วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙ วันที่สองของช่วงหยุดยาว ๕ วันสำหรับราชการ ภาคีส่งเสริมเครือข่าย มหาวิทยาลัยสร้างสรรค์สังคมเพื่อประเทศไทยน่าอยู่ (UNC – University Network for Change) ร่วมกันจัด ประชุมเวทีเสนอผลงาน ซึ่งจัดเป็นปีที่ ๓
อ่านเรื่องราวของเวทีในปี ๒๕๕๘ ที่นี่ และ ที่นี่ ส่วนเรื่องราวของเวทีปีแรกอ่านได้ ที่นี่
ดังเล่าในบันทึกของปีก่อนๆ ผมจ้องหาความรู้ว่าในกิจกรรมของเครือข่ายนี้ นักศึกษาได้อะไร อาจารย์ได้อะไร สรุปสั้นๆ ว่า ได้เรียนรู้สังคมไทย ในมุมที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน และไม่เคยคิดว่ามี
ผมคิดต่อว่า เมื่อสัมผัสแล้ว เอามาไตร่ตรองสะท้อนคิด จะเกิดผลเป็นการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง (Transformative Learning) คือเปลี่ยนโลกทัศน์เกี่ยวกับสังคม และเปลี่ยนโลกทัศน์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ ระหว่างตนเองกับสังคม ผมไปร่วมประชุมเพื่อค้นหาผลลัพธ์นี้ ซึ่งจากวีดิทัศน์ประกอบการประชุม บอกชัดเจนว่า นักศึกษาและอาจารย์ในโครงการได้สิ่งนี้
ผมตีความว่า การเรียนรู้ของนักศึกษาในโครงการนี้จะเป็นแบบ Action -> Reflection -> Action คือไปรับรู้เรื่องราวจริงในสังคม (Action ตัวแรก) เอามาไตร่ตรองสะท้อนคิดด้วยตนเองและร่วมกับเพื่อน (Reflection) เพื่อหาความหมายสำหรับเอามาออกแบบชิ้นงานเพื่อสื่อสารสิ่งที่ได้พบเห็นและตีความ ออกสื่อสารกับสังคม (Action ที่สอง) เป็นสุดยอดของ Transformative Learning) ผมเชื่อว่านักศึกษา และอาจารย์ที่เข้าร่วมโครงการ จะเห็นคุณค่าของการเรียนรู้ความรู้แบบ active learning นี้ด้วยตนเอง และผมอยากเห็น spill over effect สู่คณะอื่น หลักสูตรอื่น ในมหาวิทยาลัยสมาชิกของเครือข่าย
ผมไปถึงที่ประชุมก่อนเวลา หลังจากนั้นวิทยากรและผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องก็มาถึง และตั้งวงคุย ผมเสนอท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปาการ ผศ. ชัยชาญ ถาวรเวช ว่า เนื่องจากท่านให้เวลาไปร่วมงาน ด้วยตนเอง มหาวิทยาลัยศิลปากรน่าจะดูดซับคุณค่าของผลลัพธ์ของโครงการหรือเครือข่ายนี้ ไปสู่การปฏิรูปรูปแบบการเรียนรู้ของทั้งมหาวิทยาลัย เปลี่ยนจากเรียนแบบ passive learning สู่ active learning
ผศ. สรรเสริญ มิลินทสูต คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ประธานเครือข่าย UNC บอกทันทีว่า อาจารย์ในเครือข่ายเห็นคุณค่าของวิธีการเรียนรู้แบบใหม่ (active learning) และอาจารย์คณะอื่น ก็ต้องการเอาไปใช้ ดังนั้น spill over effect ที่ผมคาดหวัง ได้เกิดขึ้นบ้างแล้ว
จะเห็นว่า คุณค่าของเครือข่าย UNC มี ๒ ประเด็นใหญ่ คือ (๑) การสร้างกระบวนทัศน์เห็นแก่สังคม (๒) การปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้ ให้เป็นแบบ active learning เชื่อมโยงกับเรื่องราวในสังคม มากยิ่งขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในประเด็นที่ ๒ คือการปรับวิธีการเรียนรู้ของหลายรายวิชา ของอาจารย์และนักศึกษา ที่เข้าร่วมวง (เช่น Creative Communication คณะมัณฑณศิลป์ มศก. ซึ่งเรียนแบบ project-based อยู่แล้ว) สิ่งที่คาดหวังต่อ คือการลามไปยังรายวิชาอื่นในคณะ และลามไปยังคณะอื่นๆ
