***** ผู้เขียนรู้จักกับชายผู้พิการทางสายตา ที่เรียกกันคุ้นหูว่า "ตาบอด" แต่กำเนิดคนหนึ่งค่ะ
***** พี่เขาชื่อ เอก ชื่อจริง "บุญมี" และชีวิตพี่เขาก็เป็นตามชื่อจริงๆ ค่ะ
***** พี่เอก ไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจเรื่องความพิการของตนเอง จะอารมณ์ดีตลอดวัน แม้ชีวิตที่น่าสงสาร จะเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิด เมื่อพ่อแม่ได้นำไปทิ้ง และพระสงฆ์มิสชันนารีได้เก็บมาเลี้ยง จึงตั้งชื่อว่า บุญมี
***** พอโตสักระยะได้เข้าเรียนในโรงเรียนสอนคนพิการของซิสเตอร์คณะซาเลเซียน และที่นั่นได้สอนให้คนพิการ เห็นคุณค่าของตนเอง และเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตัวเองเพื่อไม่ให้เป็นภาระของสังคม
***** พี่เอก เป็นคนพิการที่ผู้เขียนชื่นชมมาก เพราะนอกจากจะอารมณ์ดี มองโลกในแง่บวกแล้ว ยังสร้างความสนุกสนานให้กับทุกคนที่อยู่รอบข้าง พี่เขาสามารถช่วยงานทุกอย่างที่คนตาดีทำได้ค่ะ
***** ความสามารถเฉพาะตัวจะเก่งเรื่องเทคโนโลยีสมัยใหม่มากๆ โทรศัพท์นี่ไม่ต้องพูดถึงค่ะ พี่เขาสามารถโทรออก รับสาย ฝากข้อความ และจดจำเบอร์ได้อย่างแม่นยำ นอกนั้นยังได้เรียนภาษาเบล สามารถอ่านหนังสือได้อย่างคล่องแคล่ว เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วด้วยการฟังเสียงและจดจำเรื่องราวต่างๆ
***** ที่ชอบมากคือ พี่เขาสามารถถ่ายภาพได้อย่างสวยงาม อาศัยเพียงการฟังเสียงว่าเรายืนตำแหน่งไหน ภาพที่ออกมาคมชัด สวย พูดง่ายๆ ว่าเป๊ะค่ะ
***** เวลาไปที่ไหน ก็จะกล่าวว่า ที่นี่ก็สวย บ้านก็สวย ทำท่าเหมือนมองเห็นทุกอย่าง ทุกคนก็จะพลอยมีความสุขไปด้วย ที่สำคัญมีจิตใจดีงาม ชอบช่วยเหลือคนอื่น ทั้งๆ ที่ตาบอด สิ่งที่พี่เขาทำเป็นประจำคือการไปบริจาคโลหิต เพราะเขาบอกว่า สิ่งเดียวที่เขาทำได้ เพราะเขาไม่มีเงินทองจะให้ แต่ผู้เขียนคิดว่า...นั่นคือสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด
***** ผู้เขียนคิดว่าการที่คนเราเกิดมาแตกต่างกัน ไม่ได้หมายความว่าใครดีกว่าใคร แต่ที่แตกต่างเพราะเราต้องช่วยเหลือกัน ขอบคุณที่ได้รู้จักชายตาบอดคนนี้ และได้มีโอกาสช่วยเหลือตามความสามารถ ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการทำงานนะคะ happy ba ค่ะ
เป็นเรื่องราวที่ ครูบาอาจารย์/พ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กและเยาวชนทั้งหลาย ควรนำไปให้ลูกศิษย์/บุตรหลานของตน ที่ไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตนมี/ตนเป็น ได้ศึกษาเป็นกรณีตัวอย่าง เป็นอย่างยิ่งค่ะ
คนพิการเขาจะต้องต่อสุ้และเพียรพยายามอย่างมากๆ กว่าคนเราปกติทั่วไปที่ทำงานก้มีหลายคนที่แขนขาพิการแต่ก้สามารถทำงานได้เคียงบ่าเคียงไหล่กับคนอย่างเรา
ขอชื่นชมด้วยความจริงใจครับ
เห็นด้วยกับพี่ไอดิน - กลิ่นไม้ ที่ต้องนำเล่าสู่กันฟังกับคนที่ท้อแท้ และชอบมองโลกในแง่ร้าย ดีมากค่ะที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆค่ะ
(นำภาพสะพานข้ามแม่น้ำน่านที่บ้านตอนนี้ มักจะเล่าให้ลูกฟังว่า สมัยก่อนแม่ไปโรงเรียนลำบากมาก ยังไม่มีสะพานแบบนี้ สะพานไม้ขาดต้องใช้เรือแจวแบกจักรยานใส่เรือแล้วยังเข็นขึ้นเนินสูง บางวันฝนตกกระเป๋าหนังสือเปียก ห่อข้าวเปียกปั่นไป รร. อีก 8 กิโล ฯลฯ )
-สวัสดีครับ..
-ชื่นชมบันทึกนี้..ชื่นชมพี่เอก ผู้มีอารมณ์ดีครับ...
-คนเราเกิดมาแตกต่างกัน ไม่ได้หมายความว่าใครดีกว่าใคร..
-ขอบคุณมิตรภาพดี ๆ ครับ
.... คนเราเลือกเกิดไม่ได้ ..... แต่เลือกที่จำทำสิ่งดีดีได้ .... ตามบริบทของแต่ละคนได้ .... นะคะ .....
แวะมาขอบคุณที่แวะไปให้กำลังใจนะครับ
อ่านบันทึกนี้แล้ว ตอกย้ำความแตกต่างของผู้คนที่ล้วนหนุนเสริม เติมเต็ม -ลมใต้ปีกแห่งกันและกัน...
หรือแม้แต่การเติบโต ด้วยหัวใจแห่งการเรียนรู้ด้วยเช่นกัน...
เป็นเรื่องน่าทึ่งและน่าชื่นชมอีกเรื่องหนึ่งคะ
ขอบคุณที่นำมาบอกเล่ากันนะคะ
Positive thinking
ผู้เขียนคิดว่าการที่คนเราเกิดมาแตกต่างกัน ไม่ได้หมายความว่าใครดีกว่าใคร แต่ที่แตกต่างเพราะเราต้องช่วยเหลือกัน ผมเห็นด้วยครับพี่และเชื่อว่าพระเจ้าให้สิ่งหนึ่งมาทดแทนสิ่งที่หายไปขอบคุณพี่มากนะครับ ที่แบ่งปัน
ชีวิตต้องสู้ ถ่ายทอดความคิด โดยปราชญ์ของสังคม คุณน้าจารุวรรณ ศรีวรกุล
ดีค่ะ พูดคุยกับปราชญ์ที่เราคิดว่าเขาด้อยโอกาส เยอะๆ แ่ล้วนำมาถ่ายทอด
อย่างน้อยจะได้เรียนรู้ว่าคนเหล่านั้น เขาสามารถใช้ชีวิตในโลกนี้ได้อย่างไรในความพิการของเขา
แล้วย้อน ถามตัวเราเองสิว่า ถ้าเราเป็นเขา เราจะทำได้อย่างเขาไหม