ครูบาบินก้าว
ครูบา บินก้าว อิทธิภาโว จนอีหลีอีหลอ

อนุทินล่าสุด


ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

เข้าพรรษา มาตรวจ ศีล ข้อ ๑ ปาณาติปาตาเวรมณี


คือ... เว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วยตนเอง หรือ ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ถ้าไม่เว้นย่อมยังสัตว์ให้ไปเกิดในนรก ในสัตว์เดรัจฉานในเปรตวิสัย... และ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกจะได้รับผล ๙ ประการ คือ

๑. เป็นคนทุพพลภาพ
๒. เป็นคนรูปไม่งาม
๓. มีกำลังกายอ่อนแอ
๔. เป็นคนเฉื่อยชา
๕. เป็นคนขี้ขลาด
๖. เป็นคนผู้อื่นฆ่า, และฆ่าตัวเอง
๗. โรคภัยเบียดเบียน
๘. ความพินาศของบริวาร
๙. อายุสั้น และให้ผลติดต่อกันหลายชาติ

รักษาศีลข้อที่ ๑ แล้วได้อะไร ?

๑. ได้รับผลปฏิสนธิกาล คือ ได้เกิดเป็นมนุษย์ หรือ เกิดเป็นเทวดา เรียกว่า กามสุคติภูมิ
๒. ได้รับผลในปวัตติกาล คือ หลังจากเกิดแล้ว เช่น หลังจากเกิดเป็นมนุษย์แล้วได้รับผลอีก ๒๓ ประการ

อานิสงส์แห่งการรักษาศีลข้อที่ ๑ มี ๒๓ ประการ

๑. สมบูรณ์ด้วยอวัยวะน้อยใหญ่
๒. มีร่างกายสมทรง
๓. สมบูรณ์ด้วยกำลังกาย
๔. มีเท้างามประดิษฐานลงด้วยดี
๕. เป็นผู้มีผิวพรรณสดใส
๖. มีรูปโฉมงามสะอาด
๗. เป็นผู้อ่อนโยน
๘. เป็นผู้มีความสุข
๙. เป็นผู้แกล้วกล้า
๑๐. เป็นผู้มีกำลังมาก
๑๑. มีถ้อยคำสละสลวยเพราะพริ้ง
๑๒. มีบริษัทรักใคร่ไม่แตกแยกจากตน
๑๓. เป็นคนไม่สะดุ้งตกใจกลัวต่อภัยเวร
๑๔. ข้าศึกศัตรูทำร้ายไม่ได้
๑๕. ไม่ตายด้วยความเพียรฆ่าของผู้อื่น
๑๖. มีบริวารที่หาที่สุดมิได้
๑๗. มีรูปร่างสวยงาม
๑๘. มีทรวดทรงสมส่วน
๑๙. มีความเจ็บไข้น้อย
๒๐. ไม่มีเรื่องเสียใจเศร้าโศก
๒๑. เป็นที่รักของชาวโลก
๒๒. ไม่พลัดพรากจากสิ่งที่รักและชอบใจ
๒๓. มีอายุยืน

การฆ่าและการตัดแต่งเนื้อโคแบบสากล 
www.youtube.com/watch?v=yHveX9mqb8w&feature=endscreen






ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

ณ งานแผ่นดิน... ขณะหลงตกหลุมดำ เป็น.. อสัตบุรุษ  และ เมื่อก้าวออกจากหลุมดำ เป็น.. สัตบุรุษ


คราใดที่เหล่านายทหารเป็นสัตบุรุษ มีความเป็นตัวของตัวเองอย่างชาญฉลาดรอบคอบ ณ สถานการณ์ที่ชาติมีภัยรอบด้าน ทั้งมีเหล่าทหารหาญตะเบ๊ะทั้งกองทัพ ย่อมร่วมขานรับเจตนาแห่งมหาชน นำพาให้เกิดเศรษฐกิจพึ่งตน ชุมชนเข้มแข็ง ประชามีธรรม ประเทศมีไท พร้อมใจ ดั่งทุกครั้ง...

ทว่า บัดนี้...นายทหารใหญ่ เลือกที่จะเป็นอสัตบุรุษ จิตใจอ่อนล้า เลือกทำการรักจ๊ะ จ๋า ยิ่งกว่าทำการรบ ( กับกิเลสในจิตใจ ) ดั่งคำโบราณเมื่อใจยอมตกในหลุมดำเป็นเครื่องมือ...ชนิดที่... " บีบก็ตาย คายก็ตาย หรือ คายก็รอด " 

ยามบุคคลอันเป็นที่รักห่างไกล และ ยามที่ บุคคลอันเป็นที่รักมาอยู่ภายใต้วงแขน และ วงล้อม ( ...... ) จึงไม่ใช่ของยากเลย หากคงความเป็นสัตบุรุษ มีความเป็นตัวของตัวเองอย่างชาญฉลาดรอบคอบ ณ สถานการณ์ที่ชาติมีภัย หากเพราะด้วยความบอดสนิทตกจมในหลุมดำ จึงยากที่จะมองเห็น...

จะไม่แจ่มชัดเสมือนคราที่...ขงเบ้ง ส่งเล่าปี่ไปอยู่ในอุ้งมือของเมืองกังตั๋ง ตามแผนลวงฆ่าของจิวยี่ ที่หมายใช้น้องสาวเจ้านาย คือ ซุนกวน ชื่อ นางซุนฮูหยิน แม่หญิงที่มีทั้งความงามและเก่งเป็นเหยื่อล่อ หากก็ไม่เกิดภัย...ด้วยใจที่มีแรงแห่งความกตัญญู - กตเวที แผ่นดิน ประดุจลิ้นงูพิษ ไม่ต้องพิษ ฉันนั้น

**************************************************

อีกประการหนึ่ง หากนายทหารหาญอสัตบุรุษ " พ้นจากหลุมดำ " ที่หลงติดได้ กลายมาเป็น ทหารหาญสัตบุรุษของแผ่นดิน

ดั่ง...วิธีคิด ที่ไม่ธรรมดาของ มาร์ติน วีลเลอร์ บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เคมบริดจ์ ที่ก้าวพ้นหลุมดำชีวิตในโลกทุนนิยม มาเห็นคุณค่าแผ่นดินธรรม แผ่นดินทองของไทย โดย ถึงกับกล่าวว่า...

"คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ " 

http://www.haii.or.th/thailandwaterchallenge/activities/40-2009-02-18-07-15-54/319-martin.html

*****************************************************

ดังนั้น...ฉันเดียวกับ กรณี บ้านเมือง ครานี้ คงมีศัตรูแผ่นดิน ที่ไร้สำนึก ฯ

หากแผ่นดินไทย มีเหล่านายทหารเป็นสัตบุรุษ เป็นตัวของตัวเองอย่างชาญฉลาดรอบคอบ ณ สถานการณ์ที่ชาติมีภัยรอบด้าน ทั้งเหล่าทหารหาญใต้บังคับบัญชาให้ความเคารพทั้งกองทัพ พร้อมตื่นมาร่วมขานรับเจตนามหาชนที่เห็นโทษภัยในการกระทำของศัตรูแผ่นดิน ตลอดทั้งตะเข็บชายแดน เพื่อนำพาให้เกิดความีเศรษฐกิจพึ่งตน เกิดชุมชนเข้มแข็ง ปวงประชามีธรรม และประเทศมีไท

ทันทีที่แผ่นดินมีนายทหาร เลือกที่จะเป็นสัตบุรุษ จิตใจเข้มแข็ง อาจหาญ เลือกทำการรบกับศัตรูแผ่นดินอย่างสุภาพและเด็ดขาด สมกับชายชาติทหาร ( ที่พร้อมรบกับกิเลสในจิต ) ดั่งคำโบราณ เมื่อรู้ว่า ณ คราที่...ศัตรูแผ่นดินส่งสายลับ เข้ามาใกล้ตัว...ชนิดที่ " จะบีบก็ตาย จะคายก็รอด " 

เพราะบัดนี้ จิวยี่ส่งน้องสาว (หรือ อีกกระแสว่า คือ ลูกสาวอันเป็นที่รัก หรือ หมากที่เป็นเครื่องมือ ) เข้ามาอยู่ภายใต้วงแขน และ วงล้อมอย่างหลงว่า รอบคอบ หากโดยแท้คือประมาท เมื่อแผนแห่งการจัดขั้นตอนในคลิปเสียงรั่ว ..คลิปเสียงถูกนำเปิดเผย จึงไม่ใช่ของยากเลย ที่เหล่าทหาญหาญ จักคงความเป็นสัตบุรุษ มีความเป็นตัวของตัวเองอย่างชาญฉลาดรอบคอบ ณ สถานการณ์ที่ชาติมีภัยที่ยากจะแก้ไขแล้ว พร้อมตื่นมาร่วมขานรับเจตนามหาชน

ธง จึงคือ ปกป้องชาติไทย...ปกป้องสถาบัน นำพาชาติพ้นภัยร้ายจากศัตรูแผ่นดิน ทั้งไม่ผิดศีลธรรม และ ไม่ต้องเกิดการฆ่า จนพาให้บ้านเมืองเกิดความเสียหาย...

ดั่ง ความแจ่มชัดคราที่ ขงเบ้ง ส่งพระเจ้าอาเล่าปี่ไปอยู่ในอุ้งมือของเมืองกังตั๋ง ทั้งรู้.. ยอมเดินตามแผนลวงไปฆ่าของจิวยี่ ที่หมายใช้น้องสาวเจ้านายตน คือ ซุนกวน ชื่อ นางซุนฮูหยิน แม่หญิงที่มีทั้งความงามและเก่ง แห่งเมืองกังตั๋งเป็นเหยื่อล่อ อย่างสุ่มเสี่ยง..หากรอดปลอดภัย...ด้วยใจที่มั่นคง ตรงต่อความกตัญญู - กตเวที ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน เป็นปณิธานของนักการทหารระดับขงเบ้ง... ที่คงให้เล่าปี่ เดินทางไปตามแผนศัตรู... ประดุจลิ้นงูพิษ ไม่ต้องพิษ ได้..ฉันนั้น

((( บทเรียนเมืองไทยที่ต้องเสียหายก็หลาบครั้ง และ เกือบเสียหาย ก็เคยเกิดมาแล้ว เพียงในทันที ที่ทหารหาญ ตื่นจากภวังค์ หลังจากที่ได้หลงตกลงไปในหลุมดำ ไม่รู้เท่าทัน เหล่ากังฉิน นักโกงเมือง ... ตัวอย่างเช่น ครั้งที่ สกัดจุด พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก บนเครื่อง ก่อนจะบิน , เมื่อครั้งความกล้าหาญ ไม่ตกในหลุมดำเกมส์การเมือง โดย ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ผู้ตัดสินใจกระทำ โดย เสมือนจะเลือก ..สมบุญ ระหงษ์ หากต้องรอเก้อ และถูกผลักให้ก้าวพ้นเกมส์การเมือง....หากพลิกชงเรื่องตำแหน่งนายก ฯ ไปที่ คุณอานันท์ ปันยารชุน ฯลฯ )))

ตัวอย่าง...คนพ้นจากหลุมดำ เข้าใจชีวิต และ รักแผ่นดิน ฯ คือ ชีวิต นายมาร์ติน วิลเลอร์-โอ๋ ฆราวาส 

www.youtube.com/watch?v=xZ6MszPBPTE












ความเห็น (1)

. เพิ่มเติม...

นางซุนฮูหยิน เดิมชื่อ ซุนซ่างเซียง เป็นพระราชธิดาองค์เดียวของซุนเกี๋ยนและนางง่อก๊กไท่ เป็นพระราชกนิษฐาต่างพระมารดาของซุนกวน เมื่อยังทรงพระเยาว์ชอบฝึกฝนอาวุธ เป็นลูกสาวที่ง่อก๊กไท่ไทเฮารักมาก

เมื่อจิวยี่คิดยึดเมืองเกงจิ๋ว ได้คิดอุบายลวงเล่าปี่มาแต่งงานกับซุนฮูหยินและจับเล่าปี่เป็นตัวประกันแลกกับเมืองเกงจิ๋ว แต่ขงเบ้งแก้ลำจิวยี่ได้ เล่าปี่ จึงได้นางซุนฮูหยินนเป็นภรรยา ตัวเล่าปี่เองก็ไม่ต้องถูกจับ เกงจิ๋วก็ปลอดภัย ทั้งจิวยี่ก็กระอักเลือดด้วยความแค้นจนสลบไป ( ให้ทุกข์ แกท่าน ทุกข์นั้น ถึงตัว)

ต่อมา เล่าปี่ไปตีเสฉวนโดยทิ้งนางซุนฮูหยินไว้ที่เกงจิ๋ว ซุนกวนใช้จิวเสี้ยนไปลวงนางซุนฮูหยินว่าแม่ป่วยหนักมาก ให้กลับกังตั๋งไปเยี่ยมแม่และให้เอาอาเต๊าบุตรชายของเล่าปี่ไปด้วย ซุนฮูหยินจึงพาอาเต๊าขึ้นเรือไปกังตั๋ง แต่จูล่งและเตียวหุยมานำตัวอาเต๊าคืน นางซุนฮูหยินจึงเดินทางไปกังตั๋งเพียงผู้เดียว

ต่อมาจึงรู้ภายหลังว่าถูกหลอก พระเจ้าซุนกวนได้สั่งให้กักตัวนางไว้ ต่อมา พระเจ้าเล่าปี่สวรรคต พระนางซุนฮูหยินรู้ข่าวจึงเสียพระทัยเป็นอันมาก พระนางจึงกระโดดน้ำสิ้นพระชนม์ตามพระเจ้าเล่าปี่ไป

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

อบายมุข ๗ อย่าง เสมอด้วย ผี ๗ ชนิด


อบายมุข ๗ อย่าง

๑. เสพสุราและของมึนเมา

๒. ชอบเที่ยวกลางคืน 

๓. ชอบเที่ยวดูการละเล่น 

๔. ติดการพนัน 

๕. คบคนชั่วเป็นมิตร 

๖. เกียจคร้านการงาน

๗. ความร่ำรวย


ผี ๗ ชนิด

- ผีตัวที่หนึ่ง ชอบกินสุราเป็นอาจิณ ไม่ชอบกินข้าวปลาเป็นอาหาร

- ผีตัวที่สอง ชอบเที่ยวยามวิกาล ไม่รักบ้านรักลูกรักเมียตน

- ผีตัวที่สาม ชอบดูการละเล่น ไม่ละเว้นคลับบาร์ละครโขน

- ผีตัวที่สี่ ชอบคบคนชั่วมั่วกับโจร หนีไม่พ้นอาญาตราแผ่นดิน

- ผีตัวที่ห้า ชอบเล่นม้ากีฬาบัตร สารพัดถั่วโปไฮโลสิ้น

- ผีตัวที่หก ชอบเกียจคร้านการทำกิน 

- ผีตัวที่เจ็ด ชอบหว่าน โปรย ด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ ติดสินบน สินล่าง จนติดงอมแงม แถมล้วงตับไต ไส้พุงหมดสิ้น ลามทุกถิ่น ผนวกทุนนิยมสามานต์ร้าย ฉกาจกร้าวกว่าเหล่าผีทั้งหกตกนรกไม่เหลือ ด้วยแหล่งเพาะเชื้ออัปรีย์เอย








ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

ชมรมคนโสดสนิททั้งต่อหน้าและลับหลัง สนับสนุนคนโสดสนิท หากของนำ บทความนี้ มาฝากให้สติ....จะแต่งงานแล้วหรือยังไม่ได้แต่ง ก็ควรจะอ่านนี่ ...

บุคคล ในเรื่องนี้...มี 

- ผม...

- ภรรยา...

- ลูก... และ 

- เจน

" เมื่อผมกลับถึงบ้านในคืนนั้น ภรรยาของผมกำลังเสิร์ฟอาหารมื้อค่ำ ผมถือมือของเธอและพูดว่า ผมมีบางสิ่งบางอย่างที่จะบอกคุณ เธอนั่งลงและกินอย่างเงียบ ๆ เป็นอีกครั้งที่ผมสังเกตเห็นความเจ็บปวดในสายตาของเธอ ทันใดนั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดต่อไปยังไง ผมแค่รู้ว่าผมจะต้องบอกเธอในสิ่งที่ผมคิดให้ได้ “ผมต้องการหย่า” ผมเริ่มบทสนทนาอย่างเรียบๆ เธอดูไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดของผม แต่กลับถามผมอย่างสงบ “ ทำไม ? ”

ผมหลีกเลี่ยงคำถามของเธอ และนั่นทำให้เธอโกรธ เธอโยนตะเกียบทิ้งและตะโกนมาที่ผม “ หน้าตัวเมีย ! ” คืนนั้นเราไม่ได้พูดคุยกัน เธอร้องไห้ ผมรู้ว่า...เธอต้องการที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตแต่งงานของเรา แต่ผมคงไม่สามารถจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับเธอได้ เธอ..ได้สูญเสียความรักของผมให้กับเจน... ผมไม่ได้รักเธออีกต่อไป ผมแค่สงสารเธอ !

ผมร่างข้อตกลงการหย่าด้วยความรู้สึกผิดอย่างใหญ่หลวง สัญญาระบุว่า...เธอจะเป็นเจ้าของบ้านของเรา รถของเราและสัดส่วนการถือหุ้น ๓๐ % บริษัท ของผม เธออ่านมันเผิน ๆ แล้วฉีกมันเป็นชิ้น ผู้หญิงที่ได้ใช้เวลาสิบปีที่ผ่านมาในชีวิตของเธอให้กับผมได้กลายเป็นคนแปลกหน้า ผมรู้สึกเสียใจสำหรับเวลาที่เสียไปของเธอ แต่ผมก็ไม่สามารถกลับคำพูดที่ผมได้ขอหย่ากับเธอ เพราะผมเองก็รักเจนมาก ในที่สุดเธอก็ปล่อยโฮออกมาต่อหน้าผม อย่างที่ผมนึกคาดไว้ก่อนหน้านี้ สำหรับผมการร้องไห้ของเธอเป็นเหมือนการปลดปล่อย ความคิดของการหย่าร้างซึ่งทำให้ผมสับสนมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ตอนนี้ดูเหมือนจะแน่ชัดและชัดเจนขึ้น

วันรุ่งขึ้น ผมกลับมาถึงบ้านดึกมากและพบว่า...เธอกำลังเขียนบางอย่างอยู่ที่โต๊ะ ผมไม่ได้ทานอาหารมื้อเย็น แต่ตรงไปยังที่นอนและหลับลงอย่างรวดเร็ว เพราะผมเหนื่อยหลังจากวันที่แสนยุ่งกับเจน เมื่อผมตื่นขึ้นมาเธอยังคงนั่งเขียนอยู่ที่โต๊ะ ผมไม่อยากจะสนใจเธอผมจึงพลิกตัวหนีเพื่อจะนอนต่อ

ในตอนเช้า เธอยื่นเงื่อนไขการหย่าร้างของเธอ เธอไม่ได้ต้องการอะไรจากผม แค่ผมจะต้องบอกให้เธอรู้หนึ่งเดือนก่อนที่ผมจะหย่ากับเธอ เธอขอร้องว่า...ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนนั้น เราทั้งคู่จะพยายามดำเนินชีวิตคู่อย่างปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอให้เหตุผลง่าย ๆ ว่า เพราะลูกชายของเรากำลังจะสอบ และเธอไม่อยากให้การหย่าของเรากระทบกระเทือนการสอบของเขา

นี่คือข้อตกลงของเธอกับผม เธอขอให้ผมระลึกถึงวันแต่งงานของเราทั้งคู่และขอให้ผมระลึกถึงช่วงเวลาที่ผมอุ้มเธอเข้าเรือนหอในวันที่เราแต่งงานกันโดยการให้ผมอุ้มเธอออกจากห้องนอนของเราไปยังประตูหน้าบ้านทุกวัน ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนสุดท้ายของชีวิตแต่งงานของเรา ผมคิดว่า...เธอบ้าไปแล้วแต่ก็ตกลงยอมรับคำขอของเธอ

ผมบอกเจนเกี่ยวกับเงื่อนไขการหย่าร้างของภรรยาของผม เจนหัวเราะเสียงดังและคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล ไม่ว่าภรรยาของผมจะใช้มารยาอะไรที่เธอมี มันก็ไม่ทำให้เธอหลีกเลี่ยงการหย่าร้างได้ เจนกล่าวอย่างเหยียดหยาม

ผมและภรรยาไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวกันมาตั้งแต่ผมแสดงความตั้งใจเรื่องการหย่า ดังนั้น เมื่อผมอุ้มเธอออกไปที่ประตูบ้านเป็นวันแรก เราทั้งคู่จึงดูงุ่มง่าม ลูกชายของเราปรบมืออยู่ด้านหลัง “ กำลังอุ้มแม่อยู่เหรอครับ ”  คำกล่าวของเขาทำให้ผมรู้สึกปวดใจ ระยะทางตั้งแต่ห้องนอนไปที่ห้องนั่งเล่นจนเลยไปที่ประตู ผมเดินกว่าสิบเมตรพร้อมกับเธอในอ้อมแขนของผม เธอปิดตาของเธอและพูดเบา ๆ  อย่าบอกลูกของเราเกี่ยวกับเรื่องหย่า ผมพยักหน้ารู้สึกอารมณ์เสียบ้างผมปล่อยเธอลงที่ด้านนอกประตู เธอไปรอรถประจำทางเพื่อไปทำงาน ผมขับรถคนเดียวไปยังสำนักงาน

ในวันที่สอง เราทั้งคู่ต่างเกร็งน้อยลง เธอโน้มตัวบนหน้าอกของผม ผมได้กลิ่นหอมจากเสื้อของเธอ ผมตระหนักว่าผมไม่เคยจ้องมองที่ผู้หญิงคนนี้อย่างละเอียดเป็นเวลานานแล้ว ผมรู้สึกตัวขึ้นมาว่าเธอไม่ได้อ่อนเยาว์อีกต่อไป มีริ้วรอยจางๆบนใบหน้าของเธอ ผมของเธอกำลังเปลี่ยนเป็นสีเทา! การแต่งงานของเราได้ทำให้เธออ่อนแรงลงไป นาทีนั้นผมถามตัวเองว่า ผมทำให้เธอเป็นแบบนี้ได้อย่างไร

ในวันที่สี่ เมื่อผมได้อุ้มเธอขึ้น ผมรู้สึกว่าความผูกพันของเรากำลังย้อนกลับมา นี่คือผู้หญิงที่ได้มอบชีวิตตลอดสิบปีที่ผ่านมาของเธอให้ผม ในวันที่ห้าและหก ผมตระหนักว่า...ความผูกพันของเรายิ่งมากขึ้นไปอีก ผมไม่ได้บอกเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยิ่งนานวันผ่านไป การอุ้มเธอไปที่หน้าประตูก็ยิ่งรู้สึกง่ายดายขึ้น บางทีการออกกำลังกายกับเธอในอ้อมแขนทุกเช้าอาจทำให้ผมแข็งแรงขึ้น

เธอเลือกชุดที่เธอจะใส่ในเช้าวันหนึ่ง เธอลองใส่ตัวนั้นตัวนี้อยู่พักใหญ่แต่ก็หาที่ถูกใจไม่ได้ จากนั้นเธอก็ถอนหายใจ “ ชุดของฉันหลวมไปหมด ”  ในตอนนั้นเองที่ผมได้รู้ว่าร่างกายของเธอนั่นเองที่ได้ผ่ายผอมลง นั่นคือเหตุผลว่า...ทำไมผมถึงสามารถอุ้มเธอได้ง่ายขึ้น

ทันใดนั้นผมก็เข้าใจทุกอย่าง ในหัวใจของเธอซ่อนความเจ็บช้ำและขมขื่นไว้มากมาย มือของผมยื่นไปแตะศรีษะของเธอ โดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจ

ลูกชายของเราได้เข้ามาขัดจังหวะ เขาพูดว่า...ถึงเวลาที่ผมต้องอุ้มเธอออกไปแล้ว การที่ลูกชายของผมได้เห็นผมอุ้มแม่ของเขาออกไปกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาไปเสียแล้ว ภรรยาของผมกวักเรียกเขาเข้ามาแล้วกอดเขาไว้แน่นผมหันหน้าหนีเพราะกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจเรื่องการหย่าในนาทีสุดท้าย ผมเข้าไปโอบเธอขึ้นมา อุ้มเธอออกไปจากห้องนอน ผ่านห้องนั่งเล่นจนถึงประตู มือของเธอคล้องคอของผมอย่างแผ่วเบาและเป็นธรรมชาติ ผมกอดเธอไว้แน่น ทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับวันแต่งงานของเรา

แต่น้ำหนักที่เบาโหวงของเธอทำให้ผมเศร้าใจ ในวันสุดท้ายเมื่อผมอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน ผมแทบจะไม่เดินไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว ลูกชายของเราไปโรงเรียนแล้ว ผมกอดเธอไว้แน่นและกล่าวว่า...ผมไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าชีวิตของเราขาดความใกล้ชิด จากนั้นผมรีบขับรถไปที่สำนักงาน กระโดดออกมาจากรถอย่างรวดเร็วโดยยังไม่ทันจะได้ล็อคประตู ผมกลัวหากผมมัวชักช้า ผมจะเปลี่ยนใจอีก ...ผมเดินขึ้นไปที่ชั้นบน เจนเป็นคนเปิดประตูและผมบอกกับเธอ “ผมขอโทษเจน แต่ผมเปลี่ยนใจเรื่องหย่าแล้ว”

เธอมองผมด้วยความงุนงง จากนั้นจึงเอื้อมมือแตะที่หน้าผากของผม คุณไม่สบายรึเปล่า ? เธอถาม ผมดึงมือของเธอออก  “ ขอโทษนะ เจน แต่ผมจะไม่หย่ากับภรรยาของผม ชีวิตแต่งงานของผมมันอาจจะเปลี่ยนเป็นน่าเบื่อเพราะหล่อนและผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดชีวิตของเรา แต่ผมไม่ได้เบื่อชีวิตคู่เพราะเราทั้งสองไม่ได้รักกันแล้ว ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า ในเมื่อผมโอบกอดเธอไว้ในวันแต่งงานของเรา ผมก็ควรที่จะโอบกอดเธอจนความตายจะพรากเราจากกัน เจนดูเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างในทันที เธอตบผมฉาดใหญ่แล้วกระแทกประตูปิด เจน ทรุดลงทั้งน้ำตา ผมเดินลงมาชั้นล่างและขับรถออกไป มาถึงที่ร้านดอกไม้ ผมซื้อดอกไม้ช่อหนึ่งเพื่อภรรยาของผม พนักงานสาวที่ร้านถามผมว่า...จะให้เธอเขียนข้อความบนบัตรว่าอะไร ผมยิ้มและเขียนว่า “ ผมจะอุ้มคุณออกไปที่ประตูทุกเช้า จนกว่าเราจะตายจากกัน ”

เย็นวันนั้น ผมกลับบ้าน ผมถือดอกไม้ไว้ในมือ ผมมีรอยยิ้มบนใบหน้า ผมวิ่งขึ้นบันได...เพียงเพื่อจะพบภรรยาของผมนอนอยู่บนเตียง เธอไม่หายใจ ภรรยาของผมได้ต่อสู้กับโรคมะเร็งเป็นเวลาหลายเดือน ในขณะที่ผมมัวยุ่งอยู่กับเจนเกินกว่าที่จะรับรู้อาการผิดปกติของเธอ เธอรู้ว่า...เธอกำลังจะตายและเธอก็อยากจะช่วยให้ผมหลุดพ้นจากความรู้สึกแย่ ๆ ของลูกชายที่เขาจะมีต่อผมหากว่า...เราหย่าจากกัน เพราะว่าอย่างน้อย...ในสายตาของลูกชายผม ผมก็จะยังเป็นสามีที่รักใคร่ดูแลเธอ

จริงๆแล้ว รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตของคุณ คือสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิตไม่ใช่คฤหาสถ์หลังใหญ่ ไม่ใช่รถไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองในธนาคาร สิ่งเหล่านี้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีความสุข แต่ไม่สามารถให้ความสุขในตัวของมันเอง

ดังนั้น หาเวลาที่จะอยู่เป็นเพื่อนคนข้าง ๆ คุณ และทำสิ่งเล็ก ๆ เหล่านั้นให้แก่กัน ขอให้มีชีวิตคู่ที่มีความสุข !




.






ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

" ตราบที่การศึกษาไม่เป็นไปเพื่อการลด ละ กิเลส กู้ประเทศไม่ได้ "

โลกขาดแคลน คนดี อย่างมาก
โลกขาดแคลนธรรม อย่างหนัก 
และ โลกก็ถูกค่ายกลทุนนิยมสามานต์ ที่ใช้ความสุภาพ.. ที่หยาบคาย ให้คนที่หลงทาง...ตกเป็นเครื่องมือ

ในแผ่นดินไทย จะพบพฤติกรรมนักการเมือง พฤติกรรมคนบริหารจอมปลอม ฯลฯ ที่มีปรากฏ กว่า ๘๐ ปี ที่เสมือนขออาสาทำหน้าที่ โดย เลือกใช้ถ้อยคำต่อประชาชนที่ดูเหมือนจะดี หากโดยแท้ ล้วน คือ..." ความสุภาพ.. ที่หยาบคาย " ในการทำร้ายชาติตลอดมา... กล่าวตรง ๆ ก็คือ...ต่างคนต่างมาแสดงความ.. เลวที่สุดในแผ่นดิน คือ หากินบนคำว่า " ช่วยเขา " ให้คนทั้งแผ่นดินได้เห็นสันดาน แล้วพากันเป็นกฎุมพี ด้วยการกอบโกยโกงกินอย่างถูกกฏหมายและผิดกฏหมายจนร่ำรวย ทว่า... คือ การสร้างทุกข์และหนี้สิน สังสมความทุกข์ให้ประชาชนทั้งประเทศชาติ ฯลฯ

บ่อยครั้ง ลีลา มารยาท ณ การแสดงออก...

คือ เรื่องราวผิดศีล ผิดธรรมที่เห็นเป็นปกติ...
คือ ความหลงทาง..ที่นำเสนอ จนเกิดความคุ้นชินผิด ๆ แล้วเผยแพร่
เหมือนเวลาหมากัดคน จะไม่เกิดข่าว เท่าคนกัดหมา

ครั้นมีความจริง..ความตรง และเกิดคุณความดีมีคุณูปการต่อสังคมมีผู้คนกล่าวถึงสักหน่อย...พอจะเป็นตัวอย่างเล็ก ๆ ให้เกิดความหวังในการที่จะได้หันกลับมาพัฒนาตนเองบ้าง กลับถูกความถ่อยจ้องเหยียดหยามเล่นงาน 

โดย บุคคลที่ตั้งใจทำความดีจะแบบชั่วครั้ง ชั่วคราว และหรือ บุคคลที่มีความดีเป็นปกติทั้งต่อหน้าและลับหลัง ต้องหุบปาก ปกปิด ห้ามเปิดเผย 

การจะมีใครชื่นชม ในการแสดงออกตามความเป็นจริง ตรงจริง ที่เป็นปกติชีวิตตามพิสูจน์ได้ ก็จะไปขัดต่อหลักการ ของเจ้าคนที่คงเส้น คงวา ตกเป็นเครื่องมือ " ความสุภาพ ที่หยาบคาย " เพราะท้ศนะของเจ้าคนที่หลงทางตกไปค่ายกล ความสุภาพ.. ที่หยาบคาย แบบหมดรูปอย่างไม่รู้ตัวเองนั้น 

โดยแท้ ก็คือ พฤติกรรมที่ยิ่งพาให้แผ่นดินเกิดความเสียหายหนัก...ยิ่งกว่าคำโบราณที่ว่า " มือไม่พาย เอาตีน หรือ เท้าราน้ำ "

- พฤติกรรมทำผิดเต็ม ๆ กลับกระทำเพียงขออภัย แต่ไร้สำนึก ขอโทษ ทั้งไม่แก้ไข...ทั้งที่จริงต้องช่วยเปิดเผย บอก ประจาน เพราะผลแห่งความพลาดก่อความเสียหาย 
- พฤติกรรมเรียบร้อยที่สุภาพ มาดหล่อ ดูดี ซ้ำคือผู้บริหารสูงสุด หากจิตใจเหี้ยมโหด บังอาจรวมหัว แล้วผลักใสคนไทยที่ปกป้องแผ่นดิน ให้ไปต้องคำพิพากษายังต่างแดน โดยตนเองและคณะกลับลอยหน้า ลอยตาหน้าด้านเป็นผู้ทรงเกียรติ ฯ ในสภา ฯ
- พฤติกรรมแย่งสิทธิ ขโมยสิทธิคนยากจนที่มีสิทธิรับที่ดิน สปก. หากใช้ความสุภาพ ที่หยาบคาย เลวได้ใจคว้าไป และกลับนำมอบให้คนรวยพรรคพวกตนอย่างหน้าตาเฉย แล้วยังลอยหน้า ลอยตาหน้าด้านเป็นผู้ทรงเกียรติ
- พฤติกรรมในการออกกฏหมาย เพื่อเป็นช่องทางให้เกิดการเสียแผ่นดิน เพียงหมายจะได้ประโยชน์จากธุรกิจแห่งตนเอง ฯลฯ

ฯลฯ พฤติกรรมผิดเหล่านี้ มิใช่ ยุบสภา ฯ ลาออก แล้วจบ พร้อมจ้อง แย่งกลับมาเป็นผู้ทรงเกียรติ ฯ ในสภา ฯ ใหม่ เพราะความจริง นี้คือ พฤติกรรมผู้หน้าด้าน ไร้สำนึก ในสภา ฯ ที่ยังไม่ได้ถูกพิพากษาลงโทษตามกรรมผิด และ ต้องออกฏหมาย ห้ามเข้ามาสู่แวดวงนักการเมือง ผู้บริหารทั้งตระกูลตลอดไป...

