วิชาพัฒนานิสิต เป็นหนึ่งในวิชาการอันหลากหลายในหมวดศึกษาทั่วไปของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม หากแต่มีจุดเด่นที่อาจแตกต่างไปจากวิชาอื่นๆ อยู่บ้าง นั่นก็คือเป็นวิชาที่เติบโตและพัฒนามาจากกระบวนการพัฒนานิสิตนอกชั้นเรียนในสายธารกิจการนิสิต หรือฝ่ายกิจการนิสิต นั่นเอง
วิชาพัฒนานิสิต เป็นรายวิชาที่พัฒนาต่อยอดจากระบบและกลไกการจัด "กิจกรรมนอกชั้นเรียน" ของ "องค์กรนิสิต" ที่ประกอบด้วยองค์การนิสิต สภานิสิต สโมสรนิสิต ชมรม กลุ่มนิสิต หรืออื่นๆ รวมถึงการต่อยอดมาจากระบบคิดของ "ระเบียนกิจกรรมนิสิต" (ทรานสคริปกิจกรรม)
หัวใจหลักของการเรียนการสอนวิชาพัฒนานิสิต ประกอบด้วยประเด็นหลัก ๓ ประเด็น คือ
เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner-centered) เรียนรู้ผ่านกิจกรรม (Project base learning & Activity Based Learning) และชุมชนเป็นชั้นเรียน (Community-based learning)
ทว่า "ชุมชน" อันเป็นห้องเรียนนั้น มิได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะชุมชนที่เป็นหมู่บ้านเท่านั้น หากแต่หมายรวมถึงทุกๆ สถานที่ใน "มหาวิทยาลัย" ด้วยเช่นกัน
การเรียนการสอนวิชาพัฒนานิสิต มีหลายหัวข้อ แต่กระบวนการเรียนการสอนจะเน้น "บันเทิง-เริงปัญญา" เรียนในแบบกระบวนการ เน้นให้นิสิต "ได้คิด ได้ลงมือทำ ได้สรุปการเรียนรู้" ทั้งในระบบกลุ่มและระบบบุคคล ซึ่งการเรียนในชั้นเรียนจะประกอบด้วยรูปแบบหลากหลาย เช่น บรรยาย เสวนา สื่อ เกม ฯลฯ...
เช่นเดียวกับการมุ่งการเรียนรู้ให้นิสิตได้รู้จักหลักของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับชุมชน เริ่มตั้งแต่การเขียนโครงการ หลักการบริหารจัดการโครงการ หลักการทำงาน หรือการจัดกิจกรรมพัฒนานิสิตร่วมกับชุมชน –
ด้วยเหตุนี้ในปลายเทอมของแต่ละปี นิสิตต้องร่วมกันทำโครงการกลุ่มละ ๑ โครงการ เป็นโครงการง่ายๆ บนความต้องการของชุมชนและฐานความรู้ของนิสิตเป็นหัวใจหลัก มิใช่โครงการอลังการงานสร้างใหญ่โตมโหฬาร-ใช้งบประมาณอย่างมากมายก่ายกอง
ยกตัวอย่างเช่นล่าสุด (วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๘) นิสิตได้ออกไปจัดกิจกรรมการ "เรียนรู้คู่บริการ" ณ บ้านกุดร่อง ต.ท่าขอนยาง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม ประกอบด้วยกิจกรรมหลักๆ คือ ทาสีรั้วบ้านของแต่ละครัวเรือน รวมถึงพัฒนาสิ่งแวดล้อมในหมู่บ้านและวัด
พัฒนาโจทย์แบบง่ายงามระหว่างนิสิตกับชุมชน
จากคำบอกเล่าของนิสิต ทำให้ทราบว่า "นิสิตเข้าไปสำรวจความต้องการของหมู่บ้าน โดยพบปะกับแกนนำและชาวบ้าน ทำให้รู้ว่าชาวบ้านกำลังดำเนินการเรื่องรั้วบ้านยังไม่แล้วเสร็จ จึงอยากให้นิสิตได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับกิจกรรมดังกล่าว"
การสำรวจความต้องการง่ายๆ ในแบบ "พบปะพูดคุย" และพิจารณาจาก "สถานการณ์" (ความจริงของหน้างาน) เช่นนั้น คือการ "พัฒนาโจทย์" แบบไม่ซับซ้อนอันใด และสิ่งที่เป็นความต้องการของชาวบ้านก็มิได้เหลือบ่ากว่าแรงที่นิสิตจะทำได้ พร้อมๆ กับการพิจารณาใคร่ครวญถึงงบประมาณ ทั้งโดยนิสิตเอง หรือชาวบ้านก็อยู่ในวิสัยที่พอเป็นไปได้ -
นั่นคือภาพสะท้อนเล็กๆ ของการร่วมคิดร่วมตัดสินใจระหว่าง "นิสิตกับชาวบ้าน" ซึ่งดำเนินการไปบนฐานคิดหลักของ "การมีส่วนร่วม"
ต่อยอดจากโครงการในฝันของนิสิตในกลุ่ม
ครั้นเจาะลึกลงไปก็ทำให้เห็นว่าโครงการดังกล่าวนี้ เป็นหนึ่งใน "ความฝัน" ของเพื่อนในกลุ่มที่เคยได้ฝึกเขียนโครงการในฝันของตนเอง (งานเดี่ยว) เป็นการเขียนโครงการแต่ไม่ได้ลงมือทำ เมื่อนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนทุกคน-เพื่อนทุกคนก็เห็นพ้องที่จะขับเคลื่อนผ่านฐานคิดของโครงการดังกล่าว
อีกทั้งโครงการดังกล่าวฯ ก็มาจากแรงบันดาลใจ (ความประทับใจ) ที่นิสิตคนดังกล่าวเคยได้เข้าร่วมค่ายการศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศวัฒนธรรมในชุมชนนี้ร่วมกับคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์มาก่อน
กรณีเช่นนี้ผมถือว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ นับตั้งแต่การให้นิสิตได้ฝึกเขียนโครงการในฝันของตนเอง โดยมองผ่านต้นทุนชีวิตของตนเอง จากนั้นก็ให้แต่ละคนเล่าโครงการในฝันของตนเองให้เพื่อนฟัง เพื่อนำไปสู่การออกแบบกิจกรรมที่จะมีขึ้น ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งเลือกโครงการของใครคนใดคนหนึ่ง บูรณาการร่วมกันทั้งหมด หรือกระทั่งคิดค้นขึ้นมาใหม่
การมีส่วนร่วมของชุมชน
วิชาพัฒนานิสิต ไม่ใช่วิชาพัฒนาชุมชน แต่มุ่งเน้นให้นิสิตเข้าใจหลักคิดของการเรียนรู้ผ่านกิจกรรม โดยใช้ชุมชนเป็นฐานและขับเคลื่อนบนกรอบแนวคิดของการมีส่วนร่วมของ "นิสิตกับนิสิต" และ "นิสิตกับชุมชน" หรือกระทั่ง "นิสิตกับอาจารย์ที่ปรึกษากลุ่ม"
แน่นอนครับ-การมีส่วนร่วมถือเป็นหัวใจที่ละทิ้งไม่ได้ กิจกรรมครั้งนี้ชี้ให้เห็นความสำเร็จเล็กๆ ของการมีส่วนร่วม นับตั้งแต่การพัฒนาโจทย์ร่วมกับชุมชน ไม่ใช่นิสิตจะไป "ขายฝัน" ว่า "อยากทำโน่นทำนี่" (นักเสกสร้าง) แต่ร่วมคิดร่วมตัดสินใจว่าสิ่งใดคือสิ่งที่สามารถทำงานร่วมกันได้ อะไรคือสิ่งที่จะ "แบ่งปัน-เกื้อหนุน" กันได้บ้าง