เมื่ออาจารย์ที่เข้าโครงการ เล่าประสบการณ์ และแสดงความปรารถนา ต้องการขยายผล และต้องเผชิญปัญหาต่างๆ สารพัด ทั้งในภาคสนาม และในเป้าหมายชีวิตของนักศึกษา ที่พ่อแม่คาดหวัง ความรุ่งเรืองด้านโภคทรัพย์ ไม่ใช่ด้านการทำประโยชน์แก่สังคม แล้วอาจารย์จะมีวิธีชวนนักศึกษาเข้าโครงการ ได้อย่างไร
ผศ. นพ. เฉลิมชัย บุญญะลีพรรณ อดีตอธิการบดี มศว. และปัจจุบันเป็นสมาชิก สนช. แนะตัวอย่าง กลไกในมหาวิทยาลัยในออสเตรเลียชื่อ Shopfront ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงกับสังคม และในประเทศไทยก็มีโครงการ หนึ่งคณะหนึ่งอำเภอ เป็นตัวอย่าง และผมนึกถึง มจธ. มีอาคาร KX ไว้ทำหน้าที่เชื่อมโยงกับสังคม นอกจากนั้น อ. หมอเฉลิมชัยยังแนะวิธีเอาเรื่องสำคัญยิ่งนี้เข้าสู่โครงสร้างการบริหารภายในแต่ละมหาวิทยาลัย และท่านจะนำเรื่องไปสู่ระบบในระดับประเทศ
รศ. ประภาภัทร นิยม ชี้คุณค่าของการเรียนรู้ความรู้มือหนึ่ง ที่ได้จากการลงพื้นที่จริง ปฏิบัติจริง เป็นการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคนทั้งคน (whole person development ใน holistic education) ท่านเล่า ประสบการณ์การ facilitate เพื่อใช้ความสร้างสรรค์ของนักศึกษา ในการเรียนแบบลงมือทำ ให้เกิดผลจริง และเกิดการเรียนรู้ที่ต้องการ
ศ. ดร. ปิยะวัติ บุญ-หลง ชี้ว่าการขยายผลสู่การเรียนการสอน ทำได้ในหลายระดับ ทั้งตัวอาจารย์(ที่เข้าร่วม) เอง และเพื่อนอาจารย์ที่ใกล้ชิด รวมทั้งการขยายผลเข้าสู่ระบบใหญ่ของมหาวิทยาลัย ท่านยกตัวอย่างวิธีทำงานของ Shopfront ของ UTS ที่ทำมา ๑๘ ปีแล้ว ที่โฟกัสงานเฉพาะในซิดนีย์ และเฉพาะงานสาธารณะ ไม่ทำเรื่องธุรกิจ โดยทำงานออกไปคุยกับพื้นที่ หาความต้องการพัฒนา เอามาสังเคราะห์เป็นประเด็นหรือโจทย์สู่โครงการ การเรียนแบบ project-based นำเสนอต่อคณะต่างๆ ในUTS ให้เลือกโครงการเอาเอง
ในด้านการขยายสู่ผลงานวิชาการ ศ. ปิยะวัติ แนะนำให้กำหนด learning issue ที่ยังขาด ตั้งเป็นโจทย์ ออกแบบกิจกรรมให้ นศ. เรียน และวัดว่า กิจกรรมนั้นๆ สร้างทักษะที่ต้องการหรือไม่ ก็จะได้ผลงานวิจัย ด้านการเรียนรู้ที่ชัดเจน
ส่วนผลงานวิชาการรับใช้สังคม ต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงในชุมชนเป้าหมาย ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน
ผมชี้ให้เห็นว่า เรากำลังสร้างวงการวิชาการด้าน implementation ซึ่งเป็นแนวโน้มโลก ที่มีความรู้มาก แต่ไปไม่ถึงการใช้ประโยชน์ จึงต้องสร้างวิชาการแนวใหม่ ที่ไม่เน้นการสร้างทฤษฎีใหม่หรือความรู้ใหม่ แต่เน้นการนำทฤษฎีหรือความรู้ที่มีอยู่แล้ว ไปใช้ประโยชน์ เรียกว่า implementation science ซึ่งเป็นการสร้าง ความรู้เชิงบริบทของการใช้ทฤษฎีหรือความรู้ที่มีอยู่แล้ว ตัวความรู้เชิงบริบทนี้ มักต้องใช้ความรู้หลายสาขาวิชา ต้องมีการตั้งโจทย์หรือสมมติฐานของแต่ละสาขาวิชา เพื่อการดำเนินการและเก็บข้อมูลพิสูจน์ ดังนั้น การทำงานวิชาการรับใช้สังคม จึงสามารถส่งผลให้กิจกรรม ๑ โครงการ ตีพิมพ์ผลงานได้หลายรายงาน ตามแต่ละสาขาวิชา
เมื่อเข้าสู่ประเด็นการเปลี่ยนแปลงสังคม ผศ. นพ. เฉลิมชัยเสนอให้สร้างหนัง แสดงพลังของ การจัดการเรียนรู้ของนักศึกษา ตามรูปแบบของ UNC เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในวงกว้าง
บรรยากาศในห้องประชุม |
ผู้ทรงคุณวุฒิให้ความเห็นด้านการขยายผล |
ผศ. ชัยชาญ ถาวรเวช อธิการบดี มศก. ให้ความเห็น |
อีกมุมหนึ่งของห้องประชุม |
วิจารณ์ พานิช
๖ พ.ค. ๒๕๕๙
ไม่มีความเห็น