เมื่อพิจารณาให้ดี ๆ จะพบว่า เหตุแห่งปัญหา หลัก ๆ ทำให้ไม่สามารถเห็นภัย ความสุภาพ ที่หยาบคาย ก็เพราะการศึกษาที่นำพาขาดการพัฒนาสัมมาทิฐิ 

สถาบันการศึกษาโดยมาก ล้วนสร้างบุคคลให้มีทิศทางความสุภาพ ที่หยาบคาย สร้างคนให้จบออกไปเอารัดเอาเปรียบสังคม เพิ่มปริมาณคนที่เต็มไปด้วยการศึกษาที่ไม่เป็นไปเพื่อการลด ละ กิเลส จึงกอบกู้ประเทศไม่ได้โดยจริงแท้ 






ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

เรื่อง และตัวละครนี้...ขอย้ำมายังผู้โดยสารบนเครื่องทราบ.. นี่คือ นิทาน

ใครนะ ช่างคิดได้...อย่างไรก็ ขอบคุณ ที่ทำให้ยิ้ม...




เครื่องบินลำนึง กำลังจะตก......มีผู้โดยสาร ๕ คน แต่มีร่มชูชีพ แค่ ๔ อัน

ผู้โดยสารคนที่ ๑ ฉันคือประธานาธิบดีโอบามา โลกนี้ยังต้องการฉัน ฉันยังตายไม่ได้ ว่าแล้วก็กระชากร่มชูชีพลงไป

ผู้โดยสารคนที่ ๒ ฉันคือฮิลลารี่ คลินตัน เป็น รมต ต่างประเทศสหรัฐ โอบามาต้องการให้ฉันนำความสงบมาสู่โลกใบนี้ ฉันต้องมีชีวิตอยู่ ว่าแล้วก็กระชากร่มชูชีพกระโดดลงไป

ผู้โดยสารคนที่ ๓ ตะโกนขึ้น ฟังทางนี้ ฉันคือผู้นำประเทศไทย เป็นผู้นำหญิงที่ฉลาดที่สุดในโลก ชีวิตชาวไทยยังขึ้นอยู่กับการเป็นผู้นำของฉัน เพราะฉันสามารถโอเวอร์คัม ฮิลลารี ฉันสามารถสถาปนาจังหวัดหาดใหญ่ และที่สำคัญ ฉันยังพาพี่ชายกลับบ้านไม่ได้ ฯลฯ ว่าแล้วก็รีบกระชากร่มชูชีพกระโดดลงไป

ชินโสะ อาเบะ นายกญี่ปุ่น พูดกับผู้โดยสารคนที่ ๕ คือ เด็กนักเรียนหญิงไทยว่า... หนู ฉันใช้ชีวิตมาคุ้มค่าแล้ว ทั้งตอบแทนคุณแผ่นดินมาตลอด ฉันจะเสียสละชีวิตฉัน โดย ให้ร่มชูชีพแก่เธอนะ แม่หนูน้อย

เด็กน้อยตอบว่า.. ไม่เป็นไรค่ะ ท่านอาเบะ.. ยังมีร่มชูชีพเหลือให้คุณค่ะ เมื่อกี้นี้ นายกหญิงที่ฉลาดที่สุดของหนู เพิ่งหยิบกระเป๋านักเรียนของหนูไปค่ะ ........








ความเห็น (2)

อีกประการหนึ่ง.....

ปุจฉา...ใครกัน รึ...ที่ไม่รอด...


เมื่อเครื่องบินลำหนึ่งเกิดปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้องอย่างกะทันหัน กำลังจะโหม่งพื้นดินในอีกไม่กี่นาที

ในเครื่องบินลำนี้ มีผู้โดยสาร ทั้งหมด ๕ คน แต่มีร่มชูชีพเพียง ๔ ชุดเท่านั้น…..แล้วจะทำยังไงกันดี ??!

โดย ชายคนแรกเป็นนายตำรวจใหญ่ ยศเท่ากับท่าน ผบช.น ที่กำลังเป็นข่าว ตะโกนขึ้นมาว่า...บ้านเมืองเรามีแต่โจรผู้ร้ายชุกชุมที่หนีไปต่างแดน ยังตามจับไม่ได้ ทั้งผู้ค้ายาเสพติดและปัญหาอื่น ๆ อีกมากมายสารพัดสารพัน ถ้าขาดผมไป ประชาชนคงอยู่อย่างไม่สงบสุขแน่ ๆ เลย...ว่าแล้ว... ท่านก็หยิบร่มชูชีพ แล้วกระโดดลงจากเครื่องบินไป

ชายคนที่สอง เป็นนักการเมือง ก็พูดขึ้นบ้างว่า...ตอนนี้ประเทศของเรากำลังพัฒนา และประชาชน คงรอความช่วยเหลือจากผมอยู่ มีการกลั่นแกล้ง ปล่อยคลิปข่าวมากมาย ถ้าขาดผมไปสักคน ประเทศชาติและประชาชนจะเป็นอย่างไร...ผมขอไปก่อนนะ พูดจบ นักการเมืองคนนั้นก็คว้าร่มชูชีพกระโดดตามไป

ชายคนที่สาม เป็นเจ้าของธุรกิจหลายแสนล้าน รีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า...ธุรกิจผมมีพนักงานหลายพันคนที่ต้องดูแล เราเป็นครอบครัวใหญ่หากขาดผมไป บริษัทต้องปิด พนักงานต้องตกงาน ผมขอไปด้วยคนว่าแล้ว... ก็คว้าถุงร่มชูชีพแล้วรีบกระโดดตามไปทันที

สุดท้าย เหลืออีก ๒ คนนั่งมองตากัน ท่านเป็นหลวงพ่อมีใบหน้าเปี่ยมด้วยเมตตา กับ เด็กหนุ่มที่แต่งกายชุดลูกเสือ

หลวงพ่อ ก็พูดขึ้นว่า... หนู...อาตมาเป็นพระตัดแล้วซึ่งกิเลส เจ้ารีบเอาร่มชูชีพอันที่เหลือแล้วรีบโดดตามพวกเขาไปเถอะ เพื่ออนาคตของเจ้าที่จักได้เป็นคนดีของแผ่นดิน ก่อนที่เครื่องจะดิ่งลงพื้น เดี๋ยวจะพากันตาย ไป สิ...

เด็กหนุ่มลูกเสือยิ้มเล็กน้อย แล้วหันไปมองร่มชูชีพ แล้วตอบหลวงพ่อว่า...
หลวงพ่อครับ กราบนิมนต์ กระโดดไปพร้อมกันเถอะครับ ร่มชูชีพ เหลือ ๒ ชุดพอดี ครับ เพราะเมื่อกี๊นี้.....

ไม่รู้ว่าใคร คว้าเอาเป้ลูกเสือของผมไปครับ ???

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

อีกครั้ง กับ นิทานคติธรรม เรื่อง " ธรรมดา "


มีคุณลุงชาวบ้านนอกคนหนึ่ง ชื่อ ตาใส มีลูกสาว ๒ คน
เมื่อโตเป็นสาว เจ้าคนโตได้สามีเป็นคนบ้านนอก ส่วนเจ้าคนเล็กได้สามีเป็นชาวกรุง
เจ้าเขยชาวกรุงเป็นคนเรียนมาสูง ชอบอ่านหนังสือ ค้นคว้าหาความรู้ต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ ส่วนเขยบ้านนอกอาศัยที่ว่า เคยผ่านการบวชเรียนแล้ว เป็นคนฝักใฝ่เรื่องธัมมะธัมโม

ตาใส  ผู้เป็นพ่อตามักชอบที่จะพูดคุยกับเขยชาวกรุง แต่เจ้าเขยชาวกรุงก็ไม่ค่อยชอบที่จะพูดด้วย ด้วยเพราะคิดว่า พ่อตาเป็นคนไม่ค่อยมีความรู้อะไร

วันหนึ่ง ตาใสกับลูกเขยทั้งสอง ได้นั่งเรือไปธุระด้วยกัน
แกก็เกิดความคิดจะทดสอบภูมิความรู้ของลูกเขยทั้งสองดู เพื่อว่า...ด้วยตนเองก็เริ่มจะแก่เฒ่า ก็หวังจะได้ใครที่จะเป็นที่พึ่งพิงได้ หรือ เมื่อถึงคราวล้มหายตายจากไป ใครที่จะสมควรได้รับมอบมรดก

ในขณะที่ที่พายเรือกันไป พอดีพ่อตาเหลือบไปเห็นเป็ดว่ายน้ำผ่านมา จึงตั้งคำถามขึ้นมาว่า...
" นี่ เจ้าเขยกรุง ทำไมเป็ดมันจึงลอยน้ำได้ล่ะ ลูก ? "
เจ้าลูกเขยกรุงก็ตอบด้วยหลักการและเหตุผลว่า " อ๋อ ก็เพราะขนของเป็ดมันเป็นมัน สิ พ่อ ขนไม่เปียก ไม่ชุ่มน้ำ มันจึงลอยน้ำได้ "
" แล้วเอ็งล่ะ เจ้าเขยบ้านนอก จะตอบว่าไง ? "
" มันเป็นธรรมดาครับพ่อ มันเป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นเอง "

เรือคงแล่นต่อไป ก็ได้มาเจอห่านตัวหนึ่ง กำลังส่งเสียงร้องดังลั่น คุณลุงจึงตั้งคำถามว่า
" นี่ เจ้าเขยกรุง ทำไมห่านมันจึงร้องเสียงดังลั่นได้ล่ะ ? "
" อ๋อ ก็เพราะคอมันยาว มันจึงสามารถรีดเสียงออกมาได้มาก เสียงของมันจึงดังลั่นได้ครับพ่อ "
" แล้วเจ้าเขยบ้านนอก เอ็งจะตอบว่าไงล่ะ ? "
" อ๋อ มันเป็นธรรมดาครับพ่อ มันเป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นเอง "

ต่อมา เรือผ่านหน้าวัด คุณลุงเห็นจีวรของพระที่ตากอยู่ จึงตั้งคำถามขึ้นมาว่า
" เอ..นี่ เจ้าเขยกรุง ทำไมจีวรของพระจึงมีสีเหลือง อย่างนั้น นั่นล่ะ ? "
" อ๋อ ก็เพราะพระท่านนำเอาสีเหลืองมาย้อมจีวรน่ะซีครับ จีวรของท่านจึงได้เป็นสีเหลือง "
" แล้วเอ็งล่ะ เขยบ้านนอก จะตอบว่าไง ? "
" มันเป็นธรรมดาครับพ่อ มันเป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นเอง "

ชะอุ ! ! คุณลุงชักนึกฉุนในใจ

ครู่ต่อมา คุณลุงเห็นหน่อไผ่อยู่ข้างตลิ่ง จึงตั้งคำถามว่า
"นี่เขยกรุง เห็นหน่อไผ่นั่นไหม ยอดมันก็อ่อน ๆ แต่ทำไมมันดันดินขึ้นมาได้ล่ะ ?"
"อ๋อ ก็เพราะหน่อไผ่ มันมียอดที่แหลม มันจึงดันแทรกดินขึ้นมาได้ครับ"
"แล้วเขยบ้านนอก จะตอบว่าไงล่ะ ?"
"มันเป็นธรรมดาครับพ่อ มันเป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นเอง"

ชะอุ บ๊ะ ! ! ! คุณพ่อตา นึกฉุนเขยบ้านนอกมากขึ้น

ต่อมา คุณลุงพ่อตามองดูข้างตลิ่งเห็นมีรูอยู่รูหนึ่ง จึงตั้งคำถามว่า
" นี่ เจ้าเขยกรุง ดูรูนั่นสิเห็นมั้ย สงสัยว่าทำไมปากรูมันถึงได้เป็นมันเลื่อมอย่างนั้นล่ะ ? "
" อ๋อ ก็เพราะมีสัตว์เลื้อยคลานประเภทงู มันเลื้อยเข้าเลื้อยออกเป็นประจำ ปากรูถึงได้เป็นมันเช่นนั้นครับ "
" แล้วเจ้าเขยบ้านนอก จะตอบว่าไง ? "
" มันเป็นธรรมดาครับพ่อ มันเป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นเอง "

คราวนี้ คุณลุง เริ่มมีอาการเคืองเขยเจ้าบ้านนอกมากขึ้น ที่อะไร ๆ ก็ตอบมาเช่นเดิมทุกครั้ง แต่ก็ยังไม่พูดอะไร จนกระทั่งมาถึงบ้าน 

เมื่อขึ้นบนบ้านเรียบร้อยแล้ว จึงเรียกเขยทั้ง ๒ มา แล้วต่อว่าเขยบ้านนอกว่า

" นี่ พ่อเขยบ้านนอกตัวดี ที่ฉันถามอะไร ๆ ไป แกก็ตอบว่า มันเป็นธรรมดา ๆ ทุกครั้งไป ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย สู้เขยกรุงเค้าก็ไม่ได้ ฉัน รึ สู้ตั้งใจจะฝากผี ฝากไข้ หมายมอบมรดกให้ เอ็งมาตอบซะแบบนี้ จะมาว่าพ่อไม่รัก หรือ ลำเอียง ไม่ได้นา... ว่าแต่ว่า ไอ้ธรรมดาของแกน่ะมันคืออะไรล่ะหา บอกให้พ่อฟังยาว ๆ หน่อย ไม่ได้ รึ ? "

" อ๋อ เรื่องเป็ดลอยน้ำได้นั้นน่ะ ที่เขยกรุงเค้าตอบว่า ที่เป็ดมันลอยน้ำได้ เพราะขนของมันเป็นมันนั้น ที่จริงมันก็ไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป ก็ทีฟาง หรือขี้ควายแห้ง ๆ ไม่ได้เป็นมันอะไร ทำไมมันลอยน้ำได้ล่ะ มันก็เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นเองไม่ใช่หรือครับ คุณพ่อ "

" เออ มันก็จริงของเอ็ง แล้วที่ฉันถามเรื่องห่านร้องเสียงดังล่ะ แกจะอธิบายว่ายังไง ? "

" อ๋อ ไม่จำเป็นหรอกครับพ่อ ที่สัตว์คอยาวจะต้องร้องเสียงดังเสมอไป ก็ดูอย่างยีราฟสิครับ คอของมันก็ออกยาว แต่เสียงไม่เห็นดังเลย ตรงกันข้ามดู กบ อึ่งอ่าง สิครับ คอของมันก็สั้นนิดเดียว แต่ทำไม่มันร้องเสียงดังลั่นทุ่งได้ล่ะ มันก็เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นเองไม่ใช่หรือครับ "

"เออ มันก็จริงของเอ็ง แล้วที่ฉันถามเรื่องสีของจีวรพระล่ะ แกจะอธิบายว่าไง ?"

"อ๋อ อะไรที่มันมีสีเหลืองน่ะ ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีใครไปย้อมมันหรอกครับ ก็ดูอย่างหัวขมิ้นสิ มีใครดำดินลงไปย้อมสีให้มันรึเปล่า ทำไมมันมีสีเหลืองได้ล่ะ มันก็เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นเองไม่ใช่หรือครับ คุณพ่อ"

"เออ มันก็จริงของเอ็งอีกว่ะ แล้วที่ฉันถามเรื่องหน่อไม้ล่ะ แกจะอธิบายว่าไง ?"
"อ๋อ ไม่ใช่ว่าอะไรที่มันต้องมียอดแหลมเท่านั้น จึงจะดันดินขึ้นมาได้ ก็ดูอย่างเห็ดสิครับ หัวของมันก็ทู่ ๆ ตัวก็นิ่ม ๆ แต่ทำไมมันดันดินขึ้นมาได้ล่ะ มันก็เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นเองไม่ใช่หรือครับ คุณพ่อ"

" เออ มันก็ถูกของเอ็งอีกน่ะแหละ แล้วที่ฉันถามเรื่องรูที่เป็นมันนั่นล่ะ แกจะอธิบายว่าไง ? "

" แหม คุณพ่อครับ ไม่จำเป็นหรอกครับ ที่จะต้องมีตัวอะไรมันเลื้อยเข้าเลื้อยออก แล้วมันถึงจะเป็นมันได้ "

แล้วเขยบ้านนอกก็ชี้ไปศีรษะของพ่อตา ซึ่งมีศีรษะล้านใส สมชื่อแกว่า ตาใส แล้วพูดสัพยอกว่า

" ก็ดูอย่างศีรษะของคุณพ่อซีครับ....ไม่เห็นมีตัวอะไรมันเลื้อยเข้าเลื้อยออกเลย แต่ทำไมมันถึงได้มันแผล็บอย่างนี้ล่ะ พ่อ มันก็เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นเองไม่ใช่หรือครับ "

ตาใส พ่อตา...ถึงกับอ้าปากค้างเผลอเอามือคลำหัว ตนเอง พร้อมรำพึงออกมาว่า เออ ก็จริงของมึงว่ะ เจ้าเขยบ้านนอก นี่ มันเก่งจริง ๆ มันเข้าใจในความเป็นธรรมดา อย่างนี้ สิ ถึงจะพอฝากผีฝากไข้ ยกมรดกให้ได้

ซึ่งเจ้าเขยบ้านนอกก็บอกว่า ผมต้องขอขอบใจพ่อมาก จ้ะพ่อ ที่เป็นพ่อที่ดี ทั้งคิดจะแบ่งปัน มอบมรดกให้ ซึ่งฉัน กับ เมีย ก็พอจะขยันหมั่นเพียรดูแลครอบครัวให้พออยู่ พอกินกันไปตามประสา ไม่ต้องการเอาอะไรหรอกจ้ะ ก็ขอให้พ่อนำเก็บไว้ใช้ หรือ เอาไปทำบุญสุนทาน ประกอบคุณงามความ ให้เกิดคุณค่ากับชีวิต และเป็นแบบอย่างพ่อที่ดีเถิดจ้ะ...





