ถ้าพวกเรารักในหลวง - ต้องทำให้ทุกๆ วันเป็นวันที่ 9 มิถุนายน 2549


...."ทางแก้ปัญหาของชาติบ้านเมืองในขณะนี้ มีอยู่หนทางเดียวเท่านั้น ...คือการใช้ความรัก ความเมตตา ปรารถนาดีต่อกัน หันหน้าปรึกษาหารือกัน ....ความรัก (Love) เท่านั้นแหละครับที่จะช่วยแก้ปัญหาที่พวกเรากำลังเผชิญหน้าอยู่นี้ได้ ....หาใช่การพึ่งพาศาลเพื่อให้ท่านตัดสิน "ถูกผิด" แต่ประการใด ตัวบทกฎหมาย (Law) แก้ปัญหาได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้นครับ"....

        ในวันที่ 8 มิถุนายน เมื่อผมได้ทราบว่าแม่ผมกำลังเดินทางมาจากต่างจังหวัด เข้ามากรุงเทพฯ เพื่อจะมาร่วมงานที่ลานพระบรมรูปฯ ในวันรุ่งขึ้นนั้น . . .ใจผมได้แต่นึกว่า ...ทำไมแม่ต้องเดินทางมาให้ลำบากด้วย เพราะที่จริงแล้วการแสดงความจงรักภักดีต่อในหลวงของเรานั้น สามารถทำได้หลายทางไม่จำเป็นว่าเราต้องไปปรากฎตัวอยู่ที่ตรงนั้นในขณะที่พระองค์ท่านเสด็จออกมาหรอก ...นอกจากนั้นผมยังเชื่อว่า ถ้าดูการถ่ายทอดสดอยู่ที่บ้าน น่าจะเห็นพระองค์ท่านได้ชัดเจนกว่าการไปยืนอยู่ที่ลานพระรูปฯ อย่างแน่นอน

        แต่แล้วผมก็ไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจของแม่ผมได้ ....ที่จริงแล้วท่านก็ยอมเปลี่ยนบางอย่างตามคำร้องขอของผมเหมือนกัน คือจากที่ท่านตั้งใจว่าจะไปตั้งแต่เช้ามืด  ...ยอมเชื่อผมว่าถ้าออกจากบ้านไม่เกิน 8 โมงเช้าก็น่าจะทัน โดยที่ผมสัญญาว่าจะพาท่านไปให้ใกล้กับพระที่นั่งอนันต์ฯ ให้มากที่สุด ...ผมตัดสินใจขับรถไปเอง เพราะเกรงว่าถ้าไปแท๊กซี่ ขากลับอาจจะเรียกรถยาก คณะที่ไปกันนั้นประกอบด้วย แม่ น้าสองคน ผมและภรรยา รวม 5 คน ผมพยายามขับเข้าไปให้ใกล้บริเวณลานพระรูปฯ ให้มากที่สุด จุดที่ผมให้แม่และน้าลงคือตรงบริเวณวัดเบญจมบพิตร โดยที่ผมและภรรยาขับรถอ้อมวังสวนจิตรฯ มาจอดรถตรงข้างวังอีกด้านหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟสวนจิตรฯ บริเวณด้านหลังมหาวิทยาลัยมหิดล (โรงพยาบาลรามา)

        หลังจากนั้นก็เรียกรถตุ๊กๆ ให้ไปส่งยังจุดที่ใกล้ที่สุด ซึ่งรถตุ๊กๆ ก็ขับไปตามถนนราชวิถี ไปจนถึงทางแยกที่ตัดกับถนนพระราม 5 (บริเวณใกล้กับสวนสัตว์ดุสิต) มีผู้คนเตรียมรับเสด็จอยู่สองข้างทาง รถไปได้ไกลสุดแค่นั้น  ผมและภรรยาจึงต้องลงจากรถ แล้วเดินแทรกฝูงชนเพื่อมุ่งหน้าต่อไปยังวัดเบญจฯ ....แต่เดินลัดเลาะมาได้แค่ครึ่งทางก็เดินต่อไปไม่ได้ เพราะติดขบวนรับเสด็จที่ตั้งแถวโค้งรับกับทางเข้าประตูวัง ซึ่งเป็นเส้นทางที่ในหลวงกำลังจะเสด็จพระราชดำเนินในเวลาไม่ช้านี้ ผมและภรรยาจึงยืนอยู่กับขบวนรับเสด็จตรงบริเวณเชิงสะพานด้านหน้าประตูวัง

