กราบสวัสดีงามๆ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
วันนี้ขอยกประเด็นเรื่องหนักมาหนึ่งเรื่องที่ประกอบไปด้วยเรื่องหนักด้วยกันสองเรื่องครับ นั่นคือการศึกษา และการเมือง คุณคิดว่าการศึกษาไทย กับการเมืองไทย ควรจะบริหารแยกกัน หรือรวมกันดีครับ เพื่อเป้าหมายในการองค์ความรู้และพัฒนาสมองไทยอย่างยั่งยืน
ผมเองขอบอกก่อนว่าไม่มีประสบการณ์อะไรมาก ทุกอย่างที่เขียนต่อไปนี้ จะเป็นการประมวลจากตะกอนในสมองที่พอจะมีเศษดินให้ตกลงมากระทบก้นสมองอยู่เพียงนิดเดียวครับ
ผมจะบอกกับสิ่งที่ผมคาดหวังกับการศึกษานะครับ ส่วนการเมืองผมจะพยายามไปกระทบให้น้อยที่สุดครับ แต่สำหรับความคิดเห็นของท่าน เชิญได้เต็มที่ครับ
สิ่งที่ผมคาดหวังกับการศึกษาไทยคือ
สิ่งที่ผมนั่งคิดไปเล่นๆ ผมกำลังคิดว่า หากเราจะเอาการศึกษาออกมาบริหารแยกต่างๆหากจากการเมือง จะเป็นไปได้ไหม เพื่อจะให้การศึกษามันยั่งยืน โดยที่การเมืองอาจจะหมดไปตามวาระกี่ปี แต่การศึกษาน่าจะต้องต่อเนื่องตลอดไป โดยทีมบริหารการศึกษาน่าจะบริหารไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเมืองเป็นฝ่ายสนับสนุนการศึกษาอยู่อีกทอดหนึ่ง
บทความนี้มีเป้าหมายหลักคือ จะนำพาการศึกษาไทยอย่างไรให้หลุดพ้นและเดินได้อย่างต่อเนื่องตลอดไป ไม่หยุดชะงักในบางช่วงเวลาที่เกิดปัญหาจากทางการเมือง
หากท่านเห็นเป็นประการใด ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้นะครับ ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
กราบขอบพระคุณครับ
สมพร ช่วยอารีย์
สวัสดีครับพี่เม้ง
ยังไม่นอนอีกหรอครับพี่ รักษาสุขภาพด้วยนะครับ
มาตอบในฐานะคนที่ไม่ใช่ทั้งนักการเมืองและนักการศึกษาครับ แต่หวังไว้ว่าวันหนึ่งถ้ามีโอกาสอยากไปสอนหนังสือเหมือนกันครับ
ก่อนจะตอบคำถามเรื่องการศึกษา ผมว่าเราต้องแยกระดับการศึกษาออกมาก่อนครับ ว่าการศึกษานั้นมีกี่ระดับ และต่างกันอย่างไรบ้าง เช่น อนุบาล ประถม มัธยม อุดมศึกษา อาชีวะ
จากนั้นเราค่อยมาคิดว่าในพอจบการศึกษาในแต่ละระดับเราคาดหวังว่าเด็กนั้นจะสัมฤทธิ์ผลด้านใดบ้าง (เอาแค่ประโยคเดียวนะครับ ขอแค่ตอบมาได้ในประโยคเดียวเท่านั้น)
ผมคิดว่าการศึกษานั้นสมควรจะอิงกับชุมชนมากกว่าส่วนกลางครับ ส่วนกลางนั้นควรจะกำหนดแค่โครงร่างหลักสูตรหลัก เช่น เลข ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ แต่หลักสูตรเสริมเช่น สังคมศึกษา นั้นสมควรกำหนดโดยชุมชนครับ