ปุจฉา...นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า... อย่างไร ?







ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

อนุโมทนาทุกกระแสความห่วงใย พระพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชน 

จากเรื่องราว ของ คุณมิซูโอะ 

ที่เกิดในจังหวะเดียว กับ เณรคำ (มีข่าวกรองว่า มีแปด ภรรยา กับ สอง บุตร) และ จังหวะมีอลัชชี สวดภาษาเทพ และ  คิวต่อไป...อาจจะมีการดีเบท ระหว่าง พระสุวิทย์ ทองประเสริฐ (ธีรธมฺโม) หรือ หลวงปู่พุทธอิสระ กับ หลวงพ่อเกษม ฯลฯ ตามที่เป็นข่าว...


โลกแห่งความเห็น ตามที่เป็นข่าว...นั้น

หากจะติ... ย่อมติ ได้ทุกมุม 

หากจะชม ก็ชมได้ทุกทาง

พึงตรองมุมมองตามเหตุที่เกิดจริง ให้เกียรติที่เจ้าของชีวิต ที่ได้เต็มใจเปิดเผย หรือ ใครที่อาจจะมอง วิเคราะห์ คิดเอง เออเอง ให้เกินจริง

อาจารย์มิตซูโอะแถลง 

www.youtube.com/watch?v=sHlg3gcOYkI

...........................................................


ใจสังคม อาจติดเชื้อ...การตั้งธง กล่าวหา จากอาชีพแบบใด ? ให้กังขา

แล้วชวนกันสนทนา พาสังคม เดินลุ่มหลง

โลกแห่งความเห็น ยิ่งเข้ารก เข้าพง

ตรองประสพการณ์ตรง ตรวจ..อคติใจ เถิด คนไทย


เมื่อฐานจิต เพียงศีล ๕ จะเป็นโสด หรือ คนคู่

แม้ฝืนเป็นนักบวชอยู่ จะบวชนาน หรือ บวชใหม่

จิตในจิต หากยังคือ ปุถุชน ภายใน

ต้องเวียนกลับ ไม่วันใด ก็วันหนึ่ง วัฏฏยาวนาน


กรณี คุณมิซูโอะ เป็นลูกผู้ชาย

แสดงความจริงใจ หาญกล้า ไม่หน้าด้าน

ไม่หลงกับดัก ชื่อเสียง ลาภ ยศ โรคภัย.. บริวาร ฯ

ฝึกผ่าน เลือกตามที่จะเป็น เช่นบัดนี้ ฯ


จริง ๆ ทุกดวงใจสังคม ควรแท้ ร่วมตรวจสอบ

เหล่าคนห่มเหลือง ที่กระทำมิชอบ อลัชชี สมี 

ที่ผุดโผล่ มากมาย ประดามี

นั่นคือ อีกหน้าที่อุบาสกอุบาสิกา ส่องพระ...


ท่านที่จิตทุรพล ขอลา มาออกเรือน 

เสมือนสังคมครอบครัวไทย บวชก่อนเบียด ใย..ต้องผงะ

เพลงไวพจน์ ลาบวช พรรณนา ฟัง..นะจ้ะ

คุณมิซูโอะ อาจจะ..นานพรรษา กว่าใครหน่อย พลอยตื่นเต้น ทำไม...


สรุปว่า...

เมื่อทำถูก..ทำนองคลองธรรม ก็พึงใจสบาย ๆ หรือ อาจไปขอ ลุงไวพจน์ เพชรสุพรรณ ให้เขียนเพลงใหม่... 

" ขอโทษ พี่บวชนาน " !!!

www.youtube.com/watch?v=yatGa7ceV44




((( <<< "พระเกษม" ปล่อยคลิปท้าดวลไมค์ "หลวงปู่อิสระ" อีก เหน็บอย่าชิ่งหนี เจ้าตัวลั่นไม่กลัว 

www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1372334062&grpid=00&catid=00  >>>)))



สรุป บทเรียน หลวงปู่ชา ครองสัมมาสติรอดพ้น... เซียนส่องพระ

มาถึงยุค ลูกศิษย์ มิซูโอะ...ไป..ไม่รอด

 

ใครลายมือสวย ๆ ช่วยเขียนป้าย...ถวายวัด 

" เขตปลอดเซียนส่องพระ "

หมายเตือนใจ แบบ... " ฮา ไม่ออก " แซวกิเลส แรง ๆ..เตือนสติ..สำหรับคนตั้งใจโสด แม้ว่า... ศิษย์หลวงพ่อชา..ล่าสุด... เจ้าตัวจะบอก เธอ อาจเป็นเป็นเนื้อคู่มาแต่ชาติก่อน เป็นคู่บารมี แต่...จากบทเรียนแห่งปรากฏการณ์ที่พี่สาวของวิทเยนทร์ มุตตามระ ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์บลูสกายแชนแนล อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์

ด้วยเธอเป็น นักเลงเล่นพระ..ส่องพระตัวจริง เสียงจริง เข้าขั้นระดับชั้นเซียนพันตา พันมือ !! หล่อนส่องพระระดับเกจิอาจารย์ เสียอยู่หมัด ไม่ธรรมดา ต่อไปหากใครมีพระดีดี ดัง ๆ ให้นึกถึงคำหลวงพ่อชา และไปอยู่ห่างๆ เธอไว้ หรือ พบใครที่มีบุคคลิกคล้าย ๆ เธอ ให้อยู่ห่าง ๆ มิฉะนั้น ท่านอาจพลาดท่า เสียพระ !!







ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

บันทึกธรรม 

หลวงพ่อชา...

พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ คุณมิซูโอะ ผู้รักพรหมจรรย์...มากกว่า รักผู้สาว มาเล่าสู่กัน


เหตุเกิด เพราะ แม่ม่ายสาวสวย 
แถมรวยทรัพย์คนหนึ่ง มาถวายจังหัน
หลวงพ่อชาทุกวัน ไม่ช้าไม่นาน หลวงพ่อรู้สึกว่า

สีกาม่ายคนนี้ คิดมิดีมิร้าย กับท่านเสียแล้ว
ตัวท่านเอง จิตใจก็ชักหวั่นไหว … มารกับธรรมะ
สู้รบกันอย่างหนักหน่วง ภายในจิต กระทั่ง
ท่านคิดปรุงแต่งเรื่องของแม่ม่าย จนรู้สึกว่า
จะไว้ใจตัวเอง ไม่ได้แล้ว ท่านก็เลยตัดสินใจ
เก็บบริขาร รีบจากวัดบ้านต้อง ในกลางดึก!

ไปหา หลวงปู่กินรี จันทิโย ยังวัดป่าเมธาวิเวก 
ระยะที่ พักอยู่นั้น ท่านได้ทำความเพียร 
ปฏิบัติธรรม อย่างเคร่งครัด แต่ กามราคะ 
ก็ได้เข้ามา รุมเร้าหลวงพ่อชา อย่างรุนแรง!

ไม่ว่าจะเดินจรม นั่งสมาธิ หรืออิริยาถใดก็ตาม
ปรากฎว่า มีอวัยวะเพศของผู้หญิง ลอมปรากฎ
เต็มไปหมด เกิดความรู้สึกรุนแรง เดินจงกรมก็ไม่ได้
เพราะ องค์กำเนิด ถูกผ้าเข้า ก็มีอาการไหวตัว

ต้องให้เขา ทำที่จงกรมในป่าทึบ เพื่อเดินเฉพาะ
ในเวลาค่ำมืด และเวลาเดิน ต้องถลกสบงพันเอวไว้
การต่อสู้กับกามราคะ เป็นไปอย่างทรหดอดทน
ขับเคี่ยวกันอยู่นาน ถึง ๑๐ วัน … ความรู้สึก 
และ นิมิตเหล่านั้น จึงสงบและหายขาดไป

กามราคะ ก็เหมือนกับสุนัข ถ้าเอาข้าวเปล่าๆ 
ให้กินทุกวันๆ มันก็อ้วน อย่างหมูเหมือนกัน
การปฏิบัตินั้น ยากหลายอย่าง แต่ที่ยากจริงๆ 
ก็เรื่องผู้หญิง นี่แหละ … ระวังนะ! อย่าให้งูเห่ามันฉก 
วันไหน มันแผ่แม่เบี้ยมากๆ ก็ให้ทำความเพียรให้มาก !





ความเห็น (1)

อาริโย อาริโย อาริโย

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

ผมเป็นคนไทย


ประมาณปี ๓๕ หรือปี ๓๖ ผมไม่แน่ใจ ตอนนั้นผมยังรับใช้หลวงพ่อคูณที่วัด หลวงพ่อจะถวายเงิน ๗๒ ล้าน ตามอายุของในหลวง ซึ่งก็มี ข้าราชการมาเตรียม คำพูด สอน คำราชาศัพท์มากมาย 

จนวันหนึ่งพระเทพฯ ก็ได้มาหาหลวงพ่อ แล้วก็ทรงถามอะไรมากมาย แต่หลวงพ่อคูณไม่ได้ตอบอะไร จนในที่สุดพระเทพฯ ท่านก็ทรงถามว่า.. ทำไม หลวงพ่อ ไม่พูดกับหนูล่ะคะ หลวงพ่อคูณก็ตอบ แล้วก็พรางชี้ไปที่ นายอำเภอว่า ............ ก็ไอ้นี่ มัน ไม่ให้ กู พูดคำว่า กู กับ มึง ๕๕๕๕๕

พระเทพ ขำ น้ำตาซึม .............

แล้วพอ มา ถึงวันงาน ที่ในหลวงเสด็จมา เหล่าบรรดา สส. สว. สจ. นายอำเภอ หน้าแหยๆ กัน เพราะกล้วว่า หลวงพ่อคูณจะพูด กู มึง กับในหลวง....แล้วหลวงพ่อคูณท่านพูดว่า... กูก็เคยเรียน ภาษาไทยเนอะ รู้น่า ไม่ต้องห่วงด๊อก ...ไอ้นาย (หลวงพ่อคูณ พูดกับ ราชการผู้ใหญ่) 

จนในที่สุด ............ ในหลวงท่านเสด็จมา ผมเองก็มีโอกาสเห็นในหลวง ใกล้ที่สุด ๆ ชิด พระวรกาย เลย
ซึ่งในหลวงท่านถามว่า .............. หากิน ลำบากไหม (ผมน้ำตาไหล พราก) แล้วพระองค์ก็เดินจากไป..........คนแน่นวัด ท่านถามแบบนี้ ทุกคน ถามถึงเรื่องการทำมาหากิน และความลำบาก 

พอท่านเสด็จกลับ.... หลวงพ่อคูณท่านก็เข้าวัด ท่านยิ้มแก้มปริ จนเวลาผ่านไป ผมก็ แอบไปถามท่านว่า ... ตอนที่เดินบนโบสถ์ ผมถามจริงเถอะหลวงพ่อ คุยอะไรเล่าให้ผมฟังหน่อย ...

แล้วคำแรก ที่หลวงพ่อ กล่าวคือ... มึงรู้ไหม มือพระองค์ เป็นมือ คนทำงาน อย่างก๊ะ ชาวไร่ ชาวนาแข็งกะด้าง มาก ๆ แล้วผมก็ถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อใช้คำ เรียกว่าอะไร ... หลวงพ่อท่านเงียบ แล้วก็ตอบว่า ................ พระองค์ พูดประโยคแรกว่า ........ " หลวงพ่อครับ พูดตามปกติ นะครับ ผมเป็นคนไทย "....................................



โดย: ชมรมคนรักในหลวง







ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

อีกครั้ง กับกรณี คุณครูชีวิต เอกยุทธ อัญชันบุตร 


กระบวนการยุติธรรมไทย ในเบื้องแรก ใช้หลักแห่งการกล่าวหา...ก่อนที่หลักฐานจะปรากฏ และหรือ ออกหมายค้น หรือ จับ หรือ เชิญไปรับข้อกล่าวหา นี้คือ ปกติของระบบราชการตำรวจ จนเกิดความคุ้นเคยกระจายเข้าไปในสังคมไทย 


ณ เรื่อง คุณเอกยุทธ อัญชันบุตร ในบัดนี้ ที่ขอนำมาประกอบอนุทิน โดยขอเรียกบุคคลท่านนี้ เป็น " คุณครูชีวิต " เพื่อระลึกถึงในโอกาส ครูผู้มอบบทเรียนให้แผ่นดิน...เกิดสัมมาสติ...เห็นโทษภัย ร้ายของกิเลส..


หากด้วยเชื่อมั่นในกฏแห่งกรรม และด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินไทย ในยุคกรรมติดจรวด และ ด้วยวิญญานผู้ตายที่ไม่ได้รับความยุติธรรม โดย สังคมได้เห็นสภาพศพที่ถูกขุดขึ้นมา ย่อมกระตุ้นต่อมสำนึกดีของทุกคน แม้กระทั่งทีมที่ลงมือฆ่าไม่มากก็น้อย ให้เป็นที่ประจักษ์


จากเรื่องที่เกิด ฯ

- การพยายามปกปิด ซุกซ่อน บิดเบือนเพื่อไม่ให้พบเจอ จะยิ่งเจอทั้งยวง...และ 

- และทันทีที่เจอะเจอ หากยิ่งสมมุตมีบทกำกับ ให้ไม่ตรงจริง ก็จักยิ่งจบไว พบหายนะ พังพาบทั้งกรม ฯ อย่างรวดเร็วในยุคไอที...


สังคมที่ติดตามข่าว เริ่มเห็น ความขัดแย้งในคำสารภาพ อาจเนื่องเพราะความรักตัวกลัวตาย และสำนึกกลัวต่อความจริงที่ตนก่อกระทำ จิตใจคนเช่นนี้ย่อมน่าเวทนา เมื่อเรื่อง เมื่อได้ดำเนินมาถึงจุดที่ต่างเอาตัวรอด หรือ เพื่อให้ตนผิดน้อยที่สุด จึงพยายามผลักความผิดหนักให้คนอื่น หมายปฏิเสธผลที่จะมาถึงตน ฯ


หนักสุด ยามที่มี " อธรรม เป็นอำนาจ " การตัดตอนอาจเกิดขึ้นอีก และ ที่แน่ ๆ คือ ความหลอกหลอนในใจคนผิด ยามอยู่คนเดียวโดยลำพัง " หลับก็จักทุกข์ ตื่นก็จักทุกข์ " ด้วยเคยเห็นเหล่าคนบาปผู้หลงทางมามากแล้ว


การสารภาพตามบทที่ผู้กำกับย่อมต่างจากเรื่องที่เกิดจริง การหลงเชื่อว่า เดินตามบทแล้วจะปลอดภัย เรื่องก็จะไม่จบลงอย่างที่ควรจะจบ เหล่าฝูงปลาน้อยที่หลงเดินเข้าสู่รัน...ก็จะโดนฝังและจับกิน


ที่เป็นความสำคัญ พอ ๆ กับความเป็นห่วงในช่วงพลิกจากสถานการณ์โดยธรรม..เพื่อสังคมจักมี " ธรรม เป็นอำนาจ " นั่นคือ เมื่อใด ที่ข้อสังเกตุของทนายความ ของคุณเอกยุทธ์ มีหลักฐาน ฯ เกิดพลังเชิงประจักษ์เกิดขึ้น สังคมย่อมเพิ่มความเชื่อมั่นศรัทธาต่อความยุติธรรมที่คุ้มครองปกป้องแผ่นดิน และ เชื่อต่อไปว่า หลักฐาน จะมีมาจากประชาชนที่รักห่วงอนาคตแผ่นดินเพิ่มอีกแน่ ๆ ฯลฯ


และเมื่อนั้น มหาประชาชนทั้งแผ่นดิน ย่อมมีความชอบธรรมในการมอบบทสรุป ( โดย ไม่ตั้งข้อกล่าวหา ) ต่อเหล่าเจ้าหน้าที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นับตั้งแต่ ผู้บังคับบัญชาสูงสุดลงมา ในอีกหลาย ๆ เรื่อง ที่ทำความผิดพลาด ก่อบาปมาโดยตลอด


แผ่นดินน่าจะถึงเวลาที่มหาประชาชน จักมีความชอบธรรมที่สามารถปรับเปลี่ยนลักษณะการทำงานขององค์กร ที่ควรรักษากฏหมาย ตั้งใจบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้ปวงมหาประชาชน...อย่าได้หลงผิดดังที่ผ่าน ๆ มา 

ผู้ที่จะมาทำหน้าที่ ณ ตำแหน่งนี้ จักต้องตั้งใจคืนความชอบธรรม ทั้งกตัญญู กตเวที แผ่นดิน สำนึกในความกรุณาที่รับเงินเดือนจากภาษีทุกบาท ทุกสตางค์ จากนายจ้าง คือ ปวงมหาประชาชนอย่างมีสำนึก ฯ

ให้สมกับอุดมการณ์ ที่ตราไว้ในเนื้อ เพลง...สำหรับบุคคลที่ตั้งใจสนองพระเดช พระคุณ ในความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ 



www.youtube.com/watch?v=LGHrFQQAyME








ความเห็น (1)
สมณะบินก้าว อิทธิภาโว

เหตุเกิด ณ แผ่นดินไทย จะแลบลิ้นใส่ใครดี


โดยปกติชีวิต... ปวงประชามหาชนพึงขวนขวายปฏิบัติธรรมรักษาศีล ให้กายและจิตใจหนักแน่น มั่นคง มีที่พึ่ง...ดำเนินชีวิตด้วยความขยันและ ใจพอ ฯ

ยิ่งในยามแผ่นดิน..มี..อธรรมเป็นอำนาจ ส่อสัญญาณอันตราย กังฉินกำลังโดนไฟบาปเผารนจากที่ตนได้กลืนก้อนไฟเข้าไปในท้องเต็มคราบ ต้องดิ้นทุรนทุราย พร้อมแผ่รังสีอำมหิต ทั้งความผิดถูกเจ้าหน้าที่ทำให้ลอยนวลด้วยเจตนา ละเว้นที่รู้แก่ใจ จะโดย อำพราง โดย ยื้อเวลา และหรือ โดยรวบรัดหลบความจริง ฯ

ณ เหตุการณ์ล่าสุด เมื่อครอบครัวเจ้าทุกข์ ผู้สูญเสียบุคคลไปหนึ่งชีวิตแล้ว แสดงเจตนาหยุดเอาเรื่องต่อ ตามคำทนายความประจำตัว...ที่เล่าสู่สังคม จะเพื่อปกป้องความสำคัญส่วนใหญ่ในครอบครัวไม่ต้องให้เสียหายหนักไปกว่านี้ หรือ จะด้วยมองไม่เห็นทางเลยว่า จะพลิกชนะพฤติกรรมเจ้าหน้าที่เชิงนี้ ที่จะทำได้..ซึ่งเป็นการตัดสินใจจากการตรองความจริงที่น่าเคารพและควรแก่การเห็นใจ ฯ

จากพฤติกรรมจริง เน่าใน น้ำลดตอผุด ที่ประชาชนรับรู้มากขึ้น ๆ ๆ พร้อมจ่อรอการพิสูจน์ และภายใต้ความกลัว ความกดดันของคนผิดที่ไม่คิดรับผิดโดยเด็ดขาดที่ถูกกระชับพื้นที่เข้ามาเรื่อย ๆ และทั้งภายใต้ความเห็นแก่ได้ ความเห็นแก่ตัวของใครบางกลุ่ม บางคนที่พร้อมจะคว้ามาเป็นผลประโยชน์ทางการเมืองแบบไม่คิดลงทุน ฯ หากเอาเหตุปัจจัยที่เกิดนี้เป็นเครื่องมือ

และ ที่สำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้ คือ ภายใต้ทุนนิยมสามานต์ของโลก ที่คงคลืบคลานเข้าสูบทรัพยากรแผ่นดินในทุกภูมิภาคพร้อมเข้ามาบริหารความขัดแย้ง ฯ

ผู้รักแผ่นดินทุกท่าน จักต้องตั้งสติ ตรอง และพิจารณาอย่างรอบคอบให้จงดีในการปลดล๊อคกังฉินผู้สั่งสมกรรมทรามว่าจะกระทำอย่างใด ? จุดใด ? และ ที่ใคร ? ถึงจะให้เหล่าคนเดรัจฉานพรรค์นี้จำนนต่อกรรมผิดแบบหมดสภาพด้วยกรรมตน และด้วยบาปที่เผารนใจ โดยไม่เกิดความสูญเสียเลือดเนื้อคนไทย ในอันจะทำให้ประเทศบอบช้ำ ฯลฯ และพร้อมมองกาลไกลในการนำพาอย่างมั่นคงสืบไป


ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ


แด่ คุณเอกยุทธ อัญชันบุตร " คุณครูชีวิต " เพื่อระลึกถึงในโอกาส เกิดมาเป็นครูผู้มอบบทเรียนให้สติกับมหาประชาชนคนทั้งแผ่นดินพุทธ...ณ แผ่นดินสยาม


เมื่อนำเหตุปัจจัยในสังคม มาพิจารณาอย่างรอบคอบในแวดวงสังคมไอที ที่มีการสนทนาแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และความเห็น ที่มีทั้งเหมือนกัน และต่างกัน โดย ตรวจใจอย่าให้มีอารมณ์ชอบ...อารมณ์ชังใด ๆ ปรากฏขณะพิจารณา "เหตุ " 


จากตัวอย่าง...ยุคพุทธกาล เมื่อครั้งพระมหาโมคคัลลานะอัครสาวกเบื้องซ้าย ที่ก่อกรรมหนักในอดีตชาติไว้ กับ พระองคุลีมาล อดีตจอมโจรผู้เหี้ยมโหด แม้จิตหลุดพ้นหมดกิเลส ถึงขั้นจบกิจเป็นอรหันต์ หากมาเกิดในชาติปัจจุบันก็ยังไม่สามารถรอดพ้นวิบากจากที่ก่อไว้ทั้งในอดีต และ ในชาติปัจจุบัน...ณ ก่อน และหลังบรรลุธรรมที่กฏแห่งกรรมจ้องตามสนอง ฯ


และความหยาบคายในสังคมทุนนิยมสามานต์ ยุคนี้ หลายตระกูลในโลกที่หลงทาง ก่อกรรมหนักไว้กับแผ่นดินทั้งมีความพยายามหาทางปิดบังหมกซ่อน หนีความเป็นจริงตามจริง...โดยแท้ก็คือ การขว้างงู ไม่พ้นคอ และ จักคือ เจ้างู กิน หาง ที่ยิ่งย้อนกลับทำลายตนเองไม่ใช่ฝีมือใครอื่นจะทำลายเลย...


การพยายามปกปิด ซุกซ่อน เพื่อไม่ให้พบเจอ จะยิ่งเจอทั้งยวง...

และ ทันทีที่เจอะเจอ ก็จักยิ่งจบ พบหายนะ พังพาบอย่างรวดเร็วในยุคไอที...


ด้วยทุกคนต่างก็มีปกติรักตัวกลัวตาย ต่างก็กลัวความจริงที่ได้กระทำไปแล้ว จิตใจจึงยิ่งน่าเวทนา...ครั้นเรื่องดำเนินมาถึงจุดที่ต่างคนต่างต้องเอาตัวรอด ก็จะผลักความผิดให้คนอื่น ปฏิเสธผลที่จะมาถึงตน คนที่ร่วมทำผิดก็จักยิ่งกลัวตาย...หนักสุด ก็จะเกิดการตัดตอน ยังผลให้หลอกหลอนชีวิตตนตลอดเวลา สังคมจึงพบเห็นบ่อย ๆ พฤติกรรมถนัด คือ " เอาดีเข้าตัว เอาเลว ระยำ ทราม ชั่ว ให้คนอื่น " 


ดังนั้น ทางรอดที่สมบูรณ์ในสายตาสัจจะแห่งธรรมที่จะพาพ้นวิกฤติชีวิต ในทุกระนาบจึงคือ การมอบตัวเข้าสู่กระบวนการศาลสถิตย์ยุติธรรม โดย เปิดใจ สำนึก และสารภาพ พร้อม ยอมรับผลกรรมที่ก่อไว้ตามจริง... และพร้อมรับคำพิพากษาแห่งวิบากที่จักคงตามมา ดังพระภิกษุ ดังตัวอย่าง...




ฝากกำลังใจแต่ผู้ที่ท้อแท้ หมดหวัง อย่ายอมแพ้




โลกแห่งความเอาแต่ใจช่างสุ่มเสี่ยงเหลือเกิน... เจ้าเอ๋ย..




ในสายตาผู้ใหญ่ที่ท่านห่วงเรา เมตตาเรา โดยจริง ท่านเหล่านั้นแสดงอะไรออกมามากกว่านั้นไม่ได้เลย... ด้วยเราเชื่อมั่นในตนซะเหลือเกิน


จึงฝากคลิปกำลังใจแต่ผู้ที่ท้อแท้ หมดหวัง อย่ายอมแพ้ 
Nick Vujicic นิค วูจิชิค (no arms no legs no worries) พากย์ไทย
www.youtube.com/watch?v=AGTnpr7vc1E

Nick Vujicic Full DVD. If you ever feel sorry for yourself, watch this พากย์อังกฤษ

www.youtube.com/watch?v=dGbZcTD6h24



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

ชีวิตที่รอบคอบ...

ความหลงทางจากการสละโสดโดยตรง โดยจริง ๆ นั้น มิใช่ มาจากสัญชาติญานแห่งการปรารถนาที่จะมีคู่ครองที่เป็นทางการแต่ประการใดเลย


หากเบื้องต้นเกิดมาแต่สัญชาติญานดิบ ๆ ของความเป็นสัตว์ในตน ที่ก้าวสู่วัยเจริญพันธุ์ โดย... ยังไม่อาจยกระดับจิตวิญญานให้เหนือความต้องการทางเพศที่กรุ่นอยู่ในภายในได้ 


ความสับสนและต่อสู้ดังกล่าวในคนที่เกิดอาการ ดังกล่าวนี้ จึงส่งผลให้ไปก่อความผิดพลาด หลงทาง และ ทะเลาะกันมากมาย ภายใต้ความที่ต้องปกปิดแรงปรารถนาในใจ ที่มีอยู่ โดย ตนรู้ตนอยู่ลึก ๆ และก็เริ่มที่จะเกิดละอาย


ชมรมคนโสดสนิททั้งต่อหน้าและลับหลัง...จึงหวังความตื่นแห่งสัมมาใจ... ที่จะนำความสว่างมาสู่ตน แต่ละคน จนชัดแท้ ก่อนจะเกิดการเลือกเส้นทางชีวิต โดยไม่ผิดพลาด.






ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

เส้นทางทุนนิยมสามานต์ กับ หมากรุก

เมื่อนักโขกหมากรุก ชวนสนทนา " หลงทางเสียเวลา หลงเสพติดลาภ ยศ สรรเสริญ สุข โดยทุจริตมา เสียอนาคต "


เขากล่าวว่า...หลักในการเดินหมากของผู้เล่น ย่อมจะทราบชัดนิสัยของการก้าวย่อมต่างกันโดยสิ้นเชิง การจะเกิดชัยชนะ หรือ แพ้อย่างราบคาบนั้น จักต้องอาศัยประสพการณ์และความเก๋าในการผ่านบทเรียนชีวิตของเจ้าของกระดาน ฯ 


โดย นิทานชวนสนทนานี้ เปรียบเรื่องราวแห่งชีวิตต่าง ๆ ในโลกทุนนิยมสามานต์ บ่อยครั้ง จักเป็นเสมือนปลาใหญ่จอมตะกละ จ้องเขมือบ ปลาเล็กจอมตะกละ เพื่อฮุบกินเหยื่อไฟที่ร้อนระอุ.. คุ.. โชน.. ก้อนใหญ่ ที่เคลือบคาราเมล

ความสำคัญจึงอยู่ที่เจ้าของกระดาน และ เจตนาของเจ้าของกระดานในแต่ละระดับ จะกลืนเอง หรือ ให้ปลาเล็กจอมตะกละกลืนเข้าไปในท้อง และตนก็เขมือบปลาเล็กอีกต่อด้วยหวังความปลอดภัย หรือ โดยแท้กลับก่อความเสียหาย...โดยสิ้น...


หาก ทว่า...เส้นทางแห่งบุญ ที่จักนำพาชีวิตสู่ความโปร่งใส สะอาด สว่าง สงบ หมดความอยาก สิ้นความเสพ ย่อมเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้มีสัมมาปัญญา ฯ










ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

จากความรู้สึก ที่สุดประทับใจ


" เมื่อธงชาติไทยไม่ใช่เพียงผืนผ้า...เอาสีมาทาให้เป็นสามสี 

แต่กว่าจะเป็นไตรรงค์ผืนนี้...เบื้องหลังยังมีเรื่องราวตั้งมากมาย

ทำไม ถึงมีคนที่ไม่รัก ชาติ ! ! "

ขอให้คนดี ทุกคน คลิกชม เพลง ธงชาติ จากเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ตั้งใจส่งเสียงร้อง...เพื่อให้ผู้ใหญ่ ได้ยิน ได้ฟัง.. 

www.youtube.com/watch?v=vcxIDzBnnwI

กลั่น..คำร้อง ทำนอง โดย หลง ลงลาย



ธงชาติไทย ไม่ใช่เพียง ผืนผ้า

เอาสี มาทา ให้เป็นสามสี

แต่กว่าจะเป็น ไตรรงค์ผืนนี้

เบื้องหลังยังมี เรื่องราวตั้งมากมาย


ทั้งความทุกข์ ทั้งชีวิตของบรรพชน

หล่อรวมปะปน อนาคตลูกหลานไว้

แต่วันนี้ ที่ได้เห็น ผืนธงไทย

น้ำตาแทบจะไหล ให้สงสาร แผ่นดิน …

** 

นานแค่ไหน ที่เหมือนคนไทย ลืมรักชาติ

ปล่อยไตรรงค์โบกสะบัด อย่างเดียวดายเสียจนชิน

ถึงเวลา เหลียวมองธงคู่แผ่นดิน

ฟังเพลงชาติ ให้ได้ยิน เสียงหัวใจกันและกัน


ให้ลึกซึ้ง ถึงความทุกข์ของบรรพชน

รู้สึกกังวล อนาคตของลูกหลาน

ถ้าเห็นสามสิ่ง จากผืนธงเหมือน ๆ กัน

เมื่อใดก็เมื่อนั้น สันติสุขจะคืนมา





ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

ให้แง่คิด จาก บทเรียนของแผ่นดิน ตอน ๑

บทเรียนของความใจดีของสังคม ของผู้ใหญ่ที่อ่านใจคน มองใจคนไม่ทะลุ จึงหลงทางปล่อยให้กังฉินที่ไร้สำนึกโดยแท้ หลุดรอดจากกรรมที่เขาก่อ...และยังคงให้โอกาสต่อไป โดยที่แท้จริงไม่เคยคิดสำนึก บัดนี้ กลับยิ่งเพิ่มความร้ายที่ถาโถมใส่แผ่นดิน

บทเรียน จึงคือความพลาดอย่างคาดไม่ถึงอย่างหนัก และ การพยายามทำให้สังคมตื่นรู้ เพิ่มสัมมาทิฐิ จักต้องทุ่มเท.. รับผิดชอบ..อย่างฉกาจ... 

ครั้งที่ ๑ เพราะถ้อยคำแบบนี้...ที่กินใจสังคม กินใจผู้ใหญ่จึงปล่อยให้กังฉินเขาก้าวผ่านความผิด ด้วยจิตที่คิดหวัง.. มองแต่แง่ดี

" ท่านตุลาการที่เคารพเอง ก็ได้เคยถวายสัตย์ปฏิญาณด้วยสัจวาจาทำนองเดียวกันว่า จะปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ประชาชน และความสงบสุขแห่งราชอาณาจักร ผมและท่านตุลาการจึงมีพันธกิจเดียวกันครับ แต่ผมจะมีโอกาสได้ใช้ความตั้งใจจริง ความมุ่งมั่น อุดมการณ์ ประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ เวลาและความคิด ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนต่อไป ตามที่ได้ตั้งปณิธานไว้ และตามที่พี่น้องประชาชนมอบความไว้วางใจหรือไม่นั้น


มาถึงบัดนี้ก็สุดแล้วแต่ดุลพินิจที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาว่า จะเชื่อคำยืนยันด้วยเกียรติยศของผมว่า ผมไม่มีเจตนาปกปิด เป็นเพียงความบกพร่องที่สุจริต และอยู่ที่ดุลพินิจของท่านตุลาการ ที่จะให้โอกาสนายกรัฐมนตรีคนนี้ทำงานเพื่อชาติ ประชาชน พระเจ้าอยู่หัว อันเป็นที่รักยิ่งต่อไปหรือไม่ เพียงใดครับ ขอขอบคุณครับ..."