        หลังจากยืนอยู่ได้ไม่นาน ประตูวังก็เปิดเพื่อรับขบวนรถที่มาจากข้างนอกเข้าสู่ในบริเวณวัง ได้ยินคนพูดกันว่าเป็นขบวนรถสมเด็จพระบรมฯ ผมเองมองเห็นแต่พระองค์ภาฯ ครั้นใกล้เวลา 10 นาฬิกา ประตูวังก็เปิดอีกครั้งหนึ่ง ได้ยินเสียงแตรจากกองทหารมหาดเล็กที่ตั้งแถวอยู่ตรงประตูวัง เห็นขบวนรถออกมาจากวัง ผมสาละวนอยู่กับการเตรียมกล้องถ่ายรูป มัวแต่มองผ่านกล้องทำให้ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าในขณะนี้น ....ปรากฏว่าทุกอย่างผ่านไปรวดเร็วมาก มารู้ตัวอีกที ขบวนเสด็จก็ได้ผ่านไปแล้ว !!

        ฝูงชนที่อยู่สองข้างทางต่างก็สลายตัว มุ่งหน้าเดินกันไปทางวัดเบญจฯ เมื่อถึงแยกวัดเบญจฯ ผมกับภรรยาเลี้ยวขวามุ่งหน้าไปยังถนนราชดำเนินนอก พบแม่และน้าซึ่งนั่งอยู่บริเวณซุ้มประตู เป็นซุ้มประตูแรก (ถ้านับจากองค์พระรูปฯ) ตอนนั้นเป็นเวลาสิบโมงกว่าแล้ว คนค่อนข้างจะมาก คนส่วนใหญ่ต่างก็นั่งลงกับพื้นถนน มีที่ยังเดินและยืนอยู่บ้างจำนวนหนึ่ง พวกที่นั่งอยู่พยายามร้องขอให้พวกที่ยืนนั่งลง เพื่อว่าจะมองเห็นทีวีจอใหญ่ที่กำลังถ่ายทอดพระราชพิธีอยู่ ...บางคนก็บ่นพวกที่ยืนและเดินว่า... "ทำไมไม่นั่ง ทำไมต้องยืนบังกัน" ....เวลาผมได้ยินคำพูดเหล่านั้น ผมเองก็มีเสียงพูดขึ้นมาในใจว่า..."ถ้าไม่อยากให้คนบัง อยากจะเห็นทีวีชัดๆ ก็น่าจะนั่งดูอยู่ที่บ้าน" ...และยังมีเสียงในใจต่อท้ายอีกด้วยว่า "ที่มาที่นี่ ก็เพราะต้องการจะมาดูผู้คน ไม่ได้มาดูทีวี...."

        เมื่อพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชสิ้นสุดลง เวลาที่ทุกคนเฝ้ารอคอยก็มาถึง ...ในหลวงเสด็จออก ณ สีหบัญชร(ซึ่งเป็นระเบียงชั้นสองด้านหน้าของพระที่นั่งอนันตสมาคม) ได้ทราบว่าพระองค์เคยเสด็จออกตรงนี้สองครั้งแล้ว  ครั้งแรกคือตอนที่เสด็จกลับจากยุโรป ส่วนครั้งที่สองก็เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ตอนที่ฉลองพระชนมายุครบ 6 รอบ ....บริเวณที่ผมยืนอยู่นี้ ถึงจะมองเห็นจุดที่ในหลวงเสด็จออกมาได้ไม่ชัดนัก แต่ก็สามารถดูได้จากจอทีวีจอใหญ่ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น

        เมื่อในหลวงเสด็จออกมา ณ สีหบัญชร สมเด็จพระบรมฯ ได้เป็นผู้แทนพระบรมวงศานุวงศ์กล่าวถวายพระพรชัยมงคล จากนั้นนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา และประธานศาลฎีกา ก็ได้กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลแทนปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า จากนั้นในหลวงได้มีพระราชดำรัสตอบ พวกเราที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นต่างก็ดูการถ่ายทอดผ่านจอทีวีเหมือนกับที่ประชาชนอีกหลายสิบล้านคนกำลังดูอยู่ที่บ้าน ผมเองก็เคยเลือกที่จะดูอยู่ที่บ้าน.... หากแต่ประสบการณ์ที่ผมได้รับในขณะนั้น ณ สถานที่แห่งนั้น ท่ามกลางคนนับแสนนับล้านกลับกลายเป็นประสบการณ์ที่ยากที่จะบรรยาย ...เป็นความรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันสุดประมาณมิได้ ...เป็นความรู้สึกหวั่นไหวที่เกิดขึ้นภายในใจ... จอทีวีขนาดใหญ่ทำให้พวกเราได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์อย่างชัดเจน ได้เห็นแววตาที่เปี่ยมด้วยความสุขของพระองค์ เห็นรอยยิ้มน้อยๆ ที่แสดงออกถึงความปลาบปลื้มใจในพสกนิกรของพระองค์ ทำให้นึกถึงพระราชหัตเลขาที่พระองค์เคยมีถึงพระสหาย ใจความตอนหนึ่งว่า...

 ... "เมื่อข้าพเจ้าเป็นนักเรียนอยู่ในยุโรป ข้าพเจ้าไม่เคยตระหนักว่า ประเทศของข้าพเจ้าคืออะไร และเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าแค่ไหน ไม่ทราบตราบจนกระทั่งข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะรักประชาชนของข้าพเจ้า เมื่อได้ติดต่อกับเขาเหล่านั้นซึ่งทำให้ข้าพเจ้าสำนึกในความรักอันมีค่ายิ่ง ข้าพเจ้าไม่เป็นโรคคิดถึงบ้านที่จริงจังอะไรนัก แต่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้โดยการทำงานที่นี่ว่า  ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้ คือ การที่ได้อยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้านั่นคือ คนไทยทั้งปวง"

        เราทุกคนคือ "คนไทยทั้งปวง" ครับ ....เรา "ทุกคน" เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้พระองค์ท่านมีความสุข ...ผมดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ "คนไทยทั้งปวง" ที่ได้ทำให้ในหลวงของเรามีความสุข ผมเข้าใจแล้วล่ะครับว่า การที่เราทำให้คนที่เรารักมีความสุขนั้นเป็นเช่นไร ...น้ำตาแห่งความปิติยินดีไหลอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างไม่รู้ตัว ผมไม่ได้สนใจที่จะมองคนอื่นว่าพวกเขาเป็นอย่างผมหรือไม่ ....ไม่ได้รู้สึกอาย ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอแต่อย่างใด ในขณะนั้นใจของผมได้ผสมผสานกับใจอีกหลายสิบล้านดวงทั้งที่อยู่ที่บ้านและที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้น ...ทุกครั้งที่ในหลวงทรงยกพระหัตถ์ขึ้นมา ใจของพวกเราต่างก็หวั่นไหวไปตามๆ กัน สิ่งที่อยู่ในดวงใจของพวกเราทุกคนได้หลุดออกมาเป็นเสียงพร้อมๆ กันว่า "ทรงพระเจริญ" ...เป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากใจ ไปพร้อมๆ กับน้ำตาที่รินไหลอาบแก้ม

        ....เป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกว่าโลกหยุดหมุน ...เป็นช่วงขณะที่สรรพสิ่งทั้งหลายได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ...ไม่มีการแบ่งเขาแบ่งเรา เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข เป็นความสุขที่บริสุทธิ์อันเกิดจากความรัก ความเมตตา และความปรารถนาดีที่มีต่อกัน ...ในขณะนั้น ผมได้ความกระจ่างสว่างวาบขึ้นมาในใจ ....ผมเข้าใจแล้วล่ะครับว่า "ทางแก้ปัญหาของชาติบ้านเมืองในขณะนี้ มีอยู่หนทางเดียวเท่านั้น ...คือการใช้ความรัก ความเมตตา ปรารถนาดีต่อกัน หันหน้าปรึกษาหารือกัน ....ความรัก (Love) เท่านั้นแหละครับที่จะช่วยแก้ปัญหาที่พวกเรากำลังเผชิญหน้าอยู่นี้ได้ ....หาใช่การพึ่งพาศาลเพื่อให้ท่านตัดสิน "ถูกผิด" แต่ประการใด ตัวบทกฎหมาย (Law) แก้ปัญหาได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้นครับ"

        ถ้าคนไทยยังด้อย Love และเน้นแต่การใช้ Law ก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่า ....แล้วจะลงเอยกันได้อย่างไร .....ผมอยากให้คนไทยสำนึกในความเป็นไทย และนำความรู้สึกลึกๆ ที่เกิดขึ้นในวันที่ 9 มิถุนายน 2549 มาใช้กับทุกๆ วันครับ!!

ดูภาพปรากฏการณ์ที่ลานพระรูปฯ คลิก ที่นี่

หมายเลขบันทึก: 33789เขียนเมื่อ 12 มิถุนายน 2006 14:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 10:52 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่าน


ความเห็น

      ขอบพระคุณอาจารย์ประพนธ์ที่บันทึกบรรยากาศ และบันทึกความรู้สึกดีๆ มาแบ่งบันกันได้อ่านและรับรู้  ผมชมการถ่ายทอดฯ  ก็มีความรู้สึกปิติยินดี ซาบซึ้งเช่นเดียวกันกับอาจารย์ครับ และคิดว่าหลายๆ ท่านก็คงมีความรู้สึกที่ไม่แตกต่างกัน

      ดีใจที่ได้เกิดเป็นคนไทย และถาคภูมิใจที่ได้ทำงานเป็นข้าราชการ ได้รับใช้ประชาชน และจะตั้งใจทำงานเพื่อในหลวงครับ

อาจารย์ถ่ายทอดความรู้สึกได้ชัดเจน เสมือนตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในบริเวณนั้นด้วย อย่าว่าแต่ผู้ใหญ่อย่างเราเลยค่ะ ที่รู้สึกซาบซึ้งและน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ในระหว่างที่ดูการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ หันไปมองลูกสาวคนโต (8 ขวบ) แอบเห็นแกปาดน้ำตาไม่ให้เราเห็น พอถามกลับไป แกบอกว่า ไม่กล้าให้แม่เห็นเพราะกลัวแม่หาว่าเป็นคนอ่อนแอ ก็บอกลูกกลับไปว่า  ที่ทุกคนร้องไห้ เพราะทุกคนปลาบปลื้มใจที่ได้เกิดมาในแผ่นดินไทย มีในหลวงอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราชาวไทย การร้องไห้ครั้งนี้ ไม่ได้หมายถึง ความอ่อนแอ แต่เป็นการแสดงความจงรักภักดี ที่ชาวไทยทุกคนมีต่อในหลวงของเรา ร้องเถอะค่ะ แม่ไม่ว่าลูกหรอก  หลังจากนั้น ทุกครั้งที่โทรทัศน์ได้มีการนำภาพดังกล่าวมา replay ถ้าเราสองแม่ลูกได้มีโอกาสนั่งใกล้กัน ก็จะหันไปมองสบตากัน แล้วน้ำตาก็ไหลอาบแก้มทุกครั้ง

เรียนท่านอาจารย์ประพนธ์

  • บันทึกของอาจารย์เขียนออกมาจากใจ เขียนมาจากความรัก/Love ครับ
  • ผมมีความรู้สึกเช่นเดียวกับอาจารย์ครับ
  • ในหลวงท่านทำราชการ แต่พวกเราส่วนหนึ่งรับราชการครับ
  • รับใช้ราชการ ก็คือรับใช้ประชาชน
  • ในหลวงของเรา ท่านรักประชาชน
  • ดังนั้นการทำงานเพื่อช่วยเหลือปวงชน ก็คือการทำงานให้ในหลวงนั่นเองครับ
  • ผมมีความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
  • ผมภูมิใจที่เกิดในประเทศไทยครับ

ขอบคุณอ.ประพนธ์สำหรับน้ำตาที่ไหลระหว่างอ่านบันทึกนี้อีกครั้งค่ะ เชื่อว่าเราคนไทยทุกคนรู้สึกแบบเดียวกันต่อพระองค์ท่าน

อยากให้ความรู้สึกนี้ฝังลึกอยู่ในตัวตนของเราทุกขณะจิต ไม่ให้จางลง เลือนไปเมื่อบรรยากาศการเฉลิมฉลองสิ้นสุด หรือเมื่อเราไม่ได้เห็นภาพพระองค์ท่านตรงหน้า อยากให้คำสอนและวิถีปฏิบัติของพระองค์ท่านเป็นสิ่งที่เราคนไทยทุกคนลงมือทำ ตั้งใจทำ ทุกลมหายใจเข้าออก

สัญญากับตัวเองว่าจะทำให้ได้ค่ะ

เมื่อได้อ่านข้อความของทั้งสี่ท่าน....รู้สึกดีมากๆ เลยครับ ....อยากให้คนไทยทั้งประเทศรู้สึกแบบนี้ ...คุณ โอ๋-อโณ และ คุณรัตติยา ทำให้ผมต้องน้ำตาไหลอีกครั้ง ....ช่วงนี้รู้สึกว่า ต่อมน้ำตาตัวเองอยู่ค่อนข้างตื้นครับ ....ขอบคุณแฟนประจำ คุณ "สิงห์ป่าสัก" และ อาจารย์ "beeman" ด้วยครับ สำหรับ Comment ดีๆ ที่มีให้ผมเสมอ

อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับในหลวงฯ ครั้งใด ก็ซึ้งใจไปทุกครั้งละค่ะ อาจารย์ ... ท่านเป็นตัวแทนของความดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุดค่ะ

 ในวันนั้นได้ดูการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน  ครั้นเมื่อโทรทัศน์ถ่ายภาพรถยนต์พระที่นั่งขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตอนมาถึงประตูพระราชวัง  แล้วได้เห็นประชาชนนับจำนวนไม่ได้ลุกฮือขึ้นโบกธงตอนนั้นขนลุกและซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก   และที่ประทับใจและปราบปลื้มเป็นที่สุดก็ตอนที่เห็นพระองค์เสด็จออกสีหบัญชรแล้วโบกพระหัตถ์  อยู่ที่หน้าโทรทัศน์ก็น้ำตาไหลไม่รู้ตัวเช่นเดียวกัน  เชื่อว่าในขณะนี้คนไทยทุกๆคนคงกำลังมีความสุข  มีความสุขที่เห็นพระพักต์ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันนั้น  และเชื่อว่าสิ่งที่จะทำให้พระองค์มีความสุขได้มีสิ่งเดียวในขณะนี้คือความรักความสามัคคี ของประชาชนชาวไทย ที่พระองค์มีพระราชดำรัสบ่อยครั้งว่าความรักความสามัคคีของคนในชาติจะทำให้ประเทศชาติอยู่รอด       ขอบคุณอาจารย์ประพนธ์ที่นำข้อเขียนดีๆมาบอกเล่า ให้ปลื้มปีติอีกครั้งค่ะ

อาจารย์สามารถแสดงความรู้สึกและอารมณ์ร่วมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ได้อย่างกินใจ(และจุใจ)ยิ่งนัก... ซึ่งผมเองยิ่งอ่านก็ยิ่งเข้าใจและประกอบกับขนลุกซู่ ถึงแม้ว่าหลายวันที่ได้หยุดมานี้ไม่ค่อยได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย (ขายขี้หน้าจังเรา)
ถ้าตัวผมเองได้เข้าไปในเหตุการณ์วันนั้น ก็คงจะทำเช่นเดียวกันกับคนไทยคนหนึ่งที่พึ่งจะกระทำให้พ่อของเรา(ถึงแม้ว่ามันจะน้อยนิดก็ตามที)  เด็กไอทีก็มีหัวใจ (ภาคภูมิ) รักพระเจ้าอยู่หัวเหมือนนะครับ ถึงแม้ว่าเสื้อจะยังไม่มีใส่ก็ตามที (แหม...อายจัง...ไม่ใช่รักจังนะ)
อยากขอบคุณเรื่องที่อาจารย์ประพนธ์ได้เล่ามา(และภาพประกอบ)ทั้งหมดด้วยใจจริง
ขอบคุณครับ

รู้สึกเสียดายค่ะที่วันนั้นไม่ได้ไปเฝ้ารับเสด็จ  แต่ก็ได้ชมการถ่ายทอดสดตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ  อย่าว่าแต่คนที่ไปเฝ้ารับเสด็จเลยค่ะที่ร้องไห้ ดิฉันนั่งดูอยู่ที่บ้านก็น้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งเช่นกัน เห็นสายพระเนตรของพระองค์ท่านที่ทอดพระเนตรมายังประชาชนแล้ว รู้สึกปลาบปลื้มที่สุด พระองค์ท่านคงรับรู้ได้ว่าประชาชนทุกคนรักพระองค์ท่านที่สุดในโลก   ขอจงทรงพระเจริญ 

รู้สึกว่าวันนั้นคงจะนั่งอยู่บริเวณเดียวกับอาจารย์ประพนธ์น่ะค่ะ  ดีใจมาก ๆ ที่ได้เป็นส่วนเล็กๆ ของเหตุการณ์ ไปถึงเช้ากว่าไปทำงานอีกค่ะ

ตอนที่ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีถึงช่วงเย็นศิระเพราะพระบริบาล ก็ร้องต่อไม่ได้แล้วค่ะ ต้องร้องไห้แทน เพิ่งรู้สึกซาบซึ้งกับความหมายของเพลงนี้มาก ๆ ก็ตอนนี้เอง ว่าที่ประเทศไทยเป็นอย่างวันนี้ได้ ก็เพราะท่าน  แล้วก็รู้สึกชื่นชมถึงความรักของคนไทยที่มีต่อท่านด้วย วันนั้นเมืองไทย เป็นประเทศสีเหลืองเลยนะคะ อยากให้มีอีกจัง 

มีความรู้สึกว่าบันทึกนี้บรรจุความรู้สึกอันล้ำค่าของอาจารย์ไว้ ซึ่งถ่ายทอดออกมาได้อย่างซาบซึ้งกินใจ น่าชื่นชม ขณะที่อ่านไปตัวเองก็รู้สึกตื้นตัน น้ำตารื้นขึ้นมาอีก นึกถึงบรรยากาศในวันนั้นซึ่งตัวเองมีโอกาสได้แค่นั่งดูทีวีอยู่อย่างไม่คลาดสายตา และพยายามผนวกกับจินตนาการที่ได้อ่านจากตัวอักษรที่อาจารย์บอกเล่า เพื่อให้รู้สึกว่าเราไปปรากฏกายอยู่ ณ ที่นั้นด้วย...อย่างไรก็ยังคิดว่าต้องไม่เหมือนกับที่เราไปอยู่ในสถานที่จริงนั้น จริง ๆ เห็นด้วยกับความคิดและข้อเสนอแนะในท้ายบันทึกของอาจารย์ค่ะ..คนเราเกิดมามีชีวิตอยู่ร่วมกันไม่เท่าไร..ปกติก็ไม่ถึงร้อยปี..ดีไม่ดีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ก็อาจมาพรากเราไปจากกันเร็วกว่าที่ควรด้วยซ้ำ..เราถึงต้องรักกันไว้ให้มาก..มีเมตตาต่อกัน..ความปรารถนาดีก็จะเกิดตามมา รีบ ๆ ทำความดีมอบให้กันและกัน ไม่ว่าจะเป็นกับพ่อแม่ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิทมิตรสหาย หรือแม้แต่คนอื่นที่เราได้มีโอกาสพานพบเขาในแต่ละวัน..ก่อนที่เราจะไม่มีโอกาสนั้น เมื่อเกิดเหตุที่เราต้องจากกัน..เรามารีบทำความดีกันเยอะ ๆ ถวายในหลวงท่านเพื่อเป็นการแสดงความรักแด่พระองค์ท่านกัน..โดยเริ่มจากการทำดี คิดดี พูดดีกับคนรอบข้างของเรากันไหมคะ..
   ขอบคุณ  ขอบคุณ  และ ขอบคุณครับ  ที่ถอดความรู้สึกร่วมของคนไทยออกมาเป็นตัวหนังสือได้อย่างหมดจด  งดงามและมีชีวิต  ... ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยกล่าวบ่อยๆว่าถ้านึกไม่ออกว่าจะถือศีลอะไร เอาไว้ข้อเดียวก็ได้ คือ " รักผู้อื่น "

   ( คุณHandy แนะนำให้มาอ่าน ข้อเขียนนี้         มีคุณค่ามากจริงๆ )

    ดีใจมากค่ะ ที่มีคนที่มีจิตสำนึกดียิ่ง และถ่ายทอดสิ่งดีๆ เพื่อสื่อความให้หลายๆคนได้เกิดจิตสำนึกอันดีงามตามไปด้วย  ทั้งยังมีผลต่อการปฏิบัติอีกด้วย    ( แค่คำนำก็ประทับใจมากแล้ว )                                    

 ขออนุญาต นำไปฝากลูกศิษย์ นะคะ

 

สวัสดีครับอาจารย์

อาจารย์บรรยากาศได้ความรู้สึกดีมากๆ และเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าปัญหาสังคมไม่สามารถแก้ได้ด้วยกฎหมายล้วนๆ แต่บางกรณีใช้อย่างอื่นแก้ไม่ได้ต้องใช้ความเข้มแข็งของกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมมากำราบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ตรัสเตือนสตินักกฎหมายอยู่ตลอดไม่ให้ใช้กฎหมายเฉพาะแต่ในตัวบทกฎหมาย(ใช้กฎหมายเพื่อกฎหมาย) โดยไม่ดูแลว่าสังคมเป็นอย่างไร(ท่านให้ใช้กฎหมายเพื่อความสงบสุขของสังคม) แต่นักกฎหมายส่วนหนึ่งก็ยังทื่อตามกฎหมายโดยไม่สนใจสังคมก็มี บทความอาจารย์จุดประกายการใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์ของสังคมได้อย่างแจ่มชัดครับ

ขอบพระคุณ

ขอประทานโทษ ต้องการจะพิมพ์ว่า บรรยายถึงบรรยากาศ แต่มือตามไม่ทันสมองครับ

       เรียน ท่านอาจารย์ที่เคารพ

         วันนั้น ผมอยู่ที่อุทัยธานี นั่งดูทีวีอยู่ที่บ้าน  ดูไปก็มองนาฬิกาไป เพราะนัดกับชาวบ้านหนองไผ่แบน จะไปเป็นประธานในการเปิดการเลี้ยงหมูหลุม จวนจะได้เวลานัด พิธียังไม่แล้วเสร็จ ผมจำต้องยอมเสียมารยาท โทรไปเลื่อนเวลากับผู้ใหญ่บ้านว่ากำลังดูพิธีของในหลวง ผู้ใหญ่บอกผมว่าเลื่อนไปตอนเย็นก็แล้วกัน เพราะชางบ้านก็ชมการถ่ายทอดสดครั้งนี้ด้วย

         ผมไม่อายเลยที่จะพูดว่า ผมร้องไห้ น้ำตามาจากใหนไม่รู้มันตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก ก้มลงนั่งคุกเข่า พนมมือถวายบังคมพระรูปของพระองค์ เอ่ยปากเสียงสั่นเครือว่า  ชีวิตนี้ขอทำแต่สิ่งดี ๆ เพื่อพระองค์ท่าน

-ความเสียหายของชาติจะบานปลายถ้าคนไทยขาดความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์

- ความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เท่านั้นที่จะทำให้ไทยได้ร่มเย็นและเป็นไท

-ขอให้มีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ปกป้องคนไทยไปนานๆ

1.กษัตริย์ ผู้ทรงธรรม พระมหากรุณาธิคุณปกเกล้าฯ ชาวไทย

2. ทรงเป็นทุกลมหายใจ ของปวงประชาราษฎร ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

3. ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท จะขอเป็นข้าพระบาททุกชาติไป

4. รวมใจภักดี รัก ในหลวง

5. ทรงยึดหลักศาสนา ทรงศึกษาสรรพวิทยา ทรงนำมาปฏิบัติ ทรงขจัดปัญหาด้วยการพัฒนาโครงการพระราชดำริ ทรงเตือนสติด้วยการปฏิบัติพระองค์เป็นตัวอย่าง ทรงสร้างค่านิยม ทรงห่วงใยประชาราษฎร์ทุกเมื่อ ทรงสละหยาดพระเสโท เพื่อประชาชนและประเทศไทยอย่างแท้จริง ทรงเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่งในโลก ( ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก )

6. พระมหากษัตริย์ ที่พรั่งพร้อมด้วย ทศพิธราชธรรม

7. จากความแห้งแล้งกลับกลายมาชุ่มชื้น จากผืนทรายกลับกลายเป็นดิน ด้วยพระบารมีของทั้ง สองพระองค์

8. ในหลวงพระองค์ทรงงาน หนักและเหนื่อย เพื่อราษฎรของพระองค์ให้เป็นสุข

9. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทุ่มเทพระวรกายตรากตรำ และมุ่งมั่นเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพสกนิกรชาวไทย

10. ความเสียหายของชาติจะบานปลาย ถ้าคนไทยขาดความจงรักภักดี ต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์

11. ไทยเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขปกครองประเทศมาช้านาน ทรงเป็นศูนย์รวมดวงใจของคนทั้งชาติ

12. พระองค์ทรงเป็นพระมหาบพิตรที่สถิตในดวงใจของปวงประชา

13. พระองค์ทรงเป็นผู้นำตามแนวพระราชดำริ ให้เจริญรอยตามเบื้องพระยุคคลบาทด้วยเศรษฐกิจพอเพียง

14. ร้อยรัดดวงใจเพื่อเทิดไท้องค์ราชัน ที่พระองค์ทรงฝ่าฟันให้ไทยนั้นได้ร่มเย็น

15. เราเป็นไทยมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็ด้วยพระบารมีของพ่อหลวง

16. ๓ สถาบันหลักของชาติไทยเป็นมรดกมาจากบรรพบุรุษของเรา

17. ธงชาติไทยมี ๓ สี แต่ละสีมีความหมาย ช่วยไทยรักสามัคคี

18. แม้แต่โจรยังรักในหลวง แล้วเราเป็นใครล่ะจะไม่รักหรือ

19. เราคงสิ้นแผ่นดินถิ่นอาศัย หากสิ้นชาติ สิ้นศาสน์ สิ้นกษัตริย์

20. ชาติไทยผ่านพ้นวิกฤตมาหลายคราด้วยพระบารมีของล้นเกล้า

21. ในหลวงพระองค์ทรงงานหนักและเหนื่อย เพื่อราษฎรของพระองค์ได้มีความสุข

22. พระองค์ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ

23. พระองค์ทรงเป็นมหาราชปกครองแผ่นดินโดยธรรม

24. จากความแห้งแล้งกลับกลายมาชุ่มชื้น จากผืนทรายกลับกลายเป็นดินดี ด้วยพระบารมีของทั้ง ๒ พระองค์

25. เราคนไทย เรารัก เราเทิดทูน ในหลวงของเรา

26. ผู้ใดกระทำให้สถาบันหลักของชาติสั่นคลอน เสียหาย ผู้นั้นไม่สมควรมีชีวิตยืนอยู่บนผืนดินไทย

27. ความจงรักภักดีต่อสถาบันอันสูงสุด ถือว่าเป็นหน้าที่หนึ่งของคนไทยทุกคน

28. สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นถาบันหนึ่งที่ช่วยให้เราได้มีแผ่นดินอยู่จนถึงลูกหลานเราถึงทุกวันนี้

29. พระบารมีอันแผ่ไพศาล ย่อมบริบาลผู้ที่มีความจงรักภักดีตลอดไป

30. ผู้ใดคิดร้ายทำลายชาติจะพินาศจนสิ้นดี ผู้ใดจงรักภักดีจะสวัสดีศรีมงคล

31. บรรพบุรุษท่านต่อสู้กอบกู้ชาติ ศาสน์ ราชัน แล้วเราเป็นใครกันไม่รักษาให้จงดี

32. ราชันราชินีบารมีคู่แผ่นดิน หากแม้นไทยเราสิ้นจะสูญสิ้นแผ่นดินธรรม

33. แหลมทองจะเป็นไฟหากชาติไทยไร้ราชัน จะมีแต่ฆ่าฟันเพื่อห้ำหั่นแย่งชิงดี

34. ในหลวงพระองค์ทรงไม่ละทิ้งประชาชนของพระองค์ แม้พระองค์จะทรงงานหนักและเหนื่อยมานาน

35. ทั่วโลกยกย่องชื่นชมยินดีกับบารมีของล้นเกล้าทั้ง ๒ พระองค์ แล้วเราคนไทยยังจะมาค้นหาคำตอบอะไรกันอีกหรือ

36. พระองค์ทรงมีแนวพระราชดำริด้านการเกษตรเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตรมากมาย

37. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้านการพัฒนาแหล่งน้ำ เป็นโครงการที่มีประโยชน์อย่างยิ่งของประเทศ

38. ขอให้คนไทยทุกคนมีความภาคภูมิใจ ในความเป็นพลเมืองของพระองค์

39. เรารักในหลวงเรารักประเทศไทยจงร่วมใจกันให้เป็นดินแดนที่น่า อยู่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

40. ด้วยพระบารมี เราจึงรวมกันอยู่ได้อย่างเหนียวแน่นมีชาติมีประเทศอันตั้งเป็นอิสรเสรีมาช้านาน

41. สถาบันพระมหากษัตริย์ ช่วยให้ประเทศไทยอยู่เป็นเอกราชมานานนับร้อย ๆ ปี

42. ในหลวงพระ องค์ทรงเป็นองค์ประมุขแผ่นดินทองของพระบวรพุทธศาสนาและทุกศาสนาในประเทศ

43. สถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นสถาบันหลักในผืนธงชาติไทยที่เราเคารพ

44. ในหลวงพระองค์ทรงมีพระราชดำรัสให้คนในชาติมีความรักใคร่กลมเกลียวสมัครสมาน สามัคคีมีความ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อันจะนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองคงความเป็นชาติไทยไว้ได้

45. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทุ่มเทพระวรกายตรากตรำและมุ่งมั่นเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพสกนิกรชาวไทย

46. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิทรงย่อท้อเข้าไปช่วยเหลือราษฎรไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลสักเพียงใดไม่ว่าเชื้อชาติใด ศาสนาใด

47. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีความละเอียดรอบคอบ ทรงคิดหาแนวทางพัฒนาเพื่อมุ่งประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุด

48. เราชาวไทยควรยึดแบบอย่างเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลพระบาทนำมาปฏิบัติให้เกิดผลแก่ตนเอง สังคมและประเทศชาติ

49. ด้วยพระปรีชาญาณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้คนทั้งหลายได้ประจักษ์ว่า แนวทางพระราชดำริในพระองค์ เรียบง่าย ปฏิบัติได้ผลเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน

50. พระองค์ทรงมีแนวทางพระราชดำริในการพึ่งตนเองเพื่อให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้อย่างอิสระ มั่นคงและสมบูรณ์

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท