บ่อยครั้งที่สังคมได้บอกกล่าวว่า “ค่ายสร้าง” ดูจะล้าสมัย ไม่สอดรับกับสภาพปัจจุบันทางสังคมเท่าใดนัก แต่สำหรับผมกลับมองว่า พื้นที่ที่เราเลือกออกค่ายต่างหาก คือ คำตอบที่แท้จริงว่าค่ายสร้างยังมีความจำเป็นและร่วมสมัยอยู่หรือไม่
เหตุที่ผมมองอย่างหยาบ ๆ หรือกว้าง ๆ เช่นนั้น เพียงเพราะผมยึดชุมชนหรือพื้นที่เป็นคำตอบหลัก กล่าวคือ บางชุมชนยังคงมีความต้องการให้นิสิตนักศึกษาช่วยเหลือในรูปของการ "สร้างโน่น สร้างนี่" อยู่เหมือนเคย เพราะลำพังโรงเรียนและชุมชน ก็ยังไม่สามารถสรรหางบประมาณใด ๆ มาก่อสร้างได้อย่างเป็นรูปธรรม
และถ้าจะให้รอคอยตามยะถากรรม ก็ยิ่งดูเหมือนว่ากระบวนการพัฒนาชีวิตบางอย่างก็ย่อมชะงักงัน หรือไม่ก็เคลื่อนตัวได้ช้าอย่างน่าทุกข์ทรมานใจเป็นที่สุด
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">สำคัญอยู่ที่ว่านิสิตนักศึกษาต้องตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนให้ชัดเจน ว่าชุมชนต้องการสิ่งใดเป็นสำคัญ มิใช่ไปออกค่าย แต่ไม่ได้สำรวจความต้องการของชุมชนเสียก่อน วิถีที่เกิดขึ้น จึงเหมือนการยัดเยียดในสิ่งที่ไม่จำเป็นให้กับชาวบ้าน ซึ่งนั่นย่อมแสดงให้เห็นถึงการไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา หรือผ่อนเบาภาวะอันเดือดร้อนของชุมชนลงได้เลย</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p> </p><p> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ค่ายครูอาสาสู่ชนบท ครั้งที่ 5 ถือเป็นอีกค่ายที่ยืนยันในมิติทางความคิดของนิสิตที่เกี่ยวโยงกับความต้องการของชุมชนอย่างชัดเจน </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">กิจกรรมต่าง ๆ ที่นิสิตจัดขึ้นภายในค่ายครั้งนี้ล้วนเกิดจากการสำรวจ สอบถาม ร่วมคิดร่วมสังเคราะห์กับชุมชนมาแล้วอย่างชัดเจน ทั้งห้องสมุด , สื่อการเรียนการสอน, เป็นต้น</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>หากแต่บันทึกนี้ผมคงไม่กล่าวย้ำถึงเรื่องดังกล่าวนั้น เพียงเพราะต้องการที่จะสื่อสารถึงบางสิ่งบางอย่างที่ชาวค่ายได้ร่วมกันกำหนดขึ้นมา นั่นก็คือ “ข้อห้าม” หรือ “กฎค่าย” ที่ดูเหมือนจะแตกต่างไปจากค่ายอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง ดังว่า </p><p> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> (1) น้ำที่โรงเรียนห้ามใช้อาบ ใช้เฉพาะล้างจาน ทำ</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">กับข้าว น้ำดื่มและห้องน้ำเท่านั้น</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> (2) การอาบน้ำถ้าเป็นไปได้ให้อาบที่ลำธาร เพราะที่</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">บ้านพ่อฮักแม่ฮักก็ตักน้ำมาจากที่นั่นเหมือนกัน</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p> </p><p> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ข้อความข้างต้นนี้ ดูเหมือนจะเป็นกฎกติกาที่ฉาบไปด้วยถ้อยคำที่ปนอารมณ์ขันอยู่ไม่น้อย แต่ความเป็นจริงกลับสะท้อนภาพภาวะความจำเป็นของชุมชนในเรื่องน้ำอย่างหนักหน่วง ซึ่งผมมองว่าการไปค่ายครั้งนี้ นิสิตจะได้เรียนรู้และเข้าใจถึงรสชาติของความแร้นแค้นนั้นอย่างเต็มที่</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">และการเผชิญกับภาวะเช่นนั้นจะสอนให้นิสิตได้เข้าใจโลกและชีวิตมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ไม่อาจค้นพบได้เลยในห้องเรียนของมหาวิทยาลัย… </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>
ผมเองก็อยากมีโอกาสไปร่วม UKM 10 เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ไปหรือเปล่า ก็คงขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่แหละครับ เกรงแต่ว่าช่วงนั้นงานจะเยอะ , ใกล้เปิดเรียน อาจมองว่ามีภารกิจที่สำคัญยิ่งยวดให้ต้องรับผิดชอบ
แต่ยังไงก็พร้อม "อยู่ - พร้อมไป" ในทุกสถานการณ์ แต่ถ้ามีโอกาสได้ไปร่วมจริงก็คงดีไม่น้อย จะได้เรียนรู้อะไร ต่อมิอะไรอีกเยอะ ๆ
ขอบพระคุณครับ
ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยครับคุณแผ่นดิน
ถ้าพูดกันตรงๆ คือผมคิดมาตลอดว่าค่ายสร้างนั้นล้าสมัย ไม่ได้ฉุกคิดว่าต้องมองที่ผู้รับ
ครั้งหนึ่งที่คณะเคยไปสร้างโรงอาหารให้โรงเรียนบนดอย อีกครั้งหนึ่งไปสร้างบ้านพักเด็กที่ต้องเดินทางมาเรียนไกลๆ โรงอาหารนั้น ผมไม่ได้ยินว่าภายหลังใช้เป็นอะไร แต่บ้านพักเด็กกลายเป็นห้องเก็บของไปเรียบร้อย
การไปสำรวจค่ายน่าจะเป็นสิ่งที่จำเป็นจริงๆ ครับ และคงต้องทำอย่างระมัดระวัง ซึ่งอันนี้น่าสนับสนุนมากครับ จะทำให้นิสิตได้รู้จักโลกอีกใบอย่างลึกซึ้ง และตระหนักถึงความแตกต่างทั้งด้านสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจของโลกนั้น
แต่พูดกันตรงๆ (อีกที) แล้ว ผมไม่ค่อยหวังว่าชาวบ้านจะได้อะไรมากจากการออกค่ายครั้งเดียว เรื่องแบบนี้ต้องทำต่อเนื่องและยั่งยืนโดยชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจัง
การทำเป็นครั้งคราวแบบการออกค่ายนั้น ผมมองประโยชน์ของผู้มาเยือนมากกว่าครับ ตลอดระยะเวลาที่ผมใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย ทราบว่ามีรุ่นพี่คนหนึ่งตัดสินใจเป็น NGO ช่วยงานชาวเขาจากความประทับใจในประสบการณ์ค่าย แบบนี้คงเป็นสุดยอดผลพวงจากการออกค่าย แต่ผมไม่ได้หวังว่าทุกคนต้องทำแบบนั้น นิสิตที่มีพื้นฐานเป็นคนเมืองไม่ต้องละทิ้งทุกอย่างไปอยู่กับชาวเขา ขอแค่ล้างรถแบบประหยัดน้ำ ใช้ถุงพลาสติกน้อยลง ขึ้นรถเมล์บ้างเมื่อโอกาสอำนวย คือรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรในสังคมที่ตนอยู่ การกระทำเล็กๆ เหล่านี้ ถ้าเกิดขึ้นจากการไปเห็นโลกกว้างก็นับว่าคุ้มเกินคุ้มแล้วครับ คุณแผ่นดินว่าไหม?
ขอบคุณครับพี่พนัส
ใครๆฟังคำว่าค่าย นั้นก็คงจะพูดที่สิ่งที่ตั้งขึ้นเพื่อการบางอย่าง ในเวลาที่มีที่กำหนด เช่น ค่ายผู้อพยพ ค่าผู้ลี้ภัย (ยกเว้นค่ายมวย ค่าอาร์เอส)
สิ่งที่ผมมักพบเห็นเมื่อเพื่อนๆไปออกค่ายกัน ก็มีอยู่ 2 รูปแบบ คือ
สรุปคือ มีไปเพื่อสร้าง กับ ไปเพื่อสอน
ขอบคุณครับ
ผมเพิ่งได้มีโอกาสไปอวยพรวันคล้ายวันเกิด (ย้อนหลัง) คุณพิชชามาไม่นาน - ไม่ว่ากันนะครับ
อันที่จริงตอนเรียนมหาวิทยาลัย ผมก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปค่ายบ่อยนัก..และถ้าไปก็ไปไม่จบกับเชาซะที เพราะทำงานองค์การนิสิตติดต่อกันตั้งแต่ปี 2 - 4 จึงจำต้องอยู่เหย้าเฝ้าองค์การเป็นหลัก...
กระนั้นก็เป็นแฟนคลับของค่ายอาสาและค่ายอื่น ๆ เสมอ ซึ่งหมายถึง การเกาะติดและติดตามความเคลื่อนไหวของแต่ละชมรมอย่างไม่ลดละ จนมีข้อมูลกิจกรรมอยู่กับตนเองมากพอสมควร กระทั่งนิสิตบางคนแซวว่าผมเป็น "ตู้วรรณกรรม (กิจกรรม) เคลื่อนที่"
ขอบคุณมากครับ...
ขอบคุณในทัศนะทุกมุมคิดที่ล้วนเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของผมและนิสิตอย่างยิ่งยวด
ทุกครั้งที่นิสิตไปทำค่ายสร้าง..ผมจะมองว่าสิ่งปลูกสร้างเป็นเพียง "เครื่องมือ" ที่นำนิสิตไปสู่การเรียนรู้อันหลากหลาย ทั้งการเรียนรู้วิถีคิด วิธีทำงานและความรัก ความอาทรของชาวค่าย รวมถึงการเรียนรู้และแบ่งปันสิ่งต่าง ๆ ต่อชุมชน โดยมุ่งให้ค่ายนั้นเป็นค่าย "สหกิจกรรม" หรือบูรณาการ แต่ต้องมีชุมชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่จัดขึ้น
ค่ายสร้างของ มมส ...เป็นวัฒนธรรมที่ปฏิบัติกันเอง กล่าวคือ อย่างน้อยจะไปจัดกิจกรรมต่อเนื่องหลังค่ายเสร็จสิ้นลง บางปีเรากลับไปต่อเติมสิ่งเหล่านั้นถึง 2 ครั้ง ... แต่เป็นการร่วมด้วยช่วยกันกับชาวบ้าน ซึ่งถือเป็นพื้นที่ตัวอย่างของการศึกษาที่สะท้อนให้เห็นความมีส่วนร่วมของ "ชาวบ้าน" ที่มีต่อการเป็น "เจ้าของ" ในสิ่งที่เราสร้างให้
....
พื้นที่ของแต่ละภูมิภาคเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดรูปแบบค่ายเหมือนกัน แต่จะเป็นค่ายสร้าง หรือค่ายสอน ผมก็ยังให้น้ำหนักเรื่องการเรียนรู้ "ชุมชนและหลักการทำงานร่วมกัน" เป็นอันดับต้น ๆ
....
ตอนนี้สนใจทำค่ายเกี่ยวกับการ "สอนคน" มากขึ้น .. จึงกำลังหาชมรมมาเป็นแกนนำในเรื่องเหล่านี้
อีกทั้งอยากทำหนังสือเรียนชุมชนในลักษณะของหนังสืออ่านเล่น, การ์ตูน หรือ "หนังสือท้องถิ่นของเรา" ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องราวของชุมชนนั้น ๆ โดยมาจากกระบวนการเก็บข้อมูลและร่วมสังเคราะห์วัตถุดิบร่วมกันระหว่างชาวค่ายกับชาวบ้าน เสร็จแล้วก็นำข้อมูลเหล่านั้นมาผลิตในรูปวรรณกรรม มอบเป็นสมบัติชุมชนเพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนรู้.....
.....
ผมยังมีความฝันมากมายที่ยังไม่ได้ทำ แต่ก็ไม่เคยสิ้นหวังที่จะทำ..
....ขอบคุณครับ และเป็นกำลังใจให้เช่นกันนะครับ
โดยปกติ ค่ายก็มี 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ ค่ายสร้างและค่ายสอน แต่ทุกวันนี้ค่ายมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป ส่วนใหญ่เป็นลักษณะ "สหกิจกรรม" มากขึ้น ซึ่งหมายถึงมีกระบวนการเรียนรู้และให้บริการต่อสังคมที่หลากหลายขึ้น
ขอบคุณครับ
ขอบคุณอาจารย์นิเวศน์ ฯ มากครับ ...ผมเห็นด้วยกับแนวคิดที่อาจารย์เสนอมาก แต่จะให้ดีทำยังไงถึงจะมีเวทีสาธารณะของเหล่าบรรดานิสิตร่วมกันบ้าง
5 ปีที่แล้วผมเคยผลักดันให้ชมรมอาสาพัฒนาเป็นแกนกลางขับเคลื่อนเวทีเหล่านี้ ...แต่ก็ไม่บรรลุผล ส่วนใหญ่นิสิตชอบลงมือทำภาคสนามมากกว่าการแลกเปลี่ยนด้วยวาทกรรม...
ผมเห็นด้วย และยินดีร่วมเป็นหนึ่งในกระบวนการที่อาจารย์เสนอ
ขอบคุณมากครับ
ผมเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ชมรมฯ ตามที่อาจารย์ แนะนำแล้วนะครับ ... และประทับใจในเว็บไซต์นั้นมาก
ในส่วนของ มมส ... เว็บไซต์ชมรมอาสาพัฒนาเพิ่งปิดปรับปรุงในเดือนนี้ ถ้าเสร็จสิ้นแล้ว จะส่งข่าวอาจารย์อีกครั้ง นะครับ
......นายสายลม.......
ขอบคุณมากครับ ...ทุกถ้อยคำ ...คม ชัด ลึก ทั้งรูปลักษณ์และเนื้อหาอันเป็นประโยชน์ต่อชาวค่ายอย่างมาก
ในบริบทกิจกรรมเดียวกัน ต่างคนต่างอาจจะมีโจทย์การศึกษาที่ต่างกัน ซึ่งผลผลิตของโจทย์คือความรู้และประสบการณ์ชีวิตที่แต่ละคนจะได้รับเป็นการส่วนตัวและรวมถึงการแบ่งปันการเรียนรู้ไปสู่คนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
ความแตกต่างทางความคิด เป็นความงดงามของมนุษย์เสมอ ...ซึ่งผมเชื่อเช่นนั้นเสมอมา
นักออกแบบค่ายก็หลงอยู่ในอุดมคติมาก ลืมไปว่าคนไม่ใช่เทวดา เพราะยากเหลือเกินที่จะหาใครมาเป็นโมเดลลิ่งได้ขนาดนั้น พอชาวค่ายไม่เป็นไปดังหวัง เราก็พลอยตบะแตก ยังไงก็ตาม ในมุมมองของชาวค่าย (ซึ่งไม่จำเป็นต้องตรงกับผู้ออกแบบค่าย) เขาก็ย่อมตีความโจทย์ต่างกันออกไป ความแตกต่างทางความคิดนี่แหละ ในมุมของการวิจัยมันคือขุมความรู้
ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณมากครับที่แวะมาให้ข้อเสนอแนะและมุมคิดที่งดงาม ซึ่งเต็มไปด้วยพลังทางความคิด
ไม่ว่ายุคสมัยใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เราค้นพบจากค่าย นั่นก็คือ ค่ายเป็นแหล่งบ่มเพาะแรงบันดาลใจให้คนหนุ่มสาวมีจิตสำนึกที่ดีต่อสังคม...(ได้ไม่น้อย)
ค่าย เป็นบ่อเกิดของการค้นหาตัวเองของนิสิตนักศึกษา
และค่าย คือ เวทีการเรียนรู้การให้และการรับอย่างเป็นธรรมชาติ
....
ทุกวันนี้ ผมก็เชื่อว่า ประโยชน์ของค่ายสร้าง น่าจะเป็นเรื่องราวของการสร้างคน
.....
ขอบคุณครับ
ข้ามวัน ข้ามคืนเชียวแหละ ถึงจะใจเย็นพอที่จะเข้าระบบมาสู่บล็อกได้..
....
เรื่องที่น้องสายลมเล่าผ่านบันทึกนั้น ..ต้องยอมรับว่าสะท้อนและสะเทือนใจเป็นอย่างมาก ...
ในหมู่บ้านที่ห่างไกลจากความเจริญในทางวัตถุ มักพบเห็นมิตรภาพและน้ำใจอย่างไม่ยากเย็น ... การไปเยือนของนิสิตกลายเป็น "บุคคลสำคัญ" ของชาวบ้าน และชาวบ้านก็ยินดีที่จะต้อนรับอย่างเต็มกำลังเสมอ บางที, หรือแม้แต่บ่อยครั้ง ชาวค่ายอาจได้กินในสิ่งที่ชาวบ้านไม่ค่อยได้กินเลยก็ได้...
สิ่งเหล่านี้ คือ การยืนยันความงดงามของหมู่บ้านและชาวบ้านที่ควรค่าต่อการยกย่อง รวมถึงการเชิดชูหัวจิตหัวใจของนักศึกษาที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์สังคม...
ขอบคุณเรื่องดี ๆ ..ที่นำมาประดับบันทึกของพี่ นะครับ
น้องสายลมครับ...
ยังไงก็ขอให้มีความสุขกับการเดินทางตามเส้นทางความฝันของตนเองนะครับ
สำคัญ, อย่าลืมดูแลความฝันให้ดี ๆ ... เพื่อให้ความฝันเติบโตและมีลมหายใจ นะครับน้องรัก