การแชร์สิ่งดีๆ หรือที่เรียกว่า การแชร์ Best Practice นั้นเป็นวิธีการที่ใช้กันค่อนข้างจะแพร่หลายในการทำ Knowledge Sharing ครับ แต่สำหรับสังคมไทย ผมขอให้ข้อสังเกตบางประการดังนี้ครับ
ประการแรก เป็นเพราะคนไทยถูกปลูกฝังให้เป็นผู้ที่ “สงบเสงี่ยม เจียมตัว” ไม่โอ้อวด ไม่พูดถึงสิ่งที่ตนทำได้ดี ไม่พูด(อวด) สิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในตัว เรามักได้ยินผู้ใหญ่พร่ำสอนเสมอว่า “ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย” อะไรทำนองนั้น ซึ่งที่ท่านเตือนไว้เช่นนี้ ก็มีเหตุผลนะครับ (อยู่ในข้อสอง)
ประการที่สอง เป็นเพราะสังคมไทยไม่นิยม “การชื่นชมยินดีซึ่งกันและกัน” เราไม่ค่อยได้พูดถึงสิ่งดีๆ ที่คนอื่นทำ ไม่ค่อยได้ Appreciate กัน ...ครั้นพอเรายกเรื่อง (case) ของบางคนขึ้นมาเป็น Best Practice ...เท่านั้นเอง หลายๆ คนก็เกิดอาการขึ้นมาทันที มีเสียงข้างใน (inner voice) ว่า..... แค่นี้นะหรือ?...... ไม่เห็นจะดีตรงไหน?...... จะดูซิว่าไปได้กี่น้ำ! อะไรทำนองนี้แหละครับ..... อย่างที่ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ท่านชี้แนะว่า สังคมไทยนั้นอ่อน “มุฑิตาจิต” ครับ
สรุปก็คือ “คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยมักจะไม่ค่อยยอมรับความสำเร็จของคนอื่น” การใช้วิธีการ ลปรร. ด้วยการแชร์ Best Practice ในสังคมไทยจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง แชร์กันไป แชร์กันไป ถามมาตอบไป ถ้า “ใจไม่นิ่ง” บางทีก็เข้าใจผิดไป เพราะการสื่อสาร หรือ Communication นั้นค่อนข้างอันตรายนะครับ ถ้า “จับความ ตีความ” ผิดเพี้ยนไป ก็อาจจะทำให้ “เข้าใจผิด” และ “ผิดใจกัน” ไปโดยไม่ทันได้ “รู้ตัว”
ใกล้ปีใหม่ ไม่น่าจะพูดอะไรหนักๆ ...แต่ที่พูดไป เพราะรักทุกคนในชุมชนนี้ครับ ....สวัสดีปีใหม่ 2550 ครับ
....ที่คนไทยไม่ค่อยได้ "ต่อยอด" ความรู้กัน ก็ด้วยเหตุผลสั้นๆ ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นครับ ...ที่นศ.ป.โท/ป.เอก ทบทวนวรรณกรรม ทำ Literature Review กันก็เพื่อจะได้รู้ว่าใครทำอะไรกันไปแค่ไหนแล้วบ้าง จะได้ไม่ไปคิดไปสร้างให้มันซ้ำซ้อน...จะได้ "ต่อยอด" ของที่ทำไว้แล้วได้ แต่ในสังคมไทยกลับนิยมการ "เด็ดยอด" มากกว่า เด็ดแล้วนำมาสร้างเป็นของตัวเอง โดยไม่ให้เครดิตกับ "ยอดๆ" ของความรู้ทั้งหลายที่ได้ไปเด็ดมาเลย เรื่องนี้มีให้เห็นทั่วไปในแวดวงวิชาการครับ!!
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ประพนธ์...
ขอต่ออีกข้อนะครับอาจารย์
สังคมไทยไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้น้อย ผู้ไร้ชื่อเสียง ใครแสดงความคิดเห็นอะไรไปถ้าเป็นผู้น้อยถือว่าไร้ความหมาย ไม่ได้เรื่อง ถ้าเป็นผู้ใหญ่คนมีชื่อเสียงจะมีค่าขึ้นมาทันทีโดยไม่ต้องดูเนื้อหาสาระกันนัก
รอให้ท่านอื่นๆ มากันเยอะๆ ก่อนครับ ...แล้วผมก็มา "สวัสดีปีใหม่ พ.ศ.๒๕๕๐" ล่วงหน้าครับ อาจารย์ ดร.ประพนธ์ ที่เคารพ
วิชิต
"สวัสดีปีใหม่ พ.ศ.๒๕๕๐" ค่ะ อาจารย์
ดิฉันก็กำลังคิดว่า สังคมคนไทย มีความเป็นตัวตนของตนเองสูงด้วยค่ะ
สวัสดีปีใหม่ทุกๆ ท่านครับ ...สำหรับผมแล้ว gotoknow เป็น "ชุมชนต้นแบบ" ครับ ...ทำให้เราได้เห็น "ศักยภาพ" ของแต่ละท่าน ...ทำให้เราได้รู้จักกัน ได้เห็นสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในทุกท่าน ....ได้เห็น "เมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา" ที่ทุกท่านมีอยู่ในตัว ....และยังได้เห็นอีกด้วยว่าถ้าเราจัดให้มี "เวที" เพื่อให้สิ่งดีๆ เหล่านี้ได้เชื่อมโยงกัน ก็จะเกิดการผสานพลัง (synergy) อย่างที่เราสัมผัสได้ใน gotoknow นี้
ขอขอบคุณและส่งความปรารถนาดียังทุกท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์ธวัชชัย และอาจารย์จันทวรรณ ผู้บุกเบิก สร้างสรรค์ พัฒนา gotoknow ให้พวกเราได้ใช้กันทุกว้นนี้
และแน่นอนที่สุดถ้าไม่มี "บรรดา Knowledge Blogger" ทั้งหลาย ...เราก็คงจะไม่โตได้เหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ...ขอให้ท่านทั้งหลายได้พานพบแต่สิ่งดีๆ ตลอดปีใหม่นี้ และตลอดไปครับ
ได้บังเอิญเข้ามา อ่านและรับสิ่งดีๆโดยไม่คาดคิด ให้สติและปัญญา ที่กระทบต่อตนเองและกระตุ้นต่อทุกเวลาและอารมณ์เมื่ออยู่ในการทำงานร่วมกับผู้คน ขอบคุณมากค่ะ สามารถใช้ทบทวนและดูแลตนเองได้ตลอดปี2550 เลยค่ะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะอาจารย์
สุข สดชื่นและสมหวังตลอดไปนะคะ
ฝากอาจารย์ paew สร้างชุมชนการเรียนรู้ขึ้นใน มข. ด้วยนะครับ ...สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ
ความเป็นไทยเป็นอุปสรรค จริงเหรอ best practice ที่ถ่ายทอดด้วยความอ่อนน้อมเป็นสิ่งที่อยากเห็นจากคนเก่งค่ะ