"ราษฎรอาวุโส" ในประเทศไทยมีแค่คนเดียว (ไม่เชื่อไปถามหนังสือพิมพ์ดู)


ในบันทึกของผมก่อนหน้านี้มีการกล่าวถึงบุคคลที่สังคมรู้จักกันในนามว่า "ราษฎรอาวุโส" อยู่หลายหน และเห็นได้ชัดว่าผมไม่ได้รู้สึกดีกับบุคคลนี้มากนัก

แต่ก็มีคนมาให้ความเห็นในบันทึกผมโดยนึกว่าผมหมายถึง "ผู้อาวุโส" ทุกท่าน

ผมขอโทษจริงๆ ผมคงต้องเขียนชัดเจนมากกว่านี้ แต่ก็ด้วยเหตุผลบางอย่างผมก็ไม่อยากระบุชื่อตรงๆ ครับ

ผมต้องขอเรียนว่า ผมไม่ได้หมายถึงอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่หนังสือพิมพ์พยายามเรียกว่า "ราษฎรอาวุโส" แต่ท่านไม่ยอมรับกับ "คำเรียก" นี้ครับ

ผมทราบว่า "ผู้ใหญ่" หลายท่านนั้นทำงานหนักมาก อุทิศชีวิตและกำลังการทำงานเพื่อสังคมเพื่อบุคคลอื่นอย่างใหญ่หลวงทีเดียว และท่านเหล่านั้นผมเคารพอย่างยิ่งครับ

แต่ผมมีทัศนคติที่ไม่ดีกับ "ราษฎรอาวุโส" เพียงท่านเดียวเท่านั้นครับ

มีคนที่ยอมรับตำแหน่ง "ราษฎรอาวุโส" อย่างหน้าชื่นตาบานจากหนังสือพิมพ์คนหนึ่งที่เมื่อเราสืบประวัติแล้วจะพบว่างานที่เคยทำนั้น ไม่ใช่เป็น "งานของตัวเอง" ครับ แต่เป็น "งานที่อยู่บนฐานการทำงานของคนอื่น" ทั้งนั้นครับ

งานที่ทำเองมีอย่างเดียวคือ "เขียน" บทความสั้นๆ ไปลงหนังสือพิมพ์บ้าง หรือตามที่ต่างๆ ที่มีคนอ่านเยอะ โดยใช้ "สายสัมพันธ์" ที่ท่านมี

เพื่อทำตัวว่า ฉันเป็น "นักคิด" ฉันเป็น "นักปรัชญา" ของสังคม ดังนั้นฉันเลยไม่ต้องทำงาน ฉัน "คิด" อย่างเดียวก็พอแล้ว ส่วนใครจะทำก็ทำไป ถ้างานสำเร็จผลงานก็เป็นของฉัน

เรียกว่า "เอาหน้า" จากคนอื่นจนได้ดีครับ

ท่านเป็นคนฉลาดในสามประการด้วยกัน

หนึ่ง ฉลาดที่จะไม่ทำงานเอง เพราะไม่ต้องรับข้อผิดพลาด

สอง ฉลาดที่จะ take credit อย่างงามเมื่องานประสบความสำเร็จ แต่ต้อง take โดยคนทำงานไม่รู้ตัว โดยคนทำงาน "ใส่พาน" ให้ด้วยซ้ำ เรื่องนี้เป็นความฉลาดในเชิงจิตวิทยา มีความสามารถเชื่อมโยงงานที่เขาทำสำเร็จแล้วมาสอดคล้องกับสิ่งที่ตัวเองเขียน

และ สาม ฉลาดที่จะหลีกเลี่ยงความผิดเมื่องานไม่ประสบความสำเร็จ ในลักษณะว่า "ผมบอกแล้วให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ไม่เชื่อผมเลยไม่ประสบความสำเร็จ..." พร้อมกับอ้างคำพระตบท้ายอีกหลายคำ การอ้างคำพระนี่ก็เป็นยุทธวิธีเชิงจิตวิทยาในการเลี่ยงความผิดที่สวยงามอีกเช่นกัน

แต่ในขณะเดียวกันก็รักษาฐานอำนาจของตัวเองด้วยการเป็นกรรมการในหน่วยงานให้ทุนที่สำคัญต่างๆ ไว้ เพื่อให้นักวิชาการและคนทำงานเพื่อสังคม "ยกย่อง"

ซึ่งเมื่อนักวิชาการและคนทำงานเพื่อสังคม "ยกย่อง" แล้ว ก็จะส่งผลกระทบต่อทำให้สังคมที่กลุ่มคนเหล่านี้ไปมีสัมพันธ์ด้วย "ยกย่อง" ต่อไปอีก แล้วก็จะได้ "เชิญ" เป็นกรรมการในชุดที่มีอำนาจตัดสินใจมากขึ้น

ทั้งนี้โดยมี "หนังสือพิมพ์" คอยโฆษณาท่านเป็นระยะประกอบ โดยท่านทำงานเป็น "แหล่งความเห็นแบบที่หนังสือพิมพ์ต้องการ" ให้แก่หนังสือพิมพ์เป็นการทดแทน

เป็นลูกต่อเนื่องที่ "เนียน" มาก เพราะความ "ยกย่อง" ในสังคมนั้นจะต่อเนื่องเป็นปิรามิดกลับหัว และด้วยการที่เป็นปิรามิดกลับหัวนั้น ก็จะไม่มีใครเสียเวลาขุดหา "ราก" ของมัน

เป็นความฉลาดระดับลึกซึ้งทีเดียว

บุคคลที่ผมกล่าวถึงนี้ ไม่ค่อยมีใครแน่ใจว่า "ราก" ของท่านคืออะไร และเป็น "ราก" ที่ "พิเศษ" กว่าท่านผู้อาวุโสผู้ผ่านการทำงานจริงคนอื่นๆ มากแค่ไหน ถึงท่านยอมรับการเป็น "ราษฎรอาวุโส" ในขณะที่ผู้อาวุโสคนอื่นไม่ยอมรับ แต่ทุกคนแน่ใจว่าได้อ่านสิ่งที่ท่าน "เขียน" ที่โน่นบ้างที่นี่บ้างทั่วไป คนก็รู้สึกว่าท่านเป็น "คนดี" แน่นอน

ฉลาดมาก ฉลาด "เนียน" จริงๆ

แต่ผมไม่อยากเห็นคนฉลาดเยี่ยงบุคคลนี้เป็นตัวอย่างต่อเยาวชนรุ่นหลังครับ

ผมอยากเห็นเยาวชนรุ่นหลังชื่นชมคนทำงาน "จริง" ไม่ว่าจะเป็นฟันเฟืองเล็กหรือใหญ่ในสังคม ผมอยากเห็น "คน" ที่เป็นคน "จริง" ที่ทุ่มเทกับงานจนไม่มีเวลาบอกใครถึงงานที่ตัวเองทำ ได้รับการยกย่องจากสังคมบ้าง

ผมอยากเห็นสังคมยกย่อง "คนจริง" เหล่านี้ คนที่เป็น "กลไก" ที่แท้จริงที่ผลักดันให้สังคมเราอยู่ได้ ไม่ใช่คนที่ "เล่นการเมืองภาคประชาชน" ไปวันๆ

อ่าน "คนดีวันละคน" ที่อาจารย์หมอวิจารณ์เขียนสิครับ ผมอ่านแล้วหนักใจมาก ท่านเหล่านั้นทำงานหนักมากกว่าท่าน "ราษฎรอาวุโส" ทั้งนั้นเลย แต่สังคมไม่รู้จักมากนัก เพราะท่านไม่มี connection กับหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์

มัวแต่เอาเวลาไปทำงาน ว่างั้นเถอะ

นานๆ ทีท่านเหล่านั้นจะได้มีงานเขียนบนหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ ซึ่งส่วนใหญ่ไปโผล่บน "หน้าหลัง" ไม่ใช่บน "หน้าหนึ่ง" อย่าง "ราษฎรอาวุโส" เสียด้วย