ทัก... ชิน...
๑๘ มิถุนายน ๒๕๔๔


ดังนั้น... ความจำเป็นเร่งด่วนจากความใจดี ฯลฯ จึงคือ การต้องเพิ่มสัมมาทิฐิ และ ความมีคุณธรรม ให้กับมหาประชาชนทุกคนเพื่อเป็นภูมิคุ้มกันแผ่นดิน


**********************************************************************************************************************************


ให้แง่คิด  บทเรียนของแผ่นดิน ตอนจบ

บทเรียนจากความใจดีของสังคม ของผู้ใหญ่ที่อ่านใจคน มองใจคนไม่ทะลุ มองไม่เห็นโทษภัยของทุนนิยมที่ขาดคุณธรรมกำกับ จึงหลงทางปล่อยให้กังฉินที่ไร้สำนึกโดยแท้ หลุดรอดจากกรรมที่เขาก่อ...และยังคงให้โอกาสต่อไป โดยที่แท้จริงไม่เคยคิดสำนึก บัดนี้ กลับยิ่งเพิ่มความร้ายที่ถาโถมใส่แผ่นดิน

บทเรียน จึงคือความพลาดอย่างคาดไม่ถึงอย่างหนัก และ การทำให้สังคมตื่น รู้ เพิ่มสัมมาทิฐิ จักต้องทุ่มเท รับผิดชอบอย่างฉกาจ... 

ครั้งที่ ๒ ขอนำมาวิเคระห์ เพราะสังคมขาดสัมมาทิฐิ รู้.. ตื่น.. ตาม.. ไม่ทัน ทั้งไม่เคยรู้วาระซ่อนเร้น ในโลกทุนนิยมสามานต์ ที่ผลาญโลก - กลืนสังคม โดยเหล่ากังฉินในระบบ จึงก้าวเข้ามาเป็นใหญ่

วาระซ่อนเร้น ในโลกทุนนิยมสามานต์ ที่ผลาญโลก

เมื่อโลกแห่งทุนนิยมสามานต์ต้องการที่จะซื้อขายทรัพยากรสมบัติของแผ่นดินใด ก็จะหาทางให้เกิดความชอบธรรมตามที่สมมุติโลกหมายเพื่อนำมาเป็นของตน ของคณะตน การสร้างแรงจูงใจต่าง ๆ จากที่เผยแพร่ลัทธิมิจฉาทิฐิ ค่านิยม ที่สังคมโลกได้ส่งลูกหลานไปร่ำเรียนในทิศทางเดียวกันมา เช่น สร้างกลวิธีที่จะนำทรัพยากรเป้าหมายนำเข้าสู่ตลาดการพนันที่ถูกกฏหมาย จากที่ออกแบบมาจนทั้งโลกยอมรับ ( นั่นคือ ตลาดหุ้น ) โดย ที่แต่ละภูมิภาคของโลก และของแต่ละประเทศ แต่ละนิสัยความเห็นแก่ได้ของ ณ แผ่นดินนั้นยังสามารถออกกติกาได้ตามกลไกที่จะลับลวงพรางตามใจชอบได้อีก ขึ้นอยู่ว่า ที่ใดจะตรงไปตรงมาตามเจตนาแห่งการแข่งขันในการลงทุน หรือ เพียงหมายปั่นหุ้น ตามความเฉโก ที่จะนำพา ฯลฯ 



ในตลาดการพนันไทยแบบนี้ ก็ออกแบบได้เจ๋งกว่าหลาย ๆ ประเทศ คือ ให้เล่นพนัน (ทำมาค้าขาย) แบบไม่ต้องจ่ายภาษี เลี่ยงบาลีว่า เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการแข่งขัน (เพื่อพาชาติไปลงเหว) สำหรับนักพนันที่ส่วนมากขาดความรับผิดชอบ ขาดสำนึก แห่งคุณธรรมที่มีทั่วโลกอยู่แล้ว จึงมีข่าวปั่นหุ้นเก็งกำไร มากกว่า มาตั้งใจลงทุนสร้างความเข้มแข็งให้แผ่นดินจริง ๆ


ในประเทศไทย อันเป็นบทเรียนก็เช่น การเลี่ยงภาษีจากการขายบริษัท ชินคอร์ป จำกัด ให้กับเทมาเส็กแห่งรัฐบาลสิงคโปร์ เป็นจำนวนเงิน ๗๖,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งในสัญญาซื้อเหมาร่วมเท่าที่เป็นข่าวนั้น ดาวเทียมไทยคมและเส้นทางบินแอร์เอเชียอันเป็นทรัพย์สมบัติของคนไทยก็นำไปขายด้วย.. " 


การไม่ต้องเสียภาษี เป็นความถูกต้องตามกฏหมาย ที่เขาได้ดำเนินการ ตามวาระซ่อนเร้นปรากฏโดยลำดับ ดังกล่าวแล้ว ด้วยเส้นทางทุนนิยมสามานต์ เขาสอนกันมาแบบนั้น ทำกันมาแบบนั้นซึ่งคือความเสียหายต่อความรับผิดชอบในการดูแลแผ่นดิน โดยคือ ความมุ่งเอารัดเอาเปรียบ ไปจนขูดรีด ปล้น ฯลฯ โดยแท้


แม้กระนั้น ในยุคโน้น พลตรีจำลอง ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ใจดี ถึงได้พยายามกระตุ้นต่อมสำนึก ให้คนทุนนิยมพรรค์นั้นให้คิดนอกกรอบ นอกวาระซ่อนเร้นที่ทำให้เกิดเว้นภาษี ฯ โดย พลตรีจำลอง ศรีเมือง สู้อุตส่าห์เขียนจดหมายเปิดผนึกไปถึง นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ให้กตัญญู - กตเวทีแผ่นดิน โดยจ่ายภาษีบ้าง สิ... หากด้วยบุคคลเช่นคนเฉกนี้ มิจฉาทิฐิลงตับมาแต่ต้นแล้ว แม้จะให้หมอปานเทพล้างก็คงไม่หาย



บทเรียนของแผ่นดิน ครั้งที่ ๒ นี้ หากตรองดูให้ดี อาจจะทำให้ผู้อ่านเห็นเลศเล่ห์ - เลวทรามต่ำช้าโลกทุนนิยม ไปจนทุนนิยมสามานต์ จากเหตุจริง...เพื่อจะได้สติ..ตื่นขึ้นมาร่วมกันมองหาเห็นทางออกให้กับตนและแผ่นดิน เช่น จักยิ่งเห็นคุณค่าตามแนวพระราชดำริ...ที่คนพูดถึงแต่มองข้ามมาโดยตลอด เพื่อให้เกิดความตั้งใจและพร้อมนำมาลงมือทำ ลงมือปฏิบัติที่ตนเองอย่างซาบซึ้งในคุณค่า ซึ่งคือทางออก และทางรอดของโลกโดยจริง โดยแท้





   





ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

บทความพิเศษ : เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัว ผ่านมุมมองชาวเยอรมัน ศ.แมนเฟรด คราเมส  

คว้าข่าวมาจาก  www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9550000003047


ในบรรดาสายตาแห่งความชื่นชมของชาวโลกที่มีต่อพระองค์ สายตาคู่หนึ่งในจำนวนนับล้านนั้นเป็นของ ศาสตราจารย์แมนเฟรด คราเมส (Prof.Manfred Krames) ชาวเยอรมัน ผู้ซึ่งยกย่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของชาวไทยให้เป็นบรมครูผู้ยิ่งใหญ่

       

ชีวิตของชาวเยอรมันคนหนึ่ง

ที่รักและเทิดทูน “ในหลวง”

  

ศาสตราจารย์แมนเฟรด คราเมส มีความสนใจในปรัชญาแบบตะวันออกและศาสนาพุทธตั้งแต่มีอายุได้ ๑๕ ปี ทั้งที่ได้รับการศึกษาที่ดีและมีอาชีพการงานที่มั่นคง แต่เมื่อมีอายุได้ ๑๙ ปี เขาก็ออกจากบ้าน โดยละทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง เพื่อเข้าไปพำนักอยู่ในวัดเซน ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา ๓ ปี ทำให้ไม่เป็นที่พอใจของครอบครัว ซึ่งเป็นชาวคริสเตียนอนุรักษ์นิยม และเกือบถึงขั้นถูกตัดขาดออกจากครอบครัว แต่เขาก็ยังคงศึกษาปรัชญาตะวันออก รวมถึงศาสนาพุทธอย่างจริงจังมาจนถึงปัจจุบัน

เมื่อได้พำนักอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นร่วม ๑๐ ปี เพื่อเรียนภาษาญี่ปุ่นและการบำบัดรักษาแบบจีน ณ กรุงโตเกียว เขาได้กลายเป็นชาวต่างชาติคนแรกเพียงผู้เดียวที่เป็นสมาชิกของสมาคมเพื่อการวิจัยด้านอายุรเวทแห่งญี่ปุ่น (Japan Research Society for Ayurveda) หลังจากนั้นศาสตราจารย์แมนเฟรดได้เดินทางไปพำนักยังประเทศศรีลังกาเป็นเวลา ๗ ปี และเปิดคลินิกเพื่อทำการรักษาบำบัดตามแนวทางของอายุรเวท กระทั่งได้เขียนหนังสือเรื่อง “ความจริงเกี่ยวกับวิชาอายุรเวท” ซึ่งได้รับการเผยแพร่ความรู้ทางด้านนี้ไปอย่างกว้างขวาง ทำให้ได้รับการยกย่องเป็น “ศาสตราจารย์กิตติคุณ” จากมหาวิทยาลัยแห่งโคลอมโบ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในประเทศศรีลังกา

หลังเกิดเหตุภัยพิบัติสึนามิได้ไม่นานนัก เขาก็อำลาศรีลังกา ด้วยความหวังว่าจะค้นพบประเทศที่มีสันติสุข และมีชาวพุทธที่เป็นมิตรมากกว่า ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินทางมาพำนักอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย

ณ ที่แห่งนี้เองที่ศาสตราจารย์แมนเฟรดได้รู้จักและเรียนรู้คำสอนทั้งทางตรงและทางอ้อมจากพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงดำรงตนเป็นแบบอย่างอันดีงามของพสกนิกรมาโดยตลอด กระทั่งเขาได้เขียนหนังสือชื่อ “เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัว : มุมมองของชาวต่างชาติต่อในหลวง” ขึ้นมา ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๕๔๙ หลังจากที่เขียนหนังสือ เผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสด็จยุโรปครั้งที่ ๒ ของ “พระพุทธเจ้าหลวง ณ สปาการแพทย์ของเยอรมัน” และหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาชื่อ ”Photo Meditation”

สำหรับใครที่สบโอกาสได้อ่าน “เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัว : มุมมองของชาวต่างชาติต่อในหลวง” ความรู้สึกที่ตามมาโดยแน่แท้ก็คือ ความชื่นชมและทึ่งในสิ่งที่ชาวต่างชาติคนหนึ่งได้เรียนรู้จากสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเพียรสื่อสารกับพสกนิกรทุกหมู่เหล่ามาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์

โดยสิ่งที่ศาสตราจารย์แมนเฟรดได้น้อมนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเขานั้น หาได้เป็นการยกย่องแต่เพียงเพราะพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในสายตาของใครๆ ทว่าเขามีความเข้าใจอันถ่องแท้ไปถึงคุณค่าที่เปล่งประกายออกมาจากภายในของพระองค์ท่าน อย่างที่คนไทยหลายคนอาจจะมิเคยพิจารณาในด้านนี้ มาก่อนเลยในชีวิต

ต่อจากนี้ไปจะเป็นเรื่องราวของชายชาวเยอรมันคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะที่เขาเป็น “ฝรั่ง” หากแต่มองพระองค์ท่านในฐานะของมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่งซึ่งรักและเทิดทูนในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าประชาชนชาวไทยคนใดในแผ่นดินนี้เลย

ดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริ

และคำสอนมีความสำคัญมาก

ผมรู้สึกเศร้าใจ เมื่อมีคนตั้งคำถามกับผมว่า รู้สึกอย่างไรเวลาที่ได้ยินคนไทยพูดว่า “เรารักในหลวง” อันหมายความถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผมจะให้คำตอบเช่นนี้ เพราะอะไรน่ะหรือ ลองคิดดูสิว่า ถ้าหากท่านมีลูกที่ไม่เคยเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านเลย ไม่เคยเดินตามแนวทางที่ท่านวางไว้ ไม่เคยต้องการที่จะเรียนรู้จากท่าน สิ่งที่พวกเขาทำนั้นเพียงแค่ก่อปัญหา แล้วก็เรียกร้องให้ท่านยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออยู่เสมอ ในขณะเดียวกันก็พร่ำพูดว่า “ลูกรักพ่อ” ถ้าท่านเป็นพ่อท่านจะรู้สึกอย่างไร

ผมจึงคิดว่า การดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริและน้อมนำคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ จึงมีความสำคัญมาก เราจะเห็นว่าพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระองค์ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารต่างประเทศนับไม่ถ้วน และหลายต่อหลายครั้งที่พระองค์ รวมถึงสมเด็จพระบรมราชินีนาถ โปรดให้นักหนังสือพิมพ์ และผู้สื่อข่าวของทั้งต่างประเทศและของไทยเข้าเฝ้า เพื่อสัมภาษณ์

การบอกเล่าถึงพระราชประวัติของพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงเป็นเพียงการตอกย้ำสิ่งที่ทุกคนโดยเฉพาะคนไทยต่างรู้ดีอยู่แล้ว สิ่งที่เราทั้งหลายควรให้ความสำคัญจึงเป็นสารที่พระองค์ทรงเพียรพยายามจะส่งต่อไปถึงชาวโลก และบทบาทในการสร้างความเข้าใจในระดับนานาชาติ รวมไปถึงแนวทางการปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนาอันงดงามของพระองค์

อย่างไรก็ดี คำถามมีอยู่ว่า เราในฐานะปัจเจกบุคคลได้ ทำอะไรบ้างที่เห็นเป็นรูปธรรม เพื่อทำให้โลกนี้ดีขึ้น โดยยึดแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ

การสรรเสริญและการแสดงความขอบคุณเป็นคนละเรื่องกัน ผมยังแปลกใจว่าในเมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระวิริยอุตสาหะที่จะทำให้พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีงาม ผมไม่ทราบว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจและรับรู้ข้อมูลข่าวสารจริงๆในสิ่งที่พระองค์ทรงสื่อสารให้ผู้คนได้รับทราบนั้นมากน้อยเพียงใด และจะมีสักกี่คนที่สามารถรวบรวมปัญญาและแนวทางที่พระองค์ทรงพระราชทานให้ เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตจริง

ทรงเป็นบรมครูอย่างแท้จริง

เราไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เลยว่า แนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นแนวทางที่เกิดขึ้นจากการที่พระองค์ได้ทรงศึกษาจริงและการที่พระองค์ทรงกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการมีพระราชดำรัสต่อพสกนิกรในชาติของพระองค์ หรือบุคคลต่างๆ และแนวทางเพื่อทำให้พสกนิกรเกิดความเข้าใจนั้น พระองค์ทรงกระทำด้วยความอดทนและด้วยทรงเห็นอกเห็นใจในอาณาประชาราษฎร์ของพระองค์ ผมเชื่ออย่างมั่นใจว่า หากพระองค์มิได้ทรงเป็นกษัตริย์ในช่วงพระชนม์ ชีพนี้ พระองค์จะต้องทรงเป็นบรมครูที่มีชื่อเสียงแน่นอน

ท่านทราบหรือไม่ว่า ความปรารถนาสูงสุดของครูคืออะไร?.

ผมตอบได้ว่า คือการที่เห็นศิษย์เป็นจำนวนมากเต็มใจศึกษาเล่าเรียนและเห็นคุณค่าคำสอนของครู ไม่มีอะไรอื่นอีกที่จะทำให้ครูมีความสุขมากไปกว่าสิ่งที่กล่าวแล้วนั้น ดังนั้น ผมจึงมีความรู้สึกว่า เราควรที่จะเน้นบทบาทของพระองค์เพื่อให้ทรงเป็นครูของเรา

แต่โปรดตระหนักไว้เสมอว่า อย่าศึกษาเล่าเรียนเพื่อเอาใจครู แต่จงศึกษาเล่าเรียนเพื่อประโยชน์และความดีงามให้เกิดแก่ตัวท่านเอง การศึกษาเล่าเรียนและรู้จักปรับปรุงตนเองเท่านั้นที่จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปคิดเรื่องไม่เป็นสาระอื่นๆ

ผมคิดว่า เป็นการไม่รับผิดชอบที่จะนั่งๆนอนๆ ใช้ชีวิตอย่างสบาย และให้คนคนเดียวทำงานอย่างหนักเพื่อ ดูแลและแก้ปัญหาของชาติ ท่าทีเช่นนี้เป็นสิ่งที่แสดงถึงความไม่เคารพต่อพระองค์ ซึ่งแย่ยิ่งกว่าการพูดถึงพระองค์ในทางไม่ดีในสาธารณะ

ประเทศหลายแห่งในโลกจะดีใจมากที่มีพระมหากษัตริย์เช่นนี้ แต่ท่านเองเป็นคนไทย มีพระองค์เป็นกษัตริย์ แต่ไม่ได้นำประโยชน์จากพระองค์มาใช้ในชีวิตเลย ผมคิดว่าน่าละอาย ถ้าหากเวลาหมุนเวียนไปสู่วาระใหม่และมีกระแสลมแรงมาจากทิศทางอื่น ประเทศหลายแห่งในโลกจะชี้มายังประเทศไทยและดูแคลนว่า

 “ดูสิ พวกเขามีครูผู้ยิ่งใหญ่ แต่ได้เรียนรู้จากพระองค์ น้อยมาก”

“ในหลวง” เป็นบุคคลเดียว

 ที่พยายามจะพัฒนาประเทศ

ผมรู้สึกสงสารพระองค์อย่างสุดซึ้ง เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นเพียงบุคคลเพียงคนเดียว ที่พยายามจะพัฒนาประเทศชาติ ในขณะที่คนอื่นๆ ได้แต่เฝ้ารอให้สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น โดยที่มิได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์ ซึ่งผมคิดว่า การพัฒนาประเทศในรูปแบบนี้ไม่น่าจะนำพาไปสู่ความสำเร็จได้

ผมมีโอกาสได้อ่านบทความมากมายในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยท่านหนึ่ง ผู้ที่นำพาประเทศไทยเข้าสู่สนามแห่งธุรกิจ เราพบเห็นนักการเมืองส่วนมากในเอเชีย ที่หลังจากครองอำนาจและได้ผลประโยชน์แล้ว ก็ไม่ช่วยเหลืออะไรประชาชนเลย นั่นทำให้ผมรู้สึกสงสารพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะคำสอนของพระองค์ตรงข้ามกับสิ่งที่นักการเมืองเหล่านั้นกำลังเป็นอยู่ พวกเขาจึงทำให้พระองค์ทรงทุกข์ใจ โดยเสแสร้งว่าซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงการสร้างภาพไม่ใช่ความจริง พวกเขาเพียงต้องการจะใช้ภาพแห่งความจงรักภักดีนี้ เพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนเทคะแนนให้ในการเลือกตั้ง และขึ้นสู่อำนาจในเวลาต่อมาเท่านั้น

ประชาชนคนไทยมุ่งหวังว่า นักการเมืองจะอุทิศตนเพื่อประเทศชาติเฉกเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่พวกเขาทั้งหลายก็ทำให้คนไทยทั้งชาติผิดหวัง พวกเขาไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้ เพราะนักการเมืองไทยได้รับอิทธิพลของแนวคิดแบบตะวันตก และมีหัวใจที่ถูกครอบงำไว้ด้วยธุรกิจ สำหรับผม ในหัวใจของพวกเขาจึงไม่ได้มีความเป็นไทยอีกต่อไปแล้ว

นั่นคือเหตุผลที่ทำไมคนธรรมดาสามัญทั้งหลาย จึงรู้สึกรับไม่ได้กับการคอร์รัปชั่นฉ้อราษฎร์บังหลวง และนักโกหกที่ทำลายประเทศด้วยมือของพวกเขาเอง อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ไม่มีใครสอนนักการเมืองดำเนินรอย ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความหวังของคนไทยทั้งปวงย่อมจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริง

แรงบันดาลใจจากสายพระเนตร สู่การ

เขียนหนังสือ “เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัว”

ก่อนที่จะตัดสินใจมาพำนักอยู่ในประเทศไทย ในความคิดของผม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงเป็นที่รู้จักมากนักในต่างประเทศ ชาวต่างชาติรู้แค่เพียงว่าประเทศไทยก็เป็นเพียงประเทศหนึ่งเท่านั้น หลังจากที่ผมย้ายมาพำนักอยู่ในประเทศไทยแล้ว ผมพบว่าประชาชนคนไทยเองก็ไม่ได้สอนอะไรผมมากนักเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทุกคนเพียงแค่พยายามจะเทิดทูนและยกย่องพระองค์ มีคนไทยเพียงแค่บางคนเท่านั้นที่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการจะสื่อสาร และดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระองค์

หนังสือเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเล่มแรกที่ผมอ่านคือ In his majesty’s footsteps หนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นถึงด้านที่เป็นเพียงปุถุชนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมถึงความพยายามของพระองค์ด้วย ผมไม่เคยขอให้ใครอ่านหนังสือเกี่ยวกับพระองค์ที่เป็นภาษาไทยให้ผมฟังเลย เพราะเพื่อนคนไทยของผมบอกว่า ๙๕ เปอร์เซ็นต์ของหนังสือพวกนั้น ล้วนแล้วแต่มีเนื้อหา รูปภาพ และเรื่องราวที่ไม่แตกต่างกัน นั่นจึงไม่ใช่แหล่งข้อมูลที่ผมต้องการ

กระทั่งวันหนึ่ง ผมเงยหน้าขึ้นมองพระบรมฉายาลักษณ์ขนาดใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชั่วขณะหนึ่ง โดยมองตรงเข้าไปในพระเนตรของพระองค์ แล้วทันใดนั้นพระองค์ก็ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนหนังสือ “เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัว” ขึ้นมา พระองค์ทรงรับสั่งให้ผมเขียนหนังสือเกี่ยวกับพระองค์ท่านขึ้นมาเล่มหนึ่ง การรับสั่งครั้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในทางรูปกาย หากแต่ผมรับรู้พระประสงค์ของพระองค์ได้ทางจิต เรื่องนี้อาจจะฟังดูเหมือนผมฟั่นเฟือนไปเสียแล้ว แต่ทว่าเป็นเรื่องจริง

สำหรับขั้นตอนในการผลิตหนังสือเล่มนี้ ส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครสนับสนุนการทำงานของผมเท่าใดนัก เพราะพวกเขาคิดว่า “ฝรั่ง” ไม่มีทางที่จะเข้าใจในพระมหากษัตริย์ของชาวไทยได้ ไม่มีใครเลยที่กล้าเสี่ยงในการตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ดังนั้น ผมจึงดำเนินการทางการเงินทั้งหมดด้วยตัวผมเอง กระทั่งทุกวันนี้ที่หนังสือได้รับการตีพิมพ์ถึง ๓ ครั้งแล้ว ผมก็ไม่ได้หากำไรหรือผลประโยชน์ใดๆ จากหนังสือเล่มนี้ เห็นได้จากราคาขายเพียงเล่มละ ๙๙ บาทเท่านั้น

ชาวไทยต้องเข้าใจคุณค่าของ “ในหลวง”

และผสานแนวทางพุทธศาสนาในการใช้ชีวิต

ผมไม่ได้ตีพิมพ์หนังสือของผมในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษทั้งที่มีคนไทยจำนวนมากขอให้ผมทำเช่นนั้น อันดับแรก ชาวไทยควรจะต้องเข้าใจคุณค่าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างถ่องแท้ และผสมผสานแนวทางแห่งพระพุทธศาสนาของพระองค์ลงไปในการดำเนินชีวิตประจำวัน สิ่งเหล่านี้ควรจะได้รับการสอนในโรงเรียนทุกแห่ง หากเป็นเช่นนั้นได้ ชาวต่างชาติและประเทศอื่นๆในโลกก็จะปฎิบัติตามแนวทางนี้โดยอัตโนมัติ

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือ ผมได้เสนอที่จะบรรยายโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ให้กับมหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่างๆ ในประเทศ ในหัวข้อ “เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัว” แต่คนไทยไม่เต็มใจหรือขี้อายเกินกว่าที่จะเชิญผมไปบรรยาย พวกเขาไม่เข้าใจด้วยว่า ฝรั่งจะรู้เรื่องราวทุกอย่างของพระมหากษัตริย์ของคนไทยได้อย่างไรกัน

ผมเคยเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทยที่กรุงเทพมหานคร ในจดหมายฉบับนั้นบอกเล่าถึงแนวทางการดำเนินชีวิตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และอีกมากมายหลายเรื่อง รวมไปถึงการขอเข้าพบเพื่ออธิบายถึงสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ และแนวทางการแก้ปัญหา แต่พวกเขาไม่แม้แต่จะตอบกลับมาว่าได้รับจดหมายแล้ว ดังนั้นผมจึงยอมแพ้

นี่คือผลลัพท์ของค่านิยมตะวันตกและการบริโภคนิยม ซึ่งถูกกระตุ้นโดยนักการเมืองไทย

ชาวต่างชาติล้วนชื่นชมในพระปรีชาสามารถ

กล่าวถึงความรู้สึกต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของชาวต่างชาติที่อยู่รอบตัวผม สำหรับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานาน พวกเขาจะชื่นชมในพระปรีชาสามารถของพระองค์อย่างมาก โดยพื้นฐานแล้วชาวต่างชาติอาศัยอยู่ในประเทศไทยมีทัศนคติในด้านบวก กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพียงแต่เราไม่ได้เทิดทูนในลักษณะเดียวกับที่คนไทยเป็นอยู่

ในโลกนี้มีราชวงศ์มากกว่า ๓๕ ราชวงศ์ แน่นอนว่าเราไม่สามารถโฟกัสไปที่ราชวงศ์ทั้งหมดอย่างทั่วถึงได้ ที่สำคัญคือ ราชวงศ์ส่วนใหญ่มีหน้าที่เพียงแสดงให้เห็นถึง การดำรงอยู่ของราชวงศ์เท่านั้น แต่อะไรที่เราจะสามารถเรียนรู้จากบุคคลในราชวงศ์และกษัตริย์แต่ละพระองค์ได้คำตอบคือไม่มีเลย เพราะพวกเขาไม่ได้ดำรงตนเป็นครูให้ กับประชากรของตนเอง อย่างเช่นที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น

เรื่องที่น่าสลดใจก็คือ คนไทยทั้งหลายไม่ตระหนัก และยอมรับในสิ่งนี้ ทุกคนภาคภูมิใจในการมีพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดอันเป็นรากฐานของสังคม เศรษฐกิจและการเมือง การเป็นแรงบันดาลใจ ความเป็นตัวอย่างที่ดีและวิถีแห่งการดำเนินชีวิตของพระองค์ ไม่ได้ถูกรับเอามาใช้ในการทางปฏิบัติอย่างเต็มบ่า

ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเป็นบุคคลที่มีแนวพระราชดำริและกระทำการใดๆ โดยใช้หัวใจทั้งสิ้น พระองค์ทรงเข้าใจดีถึงคุณค่าของความรักและความซื่อสัตย์ ดังนั้นคนไทยจึงรู้สึกเชื่อมโยงได้ถึงพระองค์

แนวคำสอนของ “ในหลวง” เป็นสากล

เช่นเดียวกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นเป็นสากล เฉกเช่นเดียวกับคำสอนของพระพุทธเจ้า คนทั่วโลกจึงสามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากพระองค์ไปปรับใช้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการศึกษามาจากต่างประเทศ (สวิตเซอร์แลนด์และสหรัฐอเมริกา) พระองค์ทรงตระหนักว่าการศึกษาแบบตะวันตกนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่ทว่าไม่ใช่ทุกอย่าง พระองค์ทรงสามารถถ่ายทอดแก่ชาวตะวันตกรวมถึงคนไทย ถึงเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงและการศึกษาอันชาญฉลาด แต่ความรู้ทั้งหมดในโลกนี้ย่อมไม่มีประโยชน์อันใดเลย ถ้าหากปราศจากการเชื่อมโยงถึงความรู้สึกลึกซึ้งข้างในจิตใจ

จึงกล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงเป็นทั้งสัญลักษณ์ของความชาญฉลาดแบบตะวันตกและภูมิพลังปัญญาของชาวตะวันออกในบุคคลคนเดียวกัน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สมบูรณ์พร้อมอย่างมาก

ผมเคยได้ยินเป็นประจำที่ชาวต่างชาติหรือเพื่อนผู้หญิง ที่เป็นคนไทยพูดว่า “เงินเดือนน้อยที่ทำมาจากชาติตะวันตก สามารถทำให้คนนั้นใช้ชีวิตในประเทศไทยได้อย่างกับพระราชา”

ในส่วนอื่นๆของโลก “การมีชีวิตอย่างพระราชา” เป็นนัยยะของการอธิบายว่า นั่นคือความสะดวกสบาย การใช้ชีวิตที่สนุกสนาน หรืออาศัยในดินแดนวิมานฉิมพลีอะไรทำนองนั้น

ด้วยข้อเท็จจริงแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงใช้ชีวิตเช่นนั้นก็ย่อมทำได้ หากพระองค์จะทรงมีพระราชประสงค์เช่นนั้น เพราะพระองค์ทรงราชสิทธิ์ที่จะสามารถทำได้ แต่พระองค์มิเคยทรงมีพระราชประสงค์ เช่นนั้น หากแต่ทรงอุทิศเวลาทั้งหมดตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์โดยมีเป้าหมายอันสูงสุด ในการทรงงานหนัก เพื่อผู้อื่น เพื่อประชาชนของพระองค์

ในประเทศศรีลังกาซึ่งผมเคยพำนักอยู่ มีสุภาษิตบทหนึ่งกล่าวว่า “ถ้าท่านไม่สามารถเป็นพระราชาได้ จงเป็นหมอ” ชาวตะวันตกส่วนใหญ่ไม่เข้าใจความหมายของสุภาษิตบทนี้ พวกเขาจะพูดจนติดตลกว่า “ผมเข้าใจแล้ว หากคุณไม่สามารถซื้อรถโรลส์รอยซ์ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้เป็นรถเบนซ์ และถ้าคุณไม่สามารถมีพระราชวังที่พำนักได้ ก็ขอให้มีคฤหาสน์หลังใหญ่รอบล้อมด้วยนางพยาบาลแสนสวย”

เมื่อเห็นกษัตริย์หรือราชาธิบดีของประเทศตะวันตกบางพระองค์ ว่าทรงมีความเป็นอยู่เช่นไร ผมจึงไม่อาจตำหนิชาวตะวันตกที่เข้าใจผิดในเรื่องนี้ได้

คนเอเชียเข้าใจสุภาษิตบทนี้ได้ดีกว่าชาวตะวันตก ซึ่งหมายความว่า หากท่านไม่สามารถรักษาดูแลประเทศชาติทั้งหมดได้อย่างเต็มที่เหมือนอย่างพระราชา แต่ท่านอาจสามารถดูแลรักษาคนไข้จำนวนมากได้ในฐานะที่เป็นแพทย์ สุภาษิตที่เรียบง่ายบทนี้ ยังมีความหมายที่แสดงให้เห็นถึงข้อแตกต่างเกี่ยวกับกษัตริย์ของประเทศในโลกตะวันตกและตะวันออกอีกด้วย

พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่

จะอยู่ในหัวใจของคนไทยตลอดกาล

ผมขอย้ำเตือนอีกครั้งว่า จงอย่าตำหนิอิทธิพลของต่างประเทศหรือโลกตะวันตก แต่จงดูและเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และในทำนองเดียวกัน ก็ศึกษาให้เข้าใจในคุณค่าของมรดกทางความคิดและความเชื่อ ซึ่งพระองค์ทรงมีอย่างอุดมสมบูรณ์ รวมไปถึงแนวทางการทำงานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรากตรำพระวรกายและทรงงานหนัก มิใช่เพียงเพื่อทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ที่ประเสริฐ แต่พระองค์ทรงกระทำเพื่อเป็นตัวอย่างฉันผู้นำทางและเป็นครูของเรา ผมไม่สามารถเน้นถึงสิ่งต่างๆได้ทั่วถึง อย่างที่เราสามารถหรือควรจะเรียนรู้ได้จากพระองค์ ท่านซึ่งมีมากมายมหาศาล

เมื่อก่อนนี้ผมมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแขวนไว้ในบ้าน รวมถึงพระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ด้วย แต่นั่นเป็นเพียงเพราะว่าพระองค์ทรงเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนของผม

ทุกคนควรจะตระหนักว่าหนทางเดียวที่จะแสดงความเคารพต่อครูก็คือ เรียนรู้จากพระองค์ เพื่อที่จะนำความรู้นั้นไปช่วยเหลือคนอื่น ไม่ใช่เพียงแค่แขวนพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ไว้ในบ้าน

มีหลายครั้งที่ผมได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในความฝัน พระองค์ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับผมในเรื่องตลก ซึ่งก็เพียงพอแล้วสำหรับผม แต่หากมีโอกาส ได้เข้าเฝ้าพระองค์จริงๆ ผมจะกราบทูลต่อพระองค์ว่า ขอขอบพระทัยพระองค์อย่างยิ่งสำหรับทุกสิ่งที่ทรงกระทำ

หากถามว่าคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรื่องใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตผมได้มากที่สุด ผมคงจะตอบว่าไม่มีใครที่จะสามารถเปลี่ยนใครได้ นอกเสียจากตัวของเขาเอง ผมเชื่อด้วยว่า อำนาจล่อใจของอิทธิพล ทางการเมืองและวัตถุนิยมกำลังเข้มแข็งมากเกินไปในสังคมไทย คำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงกำลังสูญหายไปตลอดกาล หากยังไม่มีใครตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญแห่งคำสอนนั้น

หากทุกคนช่วยกันเก็บรักษาเจตนารมณ์อันแรงกล้าและคำสอนของพระองค์ไว้ ให้อยู่สืบต่อไปตราบชั่วลูกชั่วหลาน ผมเชื่อมั่นเหลือเกินว่า พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของทุกคนพระองค์นี้จะอยู่ในหัวใจของคนไทยตลอดกาล

(หมายเหตุ : บทความนี้ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ และตีพิมพ์ครั้งที่สองในนิตยสาร Lips ปี ๒๕๕๒)

(ที่มาจาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ ๑๓๓ มกราคม ๒๕๕๕ โดย กองบรรณาธิการ)








ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

กว่าจะรู้.. ตื่น.. เบิกบาน ก็พบว่า หลายคนก็ได้ก่อกรรมที่น่ากลัว

เมื่อก่อนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ และชมภาพยนต์บางแนว บางเรื่อง เคยสงสัยว่า การที่คนบางคนในประวัติศาสตร์ และ แม้ที่สุด มีผู้ที่จินตนาการแล้วทำออกมาเป็นภาพยนต์ ที่ทำความผิดให้ต้องถูกตัดสินลงโทษตัดหัวเสียบประจานเจ็ดชั่วโคตรทั้งตระกูล มันเป็นไปได้อย่างไร ? 

เขาก่อเหตุบาปหนักอันใดหนอ ? ถึงต้องโทษหนักซะขนาดนั้น... แล้วบุคคลที่จะมาพิพากษาชีวิตคน ให้ต้องโทษ จะต้องทรงพลังอำนาจ และไม่ก็ต้องเป็นสายโทสะ เหี้ยมโหดมาก ๆ ถึงจะทำเช่นนั้นได้ 

ครั้นได้เข้ามาอยู่ในเส้นทางพระศาสนา ก็ยิ่งชัดเจนในเส้นทางกรรมของคนที่ก่อบาปกรรมทรามเอง เห็นกระทั่งว่า... ผลกรรมกำลังสุกงอมมาก และจากความผิดที่ตนกระทำเพียงคนเดียวค่อย ๆ เพิ่มไปสู่ทุกคนในครอบครัว ในตระกูล และในทุกคนที่ตกหลงเข้าไปในค่ายกลแห่งคนทราม...

แม้ในใจจะเกิดความสงสาร ทุ่มเทหาทางช่วย แนะนำ หากด้วยโมหะและบาปที่หยาบหนา ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ด้วยคนที่หลงทางไม่คิดที่จะตื่นมาเป็นคนที่จะพอมีสำนึก นี้จึงเป็นความชัดแท้ แม้ในยุคนี้ จะไม่มีผู้ลงโทษ นำไปตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร 

หากพฤติกรรมเขาเองกระทำก็ได้พิพากษาตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรตนและคณะทราม ฯ อยู่โต้ง ๆ ๆ อย่างสยดสยองทุกวินาทีแล้ว






ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

ในการทำงานใดใด... อย่าให้จิตใจตกอยู่ภายใต้อิทธิพล..อารมณ์ ความคิด ที่คุกรุ่นด้วยความใจร้อน ฯลฯ



เพียงมั่นคง ศีล สมาธิ ปัญญา
นำพาชนะจิตใจตน โดยแท้
เรื่องหยาบคาย ใด อื่น ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
กฏแห่งกรรม เที่ยงตรงลงโทษแน่ นั่นเทียวแท้..แผ่นดินมั่นคง




ยิ่งสังคมการเมืองด้วยแล้ว หากภาคสัมมาปัญญายังคงใช้ยุทธศาสตร์ " ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มาก ๆ หมด ๆ " คือ การให้ความรู้ตรง ๆ แก่ปวงมหาประชาชนเพื่อความชัดเจน และเจตนาเพื่องานแผ่นดิน ดั่งเจตนาอันแน่วแน่แห่ง... พระปฐมบรมราชองค์การ ออกไปมากเท่าใด ๆ มีรูปธรรมโครงการพระราชดำริ...เพื่องานแผ่นดินมากยิ่ง ๆ เท่าใด ๆ ก็ยิ่งเห็นกังฉินที่มีแต่ทุจริตออกอาการมากขึ้นเท่านั้น ๆ 



และเมื่อหลักฐานที่มัดแน่นปรากฏ ชัดขึ้น มิใช่ เพราะใครเก่งที่จ้องจับผิดใครต่อใครได้หรอก หากคืออาการ " น้ำลอ ตอผุด " จากผลกรรมทุจริตที่กังฉินก่อเอง ทำไว้แล้วเอง ประชามหาชนชนเพียงมั่นคง ตั้งมั่นในศีล พร้อมให้กำลังใจกันและกัน ให้กำลังใจที่พึ่งอันเป็นพลังขับเคลื่อนของแผ่นดินหลัก ๆ คือ ศาล ฯ หรือ ตุลาการ ๑ ประชาชน ๑ และ ในหลวง หรือ สถาบันกษัตริย์ ๑ อย่างสม่ำเสมอ



ซึ่งจะต่างจากสมัยเรียน ที่ว่า ประเทศต้องคานกันและกันด้วยสามสถาบันหลัก คือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และ ฝ่ายตุลาการ ซึ่งบัดนี้ ชัดเจนว่า..สองฝ่ายแรกโดนกังฉินมัดตราสังข์เรียบร้อยแล้ว



หากปวงมหาประชาชนมั่นคง ดั่งที่กล่าวโดย่อ..ก็เชื่อมั่นว่า ประเทศจักสามารถฝ่าหลุมดำ...สู่ความอุดมสมบูรณ์ โดยธรรม ซึ่งเหล่ากังฉิน ย่อมต้องรับผลจากการกระทำที่ตนก่อโดยแท้ ไม่รอดโดยสิ้น




พระปฐมบรมราชโองการ..

" เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชาวสยาม " 

http://www.youtube.com/watch?v=uWKpO4ePLyk



(( หากใจร้อนขาดสัมมาปัญญา แล้วเลือกแก้ปัญหาแบบเจ้าลิงจ๋อ ในภาพประกอบ เมื่อโดนแฟนทิ้ง แล้วงานแผ่นดิน งานการศึกษา งานที่ใหญ่กว่านี้...จะเหลืออะไร ? ))




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

กรณีศึกษา สร้างความชัดเจน เมื่อเกิดความเห็นต่าง...การล้างพิษตับ

http://pantip.com/topic/30450223


เรื่องราว จาก..pantip.com

๑. กระทู้กล่าวหา... แฉการหลอกลวง เรื่อง การล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอก http://pantip.com/topic/30447055
๒. กระทู้กล่าวแย้ง...ตามหาความจริง...อะไรกันแน่ที่ออกมาจากการล้างพิษตับ !?

http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9550000154538


และ... เรื่องราว ที่มา ของความต่างในสองกระทู้ต้น คำตอบคือ เนื้อหาจาก รายการ คนค้นฅน มหัศจรรย์ล้างพิษ 04May2013 เพื่อเป็นความชัดเจน

http://www.youtube.com/watch?v=XodVwc1M2Eg
http://www.youtube.com/watch?v=4udmDprXaS0
http://www.youtube.com/watch?v=Z9_lWyFoWR4
http://www.youtube.com/watch?v=nV8eZSqmBjY


หมายเหตุ..ให้สติ

ต่าง...แต่สามัคคี
ต่าง...ก็ศึกษาความต่าง
ต่าง...จึ่งพิสูจน์ด้วยผลในการเอาใจใส่ดูแลตน...และ ใช้หลักวิชาการ หลักกการ เป็นเจตนา
จึงเป็นความชัด ตรงเจตนาแท้ ในความห่วงใยสุขภาพ ด้วยวิสัยลูกผู้ชาย ผลดีจักได้แก่ประชาชน



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

ชมแล้ว คิดอะไร ?


เหล้าบุหรี่ สิ่งเสพติด การพนัน ฯลฯ ที่ว่า...เป็นอบายมุขที่เห็นบุรุษหลงเสพ หลงติดโดยมากนั้น 

ยังมีอบายมุข ที่ มอมเมาเหล่าสตรี...และคนที่ติดหลง ทำให้เสียเวลา หมดเปลือง ผลาญพล่าอย่างหนัก ดูที่ตัวอย่างที่น้องแพรคนนี้... นำเสนอ สอนแต่งหน้า

http://www.youtube.com/watch?v=ekQ-B-DoY2c

http://www.youtube.com/watch?v=ALJ99j8VdRk







ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

อีกประการหนึ่ง....จุดต่ำสุดของคนทุนนิยมสามานต์...คือ เมื่อหันมาเล่นงานตงฉิน ล่มแผ่นดินคุณธรรม

จุดต่ำสุดของคนทุนนิยมสามานต์ที่ชัดในความทรามของตน & แพ้ภัยตนเองจักเกิดทันที เมื่อหันมาเล่นงานตงฉินคุณธรรมผู้ไม่เคยทำร้ายใครหากพากเพียรมุ่งแต่ประกอบคุณงามความดี


คนที่เขาหมายทำลายกัน เขาก็ต้องขุดความไม่ดีแล้วปั่นห้นความสนใจให้สังคมหลงติดตาม จนคนทั้งสังคมต่างหลงลืมหน้าที่ที่จะต้องส่งเสริมสร้างบุคคล เพื่อให้เป็นผู้ที่มีความดีให้มั่นคงให้สังคมเกิดความเข้มแข็ง


และทิศทางในโลกของความเห็น สู่ ความเป็น นานมาแล้ว จนถึงบัดนี้ยังไม่พบว่า จะมีประเด็นใดที่มุ่งหมายเพื่อแก้ไขอนาคตชาติ รักษา คุ้มครองป้องปกอนาคตแผ่นดินเลย เห็นมีก็แต่การแสดงออกเพื่อเป็นตัวแทนทุนนิยมสามานต์ ฯ










ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

ขอบ่นดัง ๆ ไว้หน่อย....เพื่อหยุดเจ้าคนชอบสร้างหนี้ ใส่บ่า ให้ประชาชนแบก


หากมีกติกาแบบนี้ จักมีคณะรัฐมนตรี ยุคใด หาญกล้า...

กติกาสำหรับใช้ในการกู้เงิน ไม่ว่าจะนำมาเพื่อเจตนาใด... หาก ครม.ยุคนั้น ๆ สมัยนั้น ๆ กระทำการ ขอให้หักภาษีจากทุกคนที่ร่วม...ลงมติ กู้... โดยต้องชดใช้เงินเพื่อคืนเจ้าของเงินโดยจำนวนมากกว่า มหาประชาชนคนธรรมดา กว่า ๕๐ % ของรายได้ตน...

และแม้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ไปแล้ว ก็ให้หักภาษีชดใช้ต่อไปอีก ไม่น้อยกว่า ๒๕ % ของรายได้ในครอบครัว ไปจนกว่า ประเทศจะใช้หนี้หมด โดย ต้องไม่ต้องให้ประชาทั้งแผ่นดินร่วมแบก...ในสิ่งที่คณะตนได้ก่อไว้... 

แม้ที่สุด เกิดมีใครตรอมใจตาย...ก่อนประเทศหมดหนี้สิน กติกาต้องบังคับให้คนในครอบครัวต้องรับผลจากการกระทำของคนในครอบครัว ที่ปล่อย..หรือ สนับสนุนให้เข้าไปเป็นผู้บริหาร ฯ (ที่ไร้ฝีมือ เก่งแต่ ชอบกู้...) ก็จักต้องรับหน้าที่จ่ายภาษีนั้นต่อไป โดย อาจจะลดลงมา เหลือ ๑๐ % หรือ ๑๕ % ของรายได้รวมของครอบครัว 

หากใครหลบเลี่ยงบิดพริ้ว ก็ให้ริบทรัพย์สินทั้งหมดของบุคคลนั้น เข้าคลังหลวงโดยสิ้น และ ในอนาคตหากจะมีคนในตระกูล จอมกู้ มาสมัครเพื่อเป็นคนทำงานการเมือง ต้องออกกติกาห้ามเข้ามาเป็นโดยเด็ดขาด...

นี้คือ กติกา ในการกู้...
เพราะไม่รู้ มีคิดกันไว้ไหม ?
นับแต่ มีสยาม หรือ นามไทย
เริ่มต้นจาก สมัย... และตั้งใจแบบใด อย่างเจตนา...

หาก นับจากบัดนี้
ไปจน สมัย ในภายหน้า
เมื่อ คณะรัฐมนตรี คณะใด ? เพิ่มเงินตรา
โดยกู้เงินหนา ๆ มาใช้งานแผ่นดิน หรือ ถลุงเอง

โดย ต้องมี กติกา
คณะรัฐมนตรี คณะใด ? กู้มา ต้องปฏิบัติ เมื่อ อวดเก่ง
จักต้องรับผิดชอบร่วมชดใช้ ตามกรรมตนทำเอง
ต้องร่วมจ่าย..มากกว่า มหาประชาชน ทั้งแผ่นดิน





หากมีกติกาแบบนี้ จักมีคณะรัฐมนตรี ยุคใด หาญกล้า...  www.facebook.com/groups/166159703449617/



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

การเลือกทางเดินของชีวิตเพื่อให้เกิดความมั่นคงในแต่ละคน ย่อมต่างกัน...

พระพุทธองค์ ผู้ทรงค้นพบ ได้ประกาศสองเส้นทางที่เหมือนจะมั่นคงในทัศนะ ฯ ของมนุษย์ผู้หลงทาง ให้ได้แลเห็น   โดย พยายามประดิษฐ์ตำรา ศาสตร์ความรู้ ความเข้าใจ หากโดยแท้ คือ เป็นไปเพื่อการมอมเมามิจฉาทิฐิแก่สังคมโลก 

เมื่อพิจารณา คำตรัส ฯ ครั้งแรก จะพบการแยกแยะ และ พร้อมกับ ชี้ทางออกที่ตรงสาระสัจจะใหม่ โดย เกิดชัดจริงแท้ หลังจากที่พระพุทธองค์ ได้ผ่าน ได้ค้นพบอันคือความมั่นคง ด้วยพระองค์เองแล้วมีรูปธรรมทำให้ดู เป็นอยู่ให้เห็น ร่มเย็นให้สัมผัส

การประกาศ ณ ครั้งนั้น คือ การแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร ซึ่งมีเนื้อหาแสดงถึงการปฏิเสธส่วนที่สุดสองอย่าง ฯ และ เสนอแนวทางดำเนินชีวิตโดยสายกลางอันเป็นแนวทางใหม่ให้มนุษย์ 

โลกยุคนี้ ได้แบ่งชัดเจนเป็นสองขั้ว คือ ขั้วทุนนิยมสามานต์ และ บริวาร ฯ ตั้งแต่ระดับธรรมดา ๆ ไปจนระดับที่มุ่งกิน สูบ ดื่ม เสพ กอบโกย โกงจนร่ำรวย บำเรอบำรุง โดย อาจจะเรียกกลุ่มนี้ว่า กลุ่มนิยมเงิน จนจะคือ ลัทธิศาสนาบูชาเงิน เป็น พระเจ้า ลักษณะในใจและรูปธรรมคนกลุ่มนี้ จะติดหลงอย่างหนักใน ลาภ.. ยศ.. สรรเสริญ.. สุข.. มุ่งมอมเมาหลอกให้ใจหลงเสพ หลงติด อีกทั้งพยายามที่จะผลัก ไม่อยากพบ ไม่อยากให้ชีวิตตนเกิดการเสื่อมลาภ.. เสื่อมยศ.. นินทา.. ทุกข์.. โดยเด็ดขาด เพราะนั่นจะทำให้ชีวิตไม่มั่นคง

อีกกลุ่มบุคคลผู้ที่ชัดเจนในการนำความมั่นคงแท้ โดย เลือกเจริญรอยตามมหาบุรุษเอกของโลก แม้ว่า บุคคลจะมีจำนวนน้อย หาก ในแผ่นดินชมพูทวีป อันคือ ประเทศไทย ณ บัดนี้ ก็มีแนวทาง แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ที่พระองค์ทรงพระราชทานแนวเศรษฐกิจพอเพียง นำพา นำทำ และ นำธรรม... และมีทิศทางว่า ผู้ที่มีสัมมาปัญญาทั่วโลก กำลังเริ่มที่จะเกิดความชัดเจนและหันมาพิจารณาแนวทาง...มากขึ้น ๆ ก่อนที่โลกจะล่มสลายไปมากกว่านี้ ( ซึ่ง ณ แผ่นดินไทย เช่นกัน กำลังจักได้พบเห็นความล่มสลายของคนเหล่าทุนนิยมสามานต์ ที่ค่อยๆ มากขึ้น )








ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

ถึงลูกหมา ไม่ทดแทน คุณแม่หมา

แต่ลูกหมา ไม่เคยทำ แม่ร่ำไห้

เกิดเป็นไทย ไม่แทนคุณ ไม่เป็นไร

หากมัวจ้อง จะทำลาย อายหมามัน








ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท