับผม คิดว่าเมษานี้อยู่ที่นั่นนะครับผม ขอให้สนุกกับการเรียนนะครับ
โชคดีนะครับผม
พี่เม้ง