ตัวอย่างเช่น นานมาแล้วอาจารย์หมอวิจารณ์เคยเขียนเรื่อง "การจัดการความรู้เพื่อแก้ปัญหาไข้หวัดนก" ปรากฎว่า "กรุงเทพธุรกิจ" เอาไปลงแถวๆ Classified โน่น ส่วนเรื่องที่ "ราษฎรอาวุโส" วิจารณ์คู่แข่งทางธุรกิจของเครือเนชั่นนั้นลงหน้าหนึ่ง (พร้อมรูปถ่ายครึ่งตัว) ในฉบับเดียวกัน

ไม่แปลกเลยที่ตอนหนังสือพิมพ์ใหญ่ที่เป็นฐาน connection ของท่าน "ราษฎรอาวุโส" ถูก take over นั้น ท่านออกมาปกป้องสุดชีวิต

ต้องบอกกันหน่อย ว่าอาจารย์หมอวิจารณ์ไม่มีส่วนรู้เห็นในการเขียนบันทึกนี้ของผม และผมไม่ได้เขียนชื่นชมอาจารย์หมอวิจารณ์โดยการเปรียบเทียบกับ "ราษฎรอาวุโส" ผมแค่ยกตัวอย่างที่ผมจำได้แม่นเท่านั้นเอง

ตัวอย่างอื่นผมจำไม่แม่น เพราะถ้าผมไม่ได้รู้จักอาจารย์หมอวิจารณ์มาก่อน ผมก็คงไม่รู้หรอกว่าคนเขียนบทความเล็กๆ ที่อยู่ก่อนหน้า Classified นี่เป็นใครและผมคงไม่สนใจอ่านเท่าไหร่

ดังนั้นผมคงต้องเขียนถึง "ราษฎรอาวุโส" ท่านนี้บ้าง เพราะคงไม่มีใครกล้าเขียนถึงท่านในแง่ลบมากนัก ด้วยเหตุผลของ "อำนาจ" ที่ท่านวางกลไกไว้อย่างที่ผมอธิบายไว้ในความฉลาดสามข้อของท่าน

เรื่องนี้ผมอยากเขียนมานานแล้ว มากล้าเขียนก็ตอนนี้ละครับ

ถ้าเขียนก่อนหน้านี้เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าผมมีทัศนคติที่ไม่ดีกับท่านเพราะเกี่ยวกับเรื่องการเมือง

ผมอยากเขียนเพราะไม่อยากให้ท่านลอยนวลมากเกินไป เดี๋ยวเด็กรุ่นหลังยึดท่านเป็นตัวอย่างกันหมด เพราะถ้าเป็อย่างนั้นแล้วใครจะทำงานให้ประเทศไทย ถ้าทุกคนอยากเป็น "นักวางกลยุทธ" อย่างเดียว

ผมไม่อยากเห็นค่านิยมว่าคนทำงานคือ "คนโง่" เพราะเป็นได้แค่ระดับ "คนทำงาน" ส่วน "คนฉลาด" นั้นไม่ต้องทำงานแต่เป็น "นักวางกลยุทธ" ไปไกลกว่านี้ครับ

ส่วน "ราษฎรอาวุโส" นั้น ถ้าท่านทราบว่าบุคคลนี้เป็นใคร บุคคลนี้คงต้องเริ่มปกป้องชื่อเสียงตัวเองด้วยการทำงานจริงอย่างที่คนอื่นทำบ้างครับ

หมายเหตุว่า "การเขียนบทความสั้นๆ ให้หนังสือพิมพ์" นั้นไม่เรียกว่าเป็นการทำงานครับ โดยเฉพาะถ้าฝันเอาโดยไม่ได้อยู่บนประสบการณ์จริงแล้ว ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "เพ้อเจ้อ" ไม่ว่าท่านจะใช้คำศัพท์ในการเขียนสวยแค่ไหนก็ตาม

หมายเหตุอีกทีว่า การเป็น "กรรมการ" เพื่อ "approve" ก็ไม่ถือว่าเป็นการทำงานที่จะเอามาโฆษณาได้นะครับ ต้องเป็น "กรรมการ" ที่ "run" งานจริงครับ ถึงจะเอามาโฆษณาได้

ท่านต้องทำงานบ้างนะครับ และไม่ต้องกลัวความผิดพลาด เพราะคนทำงานจริงเขาผิดพลาดกันทั้งนั้น และไม่ใช่ผิดพลาดเพราะเขา "โง่" ด้วย

ลืมไป ท่านไม่ได้ใช้คำว่า "โง่" แต่ท่านใช้คำสวยกว่านี้ ชนิดว่าคนถูกด่าไม่รู้ตัว ยิ้มรับเฉยเลย

เฮ้อ.. หนักใจ

เรื่องที่ผมคิดในแง่ร้ายกับท่านอย่างนี้นั้นไม่น่ากลัวหรอก ผมมันแค่ loose cannon แต่สิ่งที่น่าสนใจคือไม่ใช่ผมคนเดียวที่คิดอย่างนี้นะสิครับ

ผมสังเกตว่าเริ่มมีคนรุ่นหลังที่สนใจว่าบุคคลนี้คือใครอย่างผม แต่แทนที่จะเชื่อไปเลยว่าเป็น "คนดี" ตามเขาบอกต่อกันมา กลับไปใช้เวลาค้นหาประวัติการทำงานของบุคคลนี้เพื่อที่จะเชื่อได้อย่างสนิทใจ แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าบุคคลนี้ "กลวง" ครับ

ผิดหวังถึงขั้นต้องมาเขียนบันทึกนี้นั่นละครับ

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ชื่อเสียงหากไม่ได้สร้างอยู่บนพื้นฐานของการทำงานจริงแล้ว ไม่ยั่งยืน" ครับ

หมายเลขบันทึก: 79269เขียนเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2007 11:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 14:39 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (25)

เห็นด้วยกับอาจารย์ แต่ก็พยายามหาที่มาของคำว่า ราษฎรอาวุโสครับ ก็เจอที่นี่ ลองดูนะครับ

http://www.matichon.co.th/youth/youth.php?tagsub=031100&tag950=03you30100647&show=1

คุณ ss

ระหว่างอ่านไป ก็คิดไป ใครว่า

สรุปออกมา ว่า เราคิดตรงกัน

ผศ.ภก.พงค์เทพ สุธีรวุฒิ

การให้ความเห็นลักษณะนี้ต้องระมัดระวังหน่อยนะครับ เพราะถ้าเราไม่รู้จักราษฎรอาวุโสท่านนั้นดีพอที่จะวิพากษ์วิจารณ์ได้ก็เป็นการไม่ควรนะครับ เพราะแม้ว่าบางประเด็นอาจจะถูกต้องแต่บางประเด็นก็อาจจะคลาดเคลื่อนได้ บางครั้งการให้ข้อมูลในแง่ลบก็อาจจะไม่เป็นธรรมกับอีกฝ่ายนะครับ ผมขออนุญาตเตือนด้วยความเป็นห่วงในฐานะที่รู้จักกันครับ

ขอขอบคุณอาจารย์พงค์เทพเป็นอย่างมากที่กรุณาตักเตือนครับ

ต้องขอเรียนอาจารย์ว่าผมคิดอยู่นานทีเดียวว่าจะเขียนบันทึกนี้ออกมาดีหรือไม่ครับ

แต่เรื่องนี้ผมมีความเห็นมานานแล้วครับ คิดอยู่เสมอว่าต้องหาโอกาสเขียนออกมาเสียทีเพื่อแสดงจุดยืนของตัวเองครับ

มีคนหลายคนเข้าใจผิดว่าผมชื่นชมท่านครับ บางคนถึงขั้นช่วยคิดให้ว่างานทุกอย่างที่เราทำนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก "งานเขียน" ของท่านทีเดียว

ผมเลยคิดว่าผมคงต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจนเสียที

และคงไม่มีเวลาไหนเหมาะสมที่จะแสดงได้ชัดที่สุดเท่ากับตอนที่ท่านมีอำนาจที่สุดอย่างในตอนนี้แล้วครับ

ผมเชื่อว่าบันทึกนี้คงสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้ที่ชื่นชมท่านอยู่ไม่มากก็น้อย แต่คนเราต่างใจต่างความคิดครับ และนี่คือข้อดีของ Freedom of Speech ครับ