กิจกรรมครั้งนี้ ชาวบ้านไม่ได้แค่ลงแรงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น หากแต่รับผิดชอบเรื่อง "สีและอุปกรณ์" ต่างๆ อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็น "พี่เลี้ยง" คอยแนะนำเรื่องการทาสีไปพรางๆ เพราะนั่นคือความรู้และทักษะที่นิสิตไม่ค่อยมีกัน
ไม่เพียงเท่านั้น ชาวบ้านยังขันอาสาเป็นเจ้าภาพด้าน "ข้าวปลาอาหาร" อย่างครบครัน ทั้งนิสิตและชาวบ้านได้เข้าครัวทำอาหารร่วมกัน ซึ่งบรรยากาศเช่นนั้น กลายเป็นการเรียนรู้เรื่องอื่นๆ ไปในตัวอย่างแนบเนียน เสมือนการจัดการความรักไปพร้อมๆ กับการจัดการความรู้ดีๆ นั่นเอง
และที่สำคัญคือ นิสิตเองก็มิได้ละทิ้งความรับผิดชอบเรื่องงบประมาณค่าอาหารการกิน หากแต่ยังสมทบงบประมาณร่วมกับชาวบ้าน สิ่งเหล่านี้ยืนยันว่า "ต่างคนต่างช่วยกัน" เป็นการเรียนรู้คู่บริการอย่างง่ายงาม มิใช่ทำตัวแบบช้างเหยียบนาพญาเหยียบเมืองจนชาวบ้านต้องสิ้นเปลืองงบส่วนตัวกันอย่างยกใหญ่
เกือบสายไปกับการเรียนรู้วิถีวัฒนธรรมชุมชน
จากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่/อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ ทำให้ทราบว่า โครงการ/กิจกรรมดังกล่าว ยังไม่เด่นชัดเรื่องของการเรียนรู้บริบทชุมชนอย่างเท่าที่ควร ถึงแม้จะมีการลงพื้นที่มาพัฒนาโจทย์บ้างแล้ว แต่ก็มากันไม่ครบทีม และยังสื่อสารข้อมูลชุมชนกันยังไม่เต็มร้อยเท่าใดนัก จึงมีการแนะนำให้นิสิตได้เพิ่มกิจกรรมเข้ามา นั่นก็คือการเรียนรู้วิถีวัฒนธรรมชุมชน โดยเข้าเรียนรู้ "ศูนย์ศึกษาวิถีนิเวศน์ชุมชนบ้านกุดร่อง" (ชุมชนเชิงเกษตร) ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ผมถือว่า "สำคัญมาก"
ใช่ครับ-สำคัญมาก เพราะทำกิจกรรมไปด้วยเรียนรู้ชุมชนไปด้วย อาจไม่บรรลุเป้าเสียทั้งหมด เพราะการงานอันบีบเร่งอย่างน่าใจหาย นิสิตอาจพุ่งสมาธิไปยังเรื่อง "ปลายทาง" มากกว่าส่วนอื่นๆ อันหมายถึง "ต้นน้ำ" และเรื่องราว "ระหว่างทาง"
กระบวนการที่แนะนำเข้าไปนั้น คือ "หัวใจหลัก" ของการเรียนรู้ในวิชานี้ด้วยเช่นกัน เพราะการจะสร้างสรรค์อะไรในชุมชน ย่อมต้องรู้ "บริบท" อันเป็น "สถานการณ์" ของชุมชนนั้นๆ เสียก่อน มิใช่ "จินตนาการ-พยากรณ์" บ้าบอแต่ทฤษฎี-
ในมุมของผมเอง
โดยส่วนตัวผมแล้ว ผมชอบการเรียนรู้ในแบบลงแรงเล็กๆ แบบนี้ การงานที่ทำไม่ได้ใหญ่โตอลังการ ถึงขั้นเทงบลงเยอะๆ ถึงขั้นต้องเรียนเชิญผู้หลักผู้ใหญ่มาเปิดงานให้ยุ่งยากเป็นพิธีการและพิธีกรรมเหมือนที่เราๆ ท่านๆ คุ้นชิน
แน่นอนครับ ด้วยข้อจำกัดบางประการ ผมยังไม่อยากชั่งวัดว่าการงานครั้งนี้ หรือกระบวนการเรียนรู้ในวิชาพัฒนานิสิตจะเปลี่ยนแปลงชุมชนได้แค่ไหน นั่นยังไม่ใช่โจทย์ที่ผมปักหมุดไว้เป็นหัวใจหลักเสียทั้งหมด การประเมินการเรียนรู้ในตัวนิสิต คือสิ่งที่ผมให้ความสำคัญในวาระนี้ และเฝ้ามองว่าพวกเขาจะเดินไปสู่ถนนสายกิจกรรม เป็นนักกิจกรรมอย่างเต็มตัว ทั้งในระบบและนอกระบบอย่างไร หรือกระทั่งกิจกรรมที่จัดขึ้น จะถูกต่อยอดได้ด้วยองค์กรใดอีกบ้าง
เช่นเดียวกับการคิดแบบขำๆ ว่า จะดีแค่ไหนถ้านิสิตกลุ่มนี้ไปตักบาตรที่วัดในตอนเช้า พบปะชาวบ้านในศาลาวัด พูดคุยเรียนรู้บริบทชุมชนไปในตัวผ่านศาลาวัด จากนั้นก็ลงสู่การงานร่วมกัน ----
หรือกระทั่งเอาง่ายๆ เลยนะครับ รั้วที่ทำจากไม้ไผ่ ก็เป็นโจทย์การเรียนรู้ได้... ไม่ใช่แค่เรื่องวัตถุดิบในท้องถิ่นแค่นั้น มันมีอะไรซ่อนลึกในกระบวนการพัฒนาชุมชนตั้งหลายอย่าง-น่าสนใจ ครับ
...
หมายเหตุ : นิสิตและบุคลากรวิชาพัฒนานิสิต
ท่าน เป็นนักพัฒนาที่เยี่ยม ค่่ะ
มาเป็นกำลังใจให้กับการพัฒนาเยาวชนเช่นนี้ค่ะ
อยากเข้ามาซอดแทรกตรงนี้นิด..เพราะชอบมากๆ..กับคำว่ารั้วไม้ไผ่..(แทนที่เป็นไม้ไผ่ตายแล้วเป็นต้นไผ่ซึ่งมีถึงสามพันกว่าชนิด..และสูญสิ้นทรากไปแล้วเยอะเลย...)มาปลูกเป็นรั้ว..
ด้วยไม้ต่างชนิด..ต้นยาไม่ล้มลุก..ไม้กินได้...ยิงนกด้วยปัญญแทนใช้ลูกดอก..อิอิ..ไม่ต้องเสียเงินค่าสี..มีประโยชน์..ตลอดการ...
โครงการนี้เคยมี.เป็นทางการแต่.แล้วล่องหนหลายไปหลายร้อยล้าน..๕๕๕..
ถ้าเป็นงานที่นิสิต..คิดทำเอง..หรือ..ช่วยชาวบ้าน..วิจัย..ความเป็นไปได้...ถ้าทุกหมู่บ้าน.เริ่มสร้างที่รั้วบ้าน ตนเองได้..คง..มีผลพวงอีกเยอะแยะตามมา..
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด...(แอบคิดตามประสายายธี..อิอิ)...
ชอบใจการทำงานครับ
นิสิตได้เรียนรู้เรื่องในชุมชน ได้ศึกษาและทำงานกับชุมชนเป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง
ผู้เรียนจะมีความสุขมากกว่าการเรียนรู้ในตำราครับ
ขอบคุณมากๆครับ
อ่านถึงตอน "ในมุมของผมเอง" ผมตกลงใจว่า ควรจะเริ่มถอดบทเรียนจากบล็อคของผู้เขียน และจัดเวทีตัวแทน"ผู้เรียน" ที่ผู้เขียนกล่าวถึง ... น่าจะเริ่มแบบนี้แหละ ...ถอดความสำเร็จ "จากปลายไปสู่ต้น" จาก "คนไปสู่ความ"...