ครูบาบินก้าว
ครูบา บินก้าว อิทธิภาโว จนอีหลีอีหลอ

อนุทินล่าสุด


ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

 

กรรมฐานชาวพุทธ โดยแท้ คือ การฝึกกิน อยู่ หลับนอน โดย อยู่ในศีลสม่ำเสมอทั้งต่อหน้า และลับหลัง

 

บันทึกความเห็น สู่ ความเป็น เพื่อการเรียนรู้จริตตรง ๆ นับเป็นความสำคัญ... การต้องพากเพียรฝึก โดยค่อย ๆ สะสมความเข้มแข็งเพื่อเป็นพลังศีลธรรมแห่งตน มีแพ้ - มีชนะกิเลส มีการเรียนรู้ร่วมกันในความเป็นอยู่ของตน ของเพื่อนพี่น้อง โดยเห็นการแพ้-ชนะกิเลส เห็นลีลาแห่งการพากเพียร และ ทั้งในยามขัดเกลา และ เวลาปล่อยเนื้อปล่อยตัว ฯลฯ ของกันและกัน

การแสดงออกของพ่อแม่พี่น้องเอ้ย...สำหรับบางท่าน บางคนที่มีความเห็น โดย หมายจะใช้หมัดเด็ดหมัด หมัดเดียวจอด... ส่วนมากเป็นความเพ้อฝันของคนที่หลงตนลักษณะหนึ่ง โดย จะมีพฤติกรรมความสม่ำเสมอต่อหน้า กับ ลับหลังไม่สม่ำเสมอกัน 

โดยส่วนมากมักจะพบการแพ้กิเลสอันเป็นสักกายะตนในเรื่องนั้น ๆ ของบุคคลเช่นนี้เกิดมีอยู่เป็นนิจ...หากตนคงหลงกับม่านมายาภาพที่ตนเองที่สร้างกรงขังตนเองไว้

บันทึกธรรม แห่งการคบคุ้นในการอยู่ร่วมตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อการทำความคุ้นเคยให้รู้จริต - นิสัย ให้รู้จักตัวจริง ๆ ของกันและกัน บนพื้นฐานของการสมาทานศีลซึ่งเป็นมาตรฐานสำคัญในสังคมของแต่ละคน เรียนรู้ความต่าง - ความเหมือนในท่ามกลางการอยู่ร่วมกันจากจำนวนน้อย สู่การอยู่ร่วมเป็นจำนวนมาก และ พยายามสู่การปรับตัวเอง... ฯลฯ นั้น...เป็นความสำคัญมาก 

ความอิสระที่เกิดการอยู่ร่วมกับคนเป็นจำนวนมาก จะยากกว่า ความอิสระที่ตนแสดงออกโดยอยู่ปลีกเดี่ยวคนเดียว หากสามารถอิสระในท่ามกลางคนจำนวนมากได้...จะเป็นความมั่นใจ ความเชื่อใจ ก่อนจะก้าวไปสู่การทำงานเพื่อการเรียนรู้ - เอาภาระที่ใหญ่กว่านั้นมาก ซึ่งจะต้องใช้พลังแห่งการปรับตัวที่มาก ๆ กว่านั้น...นักกว่านัก

พึงศึกษาจิตใจตนเอง ตรวจพฤติกรรมตนเองทั้งต่อหน้า และ ลับหลังให้จงดี...กรรมฐานในการปฏิบัติตนเพื่อการปฏิบัติธรรม ตามที่ครูบาอาจารย์พากเพียร อบรม สั่งสอน อันคือ การกิน การอยู่ การหลับการนอน ให้อยู่ในศีล ในธรรมทั้งต่อหน้าและลับหลังจึงเป็นความสำคัญในการอยู่ร่วมอย่างมาก ก็ขอเป็นกำลังใจสู่กัน..

 

 

 

 

บันทึกภาพ จาก เวียดนามใต้...

 

 

 

บันทึกภาพ จาก ครั้งหนึ่ง ณ เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน

 

 



ความเห็น (1)

บทเรียนชีวิต ที่แสดงออก โดย สงบ หากก็ยังถูกกระทำ...อย่างไม่ย่อท้อ...



สันติธรรม มั่นทำแต่ดี

สันติธรรม จึงมีสุขสันต์
หนักเหนื่อยปานไหน ก็ไม่เคยหวั่น
กล้าเจอะประจัญ ขอฟันฝ่าไป

สันติธรรมย่อมมีพลาดพลั้ง
สันติธรรม ตั้งใจแก้ไข
ปรับปรุงกันนั้น เป็นความหวังใหม่
เมื่อมีอะไรขออภัยต่อกัน

ตรองดูเถิดชาวไทย
ถ้าใครเหนือใครเป็นต้องห้ำหั่น
มันเป็นเรื่องรังสรรค์ หรือไรไฉนกัน
พากันคิดดู

สันติธรรมขอชวนเพื่อนพ้อง
สันติธรรมต้องวอนผู้รู้ 
โปรดจงมองเห็นดีที่มีอยู่ 
ติเตียนเรียนรู้แล้วพอ อย่าหลู่กัน
ติเตียนเรียนรู้ แล้วพอ อย่าก่อเวร..

สันติธรรม 
http://www.youtube.com/watch?v=xB-1X6M9-NU

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

หัวใจ เมื่อไม่มีอิสระ หากทรงสภาพกายชนะ ด้วยเป็นคนโสด..

 



* ความรัก.." ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยเสมอไป " *



ความรัก..ที่ไม่จำเป็นต้องจบ...ด้วยการที่อยู่ด้วยกัน

" บางที.. อาจไม่จำเป็น..เสมอไป ที่ความรัก..จะต้องจบลง ด้วยการ..ได้เป็น..คนรัก "

บนเตียงเล็ก ๆ.. ในบ้านอบอุ่น..หลังหนึ่ง แดดยามเย็น..ทอบางบาง..ผ่านหน้าต่าง หญิงชรา..อายุราว ๆ ๗๐ ปี นอนซม..อยู่บนเตียง เธอรู้ว่า..นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้าย..ในชีวิตของเธอแล้ว

..แต่จะเป็นอะไรไปล่ะ..เธอพอใจกับชีวิตทั้งหมด..ที่เธอได้ผ่านมาเธอ..ได้แต่งงาน ..มีครอบครัว..ที่อบอุ่นแม้จะไม่มีลูก..ก็ตาม มีเพื่อนที่ดี ..ผ่านชีวิตการงานที่ดี ถึงแม้วันนี้..สามีของเธอจะตายไป..ร่วม ๑๐ ปี แต่..ในวันสุดท้าย..ของชีวิต เพื่อน-ที่เธอรักที่สุด.. ก็มานั่งเคียงข้างเธอ..อยู่ตรงนี้ มาส่งเธอ..เหมือนทุกครั้ง..ทุกคราว

" หมอบอกว่า..ฉันคงอยู่ได้ไม่เกินพรุ่งนี้เช้าหรอก " เธอเอ่ยบอกกับเขา..เพื่อนชราที่รู้จักกับเธอมาแต่ครั้งยังเด็ก " ฉันรู้ " ชายชรา..พยักหน้ารับ
" เธอมาส่งฉัน..เหมือนทุกทีสินะ " หญิงชรา..มองหน้าชายชรา
" ใช่..ก็ฉันส่งเธอมาตลอดทั้งชีวิตนี่นา.. ขาดไปอย่างคงไม่ครบ " ชายชราตอบ..ด้วยรอยยิ้มบางๆ

" ตอนเด็กๆ..บ้านเราอยู่ทางเดียวกัน..เรากลับด้วยกันทุกเย็น บ้านฉัน..อยู่เลยบ้านเธอไปมาก.." เธอ..รำลึกความหลัง "แต่ฉัน..ก็ไปส่งเธอทุกวัน " ชายชราบอก " ใช่..เธอทำอยู่อย่างนั้น..ตลอดชั้นประถม..และมัธยม..ที่เราเรียนด้วยกัน..จนเพื่อนๆล้อว่าเราเป็นแฟนกัน " หญิงชราพูดขึ้น

" สุดท้าย..ก็ต้องเลิกล้อกันไป " เพื่อนชราของเธอ..ต่อคำ
" ตั้งแต่เธอคบกับแฟนคนแรกของเธอนั่นแหละ " เธอเย้ายิ้มๆ
" แต่ฉันก็ไปส่งเธอทุกวันอยู่อย่างเดิม...จนต้องเลิกกับแฟน ไม่ใช่ รึ " ชายชรา..ทวนความหลัง

เธอจำได้ว่า..เธอบอกเขาอยู่บ่อยๆว่าไม่ต้องเดินมาส่งแล้ว..เดี๋ยวแฟนเขาจะโกรธเอา แต่เขาก็ยังดึงดัน..ที่จะมาส่งเธอ " โกรธก็โกรธไป ..ฉันรู้จักเธอมาก่อนตั้งนาน..ยังไงเธอ..ก็ต้องมาก่อน " นั่น..เป็นคำพูดที่เธอจำได้-ไม่ลืม

..แม้ว่า..มันจะผ่านมาเกือบ ๖๐ ปี แล้วก็ตาม..

เธอยังจำ..วันที่เขาต้องขึ้นรถไฟ..เพื่อไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้ วันนั้น..เธอไปส่งเขาที่สถานี ..ร้องไห้จะเป็นจะตาย..เขาวุ่นกับการปลอบเธอ..จนไม่เป็นอันได้ร่ำลาพ่อแม่ พอเธอสงบลง..และขอตัวเข้าไปล้างหน้าล้างตา..ในห้องน้ำ
พ่อแม่ของเขา..ไปเช็คเที่ยวรถไฟ ...พอเธอกลับมา..ก็พบเขานั่งร้องไห้คนเดียว..กับกองกระเป๋า...เงยหน้าขึ้นบอกกับเธอ..ทั้งน้ำตา " กลับบ้านเอง..เดินดีๆ นะ " และนั่น..ทำให้เธอต้องเสียน้ำตา..อีกรอบ

เธอจำได้ว่า..วันที่เขาปิดภาคเรียนกลับมาบ้าน..เธอแนะนำเขา..ให้รู้จักกับแฟนหนุ่มของเธอ ตอนแรก..ทั้งสอง..เหมือนจะเข้ากันได้ดี..แต่หลังจากนั้น ๒-๓ วัน ..มีคนมาบอกว่า..แฟนเธอกับเพื่อนเธอ..ต่อยกัน " มัน..นอกใจเธอ " เขาบอกเรียบๆ.. แต่..เธอไม่เชื่อ วันนั้น..เธอเชื่อแฟนมากกว่า..ว่าเขาอิจฉาแฟนเธอ..
จึงหาเรื่องชกต่อย ..เธอว่าเขา..ไปหลายคำ

อาทิตย์นึงให้หลัง..เธอจึงรู้ว่าเขาเป็นคนถูก..เมื่อเธอไปหาเขาที่บ้าน..ก็เจอแต่พ่อของเขา " มันกลับไปอาทิตย์ก่อนแล้ว..เห็นว่ามีธุระด่วน..ไม่รู้อะไร "
เธอส่งจดหมายไปขอโทษ ..เขาบอกไม่เป็นไร..เขาไม่เคยโกรธเธอ..แค่น้อยใจเล็กๆ ..ในจดหมายลงท้าย..ด้วยคำ-คำเก่า " กลับบ้านเอง..เดินดี ๆ นะ " เธอรู้ว่า..ในคำที่เหมือนสั้น ๆ นั้น ! ..เขาพูดอะไรออกมา...มากมายขนาดไหน
เธอจำได้..ถึงวันที่เธอ..บอกเขาว่า..เธอจะแต่งงาน.. เขา..มองหน้าเธอ..เธออ่านไม่ออกว่า..มันเป็นความรู้สึกอะไร..ดีใจ ? ..เสียใจ ? และเมื่อเธอถามเขาตรง ๆ ..เขาก็ตอบว่า.. "..เราใจหาย.."

แต่ก่อนหน้านั้น..ก็เขานี่แหละ..ที่เป็นคนช่วยเธอเลือก..ช่วยเธอดูว่า..ผู้ชายคนนี้นิสัยดี..และรักเธอจริง "เรา-ผู้ชายด้วยกัน..เราดูออก " ซี่งเขา..ก็ดูไม่ผิด..สามีของเธอดี..เหมือนอย่างที่เขาบอก .. วันแต่งงาน..เธอบอกเขาว่า.."ความเป็นเพื่อนของเรา..ยังเหมือนเดิมนะ..ไม่ต้องห่วง" เขามองเธอนิ่งๆ..พยักหน้าน้อยๆ.. ไม่ตอบอะไร

ถึงเวลารดน้ำสังข์ ..เขาอวยพรเธอมากมาย..แต่พูดกับสามีเธอเพียงสั้นๆว่า... " ฝากด้วยนะ.." เขาแต่งงานมีครอบครัวของเขา... เธอก็มีครอบครัวของเธอ มีบางช่วงของชีวิต..ที่ห่างกันไป แต่ก็ไม่เคย..ลืมกัน

เธอ..ส่งการ์ดให้เขา..ทุกๆปี ตอนนี้..เขาน่าจะเก็บมันไว้ได้ ๕๙ ใบแล้วล่ะ

เพราะเธอนับของเธอแล้ว..มันได้ ๕๘ ใบ น้อยกว่าอยู่ใบนึง.. เพราะเธอเกิดหลังเขา ๕ เดือน.. บางทีเธอรู้สึกสนิทกับเขามากกว่าคนรักของเธอเสียอีก หลายเรื่องที่เขารับรู้..แต่คนรักของเธอไม่แม้แต่ระแคะระคาย และก็เช่นกัน..หลายความลับที่เขาระบาย ที่เขาฝากไว้ที่เธอ เธอก็รับ..และเก็บงำมันไว้..ด้วยความเต็มใจ..
" คิดอะไรอยู่ ? " เขาเอ่ยขึ้นมา..ทำลายความเงียบ
" เรา..กำลังนึกแปลกใจ " เธอเอ่ย..ด้วยท่าทีครุ่นคิด
" ทำไม..เราถึงไม่ได้เป็น..คนรักกัน ? " เขานิ่งไป..เหมือนกำลังคิดเช่นกัน
" เราสนิทกันมาก..มั้ง " เขาว่า
" นั่น..ไม่น่าใช่เหตุผลนี่ " เธอว่า
" เธอถามยากไปนะ " เขาตอบหลังจากนิ่งคิดอีกครู่ใหญ
" ไม่ยากหรอก..ลองคิดเล่นๆ สิว่า ..ทำไมเราถึงไม่รักกัน " แววตาเธอมีแววขี้เล่นซุกซน ..เหมือนเด็กหญิงครั้งกระโน้น

" อืมม..อันนี้..ค่อยง่ายขึ้นมาหน่อย " เขาพูดขึ้น
เธอมองหน้าเขา.. แปลกใจว่า..เธอไม่ได้เปลี่ยนคำถาม..นี่นะ..
" ฉันไม่รู้หรอกว่า..ทำไม-เราถึงไม่ได้เป็น..คนรักกัน " เขามองหน้าเธอ..ด้วยสายตาอ่อนโยน "แต่..ถ้าเธอถามว่า..ทำไม-เราถึงไม่รักกันน่ะ " เขาเว้นช่วง " ฉันก็จะตอบว่า -- เราไม่ได้-ไม่รักกัน..ซะหน่อย "

เธอหลับตาลง..คำถามที่ถูกซ่อนไว้..หลายสิบปี..กลับตอบออกมาง่ายๆ..อย่างนี้เอง " นั่นสินะ ..เราไม่ได้-ไม่รักกัน..ซะหน่อย " เธอตอบ..ทั้งๆที่หลับตาลง
ตอนนี้..เธอพร้อมที่จะจากโลกใบนี้ไป..อย่างมีความสุขแล้ว

ในความรู้สึก..ที่เริ่มพร่าและเลือน...เธอสัมผัสได้ถึงมือของเขา..ที่เอื้อมมากุมมือเธอไว้ " กลับบ้านเอง..เดินดีๆนะ.."
และนั่น.. คือ..คำสุดท้าย..ที่เธอได้ยิน...

การที่จะรักใครซักคนมันไม่ได้หมายความแค่ว่าเราต้องอยู่ด้วยกันจนตาย
แต่การรักใครซักคน คืออยากให้คนๆนั้นมีความสุข ....... ก็เท่านั้นเอง

 



ความเห็น (1)

มิตรแท้มิตรเทียมได้จากตรงนี้จริงๆๆ ขอบคุณ

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ
 
 
บันทึกธรรม แห่งการกำหนดหมายในใจอาจจะต</wbr>่างกันไป ในทางการเมืองที่มุ่งแก้ปัญหาแผ่นดินยามนี้...เมื่อแต่ละคนได้ยินคำว่า...
</wbr>ถึงเวลาเป่านกหวีดแล้ว หรือ จะประกาศยกระดับการชุมนุมแล้ว...จากเหล่าแก</wbr>นนำคราวใด ? กลุ่มใด ?
เชื่อว่า...ในใจแต่ละคนที่ต</wbr>ิดตาม ก็จะมีความปรารถนาหมายจะเห็</wbr>นความเปลี่ยนแปลงอย่างกระหย</wbr>ิ่มยิ้มย่องแตกต่างกันไป ยิ่งสถานการณ์กำลังสุกงอมใน</wbr>เรื่องใด มากเท่าใด ในใจก็ยิ่งมีลุ้น...ฯลฯ
 

ส่วนอาตมา กลับเห็นว่า ที่ผ่านมา เว้นจาก.. ในหลวง เพียงพระองค์เดียวแล้ว... ก็ยังไม่เคยพบใครเลยที่จะแสดงออก</wbr> ณ บทบาทแห่งจิตใจตนที่ปรากฏออกมาทางก</wbr>ายกรรม วจีกรรม ที่จะนำส่งผลไปสู่จุดเปลี่ยนที่แท้จริงดังปาก ได้เลย...ด้วยที่พบก็มีแต่การทุ</wbr>่มเทแบบฉก และฉวยโอกาสที่ปรากฏม</wbr>ากมายแบบเดิม... เช่นเดิม 


ตรองดู เถิด...เหล่าคนทั้งหลาย แม้ที่สุดผู้ที่เป็นเกษตรกร ก็ยังหลงทางได้ เพราะบัดนี้..ในใจไม่ได้จะคิดปลูกพืชผั</wbr>กผลไม้เพื่อเอาพืชผักผลไม้ไ</wbr>ว้เพื่อการบริโภค ที่เหลือก็แบ่งปันแจกกันไป...ส่วนที่เหลือจ</wbr>ากนั้นก็ค่อย ๆ คิดหาทางแปรรูป หรือ อาจจะจำหน่ายขายออกไป...  หากทุกวันนี้ พบแต่การปลูกไว้จนมากมาย โดย </wbr>เพื่อเป้าหมาย เป็นการมุ่งเอาเงิน...ฯลฯ
 

การที่คนทั้งหลายโดยแท้ที่ก</wbr>ระทำอยู่ จึงยังไม่ได้เกิดจากความคิด</wbr>เสียสละ โดย พร้อมเต็มใจเหน็ดเหนื่อยเพื่อประ</wbr>เทศชาติ เพื่อประชาขน จริง ๆ หากคงมุ่งหมายแฝงตน โดย ขอใช้คำหนัก ๆ ว่า...มาปล้นหัวใจและศรัทธาจากประชาชน โดย นำความนับถือที่ปล้นไปเสวยอำนาจ...</wbr>ทั้ง ๆ ที่ เจ้าคนเหล่านี้ตรวจดูได้ทุกคนต่างมีเงินทอ</wbr>ง ลาภ ยศ ฐานันดรต่าง ๆ มากมายอยู่แล้ว...ทั้งนั้น

 
การฟังคำประกาศยกระดับ การเป่านกหวีด จึงไม่ได้เกิดเป็นความหมายแ</wbr>ละมีคุณค่าแห่งความตั้งใจปฏิรูปโดยแท้</wbr>ได้โดยง่ายเลย... บันทึกนี้ อาจจะทำให้จิตใจห่อเหี่ยว หากขอให้ตรองและตั้งหลักแห่</wbr>งจิตใจ ฝึกที่ตนให้เชี่ยวชาญในการป</wbr>ฏิบัติศีล...มีศีลเป็นที่พึ</wbr>่ง อย่างมั่นคงและนำความตรงในการกระทำให้ชัด ๆ กันเถิด...
 
 
 
 
 


ความเห็น (1)

เรื่องราว ที่ควรรับรู้ และ เป็นกำลังใจสนับสนุน ท่านผู้นี้ คือ

พ.ต.ท.สุภวัฒน์ สุปิยะพาณิชย์ ตำรวจน้ำดี ขึ้นเวที ณ สวนลุม ฯ ชุมชนดูไป “ Go On & See Out “ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๖

http://www.youtube.com/watch?v=GccHv_tHHF4&feature=youtu.be

และ ขอมอบเพลงมาร์ชพิทักษ์สันติราษฎร์ แด่ บุรุษคนนี้ด้วยใจ http://www.youtube.com/watch?v=LGHrFQQAyME

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

สิ้นใจแล้ว ! !!   " ลุงก้าน แก้วสุพรรณ " โรคมะเร็งลำไส้

 


เพลงก้าน แก้วสุพรรณ 


http://www.youtube.com/watch?v=z_rxbRYSTBY
http://www.youtube.com/watch?v=gQMSQ5P-KMc
http://www.youtube.com/watch?v=hO_wmIEtx7U
http://www.youtube.com/watch?v=Qc_nPDmSYmA



สิ้นนักร้องดังในอดีต "ก้าน แก้วสุพรรณ" ด้วยโรคมะเร็ง วัย ๗๔ ปี ญาติตั้งสวดพระอภิธรรมศพวัดไร่ขิง
หลังจากลูกทุ่งอมตะ "ก้าน แก้วสุพรรณ" หรือนายมงคล หอมระรื่น วัย ๗๔ ปี เจ้าของเพลงดังน้ำตาลก้นแก้ว และรอยไถแปร ล้มป่วยด้วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๕๔ และผ่าตัดลำไส้ใหญ่ เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ อีกทั้งร่างกายผ่ายผอม และเข้ารักษาตัวอีกครั้งที่โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) อ.สามพราน จ.นครปฐม ตั้งแต่วันที่ ๒๓ กันยายนที่ผ่านมา กระทั่งเมื่อเวลา ๐๖.๕๐ น. วันที่ ๖ ตุลาคม นักร้องลูกทุ่งชื่อดังเสียชีวิตลงอย่างสงบ


นางหยก หอมระรื่น วัย ๖๒ ภรรยาของก้าน แก้วสุพรรณ เปิดเผยถึงการเสียชีวิตของสามีด้วยเสียงเศร้าโศกว่า เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อนในวงการเพลง เช่น ผ่องศรี วรนุช ศิลปินแห่งชาติ กังวานไพร ลูกเพชร สุรชัย-ศรีนวล สมบัติเจริญ และแฟนเพลงมาเยี่ยมจำนวนมาก

" เราเห็นสภาพเขาแล้วรู้สึกทุกข์ใจมากไม่อยากให้เขาเจ็บปวด เขาห่วงเรา เมื่อคืน (๕ ต.ค.) ก็นั่งสวดคาถาชินบัญชรให้เขา อยู่ปลายเตียงแล้วก็นั่งสมาธิ เราง่วงก็เลยขยับเปลี่ยนท่า รู้สึกตัวว่าพี่เขามาตบที่ขาบอกว่าไปแล้วนะ เราเลยสะดุ้งมาดูเห็นเขาหายใจติดขัดเลยเรียกลูกสาวมา แล้วเขาก็จากไปแบบสงบ " นางหยกกล่าว

ด้าน น.ส.โชติก หอมระรื่น อายุ ๒๖ ปี ลูกสาว เล่าว่า พ่อรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ หมอบอกให้ทำใจตั้งแต่ตอนนั้น หมอบอกอยู่ได้ประมาณ ๒ เดือน แต่เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ลำไส้ใหญ่แตก ขณะไปร้องเพลงที่ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ซึ่งมะเร็งลามไปมากแล้ว ตอนนั้นตัดเฉพาะไส้ที่แตก แต่พ่อได้กำลังใจจากแฟนเพลงจำนวนมากจึงอยู่มาได้ พอมาเข้าโรงพยาบาลรอบนี้ อาการทรงมาเรื่อยๆ กระทั่งมีอาการไอเมื่อ ๒ - ๓ คืนที่ผ่านมา มีเสมหะบ้าง หมอก็ให้ยาตามปกติ

"ช่วงเช้ามืดเปิดพระสวดให้พ่อฟัง พอฟังพระจบพ่อก็ไปเลย พ่อไปสบายแล้ว หนูไม่อยากให้พ่อทรมาน โดยวันพรุ่งนี้ ( ๗ ต.ค.) ประมาณบ่าย ๓ โมง เรียนเชิญทุกท่านร่วมรดน้ำพ่อที่วัดไร่ขิงด้วยนะคะ” น.ส.โชติกกล่าว

ประวัติของก้าน แก้วสุพรรณ หรือ นายมงคล หอมระรื่น เกิดเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๔๘๒ ที่ ต.สามชุก อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี พ่อเป็นชาวสุพรรณบุรี ส่วนแม่เป็นชาวนครชัยศรี มีพี่น้อง ๒ คน เป็นคนเล็ก พ่อแม่มีอาชีพทำนา ฐานะทางครอบครัวค่อนข้างยากจน ชีวิตในวัยเด็กเป็นเด็กวัดอยู่กับหลวงพ่อกริ่ง หรือพระครูสุนทรานุกิจ แห่งวัดสามชุก ในขณะเป็นเด็กวัดได้เรียนหนังสือจนจบชั้น ป. ๔ ที่โรงเรียนวัดสามชุก จบชั้น ม.๖ ที่โรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย โรงเรียนเดียวกับสุรพล สมบัติเจริญ เมื่อเรียนจบยังไม่มีงานทำ จึงไปเป็นนักมวยอยู่กับคณะ “สิงห์มรกต” ของครูอุ้ย ที่อ.ท่าช้าง จ.สุพรรณบุรี

ต่อมาบวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดสามชุกศึกษาพระธรรมวินัยได้ ๔ พรรษา สอบได้นักธรรมโท จากนั้นย้ายมาอยู่ที่วัดปรินายก แถวผ่านฟ้า กรุงเทพฯ สอบได้นักธรรมเอก ที่วัดปรินายก เมื่อสึกจากพระไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน จึงตัดสินใจเป็นเด็กวัดอยู่ที่วัดปรินายกต่อ โดยไปสมัครเป็นกระเป๋ารถเมล์ของบริษัทศรีนคร สาย ๕ วิ่งระหว่างพาหุรัด-บางซื่อ ยามว่างไปเรียนพิมพ์ดีดเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ที่วัดแก้วฟ้า และถ้าวัดไหนมีการประกวดร้องเพลง จะไปประกวดเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นวัดใต้ วัดเวฬุราชิน วัดอินทร์บางขุนพรหม ส่วนมากจะร้องเพลงของคำรณ สัมบุณนานนท์ ได้รู้จักกับ “วินัย แก้วส่งศรี” นักร้องดังในยุคนั้น วินัยจึงพาไปหา “ คำรณ สัมบุณนานนท์ ” นักร้องแนวเพื่อชีวิต ที่กำลังมีชื่อเสียงหอมฟุ้งในขณะนั้น คำรณให้ร้องเพลงให้ฟัง พอร้องจบบอกกับวินัยว่า “ มันร้องออกจมูก เสียงอย่างนี้อีก ๑๐ ปีก็ไม่ดัง ” จึงมุมานะอดทน ฝึกฝน เพื่อที่จะลบคำสบประมาท เป็นนักร้องดังให้ได้



ช่วงนั้น ครู ป. ชื่นประโยชน์ กำลังรับสมัครนักร้อง วินัยก็พาไปสมัคร เมื่อ ครู ป. ดูตัวแล้วบอกให้เขียนที่อยู่ทิ้งไว้ แล้วจะเรียกไปทีหลัง จากนั้นก็กลับไปพักอยู่ที่วัดปรินายก อีกครึ่งเดือนต่อมา ครู ป. มีหนังสือเรียกตัวให้ไปพบ และให้พักอยู่ที่บ้านเรียนรู้เรื่องโน้ตเพลง เรื่องการร้องเพลงจนชำนาญแล้ว ครู ป. แต่งเพลงให้ร้องบันทึกเสียงครั้งแรกในชีวิตชื่อเพลง “คนชาวนา” เมื่อปี ๒๔๙๘ และครูตั้งชื่อให้ว่า “ก้าน แก้วสุพรรณ” นับเป็นนักร้องคนแรกที่เอาชื่อจังหวัดมาตั้งเป็นนามสกุล


ต่อมา ปี ๒๕๐๐ ต่อชัย ภู่ชมพู แต่งเพลงหลงกรุงให้ร้อง ตามด้วยเพลงคำเตือนจากเพื่อนนา ปรากฏว่าเพลงหลงกรุง ดังมาก ทำให้ชื่อของ ก้าน แก้วสุพรรณ เกิดขึ้นในวงการเพลงทันที ต่อมา ปี ๒๕๐๑ ครู ป. แต่งให้ร้องอีกหลายเพลง เช่น แก่งคอย หนุ่มเมืองนนท์ ชาติหน้าถ้ามี จากนั้นปี ๒๕๐๒ ได้ขออนุญาต ครู ป. ตั้งวงดนตรีชื่อ “ประกายดาว” รวบรวมเอานักร้องที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ให้มาร่วม อาทิ สุรพล สมบัติเจริญ นักร้องที่ตัวเองชื่นชอบ แต่ผู้ที่เคยสบประมาทมาอย่าง คำรณ สัมปุณณานนท์ ก็เชิญมาด้วย นอกนั้นยังมี เฉลิม แก้วสมัย, วินัย แก้วส่งศรี ฯลฯ



ทั้งนี้ สุรพล สมบัติเจริญ แต่งเพลงให้ร้อง ๕ เพลง คือ น้ำตาลก้นแก้ว โสนน้อยเรือนงาม รอยไถแปร สาส์นสีโศก และคนปาดตาล ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อวง “ประกายดาว” มาเป็นวง “ก้าน แก้วสุพรรณ” เดินสายรับงานทั่วประเทศอยู่ประมาณ ๑๐ ปี หลังจากที่ สุรพล สมบัติเจริญ เพื่อนรักถูกลอบยิงเสียชีวิตในปี ๒๕๑๑ ก้าน แก้วสุพรรณ มีความรู้สึกหดหู่ใจ จึงค่อยๆ หายไปจากวงการ และเลิกวงไปในที่สุด แต่ยังรับใช้แฟนเพลงด้วยการรับเชิญไปร้องตามงานต่าง ๆ อยู่ไม่ขาด ที่ผ่านมา มีผลงานเพลงโด่งดังมากมาย อาทิ น้ำตาลก้นแก้ว แก่งคอย เพราะขอบรั้วกั้น หนุ่มเมืองนนท์ รอยไถแปร โสนน้อยเรือนงาม สาส์นสีโศก สวรรค์ชาวนา บางพลัด บางซ่อน บ้านแพน แม่ชบาไพร กระท่อมดวงใจ อกหักเพราะรักคุณ ลาแล้วแก้วตา หลงกรุง แก่งหลวง สาวบ้านสร้าง ฯลฯ

 

ครอบครัว " ก้าน แก้วสุพรรณ " นำศพอดีตศิลปินลูกทุ่งไปบำเพ็ญกุศลศพที่ วัดไร่ขิง  www.nationchannel.com/main/news/social/20131006/378385058/

 



ความเห็น (1)

ขอแสดงความเสียใจ และร่วมไว้อาลัยต่อการจากไปของ ศิลปินเพลงก้าน แก้วสุพรรณ นะคะ…

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

กุญแจ...สำคัญ สำหรับคนที่ถูก...ตะปู ตรึงใจ 

 

ไม่รักกันจริงไม่นำมาฝาก...
กรุณาอ่านให้จบจะพบกับสิ่งดี ๆ รออยู่...

 

 

 


เมื่อ สัปดาห์ที่แล้วผมได้โทรศัพท์ไปหาเพื่อนของผมคนหนึ่งที่บ้าน โดยภรรยาเขาเป็นผู้รับสาย ผมได้ทราบว่าเพื่อนผมไม่อยู่ไปราชการต่างจังหวัดหลายวันด้วยความคุ้นเคยที่ ทั้งคู่ต่างเป็นเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกับผม ทำให้ผมเลยได้มีโอกาสพูดคุยทำนองปรับทุกข์กับภรรยาของเขาเป็นเวลานาน เธอเล่าให้ผมฟังว่าหลังจากที่เธอแต่งงานกับเพื่อนผม และเธอได้ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ที่บ้านของครอบครัวสามี ซึ่งมีคุณแม่ของสามีอาศัยอยู่ด้วย เธอรู้สึกอึดอัดมาก ปัญหาโลกแตกที่เกิดขึ้นระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้ที่มักเคยปรากฏตามหนังสือ นวนิยาย หรือละครโทรทัศน์ก็เกิดขึ้นกับเธอ ทำให้เธอรู้สึกไม่ชอบแม่สามี เอามากๆ เธอรู้สึกว่านางเป็นคนแก่ที่จู้จี้ ขี้บ่นและน่ารำคาญเป็นที่สุด ตัวเธอมีเรื่องทะเลาะกับแม่สามีได้ไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้เธอคิดที่จะแยกออกไปอยู่ต่างหากฉับสามีภรรยาเพื่อให้พ้นหูพ้นตาแม่สามี ไปเสีย เธอเอ่ยถามเพื่อขอความเห็นจากผมในฐานะเพื่อน



ผม เข้าใจความรู้สึกของทุกฝ่ายเป็นอย่างดีเลยขอให้คำแนะนำเธอด้วยการเล่านิทาน ให้เธอฟังเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องระหว่างแม่ผัวลูกสะใภ้เหมือนอย่างที่เธอกำลังประสบอยู่ การที่แม่สามีและลูกสะใภ้ต้องทะเลาะมีปากเสียงกันอยู่เสมอทำให้ ผ่ายชาย ซึ่งเป็นสามีและเป็นลูกได้แต่เอามือกุมขมับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะนั่นก็แม่นี่ก็เมียเลยมักที่จะหลบหน้าออกไปทำงานให้ไกล ๆ จะได้ไม่ต้องมา รับรู้ปัญหาระหว่างแม่และเมีย 



แล้ววันหนึ่งก็เกิดปัญหาทะเลาะกันอย่างที่เคย ตัวภรรยาเองรู้สึกแค้นแม่ของสามีมากจึงตัดสินใจวางแผนที่จะฆ่าแม่สามีให้ตาย เธอจึงเดินทางไปหาเพื่อนพ่อของเธอที่เป็นพ่อค้าขายสมุนไพร และเอ่ยปากขอให้เจ้าของร้านจัดยาพิษให้เพื่อเธอจะได้วางยาฆ่าแม่สามีให้ตาย สมใจปรารถนา เจ้าของร้านได้นำเอาผงสมุนไพรมาให้เธอถุงหนึ่งและบอกเธอว่า..มันจะช่วยแก้ ปัญหาให้กับเธอได้อย่างแน่นอน แต่ผงสมุนไพรนี้จะต้องถูกนำไปผสมกับอาหารที่แม่สามีชอบ และต้องให้ทุกมื้ออย่างสม่ำเสมอไม่ให้ขาด ที่สำคัญคือเธอต้องเป็นผู้วางยานี้ด้วยตนเอง เขาขอให้เธอทำดีกับแม่สามีเพื่อให้เธอตายใจ อย่าไปชวนทะเลาะ หรือขัดใจ เพื่อให้แม่สามียอมรับประทานอาหารที่เธอจัดให้จนหมดโดยพงสมุนไพรนี้จะออก ฤทธิ์ที่ละน้อยๆ ให้แม่สามีค่อยๆ ตายอย่างช้าๆ และไร้ร่องรอย



ลูก สะใภ้ดีใจและรีบนำยาพิษนั้นกลับไปผสมอาหารให้แม่สามีทานทุกมื้อ เธอพยายามปรุงอาหารคาวหวานที่ล้วนเป็นของชอบเป็นอาหารโปรดของแม่สามี ในขณะเดียวกันเธอก็พยายามเอาใจ ด้วยการขยันทำงานบ้านไม่เถียงไม่ทะเลาะกับแม่สามีอีก เธอพยายามทำดีกับแม่สามีเพื่อที่จะไม่ให้มีใครสงสัย โดยคิดอยู่เสมอว่า...อย่างไรเสียแม่ของสามีจะต้องตายอย่างแน่นอน



แต่ พอทำดีกับแม่สามีไปนานวันเข้า เธอเริ่มมองเห็นความดีของแม่สามีซึ่งนอกจากจะไม่ด่าไม่ว่าเธออีกต่อไปแล้ว หลาย ๆ ครั้งนางยังช่วยเธอทำงานบ้าน แถมยังแอบไปชมเธอให้บรรดาเพื่อนบ้านฟังอยู่เรื่อยๆ ตัวสามีเองเมื่อเห็นว่าบ้านมีความสงบก็ไม่ออกไปไหนไกลๆ กลับบ้านทุกเย็นได้อยู่พูดคุยกันด้วยความสนุกสนานทั้งสามคน ครั้นแล้วตัวลูกสะใภ้เองเริ่มรู้สึกว่า...บ้านมีความสุข เธอก็รู้สึกผิดไม่สบายใจและรีบไปที่ร้านสมุนไพรอีกครั้งหนึ่งเพื่อขอยาแก้ พิษก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นกับแม่สามีและสามีจะรู้



ที่ ร้านขายยาเจ้าของร้านบอกกับเธอว่า ไม่มียาแก้พิษหรอก...... เมื่อเธอได้ยิน ถึงกับหน้าซีด เธอดูผิดหวังและเสียใจอย่างมาก แต่เจ้าของร้านก็พูดต่อว่า... ความจริงแล้วผงสมุนไพรที่ให้ไปมันเป็นยาบำรุงไม่ใช่ยาพิษตามที่เข้าใจ 

เพราะจริง ๆ แล้วยาพิษนั้นมันอยู่ในใจของเธอ อันได้แก่ความพยาบาท ความเกลียดชัง ทิฐิ และการเห็นแก่ตัว ซึ่งเธอได้ถอนออกจากใจของเธอจนหมดแล้ว การตอบแทนความเกลียดชังด้วยความเกลียด นอกจากไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นในจิตใจของคนเราอีกด้วย…….

พอผมเล่าจบเธอก็ไม่ได้เอ่ยปากขอความเห็นอะไรจากผมอีก ผมเข้าใจว่า...หลังจากเธอวางสายไปเธอคงเข้าใจว่า หาก เธอต้องการความรักความเข้าใจจากใครก็ตามสิ่งที่เธอต้องมีและให้กับคนนั้น ก่อนก็คือ...ความรักและความเข้าใจ และด้วยการแสดงออกของความรักและความเข้าใจของสมาชิกทุก ๆ คนในครอบครัวนี้ จะเป็นวิธีการในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัวได้ทุก ๆ เรื่อง 

หากเราพบความขัดแย้ง ความเกียจชังหรือความไม่ดีไม่งามในชีวิต การตอบโต้กับความขัดแย้ง ความเกียจชัง และความไม่ดีไม่งาม ด้วยความอาฆาตพยาบาทนอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้ว...ยังทำให้เกิดปัญหาที่รุนแรง มากยิ่งขึ้นอีก จงจำไว้ว่า หากเราต้องการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ดีขึ้นเราต้องพยายามที่จะคิดว่าเราจะสร้างความดีและมอบความรักให้กันให้ มากขึ้นได้อย่างไร ?


ขอบคุณ ที่มา.. http://www.oknation.net/blog/print.php?id=535457

 

 

 

 

แถม สุดท้าย..มากินเจ สไตล์

 
http://www.youtube.com/watch?v=NteNvVSEf5E

 



ความเห็น (1)

อ่านแล้ว รู้สึกอิน ทำให้คนคิดบวกได้เยอะ

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

รำลึกถึงมหาตมา คานธี (Mahatma Gandhi) หรือที่หลาย ๆ คนรู้จักท่านในนามของ "นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่"

เนื่องในโอกาส ครบรอบวันเกิด ๒ ตุลาคม


 

ท่านเป็นผู้นำและนักการเมืองที่มีชื่อเสียงชาวอินเดียและศาสนาฮินดู มีชื่อเต็มว่า โมหันทาส กรรมจันท คานธี (Mohandas Karamchand Gandhi) เกิดเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ค.ศ. ๑๘๖๙ หรือครบรอบ วันเกิดของมหาตมา คานธี  ณ เมืองโปรพันทระ ในแคว้นคุชราต ทางทิศตะวันตกของประเทศอินเดีย มารดาของคานธี เป็นภรรยาคนที่ ๔ ของ กบา คานธี บิดาของ คานธี 

 

          โดยในวัยเด็ก คานธี ถูกส่งตัวไปเรียนหนังสือ แต่เขาไม่สามารถจำหรือเรียนรู้อะไรได้เลย จนเขาคิดว่าตนเองนั้นคงโง่ และความจำแย่มาก ทำให้การเรียนหนังสือสำหรับเขา ไม่มีอะไรที่น่าสนใจเลย นอกจากนี้ คานธี เป็นเด็กขี้อายมาก จึงไม่ค่อยจะมีเพื่อน และไม่ไว้ใจใครแม้กระทั่งครู แต่สุดท้าย คานธี ก็พยายามที่จะเรียนรู้ สุดท้ายสามารถเรียนดี จนทำให้เขาได้รับรางวัลเรียนดี และได้รับทุนเรียนดีด้วย

 

          ใน ค.ศ. ๑๘๘๓ เดือนพฤษภาคม คานธี มีอายุ ๑๓ ปี (ยังเรียนในโรงเรียนชั้นมัธยม) ได้สมรสกับเด็กหญิงชื่อ กัสตูรบา ซึ่งสาเหตุที่คานธีสมรสเร็วนั้น มาจากประเพณีท้องถิ่นที่นิยมให้เด็กแต่งงานกันเร็ว ๆ คานธี มีความสุขกับชีวิตคู่มาก คานธี และ กัสตูรบา มีบุตร-ธิดารวมกันทั้งสิ้น ๕ คน แต่คนหนึ่งได้เสียชีวิตลงตั้งแต่ยังเป็นทารก ทำให้เหลือ ๔ คน

 

          ต่อมาใน ค.ศ. ๑๘๘๘ ทางครองครัวได้ส่ง คานธี ไปศึกษาวิชากฎหมายที่อังกฤษ โดยก่อนจะเดินทาง คานธี ได้ให้สัญญากับมารดาว่า จะไม่รับประทานเนื้อสัตว์และสุรา และจะไม่ยุ่งเกี่ยวเกาะแกะกับสตรี เพื่อให้มารดาได้อุ่นใจ และเมื่อไปถึงอังกฤษ คานธี ได้พบกับปัญหาใหญ่ในการดำเนินชีวิต นั่นคือ วัฒนธรรม มารยาท สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในอังกฤษนั้นไม่เหมือนอินเดีย คานธี ต้องระวังตนในเรื่องมารยาท ซึ่งจะมาทำตามคนอินเดียเหมือนเดิมไม่ได้ คานธี ต้องปรับตัวบุคลิกต่าง ๆ ให้เข้ากับคนอังกฤษให้ได้ 

 

          นอกจากนี้ อาหารที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ในอังกฤษสมัยนั้นรสชาติจะจืดมาก คานธี จะกินเนื้อสัตว์ก็ไม่ได้ เพราะให้สัญญากับมารดาไว้แล้ว และ คานธี ก็ได้มีโอกาสรู้จักกับอาหารมังสวิรัติ คานธี จึงได้มีวิธีรับประทานมังสวิรัติอย่างเป็นสุขในอังกฤษ และในที่สุด คานธี ก็สำเร็จการศึกษาและสอบได้เป็นเนติบัณฑิต และเมื่อได้เป็นเนติบัณฑิตแล้ว คานธี ก็เดินทางกลับสู่อินเดียใน ค.ศ. ๑๘๙๒ เพื่อประกอบอาชีพ 

 

การประกอบอาชีพในช่วงแรกของ คานธี นั้น ประสบความยากลำบากพอสมควร แต่ต่อมา คานธี ได้ไปเป็นทนายความให้ลูกความในประเทศแอฟริกาใต้ ดังนั้น ใน ค.ศ. ๑๘๙๓ คานธี ได้เดินทางไปประเทศแอฟริกาใต้ โดยเมื่อเดินทางไปถึง คานธี ได้ซื้อตั๋วรถไฟชั้น First Class (ชั้นที่หรูหราสะดวกสบายที่สุด ค่าตั๋วแพงที่สุด) ไปยังเมืองที่ลูกความต้องการ 