"ท่าน" มีสิทธิ์เขียนวิจารณ์ใครต่อใครมากมายในหน้าหนึ่งของ "สื่อเก่า" (Old Media - Media 1.0) โดยผู้ที่ถูกท่านวิจารณ์นั้นไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง

วันนี้ "ท่าน" ถูกวิจารณ์ใน "สื่อใหม่" (New Media - Media 2.0) ที่มีต้นทุนเป็นศูนย์ ซึ่งถ้าบทวิจารณ์นี้โดนใจผู้อ่านก็จะถูกบอกต่อและส่งต่อไปโดยไม่มีต้นทุนจนมากพอที่จะกระทบถึงสถานะของ "ท่าน"

ถ้า "ท่าน" จะแย้งผมโดยการเขียนใน "สื่อเก่า" ข้อความนั้นก็จะไม่เข้ามาถึง "สื่อใหม่"

แต่ถ้า "ท่าน" จะแย้งผมโดยการเขียนใน "สื่อใหม่" สิทธิ์ในการเขียนของ "ท่าน" และผมเสมอกันครับ

สังเกตว่า "ท่าน" เป็น "เบอร์หนึ่ง" ใน "สื่อเก่า" แต่ใน "สื่อใหม่" นั้น "ท่าน" ไม่มีสิทธิ์เป็น "เบอร์หนึ่ง" โดยการตัดสินใจของ "นายทุน" อีกแล้วครับ

ใน "สื่อใหม่" นั้น "เบอร์หนึ่ง" ตัดสินใจโดยผู้รับสื่อทุกคน ("You" ตามคำนิยามของ Time Magazine) ครับ

In the New Media, nobody becomes somebody, and somebody becomes no one. 

บันทึกนี้เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ (incident) ของสงครามระหว่าง "สื่อใหม่" ต่อ "สื่อเก่า" ครับ

บางครั้งสิ่งที่เรามองก็อาจไม่ใช่อย่างที่เราเห็นได้

อย่างที่โบราณกล่าวไว้ว่า

สิบปากว่าไม่เท่ามือคลำ

สิบมือคลำไม่เท่ามองเห็น

สิบมองเห็นไม่เท่าสอบถามให้รู้แน่แก่ใจ

บังเอิญอาจจะเป็นโชคของผมก็ได้นะที่มีโอกาสได้รู้จักกับราษฏรอาวุโสบ้าง ผมบอกได้เลยมีบางอย่างที่เขียนคลาดเคลื่อนจากความจริง โดยเฉพาะเรื่องการแสวงหาอำนาจ ท่านอาจจะเป็นนักคิด นักวิจารณ์ แต่ไม่มีนิสัยยกตนข่มท่านแน่นอน และท่านไม่ใช่นักวางกลยุทธ์เพื่อตนเอง

บางที่คนที่เราคิดว่ารู้จัก อาจไม่ใช่เป็นคนที่อย่างที่เรารู้จักก็ได้นะครับ

     ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับคุณ ringo นะครับ ว่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในขณะนี้ หรือในอดีตเองก็ตาม เราเองก็ไม่ได้ต่างไปจากการเลือกฟังความข้างเดียว คือเลือกที่จะฟังความตามความต้องการของตัวเองที่อยากฟัง ใครพูดไม่เข้าหูก็ไม่อยากฟัง แล้วก็มาวิจารณ์ ซึ่งการวิจารณ์แบบบุคคลต่อบุคคล คงไม่แปลกมากนัก แต่การวิจารณ์ออกไปในวงกว้างโดยการใช้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นบล็อก หรือ webboard หรือสื่อใดก็ตาม เป็นเรื่องที่เป็นดาบสองคม และค่อนข้างอันตรายมาก

     ความที่เราไม่ได้รู้จักตัวบุคคล ว่าเขาเป็นอย่างไร เพียงแต่เราติดตามพฤติกรรมผ่านทางสื่อ ซึ่งเราก็รู้ว่าสื่อในบ้านเมืองเราขณะนี้ทรงอิทธิพลขนาดไหน สามารถชี้นกให้เป็นไม้ ชี้เทวทัตให้เป็นเทวดาได้ แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ข่าวใดๆที่ผ่านทางสื่อเหล่านั้นจะไม่ถูกบิดเบือนไปจากความเป็นจริง

     ผมไม่แน่ใจว่า ราษฎรอาวุโส ที่อาจารย์บอกว่า มีอยู่คนเดียว จะเป็นคนเดียวกันกับที่ผมเข้าใจหรือไม่ แม้ว่าผมจะแน่ใจมากกว่า 99% ก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอกครับ  สิ่งที่ผมอยากจะชี้ให้อาจารย์เห็นในบางจุดบ้างก็คือ หากการทำงานหรือไม่ทำงานของราษฎรอาวุโสท่านนั้น เป็นเพียงความฉลาดในการพูด และอยู่ในฝ่ายที่ได้รับประโยชน์จากการพูดโดยไม่ได้กระทำจริงแล้ว ก็น่าจะเป็นบุคคลไร้ค่าที่ไม่น่ายกย่อง การที่สื่อสารมวลชนในประเทศยกย่องคนเช่นนี้ ช่างเป็นการกระทำที่ไร้ค่าเป็นอย่างยิ่ง แต่ผมไม่ได้สนใจสื่อครับ เท่าที่ผมทราบ มีผู้ใหญ่หลายท่านที่ผมเคารพ ก็ให้ความนับถือจากการทำงานจริงของท่านเหล่านั้น ท่านเหล่านั้น ก็ให้ความเคารพนับถือ ราษฎรอาวุโสท่านนี้เป็นอย่างมาก ความเคารพนับถือนี้คงไม่ได้มีรากฐานมาจากการติดตามสื่อ แต่เป็นความเคารพในฐานะของผู้ที่ตั้งใจทำงานจริงคนหนึ่ง  ผมไม่เชื่อว่า ผุ้ใหญ่ที่ทำงานจริงและเติบโตมาบนสายงานของการทำงานจริง จะให้ความเคารพผู้ที่ไม่ทำงานและไม่เป็นคนดีจริงครับ 

     ผมคงไม่โต้แย้งกับอาจารย์ในเรื่องต่างๆที่อาจารย์เล่าสู่กันฟัง เพราะผมเองก็ไม่ได้รู้จริงว่าเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังนั้น ยังสะท้อนความเป็นจริง หรือถูกแต่งแต้มเติมสีลงไปเท่าใด ก่อนที่เราจะได้รับฟังมา นี่แหละครับ เป็นอันตรายจากสื่อสารมวลชนในบ้านเรา ที่สร้างให้คนเป็นเทวดาที่เกินจริง และทำลายคนดีให้จมดิน เพียงเพราะเหตุผลบางประการ.....น่าเศร้าครับ ผมยังรอดูวันที่จะปฏิรูปสื่อสารมวลชนในบ้านเราครับ โดยเฉพาะสื่อหนังสือพิมพ์และทีวี....จะมีมั้ยนะวันนั้น วันที่รอคอย

อาจารย์เขียนมานี่ผมงง อาจารย์ไม่ได้ตอบอะไรที่ผมถามคราวที่แล้วเลยผมถามเลย อาจารย์อยู่ดีๆก็ไปด่าเขาโดยไม่บอกเลยอาจารย์อ่านแล้วคิดเองทั้งนั้น

อาจารย์เคยทำงานกับท่านรึเปล่าครับ หรือว่ากับคนที่ใกล้ชิดท่าน ที่ผมยกตัวอย่างเที่ยวที่แล้ว เกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญ อาจารย์ก็บอกไม่เป็นการทำงาน เขียนบทความก็ไม่เป็น ผมงงว่าอะไรคือการทำงานครับอาจารย์บอกทีสิครับ ต้องให้ท่านไปทำอะไรครับ อาจารย์ทราบหรือเปล่าครับเวลาท่านส่งเรื่องไป หรือหนังสือพิมพ์ไปขอเรื่อง ท่านบอกรึเปล่ีาให้ลงหน้าหนึ่ง อาจารย์เขียนบทความตำหนิใครนี่ต้องชัดเจนนะครับ ยิ่ง่ใช้คำแรงๆลอยๆ นี่สื่อที่ดีไม่ทำกันนะครับ อาจารย์ย้ำเรื่องสือใหม่บ่อยมาก อาจารย์ควรเขียนให้เป็นตัวอย่างที่ดีด้วย  "เอาหน้า"นี่อาจารย์เอาหลักฐานมาจากไหน "็รักษาฐานอำนาจของตัวเองด้วยการเป็นกรรมการในหน่วยงานให้ทุนที่สำคัญต่างๆ ไว้ เพื่อให้นักวิชาการและคนทำงานเพื่อสังคม "ยกย่อง"ประโยคนี่เป็นการเขียนโดยไม่มีการแสดงเลยว่ามีหลักฐานอย่างไร  ถ้าผมเขียนแบบอาจารย์ ผมบอกอาจารย์นี่ความรู้กลวง แต่ชอบด่าคนดังจะได้ดังเร็ว มีคนสนใจ อย่างนี้อาจารย์จะว่าไงครับ ไม่มีเหตุผลมาดุ่ยๆเลย

ที่ผมถามคราวที่แล้ว อาจารย์ตอบผมสั้นๆ ให้ตรงประเด็นนะครับ ว่าอาจารย์เคยทำงานกับราษฏรอาวุโสนั่นหรือเปล่า หรือมีคนที่เคยทำงานกับท่านมาเล่าให้อาจารย์ฟังรึเปล่าครับ  อาจารย์หมอวิจารณ์ก็ได้ เพราะเคยทำงานกับท่านอยู่  ส่วนการอ่านประวัติท่านนะผมเชื่อว่าผมอ่านมาพอๆอาจารย์นะครับ

ผมก็เห็นท่านทำงานดีนี่ครับ ส่วนที่สรุปว่าการเขียนบทความไม่ถือเป็นการทำงานนี่ อาจารย์ก็เป็นนักวิชาการ อาจารย์คิดว่าควรทำอะไรดีครับ

คนเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ต่างกัน

ด้วยความสามารถต่างกัน

คนบางคนเกิดมาเพื่อ inspire ให้คนอื่นทำต่อ

เขาเรียกว่าวิบาก

ทุกอย่างเป็นเหตุ เป็นผล ที่ต่างคนต่างสร้างผูกพันกันมา

 เกื้อกูลหนุนส่งกันมา  มีเหตุให้ได้ช่วยเหลือกันอีก

ถ้าทั้งคนช่วย และคนถูกช่วย ต่างพึงพอใจ

ก็ไม่ใช่หน้าที่ของคนนอกที่จะต้องไปสงสัย วิจัย หรือ วิจารณ์

 เพราะเรื่องกรรม และ เหตุปัจจัย  ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ นอกจากพระพุทธเจ้า และเจ้าตัวเอง (ถ้าได้ปฏิบัติถึงขั้นที่จะรู้ได้)

 

ความไม่พอใจใด ๆ ที่เกิดขึ้นในใจของมนุษย์แต่ละคน  เกิดจากอุปาทานขันธ์แค่นั้น  คนที่ฝึกจิตแล้ว  ก็จะรู้ว่า  แท้จริงไม่มีสัตว์ ตัวตน บุคคล เรา หรือ เขา ล้วนมีแต่สิ่งสมมติ   มีแต่รูปกับนาม  ที่หมุนไปด้วยเหตุของกุศลหรืออกุศล

 

เชื่อจากการอ่านบทความของ "ราษฎรอาวุโส" ท่านนั้นว่า  ท่านเองก็เข้าใจในเรื่องนี้  ดังนั้น  ท่านจึงพยายามหมุนทุกโอกาสในปัจจุบันขณะเป็นกุศล  โดยไม่ยึดติดในสิ่งใดสิ่งหนึ่งรวมทั้งเสียงครหา 

 

ส่วนความไม่พอใจ  เกิดจากกิเลสตัวโทสะและโมหะประกอบกัน เป็นจิตอกุศลทั้งคู่  ก็คงตกอยู่กับผู้ที่คิดต่อไปในทุก ๆ ขณะจิตที่หวนคิดเรื่องนั้นเองอย่างช่วยไม่ได้

 

ความแตกต่างของจิตที่ฝึกแล้ว  กับจิตที่ไม่ได้ฝึก  อยู่ที่นี่เอง

 

ชีวิตคนเรานั้นเลือกได้  ว่าจะเลือกอยู่อย่างผู้ที่ได้ฝึกการเจริญสติให้รู้เท่าทันสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบกายใจตามความเป็นจริงแล้วหรือไม่ ก็เท่านั้นเอง  

 

 

ผมขอแปะการตอบท่านอื่นไว้ก่อนนะครับ แต่ขอตอบคุณ "รูปกับนาม" นิดเดียวครับ

ที่คุณว่า "คนบางคนเกิดมาเพื่อ inspire ให้คนอื่นทำต่อ" นั้น ผมเชื่อว่าคนพวกนี้ศาสนาหลายศาสนาไม่สนับสนุนครับ

สังเกตว่าผู้นำศาสนาทุกศาสนาคือ "ผู้ปฎิบัติจริง" ทั้งนั้นครับ

เราต้องปกป้องเยาวชนรุ่นหลังให้มี "สติ" เท่าทันและเลือก "การปฎิบัติจริง" อยู่เหนือ "การครอบงำ" ครับ

หมายเหตุ ผมไม่ได้ใส่ "ศัพท์พระ" สวยๆ เพราะผมอยากให้ความเห็นนี้มีความเป็นกลางทางศาสนา คงไม่ว่ากันนะครับ

คุณชลัทครับ คุณพยายามให้ผมเขียนว่าผมไปเจอว่า "ราษฎรอาวุโส" ทำงานอะไรบ้างดีไม่ดีอย่างไร แล้วเรื่องอะไรผมไม่พอใจ แต่ผมยืนยันว่าผมช่วยคุณโฆษณาบุคคลนี้ทางอ้อมอย่างที่คุณต้องการไม่ได้จริงๆ

และผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วล่ะว่าคุณทำงานกับ "สื่อเก่า" อยู่หรือเปล่าครับ

"ราษฎรอาวุโส" ทำตัวเป็นบุคคลสาธารณะครับ ดังนั้นเขาต้องรับกรรมที่จะถูกวิจารณ์อย่างบุคคลสาธารณะด้วย เหมือนที่เขาเองก็วิจารณ์บุคคลสาธารณะอื่นๆ ในประเทศไทย โดยอยู่บนพื้นฐานของความคิดตัวเองเหมือนกัน

ผมไม่เคยทำงานกับบุคคลนี้ครับ และจากที่ติดตามการทำงานของบุคคลนี้ผ่านสื่อสาธารณะแล้ว ผมไม่คิดว่าผมจะยอมทำงานด้วยครับ กี่ล้านผมก็ไม่เอาครับ

ผมชอบความคิดเห็นของคุณ Mitochondria มากครับ ถ้าคุณชลัทอ่านความเห็นของคุณไมโตแล้ว คุณชลััทน่าจะได้คำตอบสิ่งที่คุณถามผมนะครับ เรื่องนี้คือเรื่อง "สื่อ" ชนกับ "สื่อ" ครับ

"ราษฎรอาวุโส" อาจจะมีบุคคลิกส่วนตัวที่ดีก็ได้ ผมไม่ทราบ แต่เรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ครับ เหมือนดาราตัวโกงอาจเป็นคนดีมากในชีวิตจริงเราก็เคยเห็นกันอยู่

ที่จริงแล้ว ผมเองก็ค่อนข้างเชื่อว่าเขาเป็นบุคคลที่ดีทีเดียวในส่วนตัวแล้ว 

แต่ในฐานะที่เขาเป็นเครื่องมือของ "สื่อเก่า" และเป็น "ดารา" ของ "สื่อเก่า" เขาคือเป้าหมายที่จะต้องถูก "ทำลาย" ใน "สื่อใหม่" ครับ

เพราะถ้ายอมให้ "ดารา" ของ "สื่อเก่า" มามีอำนาจโน้มน้าวใน "สื่อใหม่" อีก ก็เท่ากับยอมเปิดประตูให้ "สื่อเก่า" มาครอบงำ "สื่อใหม่" และเท่ากับยอมให้การโน้มน้าวในการตัดสินใจถูกผิดอยู่ในมือคนไม่กี่คนเหมือนเดิม

ถ้ายอมอย่างนั้นแล้วเมื่อไหร่ความเห็นของ "พ่อเฒ่าเขียม" แห่ง "หาดทุ่งวัวแล่น" หรือ "ปู่เกียบ" แห่ง "ดอยมะขามป้อม" จะได้รับการสนใจ

แล้วเมื่อไหร่ "ดาโต๊ะมะปอซี" จะได้เป็นกรรมการพิจารณาทุนสิบล้านร้อยล้านละครับ 

เพื่อพัฒนาการของสื่อมวลชนในประเทศไทย "ดารา" ของ "สื่อเก่า" ต้องถูก "ทำลาย" ครับ

เราต้องการ "ดารา" ของ "สื่อใหม่" ที่โด่งดังขึ้นมาเพราะตัวเขาเองครับ

ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนจะต้องกลับมาคิดพิจารณาใหม่ถึง "ที่มาที่ไป" ของ "ราษฎรอาวุโส" ที่แต่งตั้งโดย "สื่อเก่า" ครับ

ผมไม่ได้บอกว่าต้องคิดในแง่ร้ายเหมือนผมนะครับ คิดในแง่ใดก็ได้ แต่อย่าลืมว่าจากนี้ไปบุคคลนี้ไม่ใช่ "ดารา" อีกต่อไป เขาคือ "บุคคลธรรมดา" ครับ

คิดว่าเจ้าของบล๊อกหลงประเด็นไปมาก

 

ประเด็นที่มาเขียนบอกมีแค่ว่า

 

กรรมนั้นอยู่ที่เจตนา

 

ถ้าเจตนาเป็นกุศล ทุกสิ่งที่ทำ ทุกคำที่พูด ทุกสูตรที่คิด ทุกจิตวิญญาณที่สัมผัส ย่อมเป็นกุศล  

 

สิ่งที่ "ราษฎร" อาวุโส เคยได้สร้างวิบากผูกพันกันมากับผู้ที่ได้ "ร่วมงาน"  ไม่ว่าคำว่า "งาน" จะถูกนิยามโดยความหมายใดในสมมติทางโลก  ก็ย่อมเป็นวิบากที่เขาต่างสร้างกันมาเอง

 

มนุษย์นั้น ถนัดที่จะไปตีความ "เจตนา" ของผู้อื่น  หากแต่ไม่เห็นธรรมชาติที่แท้จริงของใจตนเอง  หรือแม้นแต่ของความสัมพันธ์ของธรรมชาติอย่างที่มันเป็น

 

ดังนั้น สิ่งที่ตั้งใจจะมาเขียนบอก  ก็คือ  สิ่งใดที่เจ้าของบล๊อกมองเห็นในโลกนี้  ก็เพียงให้มอง กำหนดรู้ แบบ "สักแต่ว่า" แล้วก็ปล่อยวางเสีย

 

หากมีสิ่งใดที่ผู้อื่นทำด้วย อกุศลเจตนา  อย่างที่เจ้าของบล๊อกหมายมั่นปั้นมือจะให้เป็นเช่นนั้นแล้วไซร้  กรรมย่อมทำหน้าที่ของมันเองอย่างไม่ต้องสงสัย

 

อีกทั้งตอนนี้เจ้าของบล๊อกก็เกิดทั้งโมหะ และ โทสะครอบงำจนมองข้ามความเป็นจริงบางอย่าง

 

ระดับความลึกซึ้งและความเข้าใจในความเป็นจริงของธรรมชาติอย่างที่มันเป็นของ "ราษฎรอาวุโส" นั้น  ถ้าไม่ได้มาจากกระบวนการ "ปฏิบัติจริง" มาก่อนจากภายในตนในระดับปัจเจก  ย่อมไม่สามารถนำมาเสนอเป็นแนวทางให้ผู้อื่นนำไปประพฤติปฏิบัติต่อ  และมีอีกหลายคนนำไปปฏิบัติต่อได้

 

แม้นแต่พระพุทธเจ้า ยังเคยทรงตรัสว่า ตถาคตทรงเป็นเพียง "ผู้บอกทาง"

 

เข้าใจว่า  ผู้เขียนบล๊อกมีความยึดมั่นถือมั่นบางอย่างกับคำว่า "คนทำงาน"  ว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนั้น

 

หากมีผู้ใดมีลักษณะไม่ตรงตามนั้น  ผู้เขียนบล๊อกก็จะปฏิเสธ  และเกิดความไม่พอใจ

 

การไปยึดมั่นถือมั่น ว่าสิ่งใดต้องเที่ยง ต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป  รังแต่จะนำความทุกข์ใจมาแต่ให้ผู้ยึดมั่นถือมั่นนั้นเอง  มิใช่หรือ?

 

ลองมองไปรอบตัว  คนที่ออกมาเรียกร้อง แสดงความไม่พึงพอใจต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว  มักจะเป็นพวกที่มีแต่ความ "คาดหวัง"  ว่าสิ่งนั้น "ต้อง" เป็นอย่างนี้  สิ่งนี้ "ต้อง" เป็นอย่างนั้น  มิใช่หรือ

 

ไม่ลองมองไปที่คนที่เขา "เข้าใจ" ว่าทำไมทุก ๆ สิ่งมันจึงเป็นอย่างนั้น เป็นเช่นนี้ดูบ้างเล่า

 

คนที่เขา "เข้าใจ" แล้ว  มันมีทุกอย่างแล้วในชีวิตจริง ๆ นะ

 

คำตอบก็มี

 

ความไม่เดือดร้อนใจก็มี

 

ต่างกับคนที่วุ่นวายร้อนใจคอยต้องหาคำตอบ  คอยหาวิธี  คอยถามคนนู้นคนนี้  คอยวิเคราะห์ วิจารณ์ วิจัย คอยหาที่พึ่งนอกตัวนัก?

 

ส่วนตัวไม่ได้สนผลประเด็นของราษฎรอาวุโส หรือ ประเด็นสื่อเก่า สื่อเก่า อะไร เท่ากับแนวคิดของเจ้าของบล๊อก ที่คิดว่าได้รับความเคารพนับถือในชุมชน "แห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้" ของประเทศไทยแห่งนี้

 

เพราะถ้า "จะปกป้องคนรุ่นหลัง" จาก "การครอบงำ" ตามที่เจ้าของบล๊อกร่ายมาให้ได้  ก่อนอื่นเจ้าของบล๊อกต้องรู้วิธีฝึกใจให้ไม่กระเทือนเมื่อมีสิ่งใดมากระทบเสียก่อน

 

โดนครอบงำจากทั้งโมหะ และ โทสะ ไปกี่แสนโกฏิขณะจิตแล้วนั่น  พระพุทธเจ้าบอกว่าเอานิ้วมือมาลัดกันหนึ่งที คือดีดนิ้วหนึ่งเปาะนี่แหละ  จิตทำงานไปแล้วแสนโกฏิขณะ

 

และทุกขณะที่ไม่ได้มีตัวสัมมาสติไปกำกับรู้ เจ้าสองตัวนั้น  ก็ต่อไปแล้วเรียบร้อย อีก ๗ ภพ ๗ ชาติ  กับคนที่เจ้าของบล๊อกอาฆาตเขานั่นแหละ

 

เหตุเก่าก็ยังไม่รู้  แถมเหตุใหม่ก็ยังเพียรสร้าง  อย่างนี้ต้องใช้เครื่องคิดเลขคอมพิวเตอร์คำนวณแล้วกระมังว่าต้องมาตามเกิดแล้วเกิดอีกด้วยจิตโมหะและโทสะนี้อีกกี่แสนโกฎิชาติ

 

ถ้าผู้เขียนบล๊อก  สามารถกำหนดรู้ ความรู้สึกผิดหวัง ไม่พอใจ หรือสารพัดความรู้สึกเมื่อมีสิ่งใดมากระทบได้  แล้วเข้าใจธรรมชาติอย่างที่มันเป็น  ก็จะมีคุณลักษณะที่เหมาะสมกับการงานเป็นครูบาอาจารย์ทีตัวเองทำอยู่เพิ่มขึ้นอีกมาก  นั่นก็คือ  พรหมวิหาร ๔  นั่นเอง  เพราะอย่าว่าแต่อุเบกขาเลย  แม้นแต่จิตเมตตาให้อภัยต่อเพื่อนมนุษย์ก็ยังไม่มี  คนมักโกรธนั้น  ท่านมักให้เจริญเมตตาแก้   แต่กรณีนี้สงสัยต้องแนะนำให้ไปฝึกการเจริญสติก่อนเป็นปฐม  จึงจะเอาอยู่

อืมม... ขอบคุณสำหรับความหวังดีครับ แต่ต้องขอเรียนก่อนว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวครับ เป็นการทำงานครับ

นอกจากผมมีหน้าที่สร้างสิ่งที่ผมเรียกว่า "สื่อใหม่" แล้ว ผมยังมีหน้าที่ "ทำลาย" สิ่งที่ผมเรียกว่า "สื่อเก่า" ด้วยโดยเอาความจริงมาเผยแพร่ เอามุมมองที่คนอื่นไม่กล้ามองมาจุดประกายเริ่มต้นครับ

ดังนั้นคงจะเห็นมุมมองในลักษณะนี้จากผมอีกต่อไปเรื่อยๆ ครับ

โดยเฉพาะ "ดารา" ที่ "สื่อเก่า" สร้างมานั้น พวกนี้เป็นเป้าสำคัญยิ่ง จะปล่อยให้มาลอยนวลโน้มน้าวผู้คนใน "สื่อใหม่" ไม่ได้

เพราะ "ดารา" เหล่านี้คือ "หัวหมู่ทะลวงฟัน" ของ "สื่อเก่า" ครับ

เรื่องงานล้วนๆ ครับ ไม่ต้องกังวล 

แต่ในเชิงส่วนตัวระหว่างคุณ "นามรูป" กับผมแล้ว ถ้าคุณ "นามรูป" ทราบว่าผมนับถือศาสนาอะไรนี่จะทำให้คุณ "นามรูป" เสียความตั้งใจไหมครับ?
 ;-)

ผมบังเอญผ่านมา สนใจชื่อกระทู้ อยากทราบที่ไปที่มา แต่พออ่าน content ก็ตกใจ และสับสน
1. ตกใจที่ gotoknown สนับสนุนโดย สคส. มีการนำเสนอบทความแบบนี้ด้วยเหรอ! แค่ "มีทัศนคติที่ไม่ดีกับราษฎรอาวุโส" แล้วทำอย่างนี้ .....
2. ผมอ่านแล้วทำให้นึกถึงธรรมเนียมไทยๆ ที่บอกว่า"ยังเป็นเด็กอยู่ไม่ควรแสดงความคิดเห็น" คงหมายถึงถ้าไม่รู้จริงในเรื่องนั้นๆ ควรจะอยู่เฉย ไม่เช่นนั้น ทำเกิดความเสียหายได้
3. เด็กสมัยนี้โดยเฉพาะ"หัวนอก"ทั้งหลาย มักจะอ้างว่า ประเทศที่เจริญแล้ว เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้กัน เช่น สามารถแสดงออกได้เสรี แต่มักจะลืมนึกไปว่า การพัฒนาการ ด้านต่างๆ แตกต่างกันมาก ความรู้สึกรับผิดชอบชั่วดี ต่อผู้อื่นและสังคม และระดับการควบคุมอารมย์ ที่ต่างกัน อ่านกระทู้นี้แล้ว คงอีนานที่คนของเราจะทำอย่างเขาได้ ถ้าการพัฒนาด้านความคิดและการแสดงออกยังเป็นแบบนี้
4. หวังว่าคนรุ่นใหม่กว่าไม่โดนเสี้ยมสอนให้มีพฤติกรรมตามอย่างเจ้าของกระทู้ อดเป็นห่วงไม่ได้

ขอบคุณคุณ "เป็นห่วง" สำหรับการแสดงความคิดเห็นครับ โดยเฉพาะข้อแรกน่าสนใจอย่างยิ่ง

"ตกใจที่ gotoknow สนับสนุนโดย สคส. มีการนำเสนอบทความแบบนี้ด้วยเหรอ!"

แค่ข้อนี้ข้อเดียวก็ตีความได้หลากหลายทีเดียวแล้วครับ (ส่วนข้ออื่นๆ ก็อยู่ภายใต้ความหมายของข้อแรก)

จุดสะท้อนจากการแสดงความเห็นของคุณ "เป็นห่วง" จะตรงประเด็นที่ผมอยากนำเสนอเป็นอย่างยิ่งครับ

เฮ้อ! ผมว่าอาจารย์น่าจะอ่านเรื่องการปฏิวัติสื่อให้แตกก่อนนะครับ รวมถึงการจับประเด็นด้วย กระทู้อะไรก็แล้วแต่อาจารย์ไม่เคยจับประเด็นได้เลย  อาจารย์ด่าเขาแล้วบอกว่าไม่บอกว่าด่าทำไมเพราะจะโฆษณาให้เขา ผมก็ต้องทำใจแล้วครับ เรื่องสื่อเก่าสื่อใหม่นี่อาจารย์อ่านมาแล้วก็ผสมกันมั่วไปหมด

เวลาอ่านอะไรของอาจารย์ทุกประโยค คนอ่านต้องใส่กุญแจคำว่า "ดร.ธวัชชัยคิดว่า" ทุกประโยคจะทำให้คนที่ ไม่ได้ฝึกเรื่อง critical thinking ไม่ไปคิดว่าเป็นข้อเท็จจริงอย่าง สังเกตว่าผู้นำศาสนาทุกศาสนาคือ "ผู้ปฎิบัติจริง" ทั้งนั้นครับ อันนี้ก็อาจารย์สังเกตเอง คิดเองมั้งครับ ถ้าอาจารย์จะได้ศึกษาสักนิด ไม่คิดเองอาจารย์จะทราบว่าคุณูปการของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ประการหนึ่งคือ การเป็นแรงบรรดาลใจ หรือ Inspiration ให้กับคนทั่วไปว่ามรรคผลนี้มีจริง คนธรรมดาสามารถปฏิบัติเพื่อเข้าถึงมรรคผลได้จริง ผู้คนทั่วไปจะได้มีกำลังในการทำดีปฏิบัติชอบ แม้พระอรหันต์นั้นจะไม่ได้ทำอะไรเลยก็ได้

คนทำงานด้านสังคม ผู้พิพากษา ข้าราชการ หลายคนที่เมืองไทยที่ผมรู้จัก เล่าให้ฟังว่าที่มีกำลังทำงานเพราะราษฏรอาวุโสท่านี้ หรือผู้อาวุโสอื่นๆ ผมยกให้สุดขั้วก็ได้ ผู้พิพากษาท่านหนึ่งเล่าว่าท่านมีกำลังใจทำงานเต็มที่เพราะ

ผพิพากษาู้อาวุโส (ที่ไม่ใช่ราษฏรท่านนั้น) ที่นอนป่วยทำอะไรไม่ได้แล้วท่านหนึ่ง เรียกชวนท่านไปคุยเพราะท่านมีแนวคิดจะเล่าให้ฟัง 

ปราชญ์ชาวบ้านหลายคน คนเล็กคนน้อย(ซึ่งอาจรวมชื่อที่อาจารย์เอ่ยด้วย) ที่มีโอกาสเป็นที่สนใจของสื่อ มีคนไปหา มีโอกาสพูดจาให้ความรู้แก่คนทั่วไป  ก็เนื่องจากราษฏรอาวุโสท่านนี้เป็นส่วนริเริ่มผลักดัน

เรื่องอะไรที่อาจารย์ไม่รู้ รู้ครึ่งๆกลางๆ อาจารย์พูดแสดงความเห็นด้วยท่าทีอ่อนน้อม ก็จะนำไปสู่การเรียนรู้แลกเปลี่ยน และทำให้รู้มากขึ้น นะครับ

ส่วนคุณ"เป็นห่วง" อย่าตกใจไปครับผมรู้จัก พูดคุยกับนักเรียนทุนที่เรียนต่างประเทศแต่เล็กๆ หลายคน ส่วนใหญ่เข้าใจ

ตะวันตกทะลุ เขาแยกแยะเรื่องต่างๆได้ดีครับ

ที่เป็นปัญหาส่วนใหญ่เป็นแบบเรียนต่างประเทศ แต่ไม่ได้อยู่ต่างประเทศมากกว่า แบบรู้ฝรั่งนิด รู้ไทยหน่อยมากกว่าที่เป็นปัญหา

ผมเองก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับราษฏรอาวุโสท่านั้น ไม่ได้กลัวจะไม่ได้ทุนจากหน่วยงานที่ท่านเป็นกรรมการด้วย เพราะไม่มีเรื่องอะไรจะต้องไปขอ แต่ผมเห็นว่าอาจารย์เขียนอะไรด้านเดียวเกินไป เท่านั้นแหละครับ

เฮ้อ.... โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง ใช่แล้วครับ ที่นี่คือที่ "ธวัชชัยคิดว่า" ครับ

บังเอิญผมมีความคิดเห็นเป็นของตัวเองแล้วไม่ต้องรอ approve จากใครก่อนนะครับ ถ้าอยากอ่าน blog ที่ชอบ "ท่าน" จริงๆ นั้น คงต้องไปหาอ่านที่อื่นนะครับ

และผมหมดแรงตอบความเห็นพวกคุณจริงๆ พอไม่รู้จะยกเหตุผลยังไงมาแย้งผมก็ไปจบเรื่องผมมันนักเรียนนอกครึ่งๆ กลางๆ ทุกที

ผมมันคนบ้านนอกที่จบเมืองนอกในมหาวิทยาลัยที่อยู่ในเมืองชุมชนคนรายได้ต่ำครับ (จริงๆ ผมเล่าเรื่องนี้ออกบ่อยด้วยความภาคภูมิใจว่าตัวเองเกิด โต และเรียน อย่างคนชั้นล่างของสังคม) ดังนั้นผมรู้ตัวอยู่ครับว่าไม่ได้ศิวิไลซ์เหมือนพวกท่าน

และตลกดี ไม่เห็นมีใครว่าผมเป็นคนบ้านนอกสักคน โดยทั่วไปถ้าผมไม่ใส่ระดับการศึกษาและแสดงความคิดเห็นที่ต่อต้าน "ท่าน" อย่างนี้ มักจะมีคนด่าว่า "พวกบ้านนอกครึ่งๆ กลางๆ" (ได้มาอยู่เมืองหลวงแล้วทำรู้ดี) แต่เวลาใส่การศึกษาก็จะด่าว่า "หัวนอกครึ่งๆ กลางๆ" ด้วยเหตุผลในการด่าเดียวกัน

ตกลงว่าทั้งหัวนอกและบ้านนอกนี่ ถ้าคิดไม่เหมือน "ท่าน" ถือว่าใช้ไม่ได้สำหรับกลุ่มพวกท่านนั่นเอง เพราะถือว่าเป็นพวก "รู้น้อย" ทั้งคู่

เออ แปลกดี 

แต่ถ้าคิดเหมือน "ท่าน" ถือว่าใช้ได้ทันที ไม่ว่าจะหัวนอกหรือบ้านนอก ตลกจริงๆ

ผู้อ่านทุกท่านครับ ถ้าสังเกตดีๆ จนมาถึงตอนนี้แล้ว จะพบว่าผู้มาปกป้อง "ราษฎรอาวุโส" นั้น ทุกคนปกป้องสิทธิ์ที่ "ราษฎรอาวุโส" จะ "inspire" อย่างเดียวแต่ไม่ต้องทำงานอย่างอื่นครับ

แสดงว่าทุกคนไม่ว่าจะชอบท่านหรือไม่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า "ราษฎรอาวุโส" ไม่ทำงานเอาแต่พูดอย่างเดียว

ขอบคุณที่ร่วมกับ vote เป็นเสียงเดียวกันครับ

ในความคิดผม (เน้น... ในความคิดผม) แล้ว บุคคลเยี่ยงนี้ไม่ควรเอาเป็นตัวอย่างครับ

ท่านผู้อ่านผ่านมาเจอทั้งหลายครับ โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษา ในความคิดผม (เน้น... ในความคิดผม) บุคคลที่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างต้องมีคุณสมบัติครบสองประการคือ

หนึ่ง เป็นผู้ทำงานจริง มีประสบการณ์จริง ไม่ว่าจะทำงานนั้นประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ตาม (นั่นคือ ผู้ล้มเหลวหรือผิดพลาดแต่มีความตั้งใจที่จะทำงานจริง ก็ถือว่าอยู่ในข้อนี้)

สอง ใช้ประสบการณ์และความคิดที่เกิดจากการทำงานจริงนั้น ถ่ายทอดและ inspire ให้แก่บุคคลอื่นๆ

สองข้อนี้ถือว่าเป็นหัวใจของ "คนทำงาน" ที่ควรยกย่อง 

อย่างไรก็ตามบุคคลที่มีเพียงข้อหนึ่งอย่างเดียวนั้นก็ยังถือว่ายกย่องได้ แต่บุคคลที่ไม่มีข้อหนึ่งนั้น อย่างไรก็ไม่ควรยกย่องครับ 

ผมเหนื่อยเหมือนกัน คงไม่เขียนแล้วละครับ

เพราะอาจารย์เป็นคนอ่านอะไรแล้ว  จับประเด็นไม่ค่อยได้ตีความตามความคิดอาจารย์หมด

แสดงว่าทุกคนไม่ว่าจะชอบท่านหรือไม่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า "ราษฎรอาวุโส" ไม่ทำงานเอาแต่พูดอย่างเดียว

ขอบคุณที่ร่วมกับ vote เป็นเสียงเดียวกันครับ

 ผมบอกตรงไหนครับว่า ท่านควรเป็นแรงบรรดาลใจอย่างเดียว ผมยกให้อาจารย์ฟังว่าการเป็นแรงบรรดาลใจไม่ใช่เรื่องผิด เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับข้อความของอาจารย์ก่อนหน้า

ผมบอกมาตลอดว่าท่านทำงาน (คนลืมไปแล้วด้วยว่าท่านได้แม็กไซไซ สาขาบริการรัฐกิจก่อนจะแก่จนอาวุโส) ผมขอให้อาจารย์ยกเหตุผลที่อาจารย์ว่าท่านไม่ทำงาน อาจารย์บอกไม่พูดเพราะไม่อยากโฆษณาให้ท่าน เวลาอาจารย์บอกว่าคนนี้ไม่ดีอย่างไรเขาจะเรียกโฆษณาหรือครับ

เป็นแต่การประนามซึ่งก็ควรจะทำเพราะอาจารย์ว่าท่านว่าเป็นเป้าที่จะปล่อยให้ลอยนวลไม่ได

ด้วยความเคารพอาจารย์อาจจะเก่งด้านคอมพิวเตอร์ แต่เรื่องอย่างนี้อาจารย์ควรนอบน้อมกว่านี้อย่างที่ผมว่าไปแล้ว

(ต่อจากเมื่อกี้ที่ยังเขียนไม่จบนะครับ) ที่ผมว่าเรื่องครึ่งๆกลางๆ ฝรั่งนิด ไทยหน่อย นั่นก็ตั้งใจนะครับให้แรง ผมอยากให้อาจารย์ทราบว่าเวลาเขียนแบบไม่ต้องใส่เหตุผลนี่

อาจารย์คิดว่าไงครับ เหมือนที่ราษฏรอาวุโสท่านนั้นไม่ถูกใจอาจารย์

อาจารย์ก็บอกว่า กลวง เอาหน้า เพ้อเจ้อ  โดยไม่ต้องใส่เหตุผลด้วย  ไม่ต้องว่าท่านเป็นราษฏรอาวุโสที่คนบางกลุ่มเคารพหรอกครับ ด่าคนแ่ก่อายุขนาดท่านผมว่าต้องมีที่มาที่ไปนะครับ จะเอาอารมณ์ตัวเองมาเขียนลอยๆ แล้วพอคนขอให้อธิบายอาจารย์ก็ตอบไม่ตรง อย่างที่ผมพูดไปแล้ว คิดด้วยมาตรฐานแบบคนเดินดินนี่แหละครับ ไปต้องคนบ้านนอก คนเมืองนอก ด้วยวิจารณญานของคนสามัญหรือที่ภาษากฏหมายเรียกว่าวิญญูชน นี่แหละอาจารย์ว่าที่อาจาย์เขียนมา

ถูกเหรอครับ ผมว่าอาจารย์ลองตรองดูนะ

 

   ผมรู้จักราษฏรอาวุโสท่านนี้โดยหน้าที่การงานและผลงานของท่าน ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ของท่านโดยลงมือทำมาตลอด จนเป็นที่ยอมรับในสังคมไทย ทั้งแนวคิดและการปฏิบัติตน เป็นตัวอย่างที่น่ายกย่อง และเอาอย่าง  สังคมไทยเป็นสังคมที่รับรู้ข้อมูลผ่านการกระทำ และการแสดงออก บนพื้นฐานข้อมูลข่าวสารที่ตรวจสอบได้ จนเห็นพ้องกันในเกือบทุกวงการ ว่าประสบการณ์ของท่าน มีประโยชน์ นำมาถ่ายทอดและชี้แนะทางสังคมได้ จนดูเหมือนเป็นคนดัง คนของสังคม ปรากฏตามสื่อต่างๆ หรือแม้แต่การได้รับเชิญให้เป็นที่ปรึกษาในองค์กรที่เอื้อประโยชน์ ในปัจจัยต่างๆ จนบางครั้งไปขัดหูขัดตากับการได้มาซึ่งประโยชน์ที่อาจไม่สมควร ของใครบางคน แล้วมากล่าวโทษ โดยขาดสติ บนสื่อในรูปแบบนี้ เท่ากับเป็นการหมิ่นคนไทยหัวขาวหัวดำอย่างรุนแรง คำว่า'ขอโทษ" ของเจ้าของบล็อกคงไม่มีใครต้องการเท่ากับการที่เจ้าของบล็อกกลับไปใช้สติในการพิจารณาตัวตนและการกระทำของตนเอง ว่าอยู่ในระดับใด แล้วหาแนวทางแก้ไข ให้เป็นแบบอย่างที่ดีต่อนักศึกษาต่อไป

   ทำในสิ่งที่ตนเองถนัดและรู้จริง ให้เป็นที่ประจักษ์แล้วสังคมที่ดีอย่างสังคมไทย จะให้เกีรติและยกย่องท่านเอง

   หรือที่ท่านทำอยู่นี่"มันกลวง" ผมคนหนึ่งที่คิดอย่างนี้  พิสูจน์ซิ บอกกล่าวให้สังคมรับรู้บ้างว่าท่านใช้งบประมาณเท่าไร การดำเนินการมีขั้นมีตอนอย่างไร ผลประโยชน์ที่ได้รับในระยะสั้นและยาวเป็นอย่างไร ค้มทุนหรือไม่ ทำให้สังคมได้รับรู้ ในฐานะ"สื่อใหม่'

   ผมไม่อยากได้ยินคำว่า "มันเป็นการลงทุน ที่คุ้มค่า ประเมิณผลงานไม่ได้ ต้องรออีก10-20ปี จึงจะเห็นผล" ซึ่งคำกล่าวนี้ไม่ต่างอะไรกับการพูดถึงสิ่งไม่มีอยู่จริง

เรื่องการทำงานของผมนั้น ขอให้ติดตามโดยตลอดนะครับ เดี๋ยวจะเปิดเผยข้อมูลแล้วครับ สัญญาครบสองปีแล้วครับ

ผมพึ่งกลับจากเดินทางครับ เพลียหน่อยๆ ขี้เกียจตอบความเห็นของคุณแล้ววันนี้ เดี๋ยวว่างๆ ผมค่อยมาตอบนะครับ

เรียนอาจารย์ธวัชชัย

พยายามอ่านและจับใจความจากคำตอบของอาจารย์และท่านอื่นๆ มีจุดหนึ่งที่หนูสนใจ อยากรบกวนถามอาจารย์นิดหนึ่งค่ะ

อ้างถึงคำตอบของอาจารย์ข้างบน ซึ่งอาจารย์บอกว่า เป็นเรื่องของการทำงานล้วนๆ ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะนอกจากอาจารย์รับงานมามีหน้าที่สร้างสื่อใหม่แล้ว ยังมีหน้าที่ทำลายสิ่งอาจารย์ที่เรียกว่าสื่อเก่าอีกด้วย ดังนั้นจึงต้องทำลาย (ชื่อเสียง??) ราษฎรอาวุโสท่านนั้น ซึ่งอาจารย์คิดว่าเป็นตัวละคร หรือเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันของสื่อเก่า

ใช่หรือเปล่าคะ ไม่รู้เหมือนกันว่าจับประเด็นของอาจารย์ถูกต้องหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นก็แสดงว่า สิ่งที่อาจารย์ทำอยู่นี้เป็นจุดมุ่งหมายของแหล่งทุนที่สนับสนุนการทำงานชิ้นนี้หรือเปล่าคะ

การทำงานในเชิงลบทั้งหมดผมคิดเองครับ ผมทำเกินคำสั่งครับ ;-)

ราษฎรอาวุโส นั้นได้มาจากการยอมรับโดย ประชาชน ส่วนใหญ่นะครับ ถ้าไม่ดีจริง คงไม่ได้มาเป็นหรอกครับ ต้องศึกษาข้อมูลดีๆก่อนจะวิจารณ์นะครับ .

คนความรู้น้อยเรียนไม่ค่อยสูง

คือผมเข้ามาอ่านเพราะกำลังสงสัยเรื่องคำว่าราษฎรอาวุโสมีที่มาอย่างไร พออ่านไปสักพักก็เริ่มงงครับ คือผมไม่ได้ชอบหรือไม่ชอบอะไรกับใคร แต่เท่าที่อ่านผมสับสนกับเจ้าของบล็อคว่าต้องการสื่อถึงอะไร ระหว่างแค่การแสดงความเห็นส่วนตัว หรือการสร้างสื่อใหม่อย่างที่เจ้าของบล็อคพูดมาตลอด

จากข้อความที่ว่า " บังเอิญผมมีความคิดเห็นเป็นของตัวเองแล้วไม่ต้องรอ approve จากใครก่อนนะครับ ถ้าอยากอ่าน blog ที่ชอบ "ท่าน" จริงๆ นั้น คงต้องไปหาอ่านที่อื่นนะครับ "

1.ถ้าเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวแล้วรู้สึกอย่างที่ท่านพิมพ์บอกว่า ถ้าอยากอ่าน blog ที่ชอบ "ท่าน" จริงๆ นั้น คงต้องไปหาอ่านที่อื่นนะครับ ก็กรุณาเขียนบอกไว้ที่หัวเรื่องดีกว่าครับจะได้ไม่มีปัญหาไงครับ

2.ถ้าเป็นเรื่องหน้าที่ในการสร้างสื่อใหม่(ที่ท่านอ้างถึง)ผมเองไม่ค่อยมีความรู้เรื่องสื่อเก่าสื่อใหม่อะไรนัก ต้องขอโทษจริง แต่อ่านจากข้อความของท่านแล้วสื่อใหม่นี่คงหมายถึงว่าถ้าความคิดเห็น(ที่ท่านเน้น...มาตลอดว่าเป็นแค่ความคิดเห็นของท่าน)ไม่ตรงกันก็ไม่ต้องเข้ามาอ่าน ให้ไปอ่านที่อื่นอย่างนั้นหรือ นีหรือคือสื่อใหม่ที่ท่านพยายามทำหน้าที่สร้างอยู่ สื่อที่มีความคิดเห็นไปในด้านเดียวกัน ห้ามบุคคลที่มีความเห็นอื่นเข้ามา ถ้าเห็นเป็นอย่างอื่นก็ไปตั้งบล็อคเองงั้นหรือ นี่คือสื่อใหม่ที่ว่ารึเปล่า ช่วยตอบที ผมงง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท