872. Appreciative Inquiry Coaching


Appreciative Inquiry เป็นเครื่องมือที่สามารถเอามาพัฒนาคน องค์กร ตั้งแต่หนึ่งคนขึ้นไป ถึงหลายๆ พันคน ..  แต่ที่จะทำบ่อยๆ โดยเฉพาะคนที่เป็นที่ปรึกษา บางครั้งตั้งทำเป็นรายคน  เราจะทำอย่างไร...AI สามารถนำมาพัฒนาคนได้ดีมากๆ ...ผมเองก็ไปเรียนกับอาจารย์คนที่คิดวิชา Appreciative Inquiry มา ต่อมาก็เรียน Appreciative Coaching มาอีก ได้ Cer  จากนั้นทำปริญญาเอกที่รวมความรู้ในสอง Field นี้ ..จริงๆ รวมอีก Field คือ Knowledge Management 

...สำหรับ Appreciative Coaching ผมเอามาใช้งาน ที่สุด เติมโน่นเติมนี่มาเป็น Model ของผมเอง Model ของผมต่อยอดไปจากอาจารย์ของผม ชื่อ  Mindful Appreciative Inquiry Coaching© โดยผสมผสาน.ทฤษฎี Flow, Theory U Heron Model และ Appreciative Inquiry มาช่วยครับ ...

ถ้าเป็นของเดิมที่อาจารย์ผมทำมา...ก็จะสอนให้คนค้นหาเรื่องดีๆ จากสิ่งแวดล้อม ตนเอง สิ่งรอบข้าง สอนแนวคิด Principle ของ Appreciative Inquiry แล้วก็ทำวงจร 4D เริ่มจากการหาว่าโค้ชชี่มีปัญหาอะไร จากนั้นมาค้นหาสิ่งดีๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เป็นปัญหา...ในเล่มที่สอนเรื่อง Appreciative Inquiry เป็นตัวอย่างการโค้ชเรื่องนักธุรกิจที่มีปัญหาธุรกิจเก็บเงินไม่ได้ ...ก็เริ่มค้นหาว่าตอนที่เก็บเงินได้ทำอย่างไร (Discovery) ที่สุดก็ตาม Step ...Dream Design Destiny ..

ของผมจะต่างแล้ว..ดูเลยว่าเป็นอย่างไร...

ผมขอเปรียบเทียบว่าผมเป็นหมอ ลูกค้าหรือลูกศิษย์เป็นคนไข้เลยจะดูง่ายขึ้น..

ขั้นตอนคือ

คนไข้ต้องยอมให้ผมตรวจก่อน ... เมื่อยอมให้ตรวจ ผมจะตรวจ เพื่อวิเคราะห์ปัญหาของเขา

ช่วงการตรวจ Stretoscope (หูฟังของหมอ) ของผมก็คือ สิ่งที่เรียกว่า Theory U ครับ ...

อาการเบื้องต้นที่ผมจะประเมินว่า เป็นอาการแบบไหน สมมติฐานของโรคคืออะไร...นั่นคือผมประเมินจาก the Flow...

Flow คือทฤษฎีความสุข ...ความสุขมาจากสองปัจจัยคือ ความท้าทาย และทักษะ (หรือประสบการณ์)

Flow ใช้ประเมินสภาพปัจจุบัน ...

อะไรที่เขากังวลอยู่แสดงว่าขาดทักษะ หรือประสบการณ์บางอย่าง...

ถ้าไปไม่ถึงไหน ...คือไม่รู้จำอย่างไร เรียกว่าภายเรือในอ่าง นี่เรียกว่าขาดทั้งประสบการณ์และเป้าหมาย

ถ้าเบื่อ...ก็เพราะมีทักษะ แต่ขาดเป้าหมาย 

ถ้า Flow มีความสุขมากๆ ...คิดการใหญ่เลย...

