สืบเนื่องจากการคุยกับอาจารย์เอกใน blog nmintra วันที่ 15 กพ. เรื่อง “ผมรู้แล้ว...ตกไม่รู้จักเข็ดจากหลาบ..ตกจนชิน” ซึ่งอาจารย์เอกเขียนไว้น่าสนใจมาก
ตอนหนึ่งในข้อคิดเห็นของบันทึกนี้ลงวันที่ 17 กพ. อาจารย์เอกตั้งคำถามว่า “ทำไมเหล็กแพงกว่าข้าวไปได้” แม้ว่าประเด็นนี้ไม่ใช่ประเด็นหลักในข้อเขียนของอาจารย์ แต่ก็เป็นคำถามทีอยากจะลองตอบ
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จะอธิบายว่า เหล็กแพงกว่าข้าว เพราะเหล็กหายากกว่า ต้องใช้ความพยายาม ใช้ทรัพยากรมากเพื่อให้ได้เหล็กมา ทำให้มีต้นทุนสูง ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง อาจมี “ค่าเช่าทางเศรษฐกิจ” (ที่ขออธิบายง่ายๆให้พอเข้าใจกันว่าคล้ายๆ margin) ที่เกิดจากใครบางคนบางกลุ่มเท่านั้นได้เป็นเจ้าของทรัพยากรที่หายากนี้ จึงสามารถมีอำนาจต่อรองที่จะตั้งราคาสูงได้
คล้ายๆกับในบทแรกๆของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ที่จะพยายามอธิบายว่า ทำไม “เพชรแพงกว่าน้ำ” ทั้งๆที่น้ำมีคุณค่าต่อชีวิตมากกว่า และนี่เป็นเรื่องแรกๆที่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์พยายามชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้ง ระหว่าง "คุณค่า" กับ "มูลค่า" แต่ไม่รู้ว่าคนเรียนจะเข้าใจปัญหา และความลึกซึ้งของปัญหาแค่ไหน
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เอง ก็มีบทใหญ่ๆซึ่งสำคัญมาก ว่าด้วย “ความล้มเหลวของตลาด” และบอกว่า หากเกิดปัญหานี้ สังคมจำเป็นต้องมีกลไกอื่นมาช่วยดูแล เช่น กลไกของรัฐ ไม่ใช่ปล่อยทุกอย่างไว้ที่ “ตลาด”
เรารู้สึกเสมอว่า สังคมไทยหาความเป็นธรรมได้ยาก (แม้ดูเหมือนพวกเราจะใจดีกับเพื่อน ขี้สงสาร) เป็นการง่ายมากที่เราจะกล่าวโทษระบบทุนนิยม แต่ที่จริงเป็นเพราะสังคมเราเปราะบางในเรื่องระบบคุณค่า เราจึงตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ในประเทศทุนนิยมที่เขาเข้มแข็งในระบบคุณค่า ก็สามารถให้โอกาสแก่ทุกคน และสร้างสังคมที่เป็นธรรมได้ดีกว่าเรามาก
ถ้าเรารู้เท่าทัน และมีจิตสำนึกสาธารณะ เราก็คงไม่หลงทิศทาง และนำศาสตร์ (หลายๆศาสตร์) มาปรับใช้เพื่อให้ชีวิต เพื่อให้สังคมดีขึ้นได้
จะเปลี่ยนแปลงสังคมยังไงยังคิดไม่ออก แต่ในฐานะครูก็จะพยายามทำหน้าที่ตรงนี้ (แม้จะมีแรงไม่มากนัก) และคาดหวังว่า นักศึกษาควรจะได้อะไรมากกว่าแค่เรียนหนังสือให้ได้ปริญญาเอาไปหางานทำ
เห็นด้วยค่ะ โลกแห่งทุนนิยมนี้เยาวชนเราต้องฝึกคิดค่ะ นักศึกษามากมายค่ะที่ยอมผ่อนหนี้กับเงินด่วนเพื่อนำไปซื้อมือถือรุ่นใหม่ๆ เสื้อผ้ากระเป๋ายี่ห้อมากมาย เกินตัว เกินฐานะ
ความรู้แนวคิดด้านเศรษฐศาสตร์ที่เข้าใจง่าย ซึ่งจะทำให้นักศึกษาเข้าใจเรื่องความพอเพียงและฉลาดคิดในโลกทุนนิยมจำเป็นอย่างมากทีเดียวค่ะ
เช่น ความเข้าใจในเรื่อง "คุณค่า" กับ "มูลค่า" ดังที่อาจารย์กล่าวไว้
ขอบคุณมากค่ะ ขอติดตามบล็อกของอาจารย์ด้วยคนนะค่ะ
ขอบคุณ Aj Kae มากที่มาเยี่ยมเยียนเป็นกำลังใจค่ะ ดีใจที่ได้เป็น "เครือข่าย" แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันนะคะ
ข้าวนี่จัดการยาก เพราะมันไปพันกับตลาดโลกค่ะ ถ้าทำให้ผลผลิตข้าวในตลาดโลกน้อยลง หรือมีการควบคุมปริมาณผลิต ปริมาณขาย ข้าวอาจจะแพงขึ้นได้บ้างค่ะ (แต่อาจมีผลกระทบด้านอื่น)
หรือ ถ้าเมื่อไหร่ที่คนไทยเห็นคุณค่าของข้าว (ที่มาจากความยากลำบากของชาวนา) ยอมจ่ายแพงกว่าสำหรับข้าวไทย และทำข้าวไทยให้แตกต่างโดดเด่นกว่าข้าวอื่นๆในโลก ก็พอจะขยับราคาข้าวขึ้นมาได้บ้าง (แต่คงไม่มาก ตราบใดที่ยังแข่งกับตลาดโลก)
ตัวอย่างญี่ปุ่น ใช้วิธีให้ข้อมูลกับประชาชนว่า ข้าวญี่ปุ่นทำให้เกิดความมั่นคงด้านอาหาร ข้าวญี่ปุ่นมีคุณภาพดีกว่าข้าวที่อื่น ข้าวญี่ปุ่นช่วยรักษาวิถีชุมชน ข้าวญี่ปุ่นช่วยรักษาพื้นที่สีเขียว ข้าวญี่ปุ่นช่วยป้องกันน้ำท่วมและรักษาสิ่งแวดล้อม นั่นคือ รณรงค์ให้ชาวบ้านเห็นคุณค่าด้านอื่นๆของข้าวญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นก็ "ยินดีจ่ายแพง" ให้แก่ข้าวของเขา สู้กับข้าวนำเข้าที่ราคาถูกกว่า (แต่คงฝืนไปไม่ได้มาก)
แต่อนาคตเรื่องข้าวราคาถูกก็ไม่แน่เสียแล้วเพราะภาวะโลกร้อนค่ะ แต่เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้ข้าวราคาแพง ก็ปลูกไม่ได้แล้วค่ะ
ขอบคุณ ดร. จันทวรรณ ค่ะ
มีความรู้หลายอย่างที่ต้องเรียนรู้จากอาจารย์ จะติดตามไปเยี่ยม blog อาจารย์เช่นกันค่ะ
อาจารย์เอกคะ
ทุกคนคงชอบสบาย แต่ปัญหาคือ เราสนใจผลลัพธ์ โดยไม่ให้ความสำคัญกับกระบวนการ ทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองสบาย
ไม่มีใครสนใจเรื่องของการ "ทำดี ทำชั่ว" ซึ่งเป็นเรื่องของกระบวนการ สนใจแต่ "สวย รวย เด่น ดัง" ซึ่งเป็นเปลือก
แฮะ .. เราเรียนกันคนละศาสตร์.. แต่คิดตรงกันใช่ไหมคะ
ยังเคยคิดว่า ถ้าปลูกข้าวแต่พอกินในประเทศ เหลือส่งออกเล็กน้อย สถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น (ไม่ต้องส่งออก น้ำ ดิน แรงงาน ในรูปของข้าวราคาถูกไงคะ) แต่ปัญหาคือ ถ้าจะลดการปลูกข้าว ชาวนาที่คุ้นเคยกับการทำนามาชั่วชีวิต และยังไม่สามารถหาอาชีพเสริมอื่นๆได้ก็จะลำบาก
จริงๆการที่คนรุ่นใหม่ไม่ทำนา เป็นกระบวนการปรับตัวแบบหนึ่งค่ะ แต่เรามักจะมองเป็นปัญหาในเชิงสังคม ถ้าเรายอมให้มีการลดภาคการผลิตข้าว แต่ยังให้คุณค่ากับกิจกรรมการผลิตนี้ (ไม่ใช่เห็นว่าเป็นกิจกรรมชั้นสอง ชั้นสาม) และทำให้ชาวนาที่ยังปลูกข้าวดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขมีศักดิ์ศรี
รัฐต้องช่วยดูแลกระบวนการเปลี่ยนผ่านอย่างระมัดระวัง รอบคอบและมีเหตุมีผล (มีการวางแผน) และต้องทำความเข้าใจกับสังคมด้วยค่ะ