นั้นพูดในมุมมองของระดับประถม มัธยมนะครับ
ส่วนอุดมศึกษา อาชีวะนั้น ผมคิดว่าวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยสมควรที่จะมีสิทธิในการกำหนดหลักสูตรของตัวเองพอสมควรครับ ผมอยากเห็นความหลากลายทางหลักสูตรในสังคมไทยครับ แต่ในขณะเดียวกันส่วนกลางก็สมควรที่จะมีหน่วยกำกับควบคุมหลักสูตรขึ้นมา
ผมมองถึงความมีอิสระของมหาวิทยาลัยในการสร้างหลักสูตร และบริหาร แต่ส่วนกลางทำให้หลักสูตรนั้นมีประสิทธิภาพ จากการควบคุม กำกับและดูแลของส่วนกลางครับ แต่ในขณะเดียวกับก็มีความยืดหยุ่นในตัวเองครับ
เช่นสาขาวิศวกรรมศาสตร์ เอาแค่วิศวะโยธา อย่างเดียว ปริญญาตรี ก็สามารถแยกออกไปหลายด้านแล้วครับ แต่ตอนผมเรียนนั้น ปริญญาตรีวิศวโยธานั้น ถ้าจะไปขอ กว แล้วให้ได้แบบประเภท ก นั้นต้องจบหลักสูตรวิศวกรรมโยธาจากมหาวิทยาลัยที่กำหนดเท่านั้น แต่ถ้าเป็นวิศวกรรมโยธาแต่แยกย่อยออกไปอย่างอื่นก็จะไม่ได้ประเภท ก ครับ จำได้ว่าอาจารย์ที่คณะต้องไปออกแรงกันน่าดูทีเดียว
การเมืองกับการศึกษานั้นผมว่าคงจะแยกออกจากกันยากครับ ผมคิดว่าวิธีการแยกออกมาจากส่วนกลาง ก็คือทำให้ชุมชนมีส่วนกับมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นครับ
สวัสดีครับน้องต้น
สวัสดีครับพี่อัมพร
สวัสดีครับพี่เม้ง
"พี่มองถึงการบริหารนะครับ ว่าจะบริหารแยกส่วนกันได้ไหม เพราะการศึกษามันควรจะต่อเนื่องไม่มีวันหยุดในการพัฒนา ส่วนการเมืองพี่ไม่ถนัดครับ"
ถ้าการบริหารการศึกษาไม่ต้องการเงินจากการเมือง การศึกษากับการเมืองก็จะไม่มายุ่งกันครับ (คำตอบสุดท้ายครับ) :D
เพราะฉะนั้นถ้าจะให้แยกกัน ก็คงต้องทำให้ระบบการบริหารการศึกษานั้นมีกระเป๋าตังค์เป็นของตัวเอง ไม่ขึ้นกับการเมืองครับ
สวัสดีครับ น้องต้น
ลีย์ |
สวัสดีครับ น้องลีย์
สวัสดีครับ อ.ลูกหว้า
สวัสดีครับคุณเบิร์ด
สวัสดีค่ะคุณเม้ง
หัวเราะเลย..ถ้าปลูกกล้วยแล้วมีดอกออกด้านข้างได้นะคะ..สิ่งเดียวที่เบิร์ดจะซื้อคือคนที่คิดเทคนิคนี้..มิใช่ต้นกล้วยค่ะ.. อิ อิ..
บางครั้ง "การเมืองก็ไม่ค่อยอยากยุ่งกับการศึกษาเท่าไหร่หรอก" เพราะปวดหัวกับคนในวงการศึกษา
สวัสดีครับคุณเบิร์ด
สวัสดีครับคุณย่ามแดง
เข้ามาลงชื่อ....
เจริญพรทุกท่าน
สวัสดีครับน้องชาย
กราบนมัสการหลวงพี่ครับ
อาจารย์เม้ง...
หลวงพี่จำไม่ได้แล้ว...
ต้นบัญญัติ คือ สาเหตุที่จะบัญญัติเรื่องนั้นๆ อาจารย์เม้ง พิมพ์คำนี้แล้วค้นหาในกูเกิ้ลก็จะรู้สาเหตุประเด็นนี้ หรือประเด็นอื่นๆ ได้....
ลองไปค้นแล้ว คำนี้มีเยอะ ไม่นานก็คงจะเจอ...
เจริญพร
กราบนมัสการหลวงพี่ครับ
เรื่องนี้ ฝันหวาน ไม่ใช่ฝันจริง
เคยเสนอให้สอบผู้บริหารโรงเรียนใหม่ทั้งประเทศ
เขาไม่กล้าทำ ไม่กล้าเสียอย่างเดียวก็จบ
ก็อย่างที่บอก ระบบมันเน่า ไม่กล้ากระดิก คิดแต่เรื่องตรงกันข้าม หลอกให้ครูทำผลงานบ้าๆ ทั้งๆที่ไม่เคยมีผลงาน เข็นขืนเสียเงินเสียทองเสียเวลา ทิ้งเด็ก ทิ้งโรงเรียน มีผู้บริหารโรงเรียนสักกี่คนที่เราอยากเสียเงินจ้าง
ทุกองค์กรการศึกษาติดบ่วงตัวเอง คุณภาพของเด็กแย่ๆลงๆๆ เขากลับไปคิดเพิ่มซี.ผู้บริหารด้วยวิธีการที่เขียนไม่ลง มันฝืนความจริง สร้างวิกฤตศรัทธามากขึ้นๆ ไม่เป็นที่ยอมรับ โรงเรียนดังที่นี่บริหารไม่ดี เปิดรับเด็กหลายรอบแล้วก็ยังไม่มีใครไปเรียนครบจำนวน ตรงกันข้ามกับโรงเรียนมัธยมอำเภอ เด็กไปสมัครจนล้นไม่รู้กี่ห้อง ถามว่ายังจะเลี้ยงพวกไร้สาระให้บริหารการศึกษาอยู่อย่างนี้หรือ บางแห่งเดินขบวนไล่กันไม่เว้นแต่ละวัน ตรงจุดนี้มีใครคิดใครแก้ เลวที่นี่ก็ย้ายให้ไปเลวต่อที่อื่น กลัวเหลือเกินถ้าหมดความอดทน ชาวบ้านจะเผาโรงเรียนเป็นว่าเล่น
กราบสวัสดีท่านครูครับ
สถานการณ์ สภาพการณ์ ผิดปกติ
จะมานั่งคิดโจทย์ปกติมันก็ไม่มีประโยชน์
คงต้องรอให้เกิดสงครามเสียละมั๊ง มันถึงจะมีโอกาสล้างชำระ ตั้งแท่นทำอะไรใหม่ๆได้ แต่ในสภาวะการณ์เดี๋ยวนี้ทำอะไรไม่ได้หรอก
โรคมันต้องผ่าตัด แต่รักษามาทายาแดง
ไม่ได้เหมาโหลต่อว่า ผู้บริหารดีๆก็มี ไม่น้อย หวานอมขมกลืนอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
พวกไม่ดีมากกว่าพวกดี จึงลากฉุดการศึกษาลงเหว การที่ตั้งคำถามให้ตอบ เสียเวลาเปล่า เพราะปัญหามันวิ่งล่วงหน้าจุดนั้นไปนานแล้ว ควรตั้งประเด็นให้สอดรับกับสถานการณ์ และความเป็นจริง
ปฏิลูบ ปฏิแร๊ด ก็ทำมาแล้ว
คุรุทายาทก็ทำมาแล้ว เด็กเรียนแทบตายจบมาไม่มีตำแหน่งบรรจุ แล้วบอกว่าขาดครูวิทย์ ครูคณิต
หลายโรงเรียนขาดอัตรากำลัง จัดให้ไม่ได้
ครูอัตราจ้าง ก็จ้างพวกมีเงินซื้อตำแหน่ง เด็กเก่งๆดีๆไม่ได้แอ้มหรอก
ถ้าเสกได้อยากจะให้อีตาเม้งมาเป็นรัฐมนตรีศึกษา แล้วจะหนาว เรื่องภายในซับซ้อนมากนัก
เคยถามอีตานายกฯคนก่อน
เขาตอบว่า การศึกษาแหย่ไปตรงไหนก็เน่า?
นั่นก็แสดงว่าเขารู้ แต่แก้ปัญหาไม่ได้ เอาแค่โอนไม่โอน ออกนอกระบบไม่ออก นี่ก็คางเหลืองแล้วละเม้งเอ๊ย
ผมฝันนะ อยากให้นักศึกษารุ่นใหม่ กับรุ่นอาวุโส จับมือกันตั้งโรงเรียน สอนให้ดี สอนให้เป็นคนดี ค่อยๆทำไป เมื่อเกิดความนิยมก็ค่อยๆขยายตัว ถ้าคิดทำนอกระบบอย่างนี้ยังพอมีหวัง
เมื่อเดือนที่แล้วพวกนายกอบจ.มาคุยด้วย เขาบอกว่า ไม่รอแล้วเรื่องโอนเอนอะไรนั้น ควักเงินสร้างโรงเรียนเอง ตอนนี้เป็นที่พอใจผู้ปกครอง เรียกร้องให้ขยายโรงเรียนในอัตราก้าวหน้า อย่างนี้ยังพอเห็นทางบ้าง ดีกว่าที่จะไปคิดแก้ในระบบ
สวัสดีครับท่านครู
สวัสดีครับพี่เม้ง
ผมค่อนข้างสนใจที่พี่พูดว่า "การศึกษาบริหารแยกออกจากการเมือง โดยที่การเมืองสนับสนุนการศึกษา แล้วอนุญาตให้การศึกษาบริหารไปได้เอง"
เพราะผมไม่ทราบว่าคำว่าบริหารแยก นี่รวมไปถึงอะไรบ้างครับพี่ แล้วเมื่อเราพูดถึงระบบการศึกษา เรารวมตั้งแต่อนุบาลยันปริญญาเอก หรือว่าอะไรครับ เพราะผมคิดว่า ส่วนกลางจะต้องมีส่วนในการบริหารที่ในระดับการศึกษาที่ต่างกันครับ เช่นอาจจะต้องควบคุมการศึกษาระดับอนุบาล มากกว่าระดับอุดมศึกษาครับ
โดยส่วนตัว ผมคิดว่าระบบการศึกษาไทยนั้นล้มเหลวตั้งแต่สมมติฐานแล้วครับ ผมว่าเหมือนเราจะตั้งสมมติฐานว่าเราต้องการเด็กเก่งทุกเรื่อง เหมือนเป็ดนะครับ ไม่เชื่อก็ดูสิครับ พละยังต้องบังคับให้เด็กเล่นกีฬาเลย มันออกจะประหลาดไปหน่อยนะครับ
เรื่องโรงเรียนติวเตอร์ ผมขออนุญาตมองต่างมุมครับพี่
ผมเชื่อว่าพี่เองก็ทราบว่าเด็กแต่ละคนมีศักยภาพไม่เท่ากัน โรงเรียนแต่ละโรงเรียน และครูแต่ละท่านมีศักยภาพไม่เท่ากัน ผมมีเพื่อนหลายคนที่ไม่ได้เรียนพิเศษอะไรเลย แต่ก็เอ็นติดหมอได้ แล้วผมก็มีเพื่อนบางคนที่เอ็นไม่ติด
ผมไม่ค่อยจะเข้าใจว่าทำไม คนไทยชอบมองโรงเรียนติวเตอร์ว่าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาการศึกษาครับ ผมว่าติวเตอร์นี่เหมือนแพะรับบาปเลยครับ ผมมองง่ายๆแค่นี้ครับ
ผมมองว่า ก็ในเมื่อเด็กจะไปยุ่งเกี่ยวกับการเรียน ไปเรียนพิเศษ มันไม่ดีตรงไหนหรือครับ อันนี้ผมไม่เข้าใจครับ
คนชอบบอกว่าก็เพราะเด็กไปโรงเรียนกวดวิชาแล้วเห็นผลนี่แหละ คนก็ตามแห่กันไป ผมว่าคนที่เชื่อแบบนั้น คงจะลืมคิดอะไรไปบางอย่างครับ
คุณลืมคิดว่า ก็เด็กที่ไปเรียนพิเศษนั้นจะได้เจอโจทย์มากกว่า อยู่กับหนังสือมากกว่า คนที่ไม่ได้ไปเรียนพิเศษ
ทำให้สำหรับผม ผมคิดว่ามันไม่แปลกครับ ที่คนจะพูดเช่นนั้น นอกจากว่าจะมีการทำวิจัยเอาเด็กมาแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเรียนพิเศษ อ่านหนังสือ, กลุ่มสอง เรียนพิเศษ ไม่อ่านหนังสือ, กลุ่มสาน ไม่เรียนพิเศษ อ่านหนังสือ, กลุ่มสี่ ไม่ทำทั้งคู่ ถ้าควบคุมว่า โอเคนะ เด็กมีพื้นฐานเดียวกัน คือเกรดใกล้ๆกัน แล้วเวลาในการเรียนพิเศษและอ่านหนังสือเท่ากัน
พี่เม้งครับพี่ว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างไรครับ พี่คิดว่ามันจะขัดกับสมมติฐานที่พี่ตั้งไหมครับ (ถ้ามีใครสนใจอยากทำ ผมไม่สงวนไอเดียครับ ถ้าไม่มีใครไปสอนพิเศษ บอกผมก็ได้ครับ ถ้าว่างไปสอนให้)
คนชอบบอกว่า เนี่ยเพราะว่าโรงเรียนสอนไม่ดี เด็กเลยต้องไปเรียน ผมขอเถียงครับ ไม่ว่าโรงเรียนจะสอนดีหรือไม่ดี ถ้าคนเขาจะไป เขาก็ไปอยู่แล้วครับ
บางคนบอกว่าเด็กมันไปเรียนตามเพื่อน อันนี้ผมอยากจะยกมือไหว้โมนทนาด้วยเลยครับ คิดง่ายสิครับ ถ้าเรามีลูกมีหลาน แล้วลูกหลานเรามาขอตังค์บอกว่า พ่อครับแม่ครับ ขอตังค์จะตามเพื่อนไปเรียนพิเศษ เราจะไม่แอบยิ้มปนปลื้มหรือครับว่า เออ เว้ย ลูกเรารักเรียน ลูกเราคบเพื่อนดี
หรือว่าจะให้เพื่อนลูกเพื่อนหลานเรา มาชวนลูกชวนหลานเรา ไปปาตี้ ดูหนัง เที่ยว ไปมั่วยา แล้วเราถึงจะยิ้มแล้วบอกว่าเออ มันเป็นไปตามวัยของมัน
เด็กบางคนไม่อยากไปเรียนพิเศษ แต่พ่อแม่ก็อยาก หรือไม่ก็บังคับให้ลูกไป เพราะว่าการศึกษามันเป็นการลงทุนอนาคตของลูกครับ
ดังนั้นเราก็จะเริ่มได้ยินเรื่องความอยุติธรรมของการศึกษาเพราะโรงเรียนสอนพิเศษ เรื่องนี้ผมไม่เถียงครับ แต่ใช่ว่าจะไม่มีเด็กที่ขยันเรียนไม่เรียนพิเศษแล้วเอ็นไม่ติดนี่ครับ แล้วอีกอย่าง ถ้าจะมองกันแบบยอมรับในความเป็นจริง เราไม่มีทางที่จะให้การศึกษาทุกคนแบบเท่าเทียมกันอยู่แล้วครับ แต่ผมไม่ได้หมายความว่า พอรู้ว่ามันทำไม่ได้แล้วไม่แก้นะครับ มันต้องแก้ครับ แต่เราต้องการการแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับโรคครับ
ดังนั้นผมเลยคิดว่าบางทีเรามองเรื่องโรงเรียนกวดวิชาเพราะต้องการหาแพะซักตัวครับ ไม่ได้มองให้ลึกไปกว่านั้นครับ
คิดง่ายๆนะครับ วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง พ่อแม่ นั้นมีเวลาให้ลูกมากแค่ไหน แล้วถ้าไม่ส่งลูกไปเรียนพิเศษ แค่ 3 ชั่วโมง หรือ 6 ชั่วโมง ที่เขาว่างเพิ่มขึ้นต่อสัปดาห์ เขาทำอะไรได้พิสดาร เกินกว่าที่เราจะคาดฝันครับ ยาเสพย์ติดบางอย่างติดเพราะแค่ชั่วเข็มเดียวนะครับ
ผมมองว่าระบบการศึกษาที่ดีคือสอนให้คุณเป็นคนดี และเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกต้องครับ ไม่ว่าการศึกษาจะบริหารจากส่วนไหน ผมว่านั่นปลีกย่อยครับพี่ นั่นคือคำถามที่เราน่าจะมาหาคำตอบมากกว่าครับ
ทุกคนบอกว่าผมเป็นคนขวางโลก (ซึ่งก็จริง) ไม่งั้นผมคงไม่ยกแม่น้ำทั้งห้ามาบอกว่าโรงเรียนกวดวิชาเป็นแพะรับบาป ทั้งๆที่ไม่ได้ตังค์ซักกะแดง :D แต่มีอยู่อย่างหนึ่งครับคือ ผมไม่ค่อยจะตามเพื่อนซักเท่าไร
สมัยปีหนึ่ง เพื่อนชวนไปเที่ยวเท็ค ทุกวันครับ อาซีเอ เนี่ย ชวนจัง ชวนทุกวัน ผมไม่เคยไปเลยครับ เพราะผมขี้เกียจไป หนวกหู ผมไม่ชอบ แต่พี่ทราบไหมครับว่าทำไม เพราะผมเคยเข้าเท็คตั้งแต่ ม 2 คร้บ เมื่อผมรู้แล้วว่ามันเป็นไง ผมไม่ชอบ ผมไม่คิดจะเข้ามันอีกเลยครับ พอปีสอง เพื่อนผมก็ไม่ชวนแล้วครับ เพราะมันรู้ว่า ผมเป็นคนยังไง
ผมใช้คำว่าผมโชคดีครับ ที่ได้รับโอกาสหลายๆอย่าง ทำให้ไปเจอโลกมาตั้งแต่เด็ก และทำให้ผมเข้าใจเอาเองว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของการศึกษาคือ
เพราะถ้าสอนข้อสามจริง ป่านนี้ประเทศไทยใสสะอาดไปแล้วใช่ไหมครับ
เดี๋ยวคนหาว่าผม ไม่ใช่พวก child center ผมเห็นด้วยกับการให้เด็กเป็นศูนย์รวมครับ แต่ใน สามข้อที่ผมบอก มันครอบคลุมทุกอย่างแล้วครับ
ต้องขอโทษนะครับพี่ ถ้าคำพูดต้นอาจจะดูรุนแรงเลยเถิดเกินไปบ้าง ต้นไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นครับ เลยต้องกราบขอโทษมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ต้น :D
สวัสดีครับน้องต้น
ประเด็นที่น้องตั้งขึ้นมาว่า
อันนี้เห็นด้วยครับ ต้องฝึกให้แก้ปัญหาเป็นด้วยครับ นอกจาก จะคิดได้แล้ว ทำได้แล้ว ต้องแก้ปัญหาให้เป็นอย่างมีระบบ อยู่บนเหตุผลที่ดีครับ และมีคุณธรรม
สังคมไทย เราต้องสอนเพิ่มขึ้นคือ การเป็นผู้ให้ ให้โดยไม่ต้องหวังผลนะครับ
หากให้แล้วหวังผล การให้นั้นไม่สะอาด แต่ก็ดีกว่าคิดจะเอาอย่างเดียว
เปลี่ยนจาก รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
เป็น ให้เขา ให้เรา ให้ร้อยครั้ง มีความสุขร้อยครั้ง
ไปเลยครับ
ไม่แน่ใจว่าตกประเด็นไหนไปบ้างครับ
มีอะไรเขียนเพิ่มไว้ครับ ความคิดน้องไม่ได้รุนแรงอะไรเลยครับ พี่ว่าดีแล้ว กล้าคิดต่าง คิดแย้ง อยู่บนเหตุผล
สำหรับเรื่องทำวิจัย สี่กรณีนั้น พี่ว่ามันปลายทาง เพื่อจะหาทางออกว่าติวดีกว่า แต่พี่ว่าจะดีกว่า หากติวแบบฟรีในโรงเรียนนะครับ ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มภาระให้พ่อแม่
รายได้ประจำปีของครอบครัวพี่ ไม่ถึงหกหมื่นเลยครับ จะเอาเงินที่ไหนให้ลูกสี่คนไปติวครับ
ขอบคุณมากๆ นะครับ
ด้วยรัก
พี่เม้ง
สวัสดีครับพี่เม้ง
ต้องขอโทษด้วยครับที่มาตอบช้าไปหน่อย
เรื่องการแยกการเมืองกับการศึกษานั้น เราต้องมองให้ละเอียดครับ เพราะผมมองว่าคนเป็นต้นเหตุของปัญหาหลายๆปัญหาครับ
อย่างพี่ที่ทราบว่า การเมืองไทยนั้นไม่มีการยอมรับผลงานของคนอื่น ในเมื่อการไม่ยอมรับผลงานของคนอื่น มันก็เลยเป็นการตั้งไข่ล้ม ต้มไข่ยืน อยู่นี่แหละครับ ถ้ามีการยอมรับผลงานคนอื่น ผมว่ามันก็ดีขึ้นครับ
ถ้าจะทำให้เกิดตรงนี้ขึ้น ผมว่ามันก็คงจะดีขึ้นครับ แต่ก็ต้องสร้างตั้งแต่อนุบาลครับ
ผมว่าการศึกษาต่อให้ดีขนาดไหน ถ้าสภาพสังคมไม่สอดรับ มันก็อาจจะไม่สามารถสร้างเด็กให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้ครับ ต้นว่ามันต้องสอดประสานกันครับ
ต้นชอบความคิดพี่นะครับ ที่ว่าเราจะแยกการศึกษากับการเมืองออกจากกัน แต่ยากครับ ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารโรงเรียน
เรื่องระบบติวเตอร์นั้น จริงๆแล้วต้นชอบระบบที่พี่บอกมากครับ ซึ่งต้นคิดว่าทำได้ ต้นเชื่อว่าก็มีหลายๆคนมาทำอยู่นะครับ ไม่ว่าจะเป็นโครงการของมหาวิทยาลัย เช่นของวิศวะลาดกระบังจะมีติวฟรี ทำทุกปีที่ตอนปิดเทอมใหญ่ แต่ที่อื่นๆก็คงจะมีด้วย
ซึ่งก็คงเป็นอีกครั้งที่ต่างจังหวัดจะมีปัญหา ต้นเห็นว่าการให้เพื่อนช่วยเพื่อน หรือครูมาช่วยก็เป็นวิธีที่ดีครับ แต่อีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือคนที่เกษียณแล้วครับ ที่เป็นครูหรือคนที่เก่งมีความสามารถบางคนก็อาจจะอยากมาทำอะไรตรงนี้โดยไม่คิดถึงผลประโยชน์ก็ได้ครับ
เรื่องระบบการเรียนในยุโรป นี่ดีจริงๆครับ ต้นไม่เถียงครับ แต่ว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดในระบบล่ะครับพี่ แล้ววัฒนธรรมการศึกษาของยุโรปด้วย มันสัมพันธ์กันหมดครับ พี่ก็ทราบว่าภาษียุโรป เก็บกันโหดขนาดไหน จะให้นำมาใช้ มันก็ยากอยู่ครับ
โดยความเห็นส่วนตัวครับ เด็กไทยมีศักยภาพมาก เพราะเรียนอะไรก็ไม่รู้ตั้งแต่เด็ก แต่การเรียนของเด็กไทยเป็นการเรียนเน้นเกรด ที่พอเรียนเสร็จแล้วก็ลืม
ไม่แปลกที่เราจะมาพูดกันทุกวันๆๆๆๆ ว่าการศึกษาแย่ๆๆๆๆ จะไม่ให้แย่ได้อย่างไรครับ ในเมื่อเราไม่ได้สร้างปรัชญาการสอนที่ถูกต้องให้กับครู นักเรียนและผู้ปกครอง
ต้นเคยเขียนว่าการเรียนของประเทศไทยนั้นประหลาด บังคับแม้กระทั่งวิชาพละ ว่าจะต้องเรียนอะไร มันแปลกนะครับ
แต่ใช่ว่าการแข่งขันจะไม่สำคัญครับ ในโลกแห่งการแข่งขัน มันก็คงไม่แปลกที่จะมีการแข่งขันกันตั้งแต่เด็ก แต่ว่าในการแข่งขัน เราต้องเสริมสร้างความเข้าใจในชีวิต ความมีน้ำใจนักกีฬาเข้าไปพร้อมๆกันครับ
อาจจะตอบไม่ครบทุกประเด็นนะครับพี่ แต่ช่วงนี้ค่อนข้างวุ่นนิดนึงครับ เรื่องเลขนั้น เรื่องเกมส์ต้นอาจจะไม่ค่อยถนัดครับ เกมส์ที่ต้นชอบก็คือ sudokan นะครับ ซึ่งจริงๆก็เป็นเกมส์เดียวที่ต้นเล่น เกี่ยวกับเลข
ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร ต้นขออนุญาตเขียนเล่าเรื่องประวัติเกี่ยวกับเลข และการนำมาใช้นะครับ ขอไปเรียบเรียงก่อนแล้วยังไง ก่อนอาทิตย์หน้าต้นจะเขียนเรื่องแรกครับ
ขอบพระคุณมากครับพี่
สวัสดีครับ
ต้น
สวัสดีค่ะ
สิ่งสำตัญที่ในการขับเคลื่อนทุกสิ่งทุกอย่างคือความมุ่งมั่น และคุณธรรมของผู้ปฏิบัติในทุกแขนงวิชาหรือสาขาอาชีพ งานทุกสิ่งถ้าผู้ปฏิบัติมีสิ่งดังกล่าวแล้วก็จะสำเร็จลุล่วงอย่างมีคุณภาพ
นี่เป็นสิ่งที่ขอเพิ่มเติ่มจากที่ทุกกท่านเสนอไว้
หวัดดีคับ
ผมคิดว่าการทำคงเป็นเรื่องอยากนะคับ เพราะรัฐบาลในปัจจุบันต้องการดึงอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง
แต่ถ้าเป็นอย่างที่พี่พูดได้การศึกษาไทยก็คงดีกว่านี้ และคงไม่ต้องหาตัวชี้วัดนักเรียนเข้ามหาลัยแบบใหม่ๆๆ
จะได้เป็นระบบและแนวทางเดียวกันตลอด
เมื่อ จ. 14 พฤษภาคม 2550 @ 00:14 [259473]
คัดลอกมาจากความเห็นของบทความของพี่กมลวัลย์ อาจารย์ไม่มีคุณภาพ เข้าไปอ่านกันได้นะครับ พอดีเอามาให้อ่านตรงนี้ เพราะว่าสอดคล้องกับแนวคิดเดิมที่วางไว้ครับ และตรงกับ แนวคิด วาระแห่งชาติ ของท่าน ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์
มูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