จุดมุ่งหมายของการโค้ชของผมคือทำให้คนมีความสุขแบบ Flow ที่ทำให้คุณได้เผชิญความท้าทายมากๆ แต่ก็มีทักษะสูงด้วย...คุณจะมีความสุขสุดๆ ...ที่สำคัญสามารถรักษาความสมดุลของ Flow ได้

เช่นลูกศิษย์ผมคนหนึ่ง ตอนนั้นความท้าทายคืออยากแต่งงานกับคนรัก...แต่คนรักท้าทายว่าต้องมีกิจการของตนเอง...พอเขาเล่ามา...ผมก็รู้เลย ว่ากำลังกังวล ด้วยสิ่งนั้นเขาไม่เคยทำมาก่อน ....

ก็ใช่ครับ .

เมื่อผมวิเคราะห์เจอสมมติฐานของโรคแล้ว ...ผมก็แชร์ผลการวินิจฉัยกับคนไข้ ...เขาก็ Confirm ครับ ว่านี่คือสิ่งที่เขาต้องการ เขาต้องการสร้างกิจการใหม่จริงๆ...

คราวนี้มาถึงการรักษาแล้วครับ...

การรักษาผมใช้ยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์มาช่วย....

แน่นอนครับ คนไข้มีทั้งอาการเบาๆ ...อาจแค่แนะนำก็หายแล้ว ไม่ต้องสังยาด้วยซ้ำ แต่บางคนก็อาการหนัก ก็ต้องให้ยา หรือกระบวนการรักษาที่ซับซ้อนตามอาการไปเรื่อยๆ 

ยาและกระบวนการรักษาของผมคือ 

Heron Model  และการคุยแบบ Appreciative Inquiry รวมทั้งศาสตร์อื่นๆ ที่ผมต่อยอดไปจาก Appreciative Inquiry คือเอา Appreciative Inquiry ไปผสม หลักๆ ก็เช่น Positive Psychology, System Thinking, the Tipping Point, Whole Brain Literacy, Mind Literacy, IKIGAI 

มาเริ่มที่ Heron Model ...Model นี้ใช้ในการทำ Counseling แต่ผมเห็นว่ามันพัฒนามาจากวงการ OD (Organization Development) ผมเลยเอามาใช้ร่วมกับการโค้ช ของผม...ผมว่ามันช่วยเราประเมินอาการของคนไข้และช่วยเลือกวิธีการรักษาที่ตรงจุดได้มากกว่า 

Heron Model ประกอบด้วย การประเมินสถานการณ์ครับ ว่าสภาวะของคนไข้ ในที่นี่คือโค้ชชี่ของเราอยู่ในสภาะใด ...และควรจะจัดยา หรือเครื่องมืออะไรให้เขา..

ดูคร่าวๆ ว่าคนไข้ติดลบ หรือบวก หรือนิ่งๆ ...

ถ้าบวกอยู่แล้ว หรือนิ่งๆ แต่บวกๆ หน่อย...ก็ใช้แนว ผลักไปข้างหน้า (Push) หรือแนว Authoritative Style  แต่ถ้าถอยๆ หรือนิ่งๆ แบบไม่ค่อยดีนัก ก็ใช้วิธีการดึง (Pull)  หรือแนว Faciliattive Style...

ผมจะทำเป็นตัวอย่างครับ...อย่างกรณีนี้..

เจอความท้าทายมากๆ ...ต้องเพิ่มประสบการณ์ หรือทักษะ คือไปเปิดร้านจริงๆ ...จะทำอย่างไร...

ผมถามคนไข้ว่ายอมให้รักษาไหม เขาก็ Ok ผมก็เลยร่วมกระบวนการ...

ลูกศิษย์ผมก็มาหาผมบ่อยๆ และก็คุยให้ฟัง เมื่อผมฟังแบบ Theory U คือฟังมากๆ มันตกผลึกว่าเด็กคนนี้นี่ มันมี Skill ดูน่าเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาองค์กรได้ ...

เลยเริ่มท้าทายเขาว่า...”คุณน่าเปิดบริษัทที่ปรึกษานะ”   นี่คือท้าทายแล้ว

ภายในสองอาทิตย์ลูกศิษย์ผมไปเปิดบริษัทที่ปรึกษาจริงๆ ...

พร้อมกลับมาถามผม..อันนี้ฮา...บริษัทที่ปรึกษานี่ ที่ปรึกษามันทำอะไรครับอาจารย์...

ประเมินแล้วว่าบวก...ผมเลย “Push”  ผม “สั่ง” ...สั่งเลยให้ไปอ่านกรณีศึกษาของรุ่นพี่...และสั่งว่าให้เขามาคุยกับผมบ่อยๆ ...ขณะเดียวกันก็ ให้ “ข้อมูล” ว่าจะทำธุรกิจมันมี Case ที่ทำมา เป็นอย่างไร ใช้ Model ไหน ...ที่สุด...

ข้อมูลมากขึ้นก็เห็นทางตัน คือไม่รู้จะอะไรแล้ว นี่แดนลบหน่อยๆ ต้อง Pull แล้ว..  ผมเลยถามแบบ Appreciative Inquiry (ตอนนี้ผมกำลังพาวิเคราะห์) ว่าตั้งแต่ผมเล่าเรื่อง Appreciative Inquiry คุณชอบ Model ไหนสุด... (นี่ถามแบบ Appreciative Inquiry)

“ผมชอบ Loyalty Pyramid และเรื่องสามคนไม่ธรรมดา” ครับ ...

“เพราะฉะนั้น มาเพิ่มพูน Skill กัน สร้างบริษัทด้วย Loyaty Pyramid สามคนไม่ธรรมดา และ Appreciative Inquiry กัน” 

เมื่อมาแดนบวกก็ Push ต่อ.. ด้วยการให้ข้อมูลว่าจะทำวิจัยตั้งบริษัททำอย่างไร...คราวนี้นิ่งไปต่อไม่ได้ ..พาวิเคราะห์และวางแผนร่วมกัน ที่สุดก็เริ่มไปได้ ...

แต่ทำอย่างไร ถึงจะไปรับงานจริงได้.... ติดแดนลบครับ เพราะไม่รู้ทำอย่างไร ...ผมก็ดึงเขาขึ้นด้วยการ “สนับสนุน” เปิดโอกาสให้ไปสอนแทน สองครั้ง โดยระหว่างนั้นทั้ง Push และ Pull..

อาจารย์ครับผมจะไปสอนใครได้ ...ผมไม่มีประสบการณ์มากๆ...

นี่ครับถึงบทที่พาออกจากอารมณ์ลบมากๆ ..เลยพาวิเคราะห์อารมร์ลบ...ว่ากลัวเพราะไม่มีประสบการณ์ใช่ไหม...

“แล้วตอนที่เห็นผมสอน คุณเห็นผมสอนโดยการอัดประสบการณ์ให้ หรือดึงประสบการณ์คุณออกมาก...”

“อาจารย์ดึงประสบการณ์ออกมา”

“ใช่การทำ OD หรือ AI Consulting คือการดึงประสบการณ์ลูกค้าออกมา...ไม่ใช่ใส่เข้าไป...”

“อืมใช่เลยอาจารย์”

“มั่นใจแล้ว...”

ด้วยกระบวนการแบบนี้ ตอนนี้ตั้งบริษัทที่ปรึกษาได้งานจริงแล้ว...

นี่คือถ้าเป็นหมอ...เขาหายแล้ว..กลับบ้านไปแล้ว

แต่ความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้ก็ยังเหมือนเดิม..

เวลาเราเดินไปเจอกับคุณหมอที่ตลาด เราก็มักไถ่ถามทุกข์สุขกัน ...มีปัญหาสุขภาพขึ้นมา หมอคนนั้นอาจรักษาคุณไม่ได้ แต่ก็สนับสนุนด้วยการแนะนำหมออื่นๆให้

คล้ายๆกันครับ ...กับโค้ชชี่ผม...เมื่อเขาแก้ปัญหาได้แล้ว 

ผมก็ทำหน้าที่ “สนับสนุน” เวลามีปัญหาอยู่ห่างๆ...หรืออาจร่วมกันแก้ปัญหาใหม่ๆ ก็ได้ ...นี่เราก็กลับมาเข้า Process...

การทำโค้ชชิ่งแนวนี้ Flexible มากๆ ผมจะเขียนมาให้ดูเรื่อยๆ ตอนนี้สั้นๆครับ เช่นล่าสุดเจอคนมีปัญหามากๆ เช่นแม่บังคับแต่งงาน หรือนักการเมืองท้องถิ่นเจอปัญหาในองค์กรแบบหนักๆ ติดลบมากๆ ...ผมก็จัดด้วย Systems thinking ตามด้วยการให้ข้อมูล ทั้งดึงและดัน ตอนนี้กำลังตามผล ได้ผลอย่างไรมาแชร์ในอนาคตครับ

ผมประยุกต์ Coaching มาผสมกับ Consulting รวมทั้ง เครื่องมือทาง OD และทฤษฎีบริหารหลายตัวมาเป็นสูตรผมเอง .. 

สูตรนี้ชื่อ

Mindful Appreciative Inquiry Coaching©

เพราะต้องฟังจริงๆ ฟังสุดๆ ไม่ตัดสินเลย ถามแบบสุดๆ แชร์สุดๆ ช่วยสุดๆ...ภายใต้ความมีสติมากๆ 

(Theory U นี่ต่อยอดมาจากการเจริญสติครับ)

ผมเน้นนะครับ ว่าผมไม่ใช่ Coach มืออาชีพ เพราะไม่ได้มาทางนี้ครับ

ผมเป็น OD Professional คนละ Field กันนะครับ ไม่ใช่โค้ช และนักจิตวิทยาคลินิก...

เราใช้ความรู้เกี่ยวกับคนจากหลาน Field รวมถึง Field มาผสมผสานกัน ด้วยจุดมุ่งหมายเดียวคือการพัฒนาคน /องค์กรครับ

หากแต่..ลูกศิษย์ที่จบจากผมแล้วเริ่มเข้าไปในวงการโค้ชบอกว่าตัวนี้มันเติมเต็มพวกเขามากๆครับ สำหรับการเป็นโค้ชมืออาชีพ...


แต่ยังไงขออนุญาตจดลิขสิทธิ์ไว้นะครับ จะได้ไปต่อยอดกันแบบไม่มีต้นทุนมากนัก ไม่งั๊นจะกลายเป็นอะไรที่มีราคาไปหมด .. 

วันนี้พอเท่านี้ครับ 

คุณล่ะคิดอย่างไร 

บทความโดยดร.ภิญโญ รัตนาพันธุ์

www.aithailand.org

Note:

บทความดูประกอบ

1.Heron Mondel https://www.gotoknow.org/posts/550745

2.Theory U https://www.gotoknow.org/posts/651075

3. Appreciative Inquiry https://www.gotoknow.org/posts/649182

4. Systems Thinking https://www.gotoknow.org/posts/617907

5. IKIGAI  https://www.gotoknow.org/posts...

6. Mind Literacy https://www.gotoknow.org/posts...

7. Whole Brain https://www.gotoknow.org/posts...

8. สามคนไม่ธรรมดา https://www.gotoknow.org/posts/539174

9. The Flow https://www.gotoknow.org/posts...

10. Positive Deviance  https://www.gotoknow.org/posts...

Case ดูประกอบที่ www.aithailand.org

หมายเลขบันทึก: 659202เขียนเมื่อ 9 มกราคม 2019 12:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม 2019 19:47 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ขอบคุณอาจารย์ครับการทำ OD หรือ AI Consulting คือการดึงประสบการณ์ลูกค้าออกมา…ไม่ใช่ใส่เข้าไป…”

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท