ความในใจจากคนไทยคนหนึ่ง : e-mail เล่าเรื่องราวจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ


ผมได้รับอีเมลฉบับนี้ เมื่อเช้าวันนี้เอง จากกัลยาณมิตรท่านหนึ่งของผมใน Facebook ผมมองว่า บทความที่เขียนความในใจตรงไปตรงมา เป็นความรู้สึกของคนไทยคนหนึ่ง ที่รักชาติ รักแผ่นดิน

บันทึกนี้เป็นมุมมองที่น่าสนใจทีเดียวครับ หากท่านเปิดใจให้กว้างในการอ่าน ในการวิเคราะห์อย่างใจเป็นกลาง 

เเม้ว่าสถานการณ์จะร้อนเเรงจนฝุ่นตลบช่วงนี้ เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความจริงคนละชุด ของคนหลากกลุ่มที่มีมุมมองต่าง บางทีใช้เหตุผลไม่มีข้อยุติด้วยเหตุผล 

ช่วยกันคิดในระยะยาวด้วยนะครับ ว่า "ความเหลื่อมล้ำ" นั้นเป็นความจริงในสังคมไทย แต่เราจะช่วยกันทำอย่างไรให้ช่องว่างระหว่างผู้คนลดลง (แคบลง) ตามที่บันทึกนี้ได้นำเสนอ ผมว่าหากจะปฏิรูปประเทศไทย ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ควรพิจารณาครับ

อย่างไรก็ตาม อีเมลที่ส่งมาหาผม เเจ้งว่า สามารถนำเสนอเรื่องราวเหล่านี้ และยินดีเปิดรับการเเลกเปลี่ยนความคิดเห็น...ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทำให้ประเทศไทยเราเดินต่อไป

 


 

เสียงหนึ่งจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

sophat

 

เมื่อวานนี้ผมได้ไปร่วมการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อหลากสีที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จริงๆ ตั้งใจไปเพื่อเป็นห่วงพี่ชาย อยากไปดูกับตาว่ามีคนดูแลความปลอดภัยให้กับเขาแค่ไหน ก็ดีใจและภูมิใจที่ได้เห็นคนจำนวนมากชื่นชมพี่ชายตัวเอง ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

ผมเข้าใจคนกรุงเทพที่ได้รับผลกระทบจากการที่กลุ่มเสื้อแดงมาชุมนุมที่กรุงเทพ ปิดถนน มากันอย่างยืดเยื้อและหลายครั้ง แต่ตราบใดที่เราชาวกรุงเทพและคนไทยโดยเฉพาะในหัวเมืองใหญ่ไม่เข้าใจว่า ทำไม ทำไมคนต่างจังหวัดโดยเฉพาะในชนบทจึงยอมมาชุมนุมกันเพื่อทักษิณ เราจะไม่มีวันแก้ไขปัญหานี้ได้ และสงครามชนชั้นที่กลุ่มเสื้อแดงปลุกปั่น มันจะเป็นจริงใ < script src="http://gotoknow.org/javascripts/tinymce/jscripts/tiny_mce/themes/advanced/langs/en.js?1264282527" type="text/javascript"> นวันหนึ่งไม่ไกลข้างหน้านี้

คนชนบทจำนวนมากจงรักภักดีต่อในหลวง ต่อราชวงศ์ แต่พวกเขาก็ชื่นชมและรักทักษิณในฐานะนักการเมือง ในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ช่วยให้พวกเขาสามารถมีชีวิตประจำวันที่พอจะอยู่ต่อไปได้ในสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เมื่อมีการเรียกชุมนุม พวกเขาจึงออกมา ใช่ส่วนหนึ่งพวกเขาอาจจะรับเงินมา แต่คนชนบทนะครับ ถ้าไม่ลำบากจนเลือดตากระเด็น เขาไม่ย้ายถิ่นหรอกครับ พวกเขาติดที่ครับ ทำไมพวกเขาต้องอพยพมาใช้แรงงานอยู่กรุงเทพ ทำไมพวกเขาต้องยอมรับเงินมาชุมนุม เพราะเขาไม่มีจะกิน แต่สำหรับพวกเขา ทักษิณเป็นนายกฯ คนแรกและคนเดียวที่ทำให้พวกเขาเข้าถึงแหล่งเงินได้ ทำให้พวกเขาต่ออายุชีวิตตัวเองได้ แม้ว่าจะเป็นการชั่วคราวก็ตาม

ผมได้มีโอกาสไปร่วมทำงานวิจัยของหลักสูตรปริญญาโทและเอกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยรองศาสตราจารย์ ดร อัจฉรา จันทร์ฉาย ท่านรับงานวิจัยนี้มาจากมูลนิธิชัยพัฒนา ที่ต้องการทราบว่าชาวบ้านที่ตำบล..... อำเภอ...... จังหวัด.......มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นไหม หลังจากมูลนิธิฯ ได้เข้าไปพัฒนา ตำบลอยู่ติดกันกับตัวเมืองที่มีไก่ย่างชื่อดังของประเทศ แต่จนมากครับ จนจริงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าใกล้วิเชียรบุรีขนาดนี้ ยังจนได้แบบนี้ แล้วที่ติดชายแดนไปเลย มันไม่อดตายกันไปแล้วเหรอเนี่ยะ

จากการลงพื้นที่ ผมได้พบว่าพื้นที่เกือบทั้งตำบลไม่มีโฉนด มีแต่ใบเหยียบย่ำ ชาวบ้านมีอาชีพทำนา ปัญหา Classic ตลอดกาลคือขาดแหล่งน้ำ ขาดปุ๋ย ขาดไปหมด ชาวบ้านหลายคนรู้จักการเกษตรทฤษฎีใหม่ แต่ไม่สามารถทำได้เพราะไม่มีแหล่งน้ำ หลายคนอยากเลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา แบ่งพื้นที่อย่างที่ในหลวงท่านสอน แต่ทำไม่ได้ เพราะอะไร เพราะท้องนาอยู่ห่างจากบ้านที่พวกเขาอยู่ เช้าขึ้นพวกเขาต้องนั่งรถอีแต๋นเข้าไปนาของตัวเอง ถ้าเลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ก็คงมีคนมาช่วยเก็บไปตอนกลางคืนหมดครับ คนใจดีมีเยอะ เอาไปเฉยเลย ขนาดเกี่ยวข้าวตากไว้ข้างนา ยังมีคนใจดีมาเก็บขึ้นรถไปตอนกลางคืน เรียบ

การทำนาของพวกเขา เริ่มจากการต้องไปกู้ยืมเงินจาก ธกส. เพื่อมาซื้อพันธุ์ข้าว ซื้อปุ๋ย ซื้อยาฆ่าหญ้า ซื้อยาฆ่าแมลงศัตรูพืช จ้างรถไถ รถหว่าน แต่เนื่องจากพื้นที่ทั้งหมดเป็นใบเหยียบย่ำ เงินกู้ที่ได้จาก ธกส. จะได้น้อยกว่าโฉนด หรือ นส. 3ก อย่างมาก เงินที่ได้มาแค่เพียงพอต่อการใช้จ่ายที่บอกมาข้างบนนั่นแหละครับ ไม่เหลือมาไว้กินประจำวันด้วยซ้ำ เมื่อเวลาจะเก็บเกี่ยว ต้องจำเป็นต้องจ้างรถมาเกี่ยวอีกนะ ต้องหาลานตากข้าว แถมต้องลุ้นอีกว่าฝนมักจะตกเอาตอนใกล้เก็บเกี่ยวนี่แหละ ทำให้ข้าวชื้น ขายไม่ได้ราคา เงินทองที่ขายข้าวได้ แค่พอสำหรับใช้หนี้ ธกส ครับ แล้วก็กู้ยืมกันใหม่ เป็นวงจรแบบนี้ ปัญหาคือแล้วแต่ละวันที่กินอยู่จะเอาที่ไหนกิน

เชื่อไหมครับ ชาวบ้านบอกว่าหน่วยราชการแทบจะไม่เคยเข้ามาเหลียวแลพวกเขาเลย พวกเขาโชคดีมากที่ชาวบ้านคนหนึ่งเป็นคนขับรถหรือทำงานให้กับนางสนองพระโอษฐ์สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ท่านได้รับฟังแล้วก็เสด็จพระราชดำเนินมาเมื่อปี 2550 (ถ้าผมจำไม่ผิด) ชาวบ้านดีใจมาก และหน่วยราชการก็แห่กันเข้ามาตามเสด็จ สิ่งที่เรารับทราบจากการคุยกับชาวบ้านคือ พวกเขาไม่แน่ใจว่าหลังจากเสด็จแล้ว ราชการจะยังสนใจพวกเขาอีกต่อไปไหม หรือแค่มาเอาหน้ารับเสด็จเท่านั้น อาศัยว่ามูลนิธิชัยพัฒนาเข้ามาประจำที่ตำบลเลย ก็คงพอใจชื้นได้หน่อย เลยร้ายกว่านั้น เขาบอกเราว่า อบต ทำโครงการรับเสด็จ ซื้อป้ายผ้า ซื้อธงรับเสด็จไป 600,000 บาทครับ ใช่ครับ หกแสน มันอะไรกันนี่ เอากันทุกเม็ดจริงๆ

กลับมาเรื่องการดำรงชีวิตประจำวันของพวกเขา นี่เป็นจุดที่ทำให้พวกเขารักทักษิณ กองทุนหมู่บ้านครับ เขาสามารถกู้เงินประมาณ 20,000 – 40,000 บาทได้เพื่อเอามาเลี้ยงดูชีวิตตัวเองและครอบครัวในระหว่างที่ยังเกี่ยวข้าวไม่ได้ มันอาจจะเป็นเงินจำนวนน้อยสำหรับคนกรุงเทพ แต่มากมายสำหรับเขา มันคือการต่อชีวิต เชื่อไหมครับว่ามีบางบ้านไม่มีจะกิน ต้องรอเวลาวัดมีงานบุญงานบวช เพื่อจะได้ไปกินข้าววัด หลายบ้านเลี้ยงปลาตามที่มูลนิธิแนะนำ แต่ต้องเลี้ยงในตุ่มครับ อาหารจะกินยังไม่ค่อยจะมี แล้วจะเอาอาหารไหนไปเลี้ยงปลา เราไปทำวิจัยแล้วเรามีปลากระป๋อง 1 กระป๋องและไวไว 1 ซองให้พวกเขา อยากให้ทุกคนเห็นหน้าพวกเขาจริงๆ หน้าตาดีใจสุดๆ ว่าวันนี้มีอาหารกินแล้ว มันเศร้านะครับ ประเทศเดียวกันนะเนี่ยะ ทำไมมันต่างกันขนาดนี้

ด้วยสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจของพวกเขา ไม่มีทางที่จะไปหาเงินกู้ถูกกฎหมายได้เลย เงินกู้นอกระบบตอนที่เราไปเจอเนี่ยะ ร้อยละ 5 ต่อเดือนนะครับ 60% ต่อปีครับ ตายชัวร์ พวกเขาเจ็บป่วย 30 บาทรักษาทุกโรค เขาไม่รู้หรอกครับว่ามันสร้างปัญหาให้กับโครงสร้างการเงินของระบบสาธารณสุขโดยรวมของประเทศอย่างไรบ้าง แต่มันทำให้พวกเขารอดและมีชีวิตต่อไปได้ครับ มีชาวบ้านบางคนบอกเราว่าทักษิณเป็นนายกฯ คนแรกและคนเดียวที่ทำตามสัญญาจริงๆ ว่าจะมีเงินมาถึงมือพวกเขา และพวกเขาได้จับต้องเงินนั้นจริงๆ และที่สำคัญเมื่อเก็บเกี่ยวได้ เขาไม่เคยเบี้ยวหนี้นะครับ เอาไปใช้หนี้กองทุนหมู่บ้าน แล้วกู้ต่ออีกรอบ

ตราบใดที่หน่วยราชการยังคงไม่ทำงานตามที่ตัวเองต้องกระทำ หรือประสานงานกันระหว่างหน่วยงานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เมื่อนั้นความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจก็จะห่างออกไปเรื่อยๆ ในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์ทำงานไม่ไหวหรอกครับ มูลนิธิชัยพัฒนามีคนทำงานไม่ถึงร้อยมั้ง และถ้าคนกรุงเทพเองไม่เข้าใจว่าทำไม พวกเขาก็จะถูกปลุกปั่นให้ออกมาแบบนี้ได้ง่ายมากครับ เพราะเราไล่คนที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นคนที่ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้ไปนอกประเทศ เราบอกว่าพวกเขาเป็นควายโง่ ผมว่าพวกเขาจำนวนมากไม่ได้โง่หรอกครับ แต่เพราะเหตุผลที่เล่ามาทำให้พวกเขายอมมากันครับ ไม่ได้มีใครบนเวทีนั่นบอกตรงๆ หรอกครับว่ามันจะมาล้มล้างราชวงศ์ ลองบอกดิ คงไม่เหลือคนชุมนุมเท่าไหร่หรอกครับ แต่มันพูดถึงช่องว่าง พูดถึงชีวิตที่ลำบาก พุดถึงโครงการที่ทักษิณทำให้ แล้วต่อไปนี้จะไม่มีแล้วนะ เพราะเราไล่เขาไป พุดแบบนี้คนมันก็ของขึ้นซิ เขาก็มาซิ แถมได้เงินทองกลับบ้านไปต่อชีวิตด้วย ก็มาแน่ครับ