 

          แต่ทว่า ผู้โดยสารชั้น First Class ที่เป็นคนผิวขาว ไม่พอใจที่คนผิวคล้ำอย่างคานธีมาอยู่ร่วมชั้น First Class กับพวกเขา จึงไปประท้วงบอกเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จึงเดินมาสั่งให้ คานธี ย้ายตู้โดยสารไปโดยสารตู้ของ Third Class (ชั้นไม่สะดวก ค่าตั๋วถูกที่สุด) ทั้ง ๆ ที่ คานธี เสียเงินซื้อตั๋ว First Class มาอย่างถูกต้อง คานธี จึงปฏิเสธ ทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด คานธี ก็ถูกเจ้าหน้าที่รุมทำร้าย และ คานธี ก็ถูกผู้โดยสารผิวขาวโยนออกมาจากรถไฟ โดยเจ้าหน้าที่ต่างอ้างว่า รถไฟชั้นหนึ่งนี้สร้างสำหรับผู้โดยสารผิวขาวเท่านั้น เหตุการณ์นี้ทำให้ คานธี เข้าต่อสู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชนของชาวผิวคล้ำในแอฟริกาใต้ และเมื่อ คานธี รู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่จบง่าย ๆ จึงได้เดินทางไปอินเดียใน ค.ศ. ๑๘๙๖ เพื่อพาครอบครัวมาอยู่ด้วยกันที่แอฟริกาใต้ 

 

          ใน ค.ศ. ๑๙๐๑ คานธี เดินทางกลับอินเดียเพื่อกลับไปประกอบอาชีพต่อ แต่มีเสียงเรียกร้องจากชาวอินเดียในแอฟริกาใต้ให้กลับมาช่วยเหลือ คานธี จึงเดินทางกลับไปยังแอฟริกาใต้เพื่อต่อสู้กับปัญหานี้อีกครั้ง โดยใช้วิธี "สัตยาเคราะห์" ซึ่งคือ "การไม่ร่วมมือในกฎที่ไม่ยุติธรรม โดยไม่มีการใช้กำลัง" และวิธีนี้ได้ผลดีมาก ทำให้ คานธี รู้ว่าการประท้วงโดยไม่ใช้กำลังนั้นให้ผลดีกว่าที่คิด และได้ผลดีในการเรียกร้องความยุติธรรม  

 

          ใน ค.ศ. ๑๙๑๕ คานธี เดินทางกลับมาถึงอินเดียที่เมืองบอมเบย์ โดยตัดสินใจละทิ้งการแต่งกายแบบตะวันตก และหันมาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบดั้งเดิมของแคว้นคุชราต ซึ่งการเดินทางกลับมาครั้งนี้ มีชาวอินเดียจำนวนมากไปชุมนุมต้อนรับ จากนั้น คานธี ได้เดินทางไปหา รพินทรนาถ ฐากุร มหากวีแห่งอินเดีย และที่ รพิทรนาถนี้เอง ได้ขนานนามคานธีว่า "มหาตมา" (มหา + อาตมา = ผู้มีจิตใจสูง) อันแปลว่า "ผู้มีจิตใจสูงส่ง" ให้แก่ คานธี เป็นคนแรก จากนั้น คานธี ก็เริ่มออกเดินทางไปทั่วประเทศอินเดีย เพื่อไปรู้เห็นความเป็นจริงในอินเดีย 

 

          ใน ค.ศ. ๑๙๑๖ คานธี เริ่มก่อกลุ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิเสรีภาพให้แก่ประชาชนอินเดีย และเรียกร้องโดยวิธีขอความร่วมมือผนึกกำลังคนละเล็กคนละน้อย จนเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ และสั่นคลอนประเทศได้ ประกอบกับในช่วงนั้น อินเดียเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ทำให้ต้องมีการเรียกร้องสิทธิที่อังกฤษพยายามกดขี่ชาวอินเดีย โดย คานธี ขอความร่วมมือให้คนอินเดียหยุดงาน เพื่อสั่นคลอนอำนาจรัฐบาลอังกฤษ แล้วประชาชนเป็นล้าน ๆ คนก็หยุดงานในวันนั้น รัฐบาลอังกฤษจึงใช้เป็นข้ออ้างในการจับกุมตัวคานธี 

 

          และเมื่อ คานธี ถูกจับกุม ความวุ่นวายก็เกิดขึ้น จนเกือบกลายเป็นเหตุจราจลระดับประเทศ ซึ่งหลัง คานธี ได้รับอิสระในวันที่ ๑๓ เมษายน ค.ศ. ๑๙๑๙ และได้รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดบานปลายนี้ คานธี รู้สึกเสียใจมาก จึงประกาศอดอาหารตนเอง ๓ วัน แต่ในวันนั้นเป็นวันนักขัตฤกษ์ของอินเดีย ประชาชนนับพันคนจึงไปรวมตัวสังสรรค์กันที่สวนสาธารณะชัลลียันวาลา เมืองอมฤตสระ ขณะเดียวกัน นายพล Dyer ผู้บังคับบัญชากองทหารอังกฤษ ในอมฤตสระ รู้สึกเคียดแค้นชาวอินเดีย และต้องการให้ชาวอินเดียรู้ถึงอานุภาพอังกฤษ จึงออกคำสั่งให้กองทัพรัวปืนใส่กลุ่มประชาชนในชัลลียันวาลา ทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ ๑,๕๐๐ ศพ บาดเจ็บกว่า ๓,๐๐๐ คน เหตุการครั้งนี้นับว่าเป็นปฏิบัติการทางทหารที่ทำให้รัฐบาลอังกฤษเสื่อมเสียเกียรติยศมากที่สุดครั้งหนึ่ง 

 

การต่อสู้เพื่อคนอินเดียดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่ใน ค.ศ. ๑๙๒๒ ได้เกิดเหตุใช้กำลังต่อสู้กันอีกครั้ง คานธี ถูกจับกุมอีกครั้งในฐานะผู้ก่อความไม่สงบ และถูกศาลตัดสินจำคุก ๖ ปี แต่ถูกปล่อยตัวออกมาก่อนกำหนด เพราะเหตุผลทางสุขภาพ ใน ค.ศ. ๑๙๒๔ และตั้งแต่ถูกปล่อยตัว คานธี ก็หันไปแก้ไขปัญหาที่เกิดจากภายในประเทศก่อน และใน ค.ศ. ๑๙๓๐ คานธี ก็หวนกลับสู่สังเวียนการเมืองอีกครั้ง เพราะต้องการประท้วงกฎหมายอังกฤษที่ห้ามคนอินเดียทำเกลือกินเอง 

 

          โดยวันที่ ๑๒ มีนาคม คานธี ได้เริ่มการเดินทางไปยังชายทะเลในตำบลฑัณฑี พร้อมกับประชาชนนับแสนคน ซึ่ง คานธีเดินทางเป็นเวลา ๒๔ วัน ๔๐๐  กิโลเมตร ก็ไปถึงชายทะเล คานธี บอกประชาชนนับแสนให้ร่วมกันทำเกลือกินเอง ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่อังกฤษตั้งไว้ ทางการอังกฤษจึงจับกุม คานธี และประชาชนนับแสนคน ในวันที่ ๔ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๓๐ ทำให้เกิดความปั่นป่วนอย่างใหญ่หลวง  ต่อมา ค.ศ. ๑๙๓๑ รัฐบาลอังกฤษได้ปล่อยตัว คานธี จนเมื่อ ค.ศ. ๑๙๓๙ ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ คานธี เข้าร่วมมีการเดินขบวนรณรงค์ จนถูกจับอีก แต่ครั้งนี้ระหว่างอยู่ในคุก กัสตูรบา ภรรยาของ คานธี ได้เสียชีวิตลง และใน ค.ศ. ๑๙๔๔ คานธี ก็ถูกปล่อยตัว

 

          ใน ค.ศ. ๑๙๔๕ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศจะให้อินเดียได้ปกครองตนเอง แต่ก่อนจะให้อิสระอินเดีย อังกฤษต้องหารัฐบาลชาวอินเดีย ที่จะปกครองอินเดียต่อจากอังกฤษในช่วงแรก ๆ ซึ่งไม่สามารถตกลงกันได้ว่า ระหว่างพรรคคองเกรส (ที่นับถือศาสนาฮินดู) กับสันนิบาตมุสลิม ใครจะมาปกครอง การให้อิสระอินเดียจึงต้องล่าช้าออกไป 

 

         แต่ใน ค.ศ. ๑๙๔๖ ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวมุสลิมและฮินดูในอินเดีย จนเกิดเป็นเหตุนองเลือดรุนแรงไปทั่วทุกหัวระแหง คานธี รู้สึกเสียใจมาก จึงได้หอบสังขารวัย ๗๗ ปี ลงเดินเท้าไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ในอินเดีย เพื่อขอร้องให้ชาวอินเดียหันมาสามัคคีกัน หยุดทะเลาะกันเสียที ประชาชนอินเดียที่เคารพนับถือ และรัก คานธี เห็นเช่นนี้จึงเลิกทะเลาะกัน ทำให้เกิดความสงบสามัคคีในชนบทได้ ต่อมามีการเจรจาตกลง โดยได้ผลสรุปคือ เมื่ออินเดียได้รับเอกราช จะแบ่งประเทศเป็น ๒ ส่วน โดยให้พื้นที่ที่คนส่วนใหญ่เป็นคนฮินดู เป็นประเทศอินเดียของพรรคคองเกรส แล้วพื้นที่ที่คนส่วนใหญ่เป็นคนมุสลิม ให้เป็นประเทศปากีสถาน ปกครองโดยสันนิบาตมุสลิม

 

          ในที่สุด ๑๕ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๔๗ อินเดียเป็นอิสระจากอังกฤษโดยสมบูรณ์ และในวันนั้น อินเดีย ก็แตกเป็น ๒ ประเทศ คืออินเดียของชาวฮินดู กับปากีสถานของมุสลิม แต่ท้องที่ ๆ คนส่วนใหญ่เป็นศาสนาหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนอีกศาสนาหนึ่งอาศัยอยู่เลย ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในอาณาเขตประเทศที่เป็นท้องที่ที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาตรงข้าม ก็ต้องอพยพ กล่าวคือ ผู้ที่เป็นมุสลิมในอินเดีย ก็ต้องอพยพไปปากีสถาน และผู้ที่เป็นฮินดูในปากีสถาน ก็ต้องอพยพมาอินเดีย ทั้งสองประเทศจึงจัดงานฉลองอิสรภาพครั้งใหญ่ แต่ คานธี ไม่ได้เข้าร่วมการเฉลิมฉลองดังกล่าว เขากลับเดินทางไปยังกัสกัตตา เพราะได้ข่าวว่ามุสลิมและฮินดูยังรบสู้กันอยู่ คานธี ไปขอร้องให้หยุดสู้กัน แต่ไม่เป็นผล เขาจึงประกาศอดอาหารอีก ซึ่งครั้งนี้ได้ผล มุสลิมและฮินดูในกัลกัตตาเลิกรบกันทันที

 

          ในวันที่ ๑๓ มกราคม ค.ศ. ๑๙๔๘ คานธีต้องการไปปากีสถาน เพื่อสมานฉันท์กับชาวมุสลิม ทั้ง ๆ ที่คานธีเป็นฮินดู สันนิบาตมุสลิมจึงคัดค้านการเข้าปากีสถานของคานธี เพราะเกรงจะเกิดอันตราย คานธีจึงประกาศอดอาหารอีกครั้ง เพื่อสมานฉันท์ระหว่างมุสลิมกับฮินดู แต่องค์กรประชาชนในนิวเดลฮีให้คำมั่นว่า จะพิทักษ์รักษาชีวิต ทรัพย์สิน และศาสนาของชาวมุสลิมอย่างเต็มที่ คานธี จึงกลับมากินอาหารอีกครั้ง 

 

         และในวันที่ ๓๐ มกราคม ค.ศ. ๑๙๔๘ ช่วงตอนเย็น คานธี อยู่กลางสนามหญ้า กำลังสวดมนต์ไหว้พระตามกิจวัตร และขณะที่ คานธี กำลังพูดว่า "เห ราม" แปลว่า "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า" นาถูราม โคทเส ชาวฮินดูผู้คลั่งศาสนา ไม่ต้องการให้ฮินดูสมานฉันท์กับมุสลิม ได้ยิงปืนใส่ คานธี ๓ นัด จนล้มลงสิ้นลมหายใจในวัย ๗๘ ปี

 

          นี่คือประวัติของ มหาตมา คานธี เนื่องใจ วันเกิดของมหาตมา คานธี ๒ ตุลาคม

 

 

ผลงานที่ผ่านมาตลอดชีวิตของ มหาตมา คานธี โดยสังเขป…

 

           ๒๔๔๖ ก่อตั้งสมาคมอินเดียแห่งนครทรานสวาล เริ่มออกวารสาร Indian Opinion

 

           ๒๔๔๗ ศึกษาคัมภีร์ภควัทคีตาและหนังสือ Unto This Last ทำให้เกิดการก่อตั้งนิคม Phoenix

 

          ๒๔๔๘ เริ่มปฎิบัติบัติการสัตยาเคราะห์ต่อต้าน "กฎหมายทมิฬ"

 

          ๒๔๔๙ เกิดการกบฎ Zulu คานธีได้ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และตั้งปณิธานประพฤติพรหมจรรย์ รวมถึงบัญญัติคำว่า "สัตยาเคราะห์"

 

           ๒๔๕๒ แต่งหนังสือเรื่อง "ฮินฺดู สฺวราชฺย" (อินเดียปกครองตนเอง)

 

           ๒๔๕๖ ปฎิบัติการสัตยาเคราะห์จนถูกจับและได้รับการปล่อยตัว อดอาหาร ๗ วัน และหลังจากนั้นก็รับประทานอาหารวันละมื้อ เป็นระยะเวลา ๔ เดือน

 

           ๒๔๕๗ อดอาหาร ๑๔ วัน ผลจากการปฎิบัติสัตยาเคราะห์เป็นผลสำเร็จมีการออมชอมกัน ระหว่างอังกฤษกับอินเดีย 

 

           ๒๔๕๘ ได้รับเหรียญเกียรติคุณ “ไกสเร ฮินฺดู” จากรัฐบาลอังกฤษ

 

           ๒๔๖๓ เขียนธรรมนูญให้พรรคคองเกสแห่งชาติ เริ่มขบวนการไม่ร่วมมือกับรัฐบาล

 

           ๒๔๖๔ ก่อตั้งสถาบันการศึกษานิยมแห่งชาติทั่วประเทศอินเดีย ให้ไม่ร่วมมือกับรัฐบาลในการต้อนรับ มงกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษ ซึ่งจะเสด็จประพาสอินเดีย โดยการร่วมกันอดอาหารประท้วง เป็นเวลา ๕ วัน

 

           ๒๔๗๐ เดินทางทั่วประเทศอินเดียเพื่อส่งเสริมการปั่นด้ายด้วยมือ

 

           ๒๔๗๒ พรรคคองเกสแห่งชาติ มีการประชุมที่เมืองลาศอร์ มีญัตติให้อินเดียต่อสู้เพื่อเอกราช

 

           ๒๔๗๓ ประกาศการต่อสู้เพื่อเอกราชโดยสมบูรณ์เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม โดยคานธีนำขบวนเดินทาง ไปที่เมืองฑัณที แต่ถูกจับกุมตัว และถูกปล่อยตัวในปีต่อมา

 

           ๒๔๗๖ เริ่มออกวารสาร "หริชน" ถูกจับกุมและตัดสินจำคุก ๑ ปี จึงประกาศอดอาหารตั้งแต่วันที่ ๑๖ สิงหาคม ต่อมามีการตกลงกันได้กับฝ่ายรัฐบาล จึงยกเลิกการอดอาหารและถูกปล่อยตัว พร้อมทั้งย้ายไปอยู่ที่วรธา เดินทางไปยังภาคต่าง ๆ ของอินเดียเพื่อยกระดับฐานะของชนชั้นวรรณะต่ำต้อย (หริชน)

 

           ๒๔๘๔ ประกาศยกเลิกการเป็นผู้นำพรรคคองเกสแห่งชาติ และจัดตั้งองค์การพิทักษ์วัว เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน

 

           ๒๔๘๕ ยอมกลับมาเป็นผู้นำพรรคคองเกสอีกครั้ง พร้อมทั้งประกาศให้อังกฤษถอนตัวจากอินเดีย เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม

 

           ๒๔๘๙ อังกฤษส่งคณะรัฐมนตรีมาเจรจาเรื่องให้เอกราชแก่อินเดียสันนิบาตมุสลิม เริ่มปฎิบัติการ "Direct Action" เพื่อแบ่งแยกอินเดียออกมาเป็นปากีสถาน ชาวฮินดูกับมุสลิมเริ่มประหัตประหารกัน คานธีออกมาเดินทางด้วยเท้าเปล่า (บาทยาตรา) ไปเมืองโนอาขาลี เพื่อยับยั้งมิให้ฮินดู-มุสลิมประหัตประหารกัน

 

           ๒๔๙๐ อินเดียฉลองเอกราชเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม แต่ว่าคานธีอดอาหารต่ออีก ๗๓ ชั่วโมง เพื่อเรียกร้องมิให้ฮินดู-มุสลิม ฆ่าฟันกันในนครกัลกัตตา

 

           ๒๔๙๑ ประกาศอดอาหารเพื่อวิงวอนให้ฮินดูกับมุสลิม หยุดการปะทะกันในนครเดลฮี อดอาหารได้ ๕ วัน ชุมชนทั้งสองก็หยุดประหัตประหารกัน

 

 

 

 



ความเห็น (1)

ขอบคุณค่ะ ทำให้ย้อนนึกถึงเมื่่อตอนเรียนมัธยมปลายค่ะ ได้เรียนเรื่องของท่านเป็นหนังสือแปล

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ
ฝากกำลังใจ ถึง ผู้ที่โดนเอารัดเอาเปรียบ ฯลฯ ควรจะได้ดู... จาก ผู้ที่เคยถูกล่า... หันมาผนึกกำลัง ฮึดสู้ ผู้ล่า...
แล้วอะไร จะเกิดขึ้น.. เมื่อควาย สู้ สิงห์  
 


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

บันทึกธรรม เคยเป็นแบบนี้ กันมาทั้งนั้น ใช่มั๊ย... 


ณ เวลา ที่คนเราคบหาชอบพอกัน เป็นเสี่ยว เป็นเกลอ รักใคร่ปองดองกัน เขาก็จะมาชื่นชมในกันและกันให้ได้ยินได้ฟัง แม้ในยามลับหลังต่างก็พูดถึงกันในทางที่ดี ในความน่ายินดี มีความสุข ฯ

และ ณ เวลา ที่คนเหล่านี้ เกิดเหตุให้ชังกัน โกรธ เกลียดกัน อาฆาตพยาบาท จองเวร เล่นงานกัน เขาก็จะขุด ขุด ขุด นำความลับ เรื่องไม่ดี ไม่งาม ขุดความไม่ดีของกันและกันออกมามากมาย ฯ


ความเป็นผู้ใหญ่ ที่ได้พากเพียรฝึกเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เจริญเดินตามรอยครูบาอาจารย์ ที่ต้องรับรู้จากผู้ที่นำสุข - ทุกข์ มาหาและปรึกษา ดังที่กล่าวข้างต้น ก็เข้าใจ...จิตใจ ทั้งสองลักษณะ เพราะโลกเราก็เป็นเช่นนี้... 


ก็ได้แต่หาทาง แนะนำ เพื่อให้ค่อย ๆ ปรับ - แก้พฤติกรรมตนของตนเอง ให้อยู่ในศีลกันเถิด พี่เอย น้องเอย ฯลฯ


เมื่อมีผู้ถามว่า พระคุณเจ้าอยู่ฝ่ายไหน...เจ้าคะ ก็ตอบไปว่า อาตมา ไม่ได้มีฝ่าย ทุกฝ่าย จึงมาหาแต่อาตมา.. ก็..หากผู้ใดที่สมาทานศีล มั่นคงศีล เช่น ศีล ๕ และยิ่ง พัฒนาสู่อธิศีล ฯ รูปธรรม คนมีศีล ก็จะแสดงออกมา...ที่นั่น จะพบอาตมา ยืนอยู่ ณ ตรงจุดนั้น..

 

 

 

อามรมณ์ดี ไม่ต้องมีฝ่าย ฯ

เพราะความไม่มีฝ่าย

จึงเป็นความระบาย จากคนหวัง
คำด่า...หมายจักให้เกิดพลัง
เพื่อดึงรั้ง..ให้มา เป็นฝ่ายตน ฯ

ครั้นมาเจอ คนไม่มีฝ่าย
จึงฟูมฟาย และ สับสน
ด้วยไม่สมใจตน
เมื่อกาลเวลาผ่านพ้น จึงจักเข้าใจ แม้ที่ผ่านจะคำด่า.. ติ.. ว่า.. นินทา.. แอบไปตั้งฉายาให้ จากผู้โดนขัดใจ ไม่สมใจ ไปหลายหนับ..มากมายแล้วเอย.. ยังไง ก็..ดูไป... ต้อง ดูไป.. " โก ออน แอน ซี เอ้าท์... "

 

 

 



ความเห็น (1)
ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

บันทึก คำบ่นไว้ ณ วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๖



บันทึกจากปรากฏการณ์...๒๒ กันยายน ๒๕๕๖ เวลา ๒๓.๐๐ น. เมื่อเวลาออกจากบ้าน โบราณเตือนไว้ จิ้งจกทัก ฉันใด...เมื่อจะเปลี่ยนแปลงอะไร มักมีสัญญานบอกเสมอ ฯ
สามครั้งผ่านมา...จะเป็นเช่นนี้...

คลื่นปฐมอโศก ๑๐๗.๙ เจอคลื่นโฆษณา รบกวนหนัก
เป็นที่อ่านใจ ของผู้ฟัง น่าสงสาร
นี่แหละคือ หายนะแห่งพัฒนาการ
และ นี่คือ ธรรมา ธรรมะสงคราม ทุนนิยม แจ่มกระจ่างใจ

เป็นสัญญาน การเปลี่ยนแปลง ในไม่ช้า
เป็นความขลาด มิใช่ ความกล้า ไม่สงสัย
นี่แหละ ภูมิปัญญา สัมมาไทย
และนี่แหละ คือ งานเข็นครก ขึ้นภูเขามิจฉา แห่งใจ ในกึ่งพุทธกาล

 


คลื่นบุญนิยม สามารถชมและฟัง ผ่านอินเตอร์เน็ต กว่า ๑๒ ปี
วิทยุชุมชนบุญนิยมปฐมอโศก เอฟเอ็ม ๑๐๗.๙

สื่อสร้างสรร
ขยันช่วยสังคม
ระดมบุญคุณธรรม

http://www.boonniyom.com/pacradio.html
http://www.asoke.info/pacradio.html

เอฟเอ็ม ทีวี  ทีวี เพื่อมนุษยชาติ ทุกบรรยากาศ รายงาน ความจริง

http://www.boonniyom.com/

http://www.asoke.info/santitv.html

วิทยุชุมชนบุญนิยมปฐมอโศก เอฟเอ็ม ๑๐๗.๙ และ เอฟเอ็ม ทีวี บนมือถือ โดยเฉพาะไอโฟน ไอแพด

http://www.fm-tv.tv/mobi/

 

 


ความสำคัญ คือ คนมีคุณธรรม มิใช่ ความร่ำรวยทรัพย์ใด ๆ เลย ความร่ำรวย ก็เพียงชาตินี้ ทั้งที่กระทำบาปและหายนะก่อหนี้ ก่อนเผาเขาเงินใส่ปากให้งับไว้ หากก็เอาไปไม่ได้...โบราณให้แง่คิด ก็ยังไม่ตื่น.. เจ้าใจเอ๋ย ใจคน ฯ

เป็นเจตนา อยู่ในกรอบ ขอบนอกแบน

เพื่อรอแผน หน่วยงานดูแล จัดสรร
สิบสองปีผ่าน จนถึง ปัจจุบัน
โซนนิ่งคลื่น ก็ยังไม่มีการ จัดสรรใด ๆ

ทั้งที่ มีใบอนุญาต
ก็ยังคง เป็นความขลาด ของหน่วยงานใหม่
ไร้ทิศทาง ไร้ค่า นี่แหละคุณภาพใจ
มัวแต่ มุ่งหลงทางให้ทุนนิยม ทับถมแผ่นดิน ฯ

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

ข้อคิดดี ๆ ที่ควรดู และอ่านให้จบ เป็นบันทึก จากความซาบซึ้งให้คนไทย แม้ นี่คือ การโฆษณา ในเรื่อง... 

" การให้ "แล้ว จะพบว่า โลกใบนี้ ณ สังคมมนุษยชาติจะอยู่รอดได้ด้วยเกิดการให้...ให้...ให้... หรือ การเอา...มุ่งเอา... 

https://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=7s22HX18wDY 
จาก คลิปเรื่องราว...โดย ลงชื่อ นายแพทย์ประจักษ์ อรุณทอง



และ จาก อีกหนึ่งเรื่องรา...พร้อมเนื้อหา ลักษณะคล้าย กัน โดย เป็นเรื่องของ " นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร เด็กขี้ขโมย "

ที่ถูกแชร์ ถูกส่งต่อกันอย่างมากมายในสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับเรื่องราวของคุณหมอคนหนึ่ง ที่ผ่าตัดเนื้อร้ายให้กับหญิงคนหนึ่ง โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียว... ซึ่งคุณหมอคนดังกล่าว มีชื่อว่า "นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร" แต่ถึงแม้ว่า จะไม่ทราบว่าผู้บอกเล่าเรื่องราวดังกล่าวเป็นใคร และเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ส่วนนายแพทย์เดชา ทองวิจิตร นั้น จะเป็นเพียงตัวละคร หรือเป็นนายแพทย์ที่มีตัวตนจริง ๆ แต่เรื่องราวดี ๆ เรื่องนี้ ก็ทำให้คนที่ได้อ่านรู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก แถมได้ข้อคิดหลายอย่างเลยทีเดียว...ลองไปอ่านเรื่องราวของ นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร กันเลย...

เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า "อ้าว นั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ"

"ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันล่ะ"

ป้าคนนั้นชื่อว่า "ป้าหนอม" เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่ มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่น ๆ ในละแวกเดียวกัน และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของมากเกินไป หรือถามราคาแล้วไม่ซื้อ ป้าแกจะโวยวายชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว

เสียงเอะอะดังมากขึ้น ฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ ๑๒ - ๑๓ ขวบ ไล่เลี่ยกับฉัน ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือแม่จึงเดินเข้าไปถาม

"พี่หนอม มีไรเหรอคะ"

" ก็ไอ้เด็กเวรนี่นะสิ มันมาทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ พอฉันหยิบส่งให้มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย" พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้

"ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ " แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่

" เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย พ่อแม่ไม่สั่งสอนยังเด็กตัวแค่นี้ก็ริจะเป็นขโมยซะแล้ว ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินแหละ "

ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อย ๆ ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้ แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า " อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอม เด็กมันคงอยากซื้อยาแต่ไม่มีเงินน่ะ เอาเป็นว่า..ฉันจ่ายให้ละกันนะ กี่บาทกันล่ะ "

ในที่สุดเรื่องก็จบลง โดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุ แล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่ " ใจดีกับเด็กขี้ขโมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ "

แม่ไม่ได้ตอบอะไร แต่พอเดินห่างจากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า "ทำไมหนูขโมยของป้าเขาล่ะ" เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า...

" แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอ ผมก็เลยต้อง..." แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า " ทีหลังอย่าขโมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ น้าชื่อสมพร เปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง ถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไปฝากคุณแม่ซิ คนป่วยต้องกินผลไม้มาก ๆ จะได้หายไว ๆ รู้ไหม " แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม

เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที " ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนั้นด้วยล่ะ รู้จักกันเหรอจ้ะ" แม่ยิ้ม แล้วตอบฉันว่า "ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่คงจำแม่ไม่ได้หรอก แม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง "

" แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่ " ฉันถามต่อ แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า " แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่า ๆ กับลูกจะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ รู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหน และคนที่มีความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริง ๆ เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น "

ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า " แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า "

" ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร "

" แล้วแม่ไม่เสียดายเงินเหรอ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านป้าหนอมเขานะแม่ "

" ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนัก แต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุข แล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้วไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก "

แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า " จำไว้นะลูก คนเรานะ ต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมออย่างเด็กคนนั้น.. แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริง ๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้ "

แล้วแม่ก็พูดต่อว่า " ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่...แม่ไม่เถียงแต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่น ๆ บ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทองตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ "

หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่น ๆ กันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตาว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริง ๆ

หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณสามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้าเพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้างหลังจากทำงานหนักมาเกือบ ๒๐ ปี เพื่อส่งฉันเรียนแม่ยอมปิดร้าน แต่ก็ยังรับงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่

ฉันทำงานอยู่ประมาณ ๒ - ๓ ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบาย เริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้นช่วงแรก ๆ ไม่กี่วันก็หาย หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อย ๆ

ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอ แล้วฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมือง หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนักมากเกินไป หมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมาก ๆ จะได้หายเร็ว ๆ

หลังจากกินยาตามที่หมอสั่ง อาการปวดหัวของแม่ก็หายไป ฉันเริ่มสบายใจขึ้นแต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีก คราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย ฉันกังวลใจมาก พอถามหมอ หมอก็บอกว่าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัด

หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯ ทันที ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งหลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่า มีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ฉันตกใจมากขอให้หมอผ่าตัดให้ทันที แต่หมอบอกว่าโรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้นฉันก็ตกลง

หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้วแม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอกทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่และจากคำพูดของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมากโอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตามอีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมองค่อนข้างสูง เป็นหลักแสนบาทเมื่อรวมกับค่ายา ระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราว ๆ ห้าแสนบาท

ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หาย ส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง

หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง เป็นโชคดีของแม่ที่การผ่าตัดประสบผลสำเร็จและไม่มีอาการแทรกซ้อนใด ๆ ทางโรงพยาบาลบอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้ ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฏว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท เป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น

ฉันแปลกใจมาก จึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่า...คุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่า หลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉันพร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้

เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน เนื้อความในจดหมายมีดังนี้

ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์ ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้

ค่าผ่าตัด ๐ บาท
ค่ายาทั้งหมด ๐ บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ ๐ บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด ๐ บาท

ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง

ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนาน ๆ นะครับคุณน้า
นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร

 

 

 

 



ความเห็น (2)

เป็นเรื่องราวที่ดูกี่ครั้ง…อ่านกี่ครั้งก็ยังซาบซึ้งใจ…เสมอนะคะ…ขอบคุณค่ะ

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

ณ โลกแห่งความจริงที่มากไปด้วยปัญหา ฯ นับวัน จะยิ่งพบความหยาบ ความผิดศีลที่หนักมากขึ้น ๆ เริ่มจาก ศีลพื้นฐาน ทั้ง ๕ ข้อ ที่พบว่า..มีการกระทำความผิดแบบ เห็นโต้ง ๆ ตำตา ในการประกอบมิจฉาอาชีพ ก็เช่น การทำผิดศีล ข้อ ๑ การฆ่า เป็นปกติ ข้อ ๒ การลัก มุ่งจ้องเอาสิ่งที่ มิใช่ เป็นของตนมาเป็นของตน ของพวกตน นับร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน แสนล้าน ฯลฯ โดย ปวงประชามหาชนต่างไม่คสดคิด ทั้งที่รู้ ที่ไม่รู้ และได้แต่ทำตาปริบ ๆ จนเป็นปกติ...

ในการก่อความผิด I ชนิดก่อความหยาบสุดหยาบในบาปบางข้อ เช่น การผิดศีล ข้อ ๓ ที่ยังพอมีความละอายในการหลงเสพอยู่บ้าง...โดย พยายาม แยก ว่า... นี่ เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นพฤติกรรมส่วนตัวนะ 

แต่ก็เปิดเผย รู้กัน ในกลุ่มตนว่า..ใคร เป็นอย่างไร ? มักมากระดับใด ? หรือ จักต้องปรนเปรอบรรณาการ ในระดับใด ? กระนั้น คนพวกนี้.. จะก่อกรรมได้หยาบสุด ๆ

คำสอนพระพุทธองค์ การเกิดกิเลสกามนั้น เกิดแต่ดำริ... หากเจ้าคนที่หลงเสพ หลงติดอย่างหนัก ฯลฯ พฤติกรรม ย่อมต่างจากเดรัจฉาน ตรงที่ เดรัจฉาน จะเกิดมีก็เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ และเป็นไปตามสัญชาติญาน ที่เมื่อถึงเวลา โดย แสดงออกแบบไม่อายฟ้าดิน ฯลฯ 

ซึ่งบัดนี้ เจ้าคน...ก็เริ่มมีการเลียนแบบที่ไม่อายฟ้าดินมากขึ้นในบางพื้นที่ ในบางกลุ่มสังคม ฯ

ลำดับ ว.๕ แห่งความหยาบ โดยมาก จึงพบชนิดที่...

- ทำ.. ก็อย่าให้รู้
- ถึงรู้.. ก็อย่าให้เห็น
- เห็น.. ก็อย่าให้จับได้
- ถึงจับได้.. ก็อย่าไปรับ
- หากจะรับ.. ก็ให้รับ นิ๊ดเดียว

การจะเพิ่มศักยภาพแห่งคุณธรรม ศีลธรรม ในโลกใบนี้ ให้เพิ่มปริมาณมากขึ้นในแต่ละ % แต่ละ % ในท่ามกลางกระแสโลกีย์ที่เชี่ยวกราก ฯ

จึงเป็นความหนักและสุดยาก.. การที่จะมีผู้ใด หาญกล้าฝ่าแรงเสียดทานที่จักต้องเปลืองตัวอย่างมาก ที่สุด... ด้วยพลังแห่งมหากุศลเจตนา ต้องอาศัยความหนักแน่น อย่างเที่ยงแท้ มั่นคง จากผู้ที่คือ บุคคลธรรมดา ๆ ที่ไม่ธรรมดาที่มีการประมาณกำลังตน เท่านั้น ฯลฯ 

แม้กระนั้น อาจจะกล่าว เหมือนจะเท่ห์... ด้วยที่แม้กระนั้น ก็ไม่ได้หวังว่า จะประสพความสำเร็จหรือไม่ ? อย่างไร ? 

เพียง มุ่งแสดงเจตนามโนกรรม วจีกรรม กายกรรม แห่งมหากุศลเจตนาอย่างเต็มกำลัง สุดฝีมือแล้ว !!!

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

บันทึกธรรม คิดตามคำถาม จึงสนทนาเพื่อเพิ่มคุณธรรม พร้อมขอความร่วมมือ..ในการปกป้องการทำผิดศีล ข้อ ๓



พอดี มีผู้มาถาม เรื่อง เก็บภาษีคนโสด พระคุณเจ้าเห็นอย่างไร ?
เลยย้อนไปว่า เจ้าพวกที่คิดแบบนี้ นี่ คงจะแกล้งพระดี ๆ แล้วเลือกเข้าข้าง เจ้าพวกสมี... ซึ่งก็คงจะดีใจ...และบวชหลอกชาวบ้านต่อได้อย่างสบาย 

ตัวอย่าง.. อ้ายคำ โดย เจ้า โอ๋ ฆราวาส จัดให้ อ้ายคำ.. 

http://www.youtube.com/watch?v=re5UNeDQiCA

จึงสนทนา โดย เสนอให้ออกกฎหมายเพิ่ม อีกฉบับ... คือ... 

- กฎหมายเก็บภาษี คนมีกิ๊ก หนึ่ง กิ๊ก เก็บภาษีหนึ่งแสนบาท ต่อเดือน 
- หากใครปกปิดไม่แจ้งความจริง แล้ว สืบรู้ภายหลัง ให้คิดหักภาษีย้อนหลังนับแต่วันรู้ และคิดอัตราเป็นคืนที่กระทำผิดไป...

 

นับจากคืนแรกที่ไปทำผิดนอกใจสามี นอกใจภรรยา ไม่เว้นแม้แต่การไปเที่ยวตามสถานที่เที่ยว โดย คิดภาษี คืนละ ๑ แสนบาท 


การคิดย้อนหลัง คิดเท่าจำนวนวันที่ปกปิดจำนวนกิ๊ก ที่ได้ไปกระทำนอกใจคู่ชีวิตตนเองไว้...


ส่วนกิ๊กคนใดที่กล้าให้ข้อมูลออกมายืนยันความจริงให้กันไว้เป็นพยาน โดย จะได้รับ % จาก ภาษีที่ได้ แต่หากร่วมทำผิดไม่คิดเปิดเผย - ไม่ออกมาร่วมมือ ให้หักภาษีกึ่งหนึ่งในฐานะสมรู้ ร่วมคิด 


- งบประมาณภาษีที่ได้มาจากกฏหมายฉบับนี้ ให้นำเอามาใช้ในกิจการอบรมศีลธรรม สลายพฤติกรรมบุคลที่กระทำผิดศีลธรรมเหล่านี้ เพื่อให้ได้มาปฏิบัติธรรม และ ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร หากใครกลับไปทำผิดอีก ให้จัดการทำหมันแบบขันที ให้หมดสิ้น...


ภาคผนวก ก. เว้นเฉพาะกรณี โดนข่มขืน ให้ยกเว้นไม่เข้าข่ายกฏหมายนี้ ส่วนคนที่ทำการข่มขืน จักได้รับบทลงโทษตามกฏหมายนี้  เพิ่มจากที่บ้านเมืองมีอยู๋ด้วย...

ภาคผนวก ข. หากสำนึกตั้งใจที่จะหยุดพฤติกรรมตนได้ โดย ไปขอทำสัญญาปรองดอง ตกลงกับคู่ครองของตน และ ทำหลักฐานไว้ ณ ที่สำนักงานที่จ่ายภาษี ให้ยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษี...

ภาคผนวก ค. บุคคลที่กระทำผิดกฎหมายนี้ ห้ามรับเป็นข้าราชการประจำ และ ข้าราชการการเมือง... ส่วนที่เข้ามาเป็นแล้ว สำนึกหยุดกระทำ อนุโลมให้คงทำหน้าที่ แต่หากคงทำผิดซ้ำ ให้ไล่ออก และ ปรับสินไหม ตามกฏหมายโดยย้อนหลัง...

 

 



ความเห็น (1)

ชอบ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เห็นด้วยนะค้า

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

บันทึก นิทานธรรม

" จอมเบ่ง "

 

เป็นเรื่องราว เพื่อให้ทุกองคาพยพในสังคม จักได้ประสานร่วมพลังเอามาฝากให้เกิดสัมมาสติ... มิฉะนั้น ประเทศไทย อัน คือ แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง จักคว่ำลง ฯ ได้ ดัง นิทาน...

 

นานมามากแล้ว จนไม่รู้ว่าเริ่มแรกตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นสมัยที่เกิดฝนตกหนักจนน้ำนี้ท่วมโลก สัตว์ทั้งหลายนั้นก็หนีตายจากน้ำท่วมกันยกใหญ่ ยังมีอึ่งอ่างตัวหนึ่งว่ายน้ำมาเจอกะลาใบหนึ่งลอยตุ๊บป่องกลางน้ำมันจึงคว้าแล้วขึ้นไปอยู่ในกะลานั้น 

ซักพักก็มี กิ้งกืออีกตัวหนึ่งว่ายน้ำมาอีกก็ขอขึ้นมาอยู่ในกะลาด้วยเพราะว่าเหนื่อยกับการว่ายน้ำแล้ว ทั้งสองก็อยู่บนกะลานั้นลอยไป เรื่อยๆ 

ซักพักก็มีหิ่งห้อยตัวหนึ่งบินมาด้วยความเหนื่อยหาที่เกาะไม่ได้ก็บินมาเจอกะลาใบนี้ก็ขอเกาะอยู่ด้วย สัตว์ทั้งสามตัวนั้นก็อยู่ในกะลาลอยตามน้ำไปเรื่อยๆ

ผ่านไปหลายวันแล้วน้ำก็ยังไม่ลดระดับลงซักทีแถมว่าหาแผ่นดินไม่ได้ สัตว์ทั้งสามตัวนั้นก็อยู่ในกะลาคุยกันไปเรื่อยๆ หลายวันผ่านไป จนในคืนหนึ่งเจ้าหิ่งห้อยก็เปล่งแสงที่ก้นของมันและโอ้อวดตัวเองกับเพื่อสัตว์อีกสองตัวว่า...

“ นี่... พวกเจ้านะตัวใหญ่ซะเปล่าไฟในตัวก็ไม่มี ต้องอย่างข้าสิ ตัวเล็กมีไฟให้แสงสว่าง ถ้าพวกเจ้านี้ไม่มีข้าละก็ กลางคืนเจ้าคงไม่เห็นอะไรแล้ว ข้านี่แหละเจ๋งสุดๆ ในกะลาใบนี้ ฮ่าๆๆๆ ” 

เจ้าอึ่งอ่างได้ฟังดังนั้นก็เคืองในใจตนที่โดนสัตว์เล็กกระจ่อยร่อยมาดูถูกมันจึงกล่าวขึ้นมาว่า... “ ฮึ... เจ้าหิ่งห้อยตัวเล็ก ในกะลาใบนี้นะข้าสิใหญ่ที่สุด ”

เจ้าอึ่งอ่างไม่กล่าวเฉยๆ และได้พองตัวเองขึ้นจนเกือบเต็มกะลา ทำให้กะลาที่ลอยเหนือน้ำโคลงไปเคลงมา เจ้ากิ้งกือก็กลัวจะน้อยหน้าผู้อื่นมันจึงคุยทับเพื่อนสัตว์อีกสองตัวว่า...

 

“ ฮึ....ในกะลานี้ข้าสิที่แน่ที่สุด เพราะว่า..ข้านี้ยาวที่สุดตั้งแต่หัวถึงหางยาวจากขอบกะลาข้างหนึ่งไปถึงอีกข้างหนึ่ง ”

มันก็ไม่ว่าเปล่า มันก็ยึดตัวเองออกไปแข่งความแน่ของคนเองในกะลาใบน้อยใบนั้น สัตว์แต่ละตัวก็คุยทับถมกับไปเรื่อยพร้อมกับทำตามที่ตนคุยเอาไว้ด้วย ทำให้กะลานั้นโอนเอนไปมาเรื่อยๆ พร้อมกับโดนคลื่นซัดอีกจึงทำให้กะลาที่สัตว์ทั้งสามนั้น อยู่คว่ำและจมลง สัตว์ทั้งสามนั้นไม่ทันได้ตั้งตัวก็จมน้ำตายไปหมดทั้งสามตัว

ก็ขอให้นักเบ่งทั้งหลายรู้ด้วยว่า อันการเบ่งทับกันโดไม่ทำอะไรนี้ไม่เข้าท่า คือ จะทำอะไรนั้นมัวแต่คุยโอ้อวด อวดเก่งอยู่นั้นโดยไม่ทำอะไรนั้นมันไม่ทำให้เจริญไปได้ ดูเอา เจ้าสัตว์ทั้งสามตัวนี้เป็นแบบอย่างว่าเป็นอย่างไร ?

 

 

 

 

 

นิทานอีสปเคยกล่าวเอาไว้ว่า...

จงพอใจในวาสนาของท่าน เรามิอาจเป็นเลิศในทุกสิ่งได้ คนไม่พอใจในตัวเองจะเป็นทุกข์ตลอดไป...

.....นานมาแล้วมีกบตัวหนึ่งอาศัยใกล้กุฎิพระ

ตอนเช้าเห็นพระบิณฑบาตได้อาหารมาอย่างสบายทุกวัน เจ้ากบก็ปรารถนาอยากเป็นพระกับเขาบ้าง คงจะดีนะ ต่อมาเมื่อพระฉันเสร็จก็เอาข้าวสุกโปรยให้ไก่กิน เจ้ากบก็คิด เป็นไก่ดีกว่าไม่ต้องออกแรงเลย ไม่อยากเป็นพระอีกแล้ว ขณะนั้นเอง หมาตัวหนึ่งแย่งไก่กินอาหาร ไก่กลัวหมามากจึงหนีเอาตัวรอดอย่างน่าอนาถ เจ้ากบก็คิด เป็นหมาดีกว่าดูเป็นวีรบุรุษดี ไม่อยากเป็นไก่แล้ว มีชายคนหนึ่งเห็นเข้าจึงเอาไม้ไล่ตีหมา จนหมาวิ่งหนีร้องลั่นไป เจ้ากบจึงคิดว่าทำไมเราไม่เกิดเป็นคนหนอ สามารถขับไล่หมาไปได้ จากนั้นเอง ชายผู้นี้ ก็มานั่งริมสระน้ำ แล้วเจ้าแมลงวันก็บินมาตอมจนชายผู้นั้นรำคาญ และลุกหนี พร้อมบ่นว่า "รำคาญแมลงวันจริงโว้ย" เจ้ากบได้ยินเสียงดังนั้น ก็นึกคิดว่าเกิดเป็นแมลงวันดีกว่านะ เพราะเก่งมากจนทำให้คนรำคาญได้ บังเอิญแมลงวันบินมาเกาะที่จมูก มันจึงแลบลิ้นแผลบกินแมลงวัน เจ้ากบจึงค้นพบสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ ว่า เป็นอะไรก็ไม่ดีเท่าตัวเราเอง ความทุกข์จึงเกิดจากความไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ " เราแทบไม่คิดว่า เรามีอะไรบ้าง แต่เราคิดเพียงว่า เราขาดอะไรบ้างเท่านั้น "

 



ฉันเป็นกบ อบ...อบ ในกะลา
ภูมิใจว่า..ตัวเองช่างยิ่งใหญ่
มาวันหนึ่งแล้วกะลาก็พลิกไป
ความภูมิใจสลายลงในพลิบตา

จากที่เคยคิดว่า..ตัว ยิ่งใหญ่
หลงภูมิใจอย่างโง่เขลาเบา สุดกังขา
แท้ที่จริงโลกนี้กว้าง ด้วยเปิดปัญญา
ทั่วโลกา โดยแท้ จะหาใคร...ใหญ่จริงไม่มี ฯ



 

 

 



ความเห็น (2)

ชื่นชม “นิทานธรรม” มากค่ะ


พยายามค้นหาต้นฉบับ และ หาทางทราบ นาม คนแต่ง ก็หาไม่ได้
" ในใจ "น้อมยกความดี มอบแด่...คนแต่ง
เพียงนำเรื่องราวมาปรับ ให้เหมาะ กับกาล
เพื่อสานเจตนา มหากุศล สู่ สัมมาสติแห่งจิตใจทุกปวงมหาประชาชน เทอญ

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

พบพระอายุ ๑๐๒ ปี พระวินัยโสภณ ( พระเล็ก ธัมมปาโล ) บวชเณร ๒๔๗๐ บวชพระ ๒๔๗๔ วัดปทุมวนาราม ปทุมวัน กทม.www.youtube.com/watch?v=GMtU6N5bf5w&feature=youtu.be



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ
ณ จุดยืน ที่เป็นความเป็นตัวของตัวเอง... ด้วยตนเอง...
ณ จุดยืน ที่เป็นความศรัทธาต่อบุคคล ที่เราชัดด้วยตนเอง...

บุคคลที่เป็นตัวของตัวเอง เป็นตัวอย่าง และ เปี่ยมด้วยพลังศรัทธาที่ลงมือทำ... ที่เห็นเด่นชัด... มหาตมา คานธี ผู้ที่ยิ่งเล็ก...ที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ยิ่งจน...ที่ยิ่งรวย

www.asoke.info/09Communication/DharmaPublicize/Sanasoke/sa274/014.html


มหาตมา คานธี 

ผู้ที่ยิ่งเล็ก...ที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ยิ่งจน...ที่ยิ่งรวย


๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๒ เป็นวันเกิดของเด็กน้อยชาวอินเดียคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อร้อยปีก่อน ไม่มีใคร คาดคิดว่า เขาจะกลายเป็น รัฐบุรุษเอก ของโลกท่านหนึ่ง โดยมีศาสนา เป็นเครื่องมือบริหารบ้านเมือง จนได้รับการขนานนาม ยกย่องเป็นบิดา ของประเทศว่า "มหาตมา คานธี" ผู้ที่ยิ่งเล็กที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีคุณธรรมที่น่าซาบซึ้งใจ อยู่หลายประการ หวังว่าผู้ใฝ่สันติ ทั้งหลาย คงจะได้พลังใจจากการได้รำลึกถึงชีวิตของท่าน เพื่อช่วยกัน กอบกู้ มนุษยชาติ ให้พ้นจากทุกข์ ทั้งหลายทั้งปวงกันต่อไป

 

อารมณ์ขันของคานธี 
ตอบคำถามของนักหนังสือพิมพ์ผู้หนึ่ง ซึ่งถามคานธีว่า คานธี มีอารมณ์ขันหรือไม่ 
หากไม่มีอารมณ์ขัน ผมคงจะฆ่าตัวเองตายไปเสียนานแล้ว "

 

ไม่ใช่ ๑๐๐ แต่ ๑๒๕ 
ในการประชุมใหญ่ของพรรคคองเกรส ( เป็นพรรคการเมืองชาตินิยม ของอินเดีย ซึ่งต่อสู้ กับอังกฤษ จนอินเดีย ได้รับเอกราช) ในค.ศ. ๑๙๔๒ มหาตมา คานธีได้ประกาศ ในที่ประชุมว่า ท่านขอมีชีวิตอยู่ ๑๒๕ ปี ในวันรุ่งขึ้นต่อจากนั้น มหาตมา คานธี และ ผู้นำคนสำคัญอื่นๆ ของอินเดียก็ถูกจับ และถูกนำตัวไปคุมขังไว้ ในวังของอก่า ข่าน (Aga Khan)ในเมืองปูนา (Poona) และ ณ ที่นั้นเอง มหาตมา คานธี ได้ประกาศอดอาหาร ประท้วง การกระทำ ของรัฐบาลอังกฤษ เป็นเวลา ๒๑ วัน ในการอดอาหารอันสำคัญ และโด่งดังไปทั่วโลกครั้งนั้น สุขภาพของคานธี ได้ทรุดโทรมลงมาก จนเป็นที่น่าวิตกว่า จะเป็นอันตรายต่อชีวิตของท่าน ประชาชนทั่วทั้งประเทศอินเดีย ต่างก็ชุมนุมสวดมนต์ ไหว้พระ วิงวอนขอพรจากพระผู้เป็นเจ้า ให้พิทักษ์คุ้มครองมิให้คานธี ต้องเป็นอันตราย โดยประการใดๆ รัฐบาลอังกฤษ ซึ่งปกครองอินเดีย อยู่ในขณะนั้น ตระหนักเป็นอย่างดี ถึงสถานการณ์อันหนักหน่วง เพราะหากคานธี ต้องเสียชีวิตลงในที่คุมขัง อินเดีย ทั้งประเทศ คงลุกเป็นไฟ และทั่วโลก คงจะประณาม การกระทำของอังกฤษ อย่างแน่นอน

ดังนั้น หลังจากการอดอาหารของคานธี ได้ดำเนินไปจนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตของท่าน รัฐบาลอังกฤษ จึงตัดสินใจปล่อยคานธีเป็นอิสระ

ประชาชนชาวอินเดียทั่วทิศานุทิศ ต่างดีใจที่คานธีได้รับอิสรภาพและต่างก็แสดงความปีติ ด้วยวิธีการต่างๆ

ในบรรดาโทรเลขจำนวนมหาศาลที่มีไปถึงคานธี แสดงความดีใจที่ท่านได้รับอิสรภาพนั้น มีโทรเลขฉบับหนึ่ง จากบัณฑิตมัทนะ โมหัน มาละวียะ มีความว่า

"เพื่อรับใช้มนุษยชาติและภารตมาตา (แม่ธรณีอินเดีย) ขอพระผู้เป็นเจ้าได้ประทานพร ให้ท่าน มีชีวิตอยู่ ๑๐๐ ปี"

ดังได้กล่าวแล้วข้างต้นว่ามหาตมา คานธี ได้ประกาศในที่ประชุมใหญ่ของพรรค คองเกรสว่า จะขอมีชีวิตอยู่เป็นเวลา ๑๒๕ ปี และอินเดียทั้งประเทศ ก็ทราบปณิธานนี้ ของท่าน เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม บัณฑิตมัทนะ โมหัน มาละวียะ ซึ่งมีอายุ แก่กว่า คานธีหลายปี อาจจะไม่ทราบเรื่องนี้ หรืออาจจะทราบแล้ว หลงลืมไปก็เป็นได้ เพราะการอวยพร ให้คนมีอายุยืน ๑๐๐ ปีนั้น เป็นประเพณีทั่วๆ ไป พอได้รับโทรเลข ดังกล่าว คานธีก็รีบส่งโทรเลขตอบ บัณฑิต มาละวียะ พร้อมด้วย อารมณ์ขันของท่านว่า "ขอขอบพระคุณที่ท่านระลึกถึงและให้พรผม แต่เพราะปลายปากกา ไถลไปเพียงนิดเดียว อายุของผม จึงถูกทอนไปถึง ๒๕ ปี อย่างไรก็ตาม ผมขอมอบ ๒๕ ปีที่ทอนจากอายุผมนี้ สมทบเข้ากับอายุของท่านเอง ก็แล้วกันนะครับ"

 

ผมไม่ใช่ "มหาตมา" 
(มหา + อาตมา = ผู้มีจิตใจสูง เป็นสมัญญาที่ชาวอินเดียมอบให้) 
ครั้งหนึ่งมีนักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งถามคานธีว่า "ท่านเป็นมหาตมาจริงๆ หรือ ?"

"ผมไม่ได้คิดว่าผมเป็น" คานธีตอบ "ผมคิดว่าผมเป็นเพียงชีวิตธรรมดาๆ ชีวิตหนึ่งที่ พระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้สร้าง"

ท่านจะให้คำนิยามคำว่า "มหาตมา" ได้ไหมครับ ?

"ให้ผมเป็น "มหาตมา" เสียก่อนแล้วคงจะให้ได้ !"

ถ้าท่านคิดว่าท่านไม่ได้เป็นมหาตมา ทำไมท่านจึงไม่ห้ามผู้คนมิให้เรียกท่านว่า "มหาตมา"

"ผมยิ่งห้ามเขายิ่งเรียกผมมากขึ้น !" คานธีตอบยิ้ม ๆ

 

ศาสนาในทัศนะของคานธี
ข้าพเจ้าเป็นนักบวชที่ยากจน ทรัพย์สินที่ข้าพเจ้ามีอยู่ในโลกนี้ มีกงล้อปั่นด้าย ๖ เครื่อง จานรับประทานอาหาร ตั้งแต่อยู่ในคุก ๑ ใบ กระป๋องใส่นมแพะ ๑ ใบ ผ้านุ่งโธตี และ ผ้าเช็ดตัวทอด้วยมือ ๖ ชิ้น นอกนั้น ก็มีแต่ชื่อเสียง ซึ่งก็ไม่มีราคาค่างวด หรือความหมาย อะไร

ไม่มีศาสนาใดที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าสัจจะและความเป็นธรรม ท่านต้องเฝ้าดูชีวิตของ ข้าพเจ้า ว่าข้าพเจ้ากิน อยู่ หลับนอน พูดจา และมีความประพฤติทั่วไปเป็นอย่างไร ผลรวมของพฤติการทั้งหมดเหล่านี้ ที่ได้เห็นในตัวข้าพเจ้านั่นแหละ คือศาสนาของข้าพเจ้า

การเป็นผู้รับใช้คือการได้เข้าถึงพระผู้เป็นเจ้า

เป้าหมายขั้นสุดท้ายของคนเราก็คือ การบรรลุ ถึงพระผู้เป็นเจ้า กิจกรรมทุกประการ ของคนเรา ไม่ว่าจะเป็น ในด้านการเมือง การสังคม หรือการศาสนาก็ดี ควรจะมีเป้าหมาย อยู่ที่การบรรลุถึง พระผู้เป็นเจ้า การบริการรับใช้ เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เป็นกิจกรรม ที่จำเป็นอย่างหนึ่ง ในการบรรลุถึง พระผู้เป็นเจ้า เพราะการบรรลุถึง พระผู้เป็นเจ้าก็คือ การบรรลุถึง สรรพชีวิต ที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นมา และการทำตน ให้เป็นส่วนหนึ่ง แห่งสรรพชีวิตเหล่านั้น การรับใช้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เป็นกิจกรรมที่จะขาดเสียมิได้ หากเราประสงค์ จะเข้าให้ถึงพระบิดาของเรา และเราจะต้อง เริ่มกิจกรรมนี้ จากเพื่อนมนุษย์ ซึ่งอยู่รอบๆ ตัวเรา ซึ่งก็ได้แก่การรับใช้ ประเทศชาติของเรานั่นเอง ข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่ง ของส่วนรวม และข้าพเจ้าไม่สามารถจะพบพระผู้เป็นเจ้า ณ ที่อื่นใดได้ นอกเหนือไปจาก ในส่วนรวม เพื่อนร่วมชาติ เป็นเพื่อนบ้านและเพื่อนมนุษย์ ที่อยู่ใกล้ที่สุดของข้าพเจ้า เขาเหล่านี้ อยู่ในสภาพที่ระทมทุกข์ ขาดความช่วยเหลือ และไร้ที่พึ่ง เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงต้องมุ่งมั่นรับใช้เขา เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่ทุกวันนี้ ศาสนามีความหมาย เพียงเรื่องของรูปแบบ และพิธีกรรม หรือไม่ก็เป็นเรื่องของทิฐิมานะ เราทั้งหลาย พากันลืมสารัตถะ อันได้แก่ แก่นแท้ของศาสนาเสียแล้ว ข้าพเจ้าใคร่ขอ แสดงความเห็นว่า ไม่มีอวิชชา หรือความไม่รู้ ที่เสียหายร้ายแรง ยิ่งไปกว่าสภาพเช่นนี้ ชาติกำเนิดก็ดี พิธีกรรมก็ดี สิ่งเหล่านี้มิใช่เป็นเครื่องกำหนด หรือแสดงถึงความดี หรือ ความไม่ดีของคนเลย การกระทำและความประพฤติ ของคนเท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องวัด ให้เห็นได้ว่า ใครดี ใครไม่ดี พระผู้เป็นเจ้า มิได้ทรงสร้างผู้ใดขึ้นมา ด้วยการประทับตรา ติดร่างว่า ใครดี ใครไม่ดี ไม่มีคัมภีร์ศาสนาเล่มใด ที่จะบังคับให้เราเชื่อได้ว่า เพราะชาติกำเนิด คนนี้จึงเป็นคนดี และเพราะชาติกำเนิด คนนั้นจึงเป็นคนไม่ดี คำกล่าวอ้างเช่นนี้ เป็นการปฏิเสธ พระผู้เป็นเจ้าและสัจธรรม เพราะพระผู้เป็นเจ้าก็คือ สัจธรรมนั่นเอง

ประสบการณ์ในชีวิตได้สอนข้าพเจ้าตลอดมาว่า นอกจากสัจจะแล้ว ไม่มีพระผู้เป็นเจ้า อื่นใด

 

ศาสนาของข้าพเจ้าคือการรับใช้
ในช่วงเวลาที่อินเดียจะได้รับอิสรภาพอยู่นั้น มีบาทหลวง ชาวอเมริกันรูปหนึ่ง เข้าพบ เพื่อฟัง ความคิดเห็นของ มหาตมา คานธี

"ท่านมหาตมาครับในแผ่นดินอินเดียที่เป็นอิสระแล้ว ศาสนาใดควรจะเป็นศาสนา ที่เหมาะสม แก่ชาวอินเดียครับ ?"บาทหลวงถาม ด้วยความสุภาพ

ขณะนั้นคานธีกำลังปรนนิบัติคนไข้อยู่ ๒ คนในห้องที่บาทหลวงเข้าพบ คานธีชี้ไปทาง คนไข้ พลางพูดว่า "ศาสนาที่ผมนับถืออยู่ ทุกวันนี้คือ ศาสนาแห่งการรับใช้ผู้อื่น ผมเชื่อว่า ศาสนานี้ เหมาะสมแก่อินเดียเสมอ !"

 

ศาสนาและการเมืองในทัศนะของคานธี 
"การอยู่อย่างมีอิสระภาพแต่แบบตัวใครตัวมันนั้น หาใช่เป็นเป้าหมายของนานารัฐ นานา ประเทศชาติไม่ โลกเป็นอันหนึ่งอันเดียว และต้องพึ่งพาอาศัยกัน และศาสนาที่ข้าพเจ้า รับนับถือ มิใช่เป็นศาสนาแห่ง ความคับแคบเห็นแก่ตัว ซึ่งนักการศาสนาส่วนใหญ่ ที่ข้าพเจ้าได้พบเห็น ล้วนเป็นนักการเมือง ที่ปลอมแปลงตัวมา ส่วนตัวข้าพเจ้า ผู้สวม บทบาทเป็นนักการเมืองนั้น ด้วยจิตใจอันแท้จริง แล้วเป็นนักการศาสนาต่างหาก"

 

ผู้บรรลุสัจธรรมย่อมไม่จำกัดตนเอง 
การที่จะบรรลุสัจธรรมอย่างแท้จริงได้นั้น เราจะต้องสามารถรักสรรพชีวิตให้ได้เหมือนกับ ที่เรารักตนเอง ผู้ที่มีความปรารถนาเช่นนี้ จะจำกัดตนเองให้อยู่ในขอบเขตหนึ่งขอบเขตใด ของชีวิตไม่ได้ และเพราะศรัทธาปสาทะ ที่มีต่อสัจธรรมนี้เอง ข้าพเจ้าจึงมาพัวพัน การบ้านการเมือง

ข้าพเจ้าพูดโดยมิต้องรีรอและด้วยคารวะในทัศนะของผู้อื่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า บรรดา ผู้ที่พูดว่า ศาสนาไม่เกี่ยวกับ การเมืองนั้น เป็นผู้ที่ไม่ทราบความหมาย ของคำว่า "ศาสนา"

"สำหรับผมแล้ว…การเมืองที่ปราศจากหลักธรรมทางศาสนาเป็นเรื่องของความโสมม ที่ควรสละละทิ้งเสีย เป็นอย่างยิ่งการเมืองเป็นเรื่องของ ประเทศชาติ และเรื่องที่เกี่ยวกับ สวัสดิภาพ… ต้องเป็นเรื่องของ ผู้มีศีลมีธรรมประจำใจ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องเอา ศาสนจักร ไปสถาปนาไว้ใน วงการเมืองด้วย"

ถูกแล้วคุณ…ผมเป็นนักการศาสนา แต่คุณจะว่าผมหลงทางเข้ามาในวงการเมืองไม่ได้ นักการศาสนา จะต้องต่อต้าน ความไม่มีศาสนา ในทุกแห่งหนที่เขาได้พบเห็น แต่ในยุค ปัจจุบัน ความไม่มีศาสนา ได้เข้าไปยึดการเมือง ไว้เป็นป้อมปราการ อันสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องเข้าไปในวงการเมือง เพื่อต่อต้านความไม่มีศาสนา"

 

การป้องกันตนให้พ้นจากผลประโยชน์ทับซ้อนทางการเมือง เมื่อข้าพเจ้าพบว่าตนเองได้ถูกดึงเข้ามาในแวดวงของการเมืองเสียแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ถาม ตัวเองว่า การที่จะรักษาตน ให้พ้นจากความไม่มีศีลธรรม อสัจจะและจากสิ่งที่เรียกกันว่า ผลประโยชน์ทางการเมืองนั้น จำเป็นจะต้องทำอย่างไร คำตอบที่ผุดขึ้น ในสมองของ ข้าพเจ้า ก็คือ "หากจะรับใช้เพื่อนร่วมชาติด้วยกัน ซึ่งเราเห็นเขาได้รับความทุกข์ยาก อยู่ทุกเมื่อ เชื่อวันแล้วไซร้ ก็จำเป็นอย่างยิ่ง ที่เราจะต้องละทิ้ง ทรัพย์สินทุกชิ้นโดยสิ้นเชิง"

ข้าพเจ้าไม่สามารจะคุยด้วยความสัจได้ว่า ข้าพเจ้าปฏิบัติตนตามความคิดเช่นนี้ได้ใน ทันที ตรงกันข้าม ข้าพเจ้าจำต้อง สารภาพว่า แรกๆ นั้นทำได้ยากและช้ามาก และไม่ใช่แต่ ยากและช้าเท่านั้น หากยังเต็มไปด้วย ความปวดร้าวใจ เป็นอย่างยิ่งอีกด้วย แต่เมื่อ กาลเวลาล่วงเลยไป ข้าพเจ้าก็พบว่า ข้าพเจ้าจำต้องทิ้งสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งข้าพเจ้า เคยยึดถือว่า เป็นของตน และต่อมา ข้าพเจ้าก็พบว่า การละทิ้งสิ่งเหล่านี้ ก่อให้เกิด ความสุข อย่างแท้จริง ต่อจากนั้น ข้าพเจ้าก็สามารถสละทุกสิ่ง ได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ ข้าพเจ้ากำลังพรรณนา ถึงประสบการณ์ ของตนเองอยู่นี้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ภาระอันหนักอึ้ง ได้หลุดลอยไปแล้ว จากบ่าทั้งสองของข้าพเจ้า เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าเดินได้อย่างเสรี และ สามารถรับใช้ เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ด้วยความสุข และความเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง การ "มี" ไม่ว่าสิ่งใด เป็นเรื่องของ ความวุ่นวาย และเป็นทุกข์โดยแท้

ข้าพเจ้าพูดกับตนเองต่อไปว่า การเป็นเจ้าของน่าจะเป็นอาชญากรรมหรือเป็นความผิดอย่างหนึ่ง การขโมย มิใช่ หมายความว่า ไม่ลักทรัพย์ของผู้อื่นเท่านั้น แต่การมีไว้หรือรับไว้ซึ่งสิ่งใด ที่ตนไม่มี ความจำเป็นต้องใช้ ก็หมายถึง การขโมยด้วยเหมือนกัน และการขโมย เป็นหิงสกรรม อย่างหนึ่งแน่นอน

เราควรจะมีเฉพาะสิ่งที่คนอื่นเขามีได้ แต่เราทุกคนทราบดีว่านี้เป็นสิ่งที่เป็นไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่ทุกคนจะมีได้ก็คือ ความไม่มี หรือ การไม่เป็นเจ้าของ สิ่งใดเลย กล่าวอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ยอมตนเป็นคนไม่มีไม่เป็นเจ้าของ เมื่อมีความเชื่อมั่นเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าจึงคิดว่า แม้ร่างกายของเรา เราก็ควรจะมอบให้แด่พระผู้เป็นเจ้า นั่นก็คือ เราควรจะใช้ร่างกายนี้ มิใช่เพื่อความสุข สนุกสนาน หรือเพื่อสนองตัณหา หากควรจะใช้มัน เพื่อบริการผู้อื่น ตลอดเวลา ที่เรายังมีชีวิตอยู่ เมื่อร่างกายของเรา เรายังมอบให้แด่ พระผู้เป็นเจ้าได้ เช่นนี้แล้ว สัมมหาอะไร กับเสื้อผ้า และสิ่งของอื่นๆ เราจะมอบให้แด่ พระผู้เป็นเจ้า ไม่ได้เล่า

ผู้ที่สามารถทำตนเป็นคนยากจนด้วยใจสมัครเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือกล่าวอีก นัยหนึ่งก็คือ ผู้ที่ปฏิบัติตน จนบรรลุ อุดมการณ์ดังกล่าว ย่อมเป็นสักขีพยานได้ว่า เมื่อใดที่เราทำตน ให้เป็นคนไม่มีอะไรได้เลย เมื่อนั้น เราจะเป็นคนที่ ร่ำรวยที่สุดในโลก

คาระโว...นิวาโตของคานธี 
ข้าพเจ้าไม่เคยอวดอ้างว่า ตนเองมีสิ่งใดวิเศษว่าผู้อื่น ข้าพเจ้ามิใช่ศาสดาพยากรณ์ ข้าพเจ้า เป็นผู้แสวงหาสัจธรรม ด้วยความเจียมใจ เจียมกาย และมีความมุ่งมั่น ที่จะแสวงหาสัจธรรมให้จนพบ ข้าพเจ้ายอมเสียสละทุกอย่าง เพื่อจะได้เผชิญหน้ากับ พระผู้เป็นเจ้า พฤติกรรมทุกประการของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสังคม การเมือง มนุษยธรรม หรือ จริยธรรม ล้วนมีเป้าหมาย ในอันที่จะได้เผชิญหน้ากับ พระผู้เป็นเจ้า และโดยเหตุที่ข้าพเจ้าทราบดีว่า พระผู้เป็นเจ้านั้น มักจะประทับกับ ผู้ที่ต่ำต้อยน้อยหน้า ที่พระองค์ได้ทรงประทานกำเนิดมา มากกว่าที่จะประทับกับ ผู้ที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าจึงพยายาม ที่จะเข้าถึงผู้ที่ต่ำต้อยน้อยหน้า ข้าพเจ้าจะเข้าถึงเขาเหล่านั้น โดยปราศจาก การรับใช้เขาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงฝักใฝ่ที่จะรับใช้ ชนชั้นที่ถูกกดขี่ บีฑา แต่ข้าพเจ้าจะกระทำเช่นนั้น โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงต้อง เข้ายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ด้วยประการฉะนี้ จะเห็นได้ว่า ข้าพเจ้านั้น หาใช่เป็นนายไม่ หากเป็นคนใช้ ของอินเดีย และของมนุษยชาติ โดยผ่านการเป็นคนใช้ของอินเดีย และเป็นคนใช้ที่เจียมใจ เจียมกาย คนใช้ที่ดิ้นรนต่อสู้ และยังหนีความผิดพลาด บกพร่องไปไม่พ้น

ข้าพเจ้าทราบดีว่าทางที่ข้าพเจ้าจะต้องเดินต่อไปนั้นจะทุรกันดาร ข้าพเจ้าจะต้อง ลดตนเอง ให้เหลือแค่ศูนย์ ตราบใดที่คนเรายังไม่ทำตน ให้เป็นคนสุดท้าย ในบรรดา เพื่อนมนุษย์ด้วยกันแล้วไซร้ ตราบนั้น เขาจะไม่มีทาง บรรลุความหลุดพ้นได้ อหิงสา เป็นขอบเขตสุดท้าย แห่งการเจียมใจเจียมกาย

ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะได้ชื่อเสียงหรือเกียรติยศใดๆ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องตกแต่ง ประจำสำนัก ของพระราชา ข้าพเจ้าเป็นคนรับใช้ ของชาวมุสลิม ชาวคริสต์ และ ชาวปาลาซี เช่นเดียวกับที่เป็นคนรับใช้ ของชาวฮินดู คนรับใช้นั้น ต้องการเพียง ความรัก ความเมตตา หาใช่เกียรติยศหรือชื่อเสียงไม่ และตราบใดที่ข้าพเจ้า เป็นคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ ตราบนั้น ข้าพเจ้าก็คงได้รับความรัก ความเมตตาเป็นแน่นอน

 

อหิงสา...อโหสิ ของคานธี 
ความบกพร่องและความผิดพลาดของข้าพเจ้านั้นเป็นพรจากพระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับ ความสำเร็จ และความสามารถ ข้าพเจ้าขอน้อมถวาย สองสิ่งนี้ ณ เบื้องยุคลบาทของ พระบิดาแห่งเราทั้งหลาย เหตุไฉนพระองค์ท่าน จึงทรงเลือกข้าพเจ้า ผู้ขาดความสมบูรณ์ ให้เป็นอุปกรณ์แห่งการทดลอง อันยิ่งใหญ่นี้ ? ข้าพเจ้าคิดว่าพระบิดาของเรา ทรงเลือก ข้าพเจ้า โดยทรงมีพระทัย เจาะจงให้เป็นเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะพระองค์ ทรงต้องการ สงเคราะห์มนุษย์ ผู้ยากจนข้นแค้น อีกทั้งโง่เขลา เบาปัญญา นับจำนวนล้านๆ คนที่มี ความสมบูรณ์แล้ว อาจจะสร้างความผิดหวัง ให้แก่เขาเหล่านั้น แต่เมื่อเขาได้คน อย่างข้าพเจ้า ผู้มีความไม่สมบูรณ์เช่นเขา เป็นผู้นำในการก้าวไปสู่อหิงสา เขาอาจจะเกิด ความมั่นใจ ในตนเองมากขึ้น คนที่มีแต่ความสมบูรณ์ อาจจะเป็นผู้นำของเราไม่ได้ และเราอาจจะไล่เขา เข้าป่าดงพงไพรไป ผู้ที่เดินตามรอย คนที่ไม่มีความสมบูรณ์ เช่นข้าพเจ้า อาจจะมีความสมบูรณ์ขึ้น และเขาอาจจะเข้าใจคำพูด ของคนเช่นข้าพเจ้า ได้ง่ายขึ้น

เมื่อตอนที่ข้าพเจ้าได้ฟังข่าวเป็นครั้งแรกว่า ระเบิดปรมาณูได้ถูกทิ้งลงทำลายเมือง ฮิโรชิมา ราพณาสูรไปนั้น ข้าพเจ้างงงัน และเนื้อตัวแข็งไปหมด ข้าพเจ้าได้พูดกับตนเองว่า

"หากโลกไม่ยึดอหิงสาเป็นหลักแล้ว มนุษยชาติจะทำลายล้างกันเองตายหมดแน่"

ข้าพเจ้าขอตอบคำถามข้อหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าได้รับจากหนึ่งในสี่ส่วนของโลก คำถามนี้ก็คือ

"ท่านมีคำที่จะชี้แจงอย่างไรเกี่ยวกับความรุนแรง ซึ่งกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในท่ามกลาง ประชาชน ของท่านเอง ซึ่งเป็นสมาชิก พรรคการเมือง และพรรคการเมืองเหล่านี้ กำลัง ดำเนินงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง ? นี่หรือคือผลที่ได้ จากการประกาศใช้หลัก อหิงสา เข้ารณรงค์เพื่อยุติ การปกครองของอังกฤษ เป็นเวลา ๓๐ ปีแล้ว ? คำสอน ของท่าน เกี่ยวกับหลักอหิงสา อันได้แก่การไม่ใช้ความรุ่นแรงนั้น ยังใช้ในโลกนี้ ได้อยู่ละหรือ ? (คำถามเช่นนี้ มีผู้ถาม มหาตมา คานธี หลังจากที่อินเดีย ได้ถูกแบ่งแยก ออกเป็น ๒ ประเทศ คืออินเดียกับปากีสถาน ต่อจากนั้น ได้มีการประหัตประหาร กันอย่างหนัก ระหว่างกลุ่มชนฮินดูกับกลุ่มชนมุสลิม คาดคะเนกันว่า ผู้ที่เสียชีวิต ในช่วงเวลานั้น มีไม่น้อยกว่า ๒๒๕,๐๐๐ คน)

ข้าพเจ้าขอสารภาพว่า ข้าพเจ้าไม่มีปัญญาที่จะตอบปัญหานี้ ทั้งนี้ไม่ใช่ความล้มเหลวของ หลักอหิงสา แต่เป็นเพราะ ความล้มเหลว หรือความอ่อนแอของมนุษย์เราเอง อินเดีย ยังไม่เคยมีประสบการณ์ อันเกิดจากการใช้ อหิงสา โดยผู้ที่แข็งแรง เห็นจะไม่จำเป็น ที่จะให้ข้าพเจ้าย้ำอีกว่า อหิงสาของผู้ที่แข็งแรงเท่านั้น ถึงจะเป็นพลังที่แข็งแกร่ง ที่สุดในโลก

เป็นความจริงที่อหิงสาที่เราประพฤติปฏิบัติกันนั้น เป็นอหิงสาของผู้ที่อ่อนแอและเป็น อหิงสา ที่ยังไม่สมบูรณ์ ข้าพเจ้าหมายถึง เราผู้ประพฤติปฏิบัติอหิงสา ยังขาดคุณสมบัติ ของ ผู้ที่จะใช้อหิงสาได้อย่างสมบูรณ์ และถูกต้อง แต่ข้าพเจ้า ขอยืนยันว่า อหิสา ที่ยังไม่สมบูรณ์นี้ มิใช่เป็น อหิงสาที่ข้าพเจ้าแนะนำ หรือสั่งสอน ให้เพื่อนร่วมชาติ ของข้าพเจ้าปฏิบัติ

มูลเหตุที่ข้าพเจ้าแนะนำให้เพื่อนร่วมชาติของเรา ใช้อหิงสาเป็นอาวุธต่อสู้เพื่ออิสรภาพ มิใช่เป็นเพราะ ข้าพเจ้าเห็นว่า ประชาชนของเราอ่อนแอ ไม่มีกำลังและไม่เคยได้รับ การฝึกหัดให้ใช้อาวุธ แต่เป็นเพราะ ประวัติศาสตร์ได้สอนข้าพเจ้าว่า การใช้กำลัง และความเคียดแค้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อเหตุ หรือภาระหน้าที่ที่ประเสริฐสุด เพียงใดก็ตาม มีแต่จะก่อให้เกิด การใช้กำลัง และยังให้เกิดความเคียดแค้น มากขึ้นเป็นลำดับ การใช้กำลัง จะไม่ก่อให้เกิดความสงบสุข ตรงกันข้าม การใช้กำลัง มีแต่จะทำลาย ความสงบสุข และก่อให้เกิดความวุ่นวาย โดยไม่มีที่สิ้นสุด

ข้าพเจ้าเชื่อในศาสน์แห่งสัจจะ ที่ศาสดาทุกองค์ประกาศไว้ในโลกนี้ ข้าพเจ้าสวดมนต์ ไหว้พระ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า จะไม่ขอโกรธขึ้งผู้ใด ที่นินทาร้ายข้าพเจ้า แม้ข้าพเจ้า จะต้อง ตกเป็นเหยื่อ ของกระสุนปืน ของผู้ที่ต้องการเด็ดชีวิตข้าพเจ้า ก็ขอให้ข้าพเจ้า ได้มีสติ ระลึกถึง พระนามของพระผู้เป็นเจ้า ขณะที่ชีวิตออกจากร่าง ข้าพเจ้าเต็มใจ ที่จะให้ ประวัติศาสตร์ บันทึกข้าพเจ้าไว้ ในฐานะผู้ลวงโลก มาตรว่าขณะที่กำลังสิ้นใจอยู่นั้น ข้าพเจ้าจะได้เอ่ยวาจาใดๆ ในทำนองด่าทอ หรือโกรธเคือง ผู้ที่ปลิดชีวิตข้าพเจ้า (ว่ากันว่า ตอนที่มหาตมาคานธี ถูกคนร้ายยิงอย่างเผาขนและกำลังสิ้นใจอยู่นั้น คำพูด ที่ออกจาก ปากของท่านก็คือ " เฮ ราม" : ผู้แปล)

อหิงสาที่ข้าพเจ้าได้ให้อรรถธิบายมาตามนัยข้างต้นนี้หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ อหิงสา ของคนกล้านั้น มีอยู่ในตัวข้าพเจ้าละหรือ ? ตอบคำถามข้อนี้ ความตายของข้าพเจ้าเท่านั้น ที่จะให้คำตอบได้ หากข้าพเจ้าถูกฆ่าและสิ้นใจลง ด้วยคำสวดมนต์ ให้พรแก่ฆาตกร ติดอยู่บนริมฝีปาก พร้อมทั้งรำลึกถึง พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในใจ เมื่อนั้นแหละ อหิงสา ที่มีอยู่ ในตัวข้าพเจ้า จึงจะได้ชื่อว่า เป็นอหิงสาของคนกล้า

ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะตายอย่างผู้แพ้ หรือตายอย่างผู้ที่หมดสมรรถภาพในการประกอบ ภาระกิจ กระสุนปืน เพียงนัดเดียว อาจจะจบชีวิตข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าพร้อมที่จะเผชิญกับ สภาวการณ์เช่นนั้น แต่ข้าพเจ้าปรารถนา ที่จะหายใจ เฮือกสุดท้าย ขณะที่ปฏิบัติหน้าที่

ในอดีตเคยมีคนปองร้ายข้าพเจ้า แต่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงปกปักรักษาข้าพเจ้าไว้ ตราบจน ทุกวันนี้ หากจะมีใครสักคนหนึ่ง ยิงข้าพเจ้า จนถึงแก่ความตาย โดยเชื่อว่า การกระทำ เช่นนั้น เป็นการช่วยกำจัดคนชั่ว ให้สูญสิ้นไปจากแผ่นดิน ใครคนนั้น จะมิได้ฆ่าคานธี คนที่แท้จริง หากแต่จะได้ฆ่าคานธี คนที่ในทัศนะของเขา เขาถือว่าเป็นคนชั่ว

หากข้าพเจ้าถึงแก่กรรมด้วยการเจ็บไข้ได้ป่วยที่ยืดเยื้อ หรือแม้แต่เพียงด้วยพิษของฝี หรือ สิวก็ตาม ขอให้ท่านถือว่า เป็นหน้าที่ของท่าน ที่จะต้องประกาศให้โลกทราบว่า คานธี หาใช่เป็นคนของพระผู้เป็นเจ้า ดั่งที่เขาอ้างไม่ (คนของพระผู้เป็นเจ้า จะต้องประกอบ ภาระกิจ จนกระทั่งจบชีวิต)

แม้ว่าการประกาศเช่นนี้จะทำให้คนไม่พอใจท่านก็ตาม วิญญาณของข้าพเจ้า จะเป็นสุขมาก

หากท่านกระทำเช่นนี้ได้ โปรดบันทึกไว้ด้วยว่า หากข้าพเจ้าจะต้องตายด้วยกระสุนปืน ดั่งที่มี ผู้พยายามปลิดชีวิตข้าพเจ้า ด้วยการขว้างระเบิด ไม่กี่วันมานี้ หากกระสุนปืน ต้องกายข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่ร้องเลย ตรงกันข้าม ข้าพเจ้ากลับเอ่ยนาม พระผู้เป็นเจ้า ขณะที่หายใจเฮือกสุดท้าย หากทำได้เช่นนี้เท่านั้น ข้าพเจ้าจึงจะได้ชื่อว่า เป็นคนของ พระผู้เป็นเจ้า ตามที่ได้อ้างไว้ (หมายเหตุ : คานธีพูดเช่นนี้ในคืนวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๑ ซึ่งเป็นเวลาไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง ก่อนที่ท่านจะถูกยิง ถึงแก่กรรม)

หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ตายไปแล้วไม่มีผู้ใดคนเดียว ที่จะเป็นตัวแทนของข้าพเจ้า อย่างครบถ้วน แต่ข้าพเจ้า คงจะได้ทิ้ง สิ่งละอันพันละน้อย ไว้กับหลายๆ ท่าน หากแต่ละท่านจะได้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม เป็นอันดับแรก ประโยชน์ของส่วนตัวนั้น เอาไว้เป็นอันดับหลังสุด ข้าพเจ้าก็มั่นใจว่า ช่องว่างอันจะเกิดจาก การตายของข้าพเจ้านั้น คงจะมีไม่มากนัก

ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะเกิดใหม่ แต่ถ้าหากจะต้องเกิดใหม่ข้าพเจ้าก็ขอเกิดเป็นคนใน วรรณะศูทร (วรรณะที่ต่ำต้อยของอินเดีย) ทั้งนี้เพื่อจะได้มีส่วนแบ่ง ในความทุกข์ยาก โศกเศร้า และเหยียดหยาม ที่พวกเขาเหล่านั้น ได้รับในชีวิต และเพื่อข้าพเจ้าจะได้ มีความพากเพียร เพื่อปลดปล่อยตนเอง และเขาเหล่านั้น ให้พ้นออกจากสภาพ อันน่าเวทนา ดังกล่าว

- จุลอาตมา-

(เรียบเรียงจาก หนังสือ โลกทั้งผองพี่น้องกัน อมตวาจา ของมหาตมาคานธี และ อารมณ์ขัน
ของ มหาตมา คานธี แปลโดย กรุณา กุศลาศัย)

 

 

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

 

ทุนนิยมสามานต์ ที่ควรทำชัด.. ในความเข้าใจ ให้รู้เท่าทัน...

จาก บันทึก สารคดี เปิดโปง บริโภคช็อคโลก  

 

ฝากให้ทุกคนควรได้ดูอย่างยิ่ง เนื้อหาสารคดีชี้ให้เห็นโทษภัยของผู้บริโภคเนื้อสัตว์ โทษภัยของบริโภคนิยม โทษภัยของระบบอุตสาหกรรมอาหาร โทษภัยของระบบทุนนิยม... ไปจนทุนนิยมสามานย์

 

ตัวอย่าง ร้าน... แม็คโด...!!  มอนซาน...!!  เลวร้ายทำลายคุณค่าความเป็นมนุษย์อย่างไร ?

ทำไมข้าวโพดจึงกลายมาเป็นอาหารสัตว์ที่สำคัญ ?

หมู + ไก่ + โค ทุกข์ทรมานอย่างไรก่อนถูกฆ่า ?

 

เกษตรกร ถูกเอารัดเอาเปรียบจากระบบทุนนิยมผูกขาดอย่างไร ?

รัฐบาลจอร์จบุช รัฐบาลบิลคิลตัน...ถูกครอบงำโดยระบบทุนนิยมผูกขาดอุตสาหกรรมอาหารอย่างไร ?

นี่เอง...จึงเป็นที่มาของกฏหมายถูกทำให้กลายเป็นเครื่องมือของทุนนิยมทุกด้าน ?

 

สารคดีนี้เป็นข้อมูลจริงที่เชื่อมโยงให้เห็นความเลวร้ายของระบบทุนนิยมทุกแขนง มิใช่ แค่ทุนนิยมอุตสาหกรรมเท่านั้น

เชื่อว่าทุกประเทศที่เปิดเสรีการค้า ถูกระบบทุนนิยมรุกเข้าไปครอบงำรัฐบาลได้หมดแน่ เพียงแต่ไม่เปิดเผยโจ่งแจ้งอย่างไทย...



ที่นี่...  

https://www.youtube.com/watch?v=UI2TwTrsL08

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

พุทธภาษิตที่ว่า " อฺปปาปิ สนฺตา พหเก ชินนฺติ "  คนดีถึงแม้มีน้อยก็เอาชนะคนชั่วหมู่มากได้...

ถึงเวลา ที่จะต้องเรียนรู้ การเมืองบุญนิยม การเมืองในทัศนะพระพุทธศาสนา ผ่านการสื่อสารจาก NEOPROTEST การชุมนุมประท้วงแนวใหม่

พลังแห่งฝ่ายเสียงข้างน้อยจะมีพลังแห่งคุณธรรม และ เพิ่มความชัดเจน หยั่งลงในจิตใจของมหาชน ทั้งจักเป็นพลังแห่งเสียงข้างมากได้อย่างสมบูรณ์ได้ โดยให้มหาประชาชนสัมผัสได้ชัดจริงว่า จะไม่ใช่กระทำเพื่อตัวเรา เพื่อครอบครัว เพื่อหมู่พวก เพื่อพรรค แต่...หากการกระทำจักเป็นไปเพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชนทั้งมวล เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเองครอบครัว หมู่พวก แม้แต่พรรคของตน...

ด้วยแนวปฏิบัติ โดย บุคคลที่มีคุณสมบัติในการเป็นนักการเมือง ในการทำงานการเมือง และมีความสามารถ ปฏิบัติได้ ดังต่อไปนี้...

๑. งานการเมืองต้องเป็นงานคุณธรรมและการกุศล
๒. นักการเมืองต้องรู้จักประชาธิปไตยที่แท้
๓. นักการเมืองต้องสอนหรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน
๔. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตนเองได้แล้ว
๕. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ
๖. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน
๗. งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ
๘. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ
๙. นักการเมืองคือผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม
๑๐. การเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่เพื่อตัวเราเพื่อครอบครัว เพื่อหมู่พวก เพื่อพรรค แต่เป็นเพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชนทั้งมวล เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเองครอบครัว หมู่พวก แม้แต่พรรคของตน...

 


สมดัง พุทธภาษิตที่ว่า ' อฺปปาปิ สนฺตา พหเก ชินนฺติ ' คนดีถึงแม้มีน้อยก็เอาชนะคนชั่วหมู่มากได้...

การให้ความรู้ กับ ประชาชน โดยใช้ NEOPROTEST การชุมนุมประท้วงแนวใหม่ ที่ มิใช่ การก่อม๊อบ หรือ ทำ ม๊อบ ดังที่ทั่วโลก คุ้นเคย... ดังตัวอย่าง...ที่เกิดในนประเทศไทย...บัดนี้  พลังคุณธรรม ที่จักเกิดพลังปกป้องแผ่นดินไทยอย่างยั่งยืน  ณ การชุมนุมประท้วงแนวใหม่ NEOPROTEST ณ ชุมชนดูไป ( Go On & See Out ) สวนลุม ฯ กรุงเทพ ฯ มีโอกาส ก็ไป ร่วมพลัง

 

- NEOPROTEST การชุมนุมประท้วงแนวใหม่ ตอนที่ ๑ HD 

http://www.youtube.com/watch?v=C6zwebK1R58&feature=youtu.be

 

- NEOPROTEST การชุมนุมประท้วงแนวใหม่ ตอนที่ ๒ 

"ยุทธวิธีเป้าหมายของ Neo protest

http://www.youtube.com/watch?v=Q5XN0HVK0G0

 

- NEOPROTEST การชุมนุมประท้วงแนวใหม่ ตอนที่ ๓ ( ระหว่างวันที่ ๑๘ - ๒๑ ส.ค. ๒๕๕๖ ) " ไม่มุ่งหมายเอาแพ้ชนะ แต่มีอัตราก้าวหน้ารายทาง

http://www.youtube.com/watch?v=LK-7_U77TfU&feature=youtu.be

 

- NEOPROTEST การชุมนุมประท้วงแนวใหม่ ตอนที่ ๔ HD

http://www.youtube.com/watch?v=fHCl63Pehm8&feature=youtu.be  " ออกมาแสดงสิทธิ์อธิปไตยอันดับ ๑ " ( ระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๓ ส.ค. ๒๕๕๖ )

 

- NEOPROTEST การชุมนุมประท้วงแนวใหม่ ตอนที่ ๕ ( ระหว่างวันที่ ๒๓ - ๒๖ ส.ค. ๒๕๕๖ ) "การรวมกันของแม่น้ำร้อยสาย" 

http://www.youtube.com/watch?v=mbK54skn4GE&feature=youtu.be

 

ณ บันทึกธรรม ด้วยภาพ ชมความเรียบง่าย ความมั่นคง ( ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๖) ณ ชุมชนดูไป ( Go On & See Out ) สวนลุม ฯ กรุงเทพ ฯ 

 

https://www.facebook.com/HS7OEO/media_set?set=a.626974320657591.1073741837.100000350872323&type=3 

 

*********************************************

 

สามารถรับชม หรือ ฟัง ผ่านคลื่นบุญนิยม...

 

วิทยุชุมชนบุญนิยมปฐมอโศก เอฟเอ็ม ๑๐๗.๙

คำขวัญ

 

สื่อสร้างสรร

ขยันช่วยสังคม

ระดมบุญคุณธรรม

 

 

http://www.boonniyom.com/pacradio.html

http://www.asoke.info/pacradio.html

 

และ สถานีโทรทัศน์ เอฟเอ็ม ทีวี 

โทรทัศน์เพื่อมนุษยชาติ ทุกบรรยากาศ คือการรายงานความจริง

 

http://www.fm-tv.tv/ 

http://www.boonniyom.com/">http://www.boonniyom.com/

 

http://www.asoke.info/santitv.html

 

และ คลิก วิทยุชุมชนบุญนิยมปฐมอโศก เอฟเอ็ม ๑๐๗.๙ และ เอฟเอ็ม ทีวี ผ่าน มือถือ โดยเฉพาะ ไอโฟน ไอแพด

 

http://www.fm-tv.tv/mobi/
 

 

 



ความเห็น (1)

ขอบคุณที่แบ่งปัน NEOPROTEST ให้ได้เรียนรู้ และฟังเพลงเพราะๆค่ะ

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

ก่อนนอนวันนี้ ใจดี จะเล่านิทานหมาป่ากับลูกแกะ ให้ฟัง เป็นนิทาน ก่อนจะมีโมโห ก่อนนอน

นักแสดงประกอบด้วย...

เจ้าแกะน้อย
เดรัจฉานหมาป่า
ลุงสิงโตเจ้าป่า

 

วันหนึ่งลูกแกะน้อยกำลังเดินอย่างเพลิดเพลิน มันเดินไปเรื่อย ๆ จนมาถึงลำธารแห่งหนึ่ง

เจ้าแกะน้อย : แหม..วันนี้อากาศดีจริง ๆ เลย แอบหนีแม่มาเดินเล่น
ป่านนี้แม่คงจะตามหาแกะน้อยใหญ่แล้วหละ เดี๋ยวค่อยกลับบ้านเย็น ๆ ก็แล้วกัน แต่ตอนนี้หิวน้ำจังเลย... เจ้าแกะน้อยเดินไป บ่นพึมพัมไปกับตัวเอง.. อย่างมีความสุข แวะไปที่ลำธารน้ำใสแจ๋วเย็นฉ่ำ...

ขณะที่เจ้าแกะน้อยกำลังก้มกินน้ำอยู่นั้น...

บังเอิญมีหมาป่าตัวนึงเดินเข้ามาเจอพอดี เจ้าหมาป่านิสัยไม่ดี และมันกำลังหิวมากซะด้วยสิ พอมันเห็นลูกแกะตัวเล็ก ๆ เข้า ก็อยากจะจับลูกแกะกินเป็นอาหาร มันจึงคิดอุบาย

( เจ้าเดรัจฉานหมาป่า มันยังดีนะ ที่ไม่อุ้มฆ่า..ซะเลย หากยังคิดหาอุบายที่จะกินอย่างชอบธรรม ในแบบฉบับ ใช้การทุจริตเชิงนโยบายในด้านต่าง ๆ หรือ ใช้การเที่ยวไปในป่า โดย ใช้งบประมาณแผ่นดินในการเดินทาง ซึ่งเป็น ทัศนะ ของ เดรัจฉานหมาป่ากับทายาท )

เจ้าเดรัจฉานหมาป่า : นี่เจ้าแกะน้อยเจ้ามีความผิดมากเลยรู้หรือป่าว
เจ้าแกะน้อย : คุณหมาป่า ข้าผิดเรื่องอะไรเหรอ แกะน้อยก็กินน้ำอยู่ดี ๆ ยังไม่ได้ทำอะไรท่านเลย

เดรัจฉานหมาป่า : ก็เจ้ากินน้ำอยู่ และ ข้าก็กินน้ำอยู่ตรงนี้ เจ้าทำให้น้ำในลำธารขุ่นข้นไปหมด ข้าดื่มเข้าไปไม่ได้ ดังนั้นเจ้าต้องถูกลงโทษ

เจ้าแกะน้อย : แต่ว่าคุณหมาป่าดูดี ๆ ก่อนสิ ท่านหน่ะกินน้ำที่ต้นน้ำนะ
และอย่างงี้แกะน้อยจะทำน้ำขุ่นข้นได้ยังไง

เดรัจฉานหมาป่า : ข้าบอกว่าเจ้าผิด เจ้าก็ต้องผิด
เจ้าแกะน้อย : ฉันไม่ผิดจะให้ยอมรับผิดได้ยังไง คุณหมาป่าไม่มีเหตุผลเอาซะเลย

เจ้าหมาป่าโกรธจัด หากยังระงับจิตใจ นิดนึง แล้วต้องคิดหาอุบายอื่นอีกต่อไป ( จบ ฉากที่ ๑ )

เจ้าเดรัจฉานหมาป่า : ก้อ..เมื่อหลายปีก่อน เจ้าเป็นผู้เล่านิทานกล่าวร้ายข้าเอาไว้ ที่ช่อง ๙ อสมท. ทำให้ข้าเป็นตัวโกง ทั้งที่จริงข้าต้องเป็นอัศวินลูกที่สาม เป็นพระเอกขี่ม้าขาว สิ.. ดังนั้น เจ้าเป็นผู้มีความผิดต้องถูก ข้าลงโทษ

เจ้าแกะน้อย : ฉันจะไปกล่าวร้ายท่านได้ยังไง ฉันเพิ่งเกิดมาไม่เมื่อกี่เดือนนี้เอง
เดรัจฉานหมาป่า : งั้นคงจะเป็นพี่เจ้า มามะ มาให้ข้ากินซะดี ๆ
เจ้าแกะน้อย : คุณหมาป่าคงจำผิดแล้ว ข้าเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้อง

เดรัจฉานหมาป่า : โอ้ยข้าไม่สนใจแล้ว ตอนนี้ข้าหิวจนตาลายไปหมดแล้วเจ้าต้องตกเป็นอาหารของข้าเดี๋ยวนี้..

( จบ ฉากที่ ๒ )

ว่าแล้วเจ้าเดรัจฉานหมาป่าจอมอันธพาล ก็กระโจนใส่แกะน้อยเพื่อหมายจับกินเป็นอาหาร ขณะที่เจ้าแกะน้อยต้องวิ่งหนีและร้องเรียกแม่ลั่นป่า...

( จบ ฉากที่ ๓ )

ทันใดนั้นนั่นเอง สิงโตเจ้าป่า ผ่านมาได้เห็นเหตุการณ์ ก็จะกระโดดมาบังแกะน้อยไว้ พร้อมส่งเสียงคำราม...

สิงโตเจ้าป่า : หยุดเดี๋ยวนี้นะเจ้าหมาป่า เจ้าอย่าทำอันตรายแกะน้อยแบบไม่มีทางสู้ตัวนี้นะ... ถ้าเจ้าไม่ยอมหยุด และ หนีไปซะ ข้าสิงโตเจ้าป่า นี่แหละ จะจับเจ้าฉีกเนื้อกินซะเอง...

เจ้าเดรัจฉานหมาป่าจอมอันธพาล ได้ยินเช่นนั้น ก็ตกใจกลัวจึงวิ่งหางจุกตูดจากไป... ฝ่ายเจ้าแกะน้อยก็เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด...

( จบ ฉากที่ ๔ )

สิงโตเจ้าป่า : เงียบได้แล้วเจ้าหนูแกะน้อย เจ้าหมาป่ามันวิ่งหนีไปแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้วหละ แต่ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน บ้านเจ้าอยู่ที่ไหนล่ะ !!

เจ้าแกะน้อย : แกะน้อยแอบหนีแม่ออกมาเดินเล่นจ้ะ ลุงสิงโต
สิงโตเจ้าป่า : นี่คือโทษที่เจ้าจะไปไหน จะทำอะไร ไม่บอกผู้ใหญ่ซะก่อน
เจ้าแกะน้อย : ต่อไปแกะน้อยจะไม่หนีไปเที่ยวอีกแล้วจ้า ขอบคุณลุงสิงโตมากเจ้าค่ะ

และแล้วสิงโตก็พาแกะน้อยไปส่งที่บ้าน

( จบ ยกที่ ๕ )

หลังจากนั้นแกะน้อย ก็ไม่เคยหนีออกไปไหนไกล ๆ อีกเลย และ หากจะทำอะไร ก็จะขออนุญาติผู้ใหญ่ทุกครั้ง

บัดนี้ แกะน้อย เติบใหญ่ เมื่อทบทวนแล้วเริ่มเข้าใจเหตุผล เดรัจฉานหมาป่า เริ่มเข้าใจเจตนาลุงสิงโต... และ นิทาน ก่อนจะมีโมโห ก่อนนอน วันนี้ ก็จะใจให้เด็ก ๆ หลับสบายและกราบพระก่อนนอน.. สาธุ

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

ศึกษาความแพ้ - ความชนะ

 

แพ้ - ชนะ ในทางธรรมนั้น..บุคคลผู้แพ้ จักเกิดจิตอนุโมทนาที่ได้เห็นความบกพร่องของตน และ จักพากเพียรพัฒนา ทั้งเต็มใจร่วมมือกับบุคคลผู้ชนะและพร้อมจะพัฒนาขีดความสามารถต่อไป... ส่วน บุคคลผู้ชนะ เมื่อชนะก็จักยิ่งอ่อนน้อมถ่อมตน ตั้งใจมุ่งทำงาน ฯ เสียสละ พากเพียร โดย เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้ามาช่วย เข้ามาเสียสละ ฯ ตามความถนัด เพื่องานแผ่นดินประเทศชาติ มิใช่ เพื่อตนเองและหมู่กลุ่มพรรคพวกตนเองใด ๆ เลย...

 

ส่วนแพ้ - ชนะ ในทางโลก ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ ย่อมนอนเป็นทุกข์ 

 

 

ขอศาสนิกชน พึงเรียนรู้...ความแพ้ - ความชนะ ที่ถูกต้อง ถูกตรง สัมมาทิฐิ ให้จงดี...เพื่อจักได้สั่งสมเหตุอันเป็นมหากุศลเพื่อนำสู่จุดหมายที่แท้ คือ พระนิพพาน

 

 

 



ความเห็น (1)

ขอบคุณค่ะ ดีจังเลยค่ะ

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

กระป๋ม ชอบฟัง หลวงลุง เล่านิทาน ที่สุด...

 

 

 

 
 
มีเ
รื่องเล่าว่า มีชายคนหนึ่ง ชาวบ้านต่างพากันเรียกเขาว่า " นายช่าง " การเป็นช่างของนายคนนี้ มิใช่ช่างไม้ ช่างปูน หรือว่าช่างเครื่องยนต์ แต่เป็น " ช่างติ " คือ เขาเป็นคนมีพรสวรรค์ในการติ เรียกว่า.. เป็นเอตะทัคคะในทางติเลยทีเดียว เขาเห็นอะไรก็สามารถติได้ทั้งนั้นเหมือนกับที่โบราณกล่าวไว้ว่า...
 
 
ช่างกลึง..พึ่งช่างชัก
 
ช่างสลัก..พึ่งช่างเขียน
 
ช่างรู้..พึ่งช่างเรียน
 
ช่างติเตียน..ไม่ต้องพึ่งใค
 

ต่อมา ชาวบ้านพากันคิดว่า น่าจะจัดให้มีการประลองความสามารถในการติของนายคนนี้ ลองดูสิว่าเขาจะติได้ทุกอย่างหรือเปล่า มีผู้เสนอว่า..ให้เชิญช่างปั้นพระที่ชาวบ้านนิยมยกย่องว่าฝีมือเยี่ยมมาปั้นพระ แล้วให้นายช่างติมาติลองดูซิว่า เขาจะหาที่ติได้หรือเปล่า...

เมื่อตกลงกันอย่างนี้แล้ว ชาวบ้านได้ไปเชิญช่างปั้นพระมาแล้วบอกวัตถุประสงค์ให้ทราบ ช่างปั้นพระออกแบบพระและปั้นพระอย่างประณีตบรรจงเรียกว่า...ปั้นอย่างสุดความสามารถเลยทีเดียว เมื่อการปั้นพระเสร็จ เรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านต่างก็ชมเป็นเสียงเดียวกันว่า.. พระองค์นี้งามหาที่ติไม่ได้ แล้วให้ไปเชิญนายช่างติมาติพระ เมื่อนายช่างติมาเห็นพระถึงกับตะลึง เพราะพระพุทธรูปองค์นี้งามจริงๆ เขาพิจารณาพระพุทธรูปอย่างละเอียด แต่ก็หาที่ติไม่พบ เขาเกือบจะยอมแพ้ สุดท้ายนายช่างติก็เอ่ยขึ้นมาว่า...

" พระพุทธรูปองค์นี้งามจริงๆ พุทธลักษณะถูกต้องทุกประการ แต่..."

" แต่...อะไร " เสียงชาวบ้านถามออกมาพร้อมๆ กัน
" มีที่เสียอยู่นิดหนึ่ง " ช่างติพูดเบา ๆ
" เสียตรงไหน " ชาวบ้านถาม

" พระพุทธรูปองค์นี้สวยงามทุกอย่าง เสียอย่างเดียว คือ พูดไม่ได้ " นายช่างติตอบหน้าตาเฉย 

เอากะแก สิ...
ชาวบ้านได้ยินดังนั้นก็พากันนิ่งเงียบหมด ไม่คิดว่าจะแพ้ช่างติแบบง่าย ๆ อย่างนี้ ต่างก็นึกชมว่านายช่างติคนนี้เก่งจริง ๆ สามารถหาที่ติพระพุทธรูปองค์นี้จนได้


*****************************************
 


อยู่มาวันหนึ่ง นายช่างติไปนอนเล่นอยู่ใต้ต้นมะม่วง เขามองขึ้นไปบนต้นมะม่วงเห็นลูกมะม่วงเต็มต้นไปหมด พลางแกก็นึกตำหนิพระเจ้าผู้สร้างต้นมะม่วงขึ้นมาว่า...

" แหม ! พระเจ้านี้ช่างโง่เสียจริง ๆ สร้างอะไรขึ้นมาไม่เห็นจะสมดุลกันเลย ดูสิมะม่วงต้นออกใหญ่โต กลับสร้างลูกเล็กนิดเดียว ส่วนแตงโมต้นเล็กนิดเดียวกลับสร้างให้ลูกใหญ่อย่างกับบาตรพระ พระเจ้านี่ช่างโง่เสียจริง ๆ นี่ถ้าเราเป็นพระเจ้านะ จะสร้างให้ต้นมะม่วงมีลูกโตๆ ส่วนแตงโมจะให้มีผลเล็ก ๆ จะได้สมดุลกัน "

ในขณะที่กำลังวาดวิมานอยากจะเป็นพระเจ้าอยู่เพลิน ๆ นั้น ลมหน้าร้อนก็พัดมาวูบหนึ่ง ทันใดนั้น มะม่วงลูกหนึ่งก็หล่นลงบนหน้าผากนายช่างติพอดี นายช่างติถึงกับตาลาย มองเห็นดาวระยิบระยับ หน้าผากบวมปูดออกมาขนาดผลมะนาว เมื่อเหตุการณ์เป็นอย่างนี้ นายช่างติก็คิดได้ว่า...

" โอ้ ...พระเจ้าสร้างถูกแล้ว " 
" นี่ถ้าพระเจ้าฉลาดอย่างที่เราคิด สร้างให้มะม่วงลูกใหญ่เท่าบาตรพระ ป่านนี้หัวเราคงไม่แหลกไปแล้วหรือนี่ ดีนะที่พระเจ้าไม่ฉลาดอย่างที่เราคิด..."

นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า ผู้ที่เก่งแต่คอยจับผิดผู้อื่น โดยไม่ดูตัวเองนั้น วันหนึ่งเขาจะประสบสิ่งที่ทำให้เขาต้องเสียใจอย่างที่สุด
 
 
 
 
 
 
 
 


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

บันทึก ทางรอดของแผ่นดิน

ถึงเวลาต้องศึกษา โดย ทุกคนจักต้องใจเย็น และ มุ่งทำด้วยหัวใจเปิดกว้าง เพื่อรัฐนาวาไทย จักไม่เกิดความบอบช้ำจากการถูกกระทำ โดย ทุนนิยมสามานต์ ฯลฯ 

 

จากประวัติศาสตร์ แห่งพัฒนาการแบบไทย ก็ยิ่งควรศึกษา ทั้งจุดด้อย จุดดี ในเจตนา นับแต่ ๒๔๗๕ และที่สำคัญ คือ ศึกษาเจตนา ของล้นเกล้า ในหลวงรัชกาล ที่ ๗ ที่ห่วงใยแผ่นดิน

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗

“ ข้าพเจ้าเห็นว่า คณะรัฐบาลและพวกพ้องใช้วิธีการปกครอง ซึ่งไม่เห็นถูกต้องตามหลักการของเสรีภาพในตัวบุคคลและหลักความยุติธรรม ตามความเข้าใจและยึดถือของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะยินยอมให้ผู้ใดคณะใด ใช้วิธีการปกครองอย่างนั้นในนามของข้าพเจ้าต่อไปได้ “

“ ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาด และโดยไม่ยอมฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร “

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก
วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗
เวลา ๑๓ นาฬิกา ๔๕ นาที


ในการแสดงสิทธิของประชาชน ในการแสดงออกโดยสงบ ( แม้จะมีบางกลุ่ม ที่เหลืออด ทนไม่ได้แทรกปะปนบ้าง ) เจตนาก็หมายเตือน..ให้สติเพื่อให้บุคคลที่ต้องทำหน้าที่..ทำหน้าที่ ซึ่ง มิได้ สานต่อเจตนาอันเกิดจากการหลงทางไม่คิดฟังเสียงอันแท้จริงของประชาชน หากหลงฟังแต่เสียง เจ้าของเงินที่เลี้ยง ขุน จนเชื่อง อย่างเด่นชัด 

(( อีกเหล่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฯ ก็ถูกนำมาเป็นเครื่องมือ โดย หลงทาง ลุแก่อำนาจ กล้าออก พรบ.จำกัดสิทธิอันชอบธรรมตามกฏหมายรัฐธรรมนูญ ของประชาชน ร่วมทำผิดหนักเข้าไปอีก ))

เมื่อเกิดการไม่ฟัง.. ไม่ทำหน้าที่ ฯ ที่ควรกระทำ ซ้ำปล่อยให้เกิดความร้ายแล้ว ๆ เล่า ๆ ฯลฯ ประชาชนคนธรรมดา ผู้คือ เจ้าของอำนาจลำดับที่ ๑ นั่นคือ อำนาจของประชาชน จึงขอออกมาประท้วงยืนยันคะแนนเสียง ๑ คน ๑ เสียง จึงจำต้องออกมาใช้สิทธิ์ ออกมาให้สติ อย่างสงบ... 

หากก็เกิดมีมุมมอง ของบางคน ที่ใจยังไม่กว้างพอต่อความงดงามแห่งพัฒนาการประชาธิปไตย...กลับหลงผิดคิดเลยเถิดไปว่า... " คนบางกลุ่มคิดที่จะปฏิวัติประชาชนเพื่อโค่นล้มรัฐบาลทีมาจากการเลือกตั้งของประชาชน " ความคิดแบบนี้...ย่อมเข้าทางของฝ่ายที่ทำผิดเจตนาต่อประชาชน ผิดต่อเจตนาแห่งล้นเกล้า ฯ จึงกลายเป็นการทำร้ายแผ่นดิน บนความทุกข์ของประชาชน โดยตรง 

สรุปว่า ความเชื่อ ความคิด ดังที่กล่าวในแบบนี้ ถือว่า คับแคบไปมาก


ความสำคัญ โดย ลำดับ แห่งความเป็นประชาธิปไตยอันมีประมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แบบเมืองไทย ที่ประชาชนทุกคน จักต้องเพิ่มความเข้าใจ เพิ่มความชัดเจนเพื่อการพัฒนาแผ่นดิน โดย ไม่ตกอยู่วังวนตามที่ถูกครอบงำ ให้หลงเชื่อแบบผิด ๆ มานานที่ว่า ประชาธิปไตย เพียง คือ การที่ประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งแล้วจบ...หลังจากนั้น ผู้ที่เป็นตัวแทน หรือ ใครที่มีอิทธิพลนำพาจะนำพาไปอย่างไรต่อ.. ก็ทำอะไรอีกไม่ได้แล้ว อีกทั้งติดคนที่คิดเช่นนั้น ได้ถูกโลกธรรมครอบหงำจนหลงเข้าใจผิดจนยากจะเข้าใจได้โดยง่าย จึงต้องรวมพลังกันมาทำความเข้าใจ

ขอให้มา ศึกษาทำความชัด แห่งพลังอำนาจอันบริสุทธิ์ ในระบอบประชาธิปไตยอันมีประมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ๘ ลำดับขั้น ดังนี้...

- อำนาจลำดับที่ ๑ คือ อำนาจของประชาชน ออกมาประท้วงยืนยันคะแนนเสียง ๑ คน ๑ เสียง

- อำนาจลำดับที่ ๒ คือ พระมหากษัตริย์ ผู้เป็นรัฐาธิปัตย์ตาม Supreme law (อำนาจลำดับที่ ๑ ร่วมกับอำนาจลำดับที่ ๒ เป็นราชประชาสมาสัย) อันนี้สำคัญเพราะมีนิติราชประเพณีแต่โบราณ และ ขนบธรรมเนียมประเพณีของราษฎร ที่กลมกลืนกัน บังเอิญขณะราษฎร์ขัดกับพระมหากษัตริย์ ไม่เป็นราชประชาสมาสัย จึงดำเนินการเป็นประชาธิปไตยไม่สำเร็จ

- อำนาจลำดับที่ ๓ คือ พระมหากษัตริย์ใช้อำนาจนั้นผ่าน ๓ สถาบันคือ สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) บริหาร (ครม.) และตุลาการ (ศาล ฯ) อันนี้เป็นลัทธิตะวันตก ซึ่งถือว่าอำนาจแต่ละอำนาจต้องแยกกันและถ่วงกัน ของไทยปนเปกันหมด สักแต่อ้างกษัตริย์ แต่อำนาจกษัตริย์ตามทฤษฎีและประเพณีประชาธิปไตยตะวันตก รัฐบาลและกฎหมายกับลิดรอนอำนาจกษัตริย์ไปเสียอย่างชิ้นเชิง

- อำนาจลำดับที่ ๔ คือ ประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งตามกฎหมาย ในประเทศประชาธิปไตยส่วนใหญ่ไม่บังคับ แต่ส่วนน้อยก็มีบังคับให้ไปเลือกตั้ง

- อำนาจลำดับที่ ๕ คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (ส.ส.) ในประเทศประชาธิปไตยต้องไม่บังคับสังกัดพรรค

- อำนาจลำดับที่ ๖ คือ นายกรัฐมนตรี ที่ได้รับการเลือกจาก ส.ส. ในประเทศประชาธิปไตยไม่มีประเทศใดกำหนด ส่วนใหญ่ก็อนุโลมกัน โดยเฉพาะประชาธิปไตยที่มีระบบพรรคเข้มแข็ง ถึงกระนั้นกษัตริย์อังกฤษคือราชินีอลิซาเบธ ก็เลือกคนนอก คือ เซอร์ดักกลาส ฮูมมาเป็นนายกฯเมื่อปี ๑๙๖๕ 

- อำนาจลำดับที่ ๗ คือ คณะรัฐมนตรี ที่นายก ฯ เป็นผู้เลือกมาทำงาน ในประเทศประชาธิปไตย พรรคกำหนดตัวมาให้นายก ฯ เลือกตั้งแต่ยังไม่เลือกตั้ง คือ ผู้นำนโยบายสำคัญต่าง ๆ ที่แข่งขันกันขึ้นมาในพรรค ไม่ต้องเอาว่าคนนั้นคนนี้ เพราะส่วนใหญ่เป็นไปตามสูตร ฯ

- อำนาจลำดับที่ ๘ คือ ข้าราชการ ที่ต้องเป็นกลไกที่เป็นกลาง และมีความสามารถในการนำนโยบายการเมืองมารับใช้ราษฎร มิใช่ หากินกับราษฎรและเอาราษฎรไปรับใช้หรือเป็นเบี้ยล่างการเมือง

 

แง่คิด รัฐอัฐบาล  จาก น้าหงา คาราวาน 

www.youtube.com/watch?v=3in1WHQvCqo

 

 



ความเห็น (2)



พลตำรวจเอก วสิษฐ เดชกุญชร ที่สวนลุม ๑๔ ส.ค. ๕๖

www.youtube.com/watch?v=sDb7IELwVng

 

Duty and responsibility make us reliable and honest. The world worship honesty. (Maybe there is an exception or two ;-)

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

 

บันทึกธรรม ณ บรรยากาศ ณ วันแม่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๖  ที่สวนลุม ฯ

ที่นี่

 

https://www.facebook.com/HS7OEO/posts/621791767842513  

https://www.facebook.com/HS7OEO/posts/621854521169571 

https://www.facebook.com/HS7OEO/posts/621848924503464

 

 

คำขวัญพระราชทานวันแม่แห่งชาติ ประจำปี ๒๕๕๖

 

" คำโบราณ ว่าดูนาง ดูอย่างแม่

คือคำแปล ว่าแม่ดี มีลูกเด่น

จะชายหญิง รู้ชั่วดี มีกฏเกณฑ์

เพราะจัดเจน แบบอย่าง ในทางดี "

 

วันเกิด เกิดดีให้กับหัวใจที่รำลึก ถึง บุคคลที่รักเราตลอดเวลา... คลิปนี้ แม้ ดูกี่ครั้ง ก็น้ำตาไหล...

www.youtube.com/watch?v=s59N4zxiM0g&feature=related

 

และ มอบเพลงพระคุณแม่ เพื่อให้จิตใจได้ร่มเย็น 

 

สองมือพนมก้มกราบลงแทบเท้าของแม­่ 

ตั้งแต่ยังน้อยแม่คอยดูแลอ้อมอก­แม่ลูกเคยแอบอิง 

กลั่นเลือดผสมหยดหนึ่งน้ำนมให้ล­ูกดื่มกิน 

รักจากใจแม่ไม่สูญสิ้น รักเอยรักยิ่งชีวี 

 

พระคุณแม่นี้มากมายเหลือที่สุดเ­กินบรรยาย 

เฝ้าฟูมฟักรักไม่แหนงหน่ายแม้ตา­ยแม่พร้อมยอมพลี 

ด้วยใจกุศลแม่อุทิศตนสรรค์สร้าง­ความดี 

ทั้งกรุณาเมตตาปราณี ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลย

 

โอ...แม่จ๋าลูกซึ้งใจ 

ลูกคนนี้สำนึกในพระคุณสุดหาถ้อย­เอ่ย 

บุญคุณใด ๆ ไม่มีใครเทียบเทียมแม่­เลย 

เหนือสิ่งเปรียบเปรย ใหนเลยเท่าแม่ไม่มี 

 

สองมือพนมก้มกราบลงแทบเท้าของแม­่ 

รักหมดหัวใจไม่มีผันแปรเทอดทูนแ­ม่อยู่เหนือชีวี 

หลับเถิดแม่จ๋าลูกให้สัญญาจะเป็­นเด็กดี 

ตอบแทนบุญคุณเพื่อแม่คนนี้...ให­้มีแต่ความภูมิใจ

 

 

www.youtube.com/watch?list=RD02RSLVpaLd704&v=ErTKVzuq1sE

 

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

บันทึกธรรม

ข่าว มรณานุสติ

สมเด็จเกี่ยว เจ้าอาวาสวัดสระเกศ ติดเชื้อในกระแสเลือด มรณภาพแล้ว ที่รพ.สมิติเวช ขณะอายุ ๘๕ ปี

วันนี้ ( ๑๐ ส.ค. ๒๕๕๖ )  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  สมเด็จพระพุฒาจารย์ หรือ สมเด็จเกี่ยว ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดสระเกศ ได้มรณภาพลงแล้วอย่างสงบ เมื่อเวลา ๐๘.๔๑ น. ที่ผ่านมา ที่รพ.สมิติเวช ขณะอายุ ๘๕ ปี เนื่องจากติดเชื้อในกระแสเลือด และจะมีการเคลื่อนศพออกจากโรงพยาบาล ในวันพรุ่งนี้ ( ๑๑ ส.ค.๒๕๕๖ ) เวลา ๑๐.๐๐ น.

ขณะที่พุทธศาสนิกชนและบรรดาลูกศิษย์ลูกหาต่างเศร้าเสียใจต่อการมรณภาพ

สำหรับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.๙) เป็นพระสงฆ์มหานิกาย ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เคยเป็นผู้รักษาการแทนสมเด็จพระสังฆราช ปัจจุบันเป็นประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระเถระที่มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์สูงสุดของมหาเถรสมาคม ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๓ มีนามตามจารึกในสุพรรณบัฏว่า 'สมเด็จพระพุฒาจารย์ ภาวนากิจวิธานปรีชา ญาโณทยวรางกูร วิบูลวิสุทธิจริยา อรัญญิกมหาปริณายก ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี '

มีนามเดิมว่า เกี่ยว โชคชัย เกิดวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๑ ตรงกับวันอาทิตย์ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะโรง ณ บ้านเฉวง ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เป็นบุตรคนที่ ๕ ในจำนวนบุตร ๗ คน ของนายอุ้ยเลี้ยน แซ่โหย่ (เลื่อน โชคชัย) และนางยี (ยี โชคชัย) ครอบครัวทำสวนมะพร้าว ปัจจุบันสกุลโชคชัย หรือแซ่โหย่ เปลี่ยนชื่อสกุลเป็นโชคคณาพิทักษ์

สำเร็จการศึกษาขั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนประจำหมู่บ้าน ในปี ๒๔๘๓ แต่ก่อนจะถึงกำหนดวันเดินทางไปเรียนต่อยังโรงเรียนใน ตัวเมืองสุราษฎร์ธานี เด็กชายเกี่ยวเกิดมีอาการป่วยไข้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน บิดามารดาจึงบนบานว่าหากหายจากป่วยไข้จะให้บวชเป็นเณร ดังนั้น เมื่อหายป่วยจึงบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อ ๖ มิถุนายน ๒๔๘๔ ที่วัดสว่างอารมณ์ ต.บ่อผุด โดยมีเจ้าอธิการพัฒน์เป็นพระอุปัชฌาย์

ความตั้งใจเดิมคือบวชแก้บน ๗ วัน แล้วจะสึกไปเรียนต่อ แต่เมื่อบวชแล้วก็ไม่คิดสึก โยมบิดามารดาจึงพาไปฝากหลวงพ่อพริ้ง (พระครูอรุณกิจโกศล) เจ้าอาวาสวัดแจ้ง ต.อ่างทอง อ.เกาะสมุย ต่อมาหลวงพ่อพริ้งนำไปฝากอาจารย์เกตุ วัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร แต่ไม่นาน กรุงเทพฯ ประสบภัยสงครามโลกครั้งที่สอง หลวงพ่อจึงรับตัวพาไปฝากอาจารย์มหากลั่น ต.พุมเรียง อ.ไชยา กระทั่งสงครามสงบจึงพา กลับไปที่วัดสระเกศ ฝากไว้กับพระครูปลัดเทียบ (ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นพระธรรมเจดีย์ เจ้าอาวาสวัดสระเกศ)

ท่านศึกษาธรรมะจนสอบได้นักธรรมชั้นเอก และศึกษาปริยัติธรรม สอบได้เปรียญธรรม ๕ ประโยคตั้งแต่ยังเป็นสามเณร เมื่อมีอายุครบอุปสมบทก็ได้อุปสมบทในวันที่  ๑ พฤษภาคม ๒๔๙๒2 ที่วัดสระเกศ โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย) ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมวโรดม ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ ครั้นพ.ศ. ๒๔๙๗ ท่านสอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค อันเป็นประโยคสูงสุด

เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานแต่งตั้ง เลื่อนและสถาปนาสมณศักดิ์โดยลำดับดังนี้ พ.ศ. ๒๕๐๑ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่พระเมธีสุทธิพงศ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นพระราชาคณะ ชั้นราช ที่พระราชวิสุทธิเมธี พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพคุณาภรณ์ พ.ศ.๒๕๑๔ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่พระธรรมคุณาภรณ์ พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นพระราชาคณะ เจ้าคณะรองชั้นหิรัญบัฏ (รองสมเด็จ) ที่พระพรหมคุณาภรณ์

พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะชั้นสุพรรณบัฏ ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ เมื่ออายุ ๖๒ ปี นอกจากนี้ เคยได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค ๙ และเป็นเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เมื่อปี ๒๕๐๘ ครั้นถึงพ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม และพ.ศ. ๒๕๔๐ ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายเผยแผ่พระพุทธศาสนา มหาเถรสมาคม

เนื่องจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระอาการประชวร และเสด็จเข้าประทับรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มาตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ทำให้เข้าร่วมงานพระศาสนาไม่สะดวก มหาเถรสมาคมจึงได้แต่งตั้งให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชในต้นปี พ.ศ. ๒๕๔๗

ต่อมาการแต่งตั้งนั้นได้สิ้นสุดลงเพราะครบระยะเวลาที่กำหนด มหาเถรสมาคมจึงมีมติให้แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เพื่อบริหารกิจการคณะสงฆ์แทนสมเด็จพระญาณสังวร โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ในฐานะมีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ที่สามารถปฏิบัติห น้าที่ได้ในขณะนั้นทำหน้าที่เป็นประธาน

สมเด็จพระพุฒาจารย์มีผลงานเขียนหนังสือหลายเล่ม ประกอบด้วย ธรรมะสำหรับผู้นับถือพระพุทธศาสนา, ดีเพราะมีดี, ทศพิธราชธรรม, วันวิสาขบูชา, การนับถือพระพุทธศาสนา, ปาฐกถาธรรมสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ), โอวาทพระธรรมเทศนาและบทความสมเด็จพระพุฒาจารย์, การดำรงตน และคุณสมบัติ ๕  ประการ







ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

ข่าวจาก  ปุ๊ก ทองไท- สถานีโทรทัศน์  เอฟเอ็มทีวี


วันนี้ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๖ ณ ขณะนี้...การเสวนาดี ๆ เริ่มขึ้นแล้ว ติดตามชมการถ่ายทอดสดเสวนาวิชาการเรื่อง... 

" ทางออกและบทบาทพลังรักชาติท่ามกลางวิกฤติชาติอันหนักหน่วง " 

ช่วงที่ ๑ พบกับ 

- อ.คมสันต์ โพธิ์คง 

- ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต 

- ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ 

ดำเนินรายการโดย คุณอำพา สันติเมทนีดล 

ช่วงที่ ๒ พบกับ... 

- อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 

- ดร.บรรเจิด สิงคเนติ 

- คุณสุริยะใส กตะศิลา 

ดำเนินรายการโดย คุณสำราญ รอดเพชร 


ณ ห้องออร์ดิทอเรียม ตึก ๑๕ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต 

เริ่มถ่ายทอดสดตั้งแต่เวลา ๐๘.๓๐ - ๑๗.๐๐ น. ทางช่อง FMTV สถานี ทีวีเพื่อมนุษยชาติ หรือติดตามผ่านทางอินเตอร์เน็ต ที่... 

www.fm-tv.tv  ,  www.boonniyom.com และ 

http://new.livestream.com/fmtv-live/24live 

ท่านที่มีมือถือ ไอโฟน แอนดรอย ไอแพด ชมที่ www.fm-tv.tv/mobi

ทางด้านวิทยุ คลิกมาที่ วิทยุชุมชนบุญนิยมปฐมอโศก ๑๐๗.๙ นครปฐม ที่นี่.. 

http://www.boonniyom.com/pacradio.html และหรือ 

http://www.asoke.info/pacradio.html

อย่าลืมติดตามชมให้ได้นะครับ







ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูบาบินก้าว
เขียนเมื่อ

ขอบันทึกการต่อสู้ของแผ่นดิน ก่อนจะเกิดสถานการณ์สักครั้ง

ณ วันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
 

คนที่มีสัมมา จักสู้เพื่อประเทศไทย ชนะ
คนหลงทาง  จักสู้โดยไม่เคยรู้ ทุกครั้งว่า มีมือใคร...คว้าไปชนะ

เพียง...ความเห็นเรื่องการต่อสู้คนที่สัมมา ต่างกับ คนมิจฉา

สู้...เพื่อหมายขจัดศัตรูแผ่นดิน ที่ไม่ยอมยกธงขาว ต้องชัด
สู้...แบบประชาธิปัตย์...(เดิม ๆ) ชาติเสียหาย
สู้...มิใช่ จ้องเป็นพระเอก อีกฝ่ายผู้ร้าย

สู้...เพราะต่าง คือ คนไทย เพื่อประเทศไทย ต้องใจกว้าง ฯ


ต่างต้องเคารพ...แนวการต่อสู้
ต่างต้องเคารพ...แม้ศัตรู ที่เห็นต่าง
ต่างต้องเคารพ...การตัดสินใจ ทุกแนวทาง
จักเกิดสรรสร้าง ในทางต่อสู้ ไร้เหตุร้าย ทำลาย อย่างรู้และเคารพ

ความเห็นต่าง ขัดแย้งกัน ที่เกิด นี้ แหละ " ดี "
จักชี้ประเด็น สนทนา เกิด - จบ
จักมีแนวการต่อสู้แบบปัจเจก แบบพรรค แนวรบ
น้อมเคารพความต่างได้ จักผ่อนคลาย

ยืนยัน ดังที่ได้กล่าวว่า
สู้แบบประชาธิปัตย์...ที่ผ่านมา ชาติแสุดเสียหาย
มิใช่ รังเกียจพรรค แต่อย่างใด 
หากมีบทเรียน บันทึกไว้ ยาวนาน

พฤติกรรม ทำผิดซ้ำซาก
พฤติกรรม ประชาชนทำใจลำบาก ชนิด สอบไม่ผ่าน
พฤติกรรม ความสุภาพ ที่แสนพาล
พฤติกรรมนำแผ่นดินสะท้าน หลายครั้งครา

ตัวอย่าง ผิด สอ ปอ กอ สี่ขีด ศูนย์หนึ่ง
เรื่อง เอ็มโอยู สองห้าสี่สาม ช่างกล้า
เรื่อง ผลักคนไทยแบบวีระ ผู้รักแผ่นดิน ไร้ผิด ไปติดตารางกัมพูชา
พฤติกรรมอีกนานา สาระพัด ไร้สำนึก

ฯลฯ

แน่นอน ทุกคน มีสิทธิ์รักใคร รักพรรคใดได้
แน่นอน ทุกคน มีสิทธิ์ ชังใคร ๆ ตรองตรึก
เพื่อความชัด ความตรึก คิด นึก
ในกาลศึก ก็ต้องชัด การตัดสินใจ ในครั้งสำคัญแท้..

ถึงเวลา ที่ทุกคนไทย ต้องตื่น...เห็น ความบาปในคนเป็น ๆ บัดนี้ มันสุกเต็มที่แล้ว ฝีบาป มันใกล้แตกด้วยตัวมันเองทั้งหมดแล้ว ฯลฯ

" พฤติกรรมผิดทางการเมือง โดย เอางบประมาณแผ่นดินไปผลาญ มิใช่ เว้นวรรค ยุบพรรค ฯ เชิญออก ไล่ออก ยุบสภา ฯ ลาออก แล้วจบ เพราะแบบที่ผ่านมาทำแบบนี้...เจ้าคนกังฉินไร้สำนึกเหล่านี้ยังพร้อมจ้อง แย่งกลับมาเป็นผู้ทรงเกียรติ ในสภา ฯ อีกแล้ว ๆ เล่า ๆ "

ความจริง พฤติกรรมผิดนี้คือ พฤติกรรมคนหน้าด้าน ไร้สำนึก ในสภา ฯ ที่ยังไม่ได้ถูกพิพากษาลงโทษตามกรรมผิดแล้วกลับมาทำผิดต่อ...ไม่ใช่พฤติกรรมผู้ทรงเกียรติเลย และ โดยจริง ต้องออกกฏหมาย ห้ามตระกูลคนทำผิด คนกังฉิน อย่าให้บุคคลเหล่านี้เข้ามาสู่แวดวงความเป็นนักการเมือง ความเป็นผู้บริหาร ฯ " ตราบที่ยังไม่ชดใช้ความเสียหายจากกรรมที่ก่อ... " 

เพื่อจักให้คนไทยยุคใหม่ รุ่นใหม่ ที่ตั้งใจ และมีเจตนารักมวลมนุษยชาติ มีความสะอาด มีศีล มีฝีมือ ในแต่ละด้าน ได้ก้าวเข้ามา เสียสละเพื่องานแผ่นดิน...

 

ยุคนี้ ที่น่าสลดหดหู่ใจ และที่ควรรับรู้ และอาจคือความน่ากลัวที่สุดสำหรับการที่ผู้มีสัมมาทิฐิแจ่มชัด จะต้องหาทางป้องกันไว้สำหรับอนาคต นั้นคือ การที่บุคคล กลุ่มบุคคลผู้อยู่ในหน้าที่ และ ไม่อยู่ในหน้าที่ ต่างรู้แก่ใจว่า...ตนกำลังร่วมก่อกรรมกระทำผิด...

แต่ก็คงยินดีที่จะเลือกกระทำในสิ่งที่ผิด และเลือกอยู่ ณ ข้างที่ผิดนั้น อย่างไม่แคร์ต่อมโนธรรมตนเอง

 


ไม่เช่นนั้น กี่ปี ๆ ที่ผ่าน ก็จะเหมือนเรื่องราว ในคลิปนี้... ที่ว่า รัฐ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง www.youtube.com/watch?v=HCc7kFH0Y6E




ภาพประกอบกระทู้  คือ คนอังกฤษที่นำมาเป็นตัวอย่าง ที่พบทางออก ณ แผ่นดินไทย
 โดย เข้าใจชีวิต เป็นวิธีคิดที่เลือกแล้วเหมือนธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา

นายมาร์ติน วีลเลอร์ เป็นบัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากเคมบริดจ์ คนที่ก้าวออกจากโลกทุนนิยม ณ บ้านเมืองตน มาเห็นคุณค่าแผ่นดินธรรม แผ่นดินทองของแผ่นดินไทย โดย กล่าวว่า...

"คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ "  มาติดตามอ่านให้เป็นตัวอย่าง...

http://www.haii.or.th/thailandwaterchallenge/activities/40-2009-02-18-07-15-54/319-martin.html

www.youtube.com/watch?v=xZ6MszPBPTE

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท