ผมได้แนวความคิดนี้ระหว่างนั่งเครื่องบินไปเจนีวา ตอนเช้ามืดของวันที่ ๒๖ พย. ๔๙ จากการอ่านบทนำของหนังสือ "ปัจจุบันขณะ" หรือที่ผมอยากใช้ชื่อภาคไทยว่า "พลังแห่งปัจจุบันขณะ" ซึ่งชื่อจริงของหนังสือคือ "Presence : Exploring Profound Change in People, Organzation, and Society"
คณะผู้เขียนหนังสือเล่มนี้มี ๔ คน แต่ละคนมี tacit knowledge คนละด้าน เมื่อได้พบกัน และเห็นคุณค่าของการเอา tacit knowledge ของแต่ละคนมาต่อยอด หมุนเกลียวความรู้ซึ่งกันและกัน ยกระดับความเข้าใจปรากฏการณ์ของธรรมชาติเชิงสังคม เชิงองค์กร เชิงกลุ่ม ที่เรียกว่า collective change ในลักษณะ "เปลี่ยนทั้งเนื้อทั้งตัว เปลี่ยนเป็นคนละคน" (profound change)
หนังสือเล่มนี้จึงเป็นตัวอย่างของการทำงานสร้างความรู้แบบใหม่ (สำหรับผม) คือเป็นการเอา tacit knowledge จากต่างศาสตร์ ต่างประสบการณ์ ต่างมุมมอง มาทำกระบวนการ SECI หมุนเกลียวความรู้ ได้ explicit knowledge ออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้
ต่างศาสตร์ ต่างประสบการณ์ที่มาผสมกัน ได้แก่
- Peter Senge : ประสบการณ์พัฒนา organization learning
- C. Otto Scharmer : ประสบการณ์พัฒนา grassroot large scale change เน้นที่ความสัมพันธ์แบบเครือข่าย
- Joseph Jaworski : จากประสบการณ์การขับเคลื่อนขบวนการ servant leader หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ empowerment leadership
- Betty Sue Flowers เป็นศาสตราจารย์ด้าน English Literature ที่เชี่ยวชาญด้านเรื่องเล่าและ myth
วิธีการ "วิจัย" ของเขา ทำโดยการเล่าเรื่องจากประสบการณ์ของแต่ละคน จดบันทึก แล้วสังเคราะห์ ใช้เวลาทั้งสิ้น ๔ ปี
ผมมองว่าวงการวิชาการในมหาวิทยาลัยไทย และวงการจัดการทุนวิจัย น่าจะให้ทุนทำงานสร้างสรรค์วิชาการแบบนี้
วิจารณ์ พานิช
๒๖ พย. ๔๙
บนเครื่องบิน TG 970 ไปซูริค
เห็นด้วยกับ ท่าน อ.หมอวิจารณ์ ในเรื่องนักวิชาการค่ะ โดยเฉพาะสายวิทยาศาสตร์ และสายเศรษฐศาสตร์ ถ้ามีการนำงานวิจัยบูรณาการสู่ชุมชน นำทฤษฎี ไปใช้จริงให้มากๆๆ ก็จะเป็นประโยชน์ เพราะปัจจุบัน งานวิจัยในประเทศมีจำนวนมาก ที่กองไว้ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง
อ.หมอวิจารณ์ สรรหาสาระ และมีวิธีคัดเลือกหนังสือ ได้ยอดเยี่ยมมากๆ เสมอนะคะ
ถ้ามีโอกาส อยากขอให้ท่าน เล่าเรื่องวิธีการเลือกหนังสือที่ดี มีสาระประโยชน์ คุ้มค่ากับเวลาที่ต้องเลือก กับเวลาที่จะอ่าน รวมถึงจะไม่ต้องเสียดายสตางค์ และเนื้อที่ในการเก็บรักษา บ้างนะค่ะ
ด้วยความเคารพ