เรื่องราวของตำบล.....ยังมีอีกมาก เพราะนิสิตปริญญาโทและเอกไปกันเกือบ 60 คน ผมคนเดียวจำไม่หมด แต่มันก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ไม่อยากจะเชื่อว่ายังเหลืออยู่ ผมอยากจะบอกว่าตราบใดที่คนกรุงเทพไม่เข้าใจปัญหาชนบทอย่างแท้จริง หน่วยราชการไม่ทำงานอย่างเต็มที่ ตราบนั้นมันก็จะเป็นช่องว่างให้นักการเมืองใช้เป็นเหตุผลในการระดมคน ในการตอกลิ่มสงครามชนชั้นให้ถ่างออกไปได้ครับ และมันจะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การแย่งชิงทรัพยากรจากชนบทมาให้คนเมือง การทิ้งขยะอุตสาหกรรมที่เมืองสร้างไปไว้ที่ชนบท สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำความแตกต่างทางชนชั้นนี่แหละครับ ถ้าเราไม่ช่วยกันทำความเข้าใจ ไม่ช่วยกันกดดันรัฐบาลและหน่วยราชการทุกหน่วยให้เข้าใจประชาชน อ่อนน้อมต่อประชาชน ร่วมกันพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ปัญหานี้ก็จะมีอยู่ต่อไป ไม่มีทางจบหรอกครับ ในหลวงท่านทำมาตลอดพระชนม์ชีพ ถ้าพวกเราไม่ร่วมมือช่วยเหลือท่านในการทำงาน ในการผลักดัน กดดันนักการเมืองและราชการเพื่อให้พี่น้องชนบทของเรามีชีวิตที่ดีขึ้น มันก็จะเป็นวัฎจักรแบบนี้ต่อไป

มาร่วมมือกันเถอะครับ สถาบันการศึกษาทุกระดับชั้น องค์กรรัฐ องค์กรธุรกิจ คนกรุงเทพทุกท่าน อย่าทำ CSR กันแบบฉาบฉวยเลยครับ มาร่วมมือกันทำอย่างถาวรเถอะ มาร่วมกันคิดว่าจะทำอย่างไร ความเหลื่อมล้ำนี้จะลดลง มันไม่หมดไปหรอกครับ ไม่มีทางหรอก และเป็นไปไม่ได้ด้วย แต่มันต้องแคบลง มันต้องดีขึ้น เมื่อนั้นประเทศนี้จะเป็นของพวกเราทุกคน เป็นที่ที่เราทุกคนภาคภูมิใจว่านี่คือประเทศที่เราร่วมกันสร้างขึ้นมาครับ

 


 

 

*** ขออนุญาตแก้ไข ดัดแปลงต้นฉบับโดยตัด ชื่อสถานที่ออกไป


ขอบคุณ อีเมลจากคุณ sophat  กัลยาณมิตรท่านหนึ่งของผมใน Facebook  

หมายเลขบันทึก: 352505เขียนเมื่อ 19 เมษายน 2010 09:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 พฤษภาคม 2012 19:17 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (24)

เข้าใจคนเสื้อแดงมากขึ้นนะเนี่ยว่าทำไมถึงมารับเงินประท้วง

หากเราก้าวพ้นเรื่องสีเสื้อ เราก็เห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ จะเป็น "ความจริงวันนี้" ก็ไม่ผิด เเละที่สำคัญความจริงเหล่านี้ดำรงมานานในสังคมไทย ที่คนรวยก็รวยล้นฟ้า คนจนก็เเทบจะกินดินแทนข้าว...ก็เป้นโจทย์ที่คิดต่อว่า ต่อจากนี้ทิศทางในการปฏิรูปประเทศจะมองเรื่องใด

ให้กำลังใจกันทุกฝ่ายไปครับ...แต่ขอให้สันติ อหิงสา อย่างแท้จริงในการเรียกร้อง

รักเมืองไทย รักในหลวงครับ

ขอบคุณครับ คุณปริมปราง

หากเราเปลี่ยนจากคำว่า "แข่งขัน" เป็น "แบ่งปัน" ฐานความคิดน่าจะกว้างกว่านี้นะครับ

เป็นกำลังใจให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปครับ

สวัสดีพี่เอกครับ...

ปัญหาความยากจน มันหยั่งลึก จนบางครั้งต้องทำสิ่งที่ต้องเลี้ยงชีพ

หลายปัญหาที่หนักหนาสำหรับชาวชนบท ทั้งที่ดินทำกิน ภัยธรรมชาติ ราคาตกต่ำ หนี้สิน อาชญากรรม ความไม่เป็นธรรม การที่ไม่ได้รับการเหลียวแลอย่างเป็นธรรมในระยะยาว ซึ่งล้วนแต่ยากที่จะแก้ในระยะสั้น

ขอบพระคุณบทความเสียงสะท้อนจากคนนอกเมืองครับ...

สวัสดีค่ะน้องเอก

  • อ่านบนทึกนี้ช่วยเติมเต็มให้กับคนอื่นๆ
  • เราอยู่ด้วยความไม่เข้าใจกัน
  • ความแตกแยกเกิดจากความไม่เข้าใจกัน
  • แต่ทุกคนมีศูนย์รวมที่เดียวกัน  คือ ชาติ ศาสนา  พระมหากษัตริย์
  • เมื่อมีผู้กล้านำให้ทุกคนได้แสดงออกในทางที่ถูกต้อง
  • เราจึงชื่นชม "เขาเป็นวิรบุรุษของชาติ"
  • ขอให้เหตุการณ์จบลงด้วยความเข้าใจกัน รักกันเหมือนเดิม
  • ขอบคุณค่ะ

 

สวัสดีค่ะน้องเอก

       ขอบคุณบทความที่ให้ความเข้าใจมากขึ้น

       เห็นด้วยอย่างที่น้องเอกว่า หากเราก้าวพ้นเรื่องสีเสื้อ เราก็เห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ จะเป็น "ความจริงวันนี้" ก็ไม่ผิด เเละที่สำคัญความจริงเหล่านี้ดำรงมานานในสังคมไทย ที่คนรวยก็รวยล้นฟ้า คนจนก็เเทบจะกินดินแทนข้าว

มันเป็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่แก้ยากนะคะขอให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี  ความสงบสุขจะได้กลับคืนมาเสียที  น้องเอกสบายดีนะคะ  ระลึกถึงเสมอค่ะ

สวัสดีค่ะพี่เอก

มันเป็นปัญหาใหญ่ ที่ไม่ได้แก้ไขได้ในวันสองวันหรือเดือน สองเดือนเลยนะคะพี่เอก   ปัญหาปลีกย่อยยังมีอีกมากมาย

ขอให้ทุกๆ ฝ่ายเข้าใจและรับฟังปัญหาเพื่อแก้ไขปัญหาที่แต่ละฝ่ายได้รับจริงๆ

ดีกว่าเอาชนะหรือเพื่อใคร คนใดคนหนึ่งเสียทีนะคะ

ขอบคุณบทความดีๆ ค่ะ

  • ความเหลื่อมล้ำในสังคมมีจริง
  • การแก้ปัญหาหาความเหลื่อมล้ำต้องให้เกิดผลระยะยาว คือ คนจนยืนได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน และพอเพียง
  • ความยั่งยืน คือ เมื่อ เม็ดเงินหรืออะไรที่ใสเข้าไปหยุด พวกเขาต้องยืนต่อไปด้วยตัวเอง...นั่นคือ ...ไม่ติดการพึ่งพา
  • ความพอเพียงไม่ใช่การต้องการรายได้มากเท่าคนเมือง...ความพอเพียงไม่ใช่การมีวัตถุ...การมีมือถือ...การมีรถจักรยานยนต์...การมีโทรทัศน์...ด้วยเงินอนาคต
  • ความพอเพียงคือ การประมาณตน และแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่โดยไม่โหยหาสิ่งที่เกินกำลังตน
  • การที่ใครสักคนลดความเหลื่อมล้ำเป็นสิ่งควรสรรเสริญ  แต่ต้องคำนึงถึงความยั่งยืน และพอเพียง ไปในขณะเดียวกัน
  • ถ้าใครสักคนทำสิ่งนี้เพื่อให้ตนเองได้รับสิ่งตอบแทน...ได้รับอำนาจเหนือ...เขาคนนั้นไม่ควรได้รับการสรรเสริญ
  • พี่ไม่เคยปฏิเสธความเหลื่อมล้ำว่ามีอยู่จริง...เพราะพี่เคยจน...เคยเป็นคนทำนา..คนขายของเลี้ยงชีพ  คนหนักเอาเบาส้...และพอใจกับความพอเพียง
  • มีห้างใหญ่เกิดขึ้นในตัวจังหวัดที่เรียกว่า "Complex" คือมีทุกอย่างที่พร้อมจะดูดเงินในกระเป๋าผู้คน  ไม่ว่าจะมีเงินในกระเป๋ามาก มีเงินในกระเป๋าน้อย  คนที่บ้านชวนไปเดิน  พี่ไปเดินแต่พี่ไม่รู้สึกมีความสุขกับที่แห่งนี้  แม้จะชอบดูหนัง ชอบร้านหนังสือ ชอบร้านอาหาร ชอบร้านไอศครีม
  • พี่คิดไปถึงพ่อค้า แม่ขาย รายเล็กรายน้อย ที่ยังชีพด้วยการค้าขาย พวกเขาถูกแย่งลูกค้าโดยห้างใหญ่...รายได้พวกเขาหายไป
  • พี่คิดถึงคนที่รู้จักมักคุ้นว่าเงินเดือนเขาไม่มากมายที่มานั่งทานอาหารมื้อละเป็นพันนั่งทานไอศครีมถ้วยละร้อย  แล้วกลับไปนับเงินในกระเป๋าพบว่าเงินที่เผลอจ่ายไปครอบครัวสามารถใช้ซื้ออาหารธรรมดาๆ กินได้หนึ่งสัปดาห์
  •  ระยะหลังพี่ใคร่ครวญเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมมากกว่าเก่า....ว่าจริงหรือที่ปัญหานี้...นำไปสู่ความแตกแยกในสังคมได้ขนาดนี้

สวัสดีครับอาจารย์เอก

ผมได้อ่านแล้วรู้สึกประทับใจมากครับ อ.ว่า เหตุการบ้านเมืองเราจะเดินต่อไปอย่างไรครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเรื่องการเมืองอยู่บ้างครับ อ.มีบทความที่ประทับใจช่วยแบ่งปันคนมีความรู้น้อยอย่างผมบ้างนะครับ

ขอบพระคุณครับ

....หากว่า...ข้าราชการนักการเมืองและราษฎร..ที่มีเงินเดือนเกินกว่าหมื่นบาท...เอาเวลาทำงานหนึ่งในสี่..ของการทำงานในหน้าที่...ไปทำงานผลัดเปลี่ยนหรือเป็นแรงงานเสริมให้กับชาวไร่ชาวนา..งานทำความสะอาดบริการสารธารณะเป็นต้น....ทุกคนได้มีโอกาศ...ฝึกฝนปฏิบัติสิ่งที่เรียกว่าจน...หนัก..ให้..เข้าใจ..ถึงความที่แตกต่างแต่ไม่แตกต่าง...เมื่อไรก็เมื่อนั้น...สีต่างสี...คงจะรวมเป็นสีเดียว....(ไม่ต้องมีใครบังคับ..หากทำด้วยใจ..ที่จริง).....( ยาย..ฝันไป..และตกใจตื่น...เลยมาปันฝันนี้ให้..คุณเอก..ด้วยคน..อะๆ..ยายธีค่ะ)

ขอ ลปรร ด้วยคนค่ะ

ฟังเสียงชาวบ้านภาคกลาง-นครปฐมนี่เอง (ไม่ต้องไกลถึงดินแดนเหนือและอีสาน) เกษตรกรมีรายได้/ไม่มีรายได้ ขึ้นกับดินฟ้าอากาศอย่างเดียว(จริง ๆ) หรือบางครั้งพอไหว ๆ กับการช่วยเหลือตัวเองเท่าที่ทำได้

เมื่อไม่มีใคร (คงต้องอาศัยทั้งนักการปกครอง นักวิชาการ ฯลฯ)ช่วยในเรื่องการวางแผนระยะยาว ให้การสนับสนุน มีการวางแนวทางแก้ไขปัญหาอื่น ๆ ที่มีมาเช่น ปัญหาภาวะโลกร้อน ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาโรคของนาข้าว ไร่อ้อย ผลไม้ฯลฯ

เมื่อไม่มีที่พึ่ง พอประสบปัญหาเข้าจริง ๆ การงาน การเงินของเขาหมดสิ้นเนื้อประดาตัวกันเลย...

 

นี่แค่ตัวอย่าง และคนนี้ที่พูดคุยให้พี่ฟัง เขามีความรู้นะคะ เรียนการตลาดมา ศึกษาการเกษตรเอง

(และเขารักในหลวงมาก ๆ)

 

พี่น้องทางแดนไกล พี่ได้ยินว่า เขาลำบากเรื่องเงินทับถมทวีคูณ ดังนั้น สิบเบี้ยใกล้มือ หรือ ใครให้เขาง่าย ๆ เพื่อประทังชีวิต เขาย่อมมีความคิดดี ๆ ตอบ

ความรู้อีกเล่าคะ ความรู้ทางการเมืองพื้นฐาน เขามีโอกาสรับรู้ เรียนรู้หรือ

.....

เราคนไทยที่รัก ประเทศไทย คนไทย รักในหลวง ลองช่วยกัน แปรวิกฤติเป็นโอกาส

ฟื้นฟู ดูแล ประคับประคอง รับฟังอย่าง ไม่มีความโกรธ

ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ปัญหาคนละไม้ละมือ ปฏิรูป ..หรือวิธีไหนก็ได้ที่เป็นรูปธรรม เช่น ระบบสหกรณ์ ถ้าทำได้อย่างมีประสิทธิผล ช่วยพี่น้องเราได้หรือไม่..

 

พี่เม้นท์ทั้งที่พี่เองมีความรู้ไม่มากนัก ทั้งการเกษตร การเมือง การปกครอง

อาศัยว่าเห็น ดู มอง จากประเทศบางประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ อิสราเอล เวียดนาม พม่า ลาว เขาไม่ทิ้งการเกษตร นะคะ

อยากร่วมด้วยช่วยกัน

อยากเห็นไทยแลนด์ เป็นแลนด์ออฟสไมล์ดังเดิม

อยากให้ ไทย ทุกคนรักกัน

อยากให้สถานการณ์คืนสู่ความสงบโดยเร็ว

 

และเหนือสุด อยากเห็นพระพักตร์ของในหลวงที่เปี่ยมด้วยรอยพระสรวล เร็ววัน ค่ะ

ทางออก คือ ???

หาจุดลงยากมานะครับพี่เอก..

ขอบคุณนะครับ

เคยสอนที่โคกปรงวิทยาคมมาก่อนเหมือนกันคะ

จำได้ตอนนั้น กันดารมาก

แต่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบนะคะ

ขอเพียงเราทุกคนต่างคิดถึงคนอื่นบ้าง

รู้จักแบ่งบันกันบ้าง สังคมคงน่าอยู่กว่านี้นะคะ

ถ้าเรามองแต่ตัวเรา เราคงเห็นแต่ตัวเอง

แล้วทำอะไรที่ เห็นแก่ตัว โดยไม่รู้ตัวเอง.... ว่าทำไปเกินไปรึป่าว

( อ่ะ..... นี้ไม่ได้อยู่สีไหนน้าค้า )

ผมชอบบันทึกนี้ที่เดิน "ทางสายกลาง" ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้

ผมชอบ "ข้อเท็จจริง" ที่ไม่ได้เกิดจากการหวังผลประโยชน์..โดยไม่ใช่ผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง

ขอบคุณมากครับ ;)

สวัสดีค่ะ

  • มาก่อนเราซะอีก  อาจารย์...เจ้าของวันเกิด
  • ขอเชิญไปอวยพรวันเกิด  ที่นี่ค่ะ
  • http://gotoknow.org/blog/krukim/352703

อยากให้คนไทยทุกคนได้อ่านจังเลย

เราก็รู้กันทุกคนนะคะว่า"รากหญ้า"

ของเราจมลงไปในพื้นดินแล้ว..แต่วิธีการ

และกระบวนการ..จะทำอย่างไรให้แก้ไขได้ดีกว่านี้

เห็น"ลุงเอก" ออกหน้าแล้ว..ใช่ไหมคะ

 อ่านบันทึกนี้แล้ว ดีใจ และภูมิใจแทนคนในชนบทค่ะ

หลายฝ่ายต่างเห็นใจ และให้กำลังใจ

อยากให้มีทางออกที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาเชื่อมต่อความไม่เข้าใจกัน ของคนเมืองและคนชนบท ที่บางคน บางกลุ่มฉวยโอกาสเอาประเด็นนี้มาปลุกระดมให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม

บันทึกนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ใครละ หน่วยงานไหน องค์กรใด ที่จะเป็นเจ้าภาพออกหน้าออกตา ...อยากรู้ ๆ

ความร่วมมือกันทุกองค์กร พูดง่าย แต่ทำยาก นักการเมือง ข้าราชการ ที่หวังผลประโยชน์ ทำงานเอาหน้าตา ก็มีมาก ...บางโครงการทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน เอาไว้ก่อน บางโครงการเป็นไฟไหม้ฟาง แต่ได้หน้าได้ตา ...อนุมัติ

เดินทางสายกลาง อย่างพระพุทธองค์ว่า ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

ปล่อยวางซะบ้าง ...ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ (บอกตัวเองด้วยค่ะ)

คิดถึงน๊า...ขอบคุณค่ะ...^_^

คติเตือนใจ ในวัดโพธิ์ศรี จ. หนองคาย

ผมไปแล้วไม่ได้รับเงินแม้แต่บาทเดียวนะครับ

มีแต่เขาเลี้ยงข้าว เลี้ยงน้ำ ถ้าอยากกลับบ้าน เขาก็ลงขันค่ารถกันกลับ

หรือมีเงินส่วนกลางเอาไว้ให้ค่าน้ำมันกลับบ้าน

สื่อที่ออกมากับเรื่องจริงๆ นะตรงนั้นมันต่างกันครับ

ผมไปแล้วถึงรู้ พวกคุณไม่ไปก็ไม่มีทางรู้หรอก

ใครที่ฆ่าประชาชนก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจตัวเอง

สวัสดีครับ มาติดตามครับเล่าเรื่องราวจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

ขอคุณครับ ขอให้คนไทยโชคดีมีใจเป็นหนึ่งเดียว

ความเหลื่อมล้ำมีอยู่จริง แต่การเข้าถึงสวัสดิการของสังคม มีปัญหาหรือเปล่าไม่แน่ใจ การปลุกระดมมีแน่นอน และความเชื่อของกลุ่มผู้คน คนที่ร่วมชุมนุม ต้องศึกษาจริงจังกว่านี้ครับว่า เขามาด้วยเหตุผลใดกันแน่ ทักษิณเป็นส่วนหนึ่งครับ แต่อะไรคือสิ่งที่ทำให้การชุมนุมกลายเป็นเงื่อนไขของสงคราม ขอบคุณครับคุณเอก

สวัสดีค่ะ..อาจารย์เอก

จากบทความที่ส่งมาทางเมล์ที่อาจารย์เอกได้นำมาลงนั้น ก็เลยอยากแสดงความคิดเห็นเหมือนกันว่า สิ่งที่บ่งบอกให้เห็นสภาพความเป็นจริงของสังคมในปัจจุบันที่เกิดขึ้นบนความเหลื่อมล้ำของสังคมไทยนั้น มาจากผลพวงของการพัฒนาประเทศในแบบทุนนิยม ที่สร้างค่านิยมของความเป็นปัจเจกชนให้กับผู้คนที่ต้องการเอาตัวเองให้รอด ก่อนที่จะช่วยเหลือคนอื่น แทนที่จะสร้างความเจริญด้านจิตใจให้แข็งแรง ก็พยายามเน้นความเจริญให้เห็นในแง่ ของคำว่า "โลกาภิวัฒน์" ที่มาหลอกล่อให้คนได้หลงใหลได้ปลื้มว่าตัวเองต้องก้าวพ้นแห่งความยากจนให้ได้ ซึ่งแท้จริงแล้วกลับกลายเป็นสิ่งที่หลอกล่อให้ผู้คนในสังคมเป็นทาสของคนที่คิดว่าตัวเองนั้นเจริญแล้วของคนตะวันตก......

และไม่แปลกอะไรที่มันเป็นการสร้างค่านิยมในความคิดของผู้คนว่า "ทำอย่างไรตัวเองถึงจะรวย" และต้องการให้หลุดพ้นจากความจน จึงเป็นเครื่องมือให้กับคนฉลาดทีต้องการให้คนโง่ได้คล้อยตามความคิดของตนเอง และเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้นักการเมืองทั้งหลายได้พยายามหลอกล่อให้ผู้คนหลงใหลของความเจริญทางวัตถุแทนความเจริญทางจิตใจ จึงไม่แปลกอะไรที่ทำไมผู้คนถึงติดกับวังวนของความจน และความอยากในจิตใจ จนยอมเป็นเครื่องมือของนายทุน ทั้งที่สมัยก่อนเราไม่เคยเป็น....

ฉะนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นภายในสังคมไทยปัจจุบันนี้ จึงเป็นผลพวงของความเจริญในแบบทุนนิยม และคำว่า "โลกาภิวัฒน์" ของผู้ที่คิดว่าตัวเองเจริญแล้ว...และตราบใดที่ชนชั้นปกครองยังคิดว่าประชาชนยังโง่อยู่...ก็เป็นธรรมดาที่ย่อมจะตกเป็นเครื่องมือของคนฉลาดอยู่นั้นเอง...

และก็ไม่แปลกที่คนฉลาดอย่างทักษิณ จึงสามารถหลอกล่อให้ผู้คนหลงใหลได้ปลื้มกับเศษเงินที่โยนมาก็เท่านั้นเอง....

จาก

ภวจิตธรรม

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท