พอดีผมได้อ่าน Paper เรื่อง Synchronous Broadcast Messaging ของ IBM แล้วทำให้รู้สึกถึงกลิ่นไอของ twitter ขึ้นมาทันที สำหรับหลายคนเว็บไซต์นี้อาจเป็นของใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะนำมาใช้ประโยชน์อย่างไร ก็แค่โพสต์ข้อความสั้นๆ 140 ตัวอักษรลงในเว็บ แล้วทำไมหรือ? แต่สำหรับเหล่า innovator และ first adopter อีกนับร้อยนับพันคนในเมืองไทยที่ได้สัมผัสและรู้สึกชื่นชมกับปรากฏการณ์เครือข่ายทางสังคมของเว็บไซต์นี้ มันมีความซับซ้อนบนความเรียบง่ายที่เกิดขึ้น การตอบคำถามสั้นๆ อัพเดตว่าเรากำลังทำอะไรอยู่กับผู้ที่ติดตามเรา(follow) ทำให้เกิดการสื่อสารรูปแบบใหม่เกิดขึ้น ผมขอสมมติตัวละคร 4 ตัว ในการอธิบายนี้
เป็นต้นว่า นาย A ไป follow พี่ B และพี่ B ก็ follow กลับ ดังนั้นเมื่อ นาย A tweet อะไรไป พี่ B จะได้ยิน เช่นเดียวกันเมื่อพี่ B tweet นาย A ก็จะได้ยินด้วย
ในขณะเดียวกัน นาย A ได้ follow น้อง C แต่น้อง C หยิ่งไม่ได้ follow ตอบ ดังนั้นเมื่อนาย A tweet น้อง C จะไม่ได้ยิน แต่เมื่อใดที่ น้อง C tweet นาย A จะได้ยินฝ่ายเดียว
ความสนุกเริ่มขึ้นจาก น้อง C และคุณ D เกิดเป็นเพื่อนกัน และ follow ซึ่งกันละกัน ดังนั้นอยู่มาวันหนึ่ง น้อง C tweet ถึงคุณ D และนาย A ได้อ่านพอดี ก็จะทำให้ นาย A รู้ว่าน้อง C และคุณ D กำลังสนทนาเรื่องอะไรกันอยู่
ถ้าเผอิญคุณ D เกิดไป follow พี่ B และพูดคุยกัน หากนาย A มาอ่านเจอก็จะทำให้นาย A รู้ว่า พี่ B และคุณ D อาจจะรู้จักกันก็ได้
หากมองในเรื่องมิติแห่งการสื่อสาร twitter ไม่ใช่โปรแกรมที่ช่วยให้คนหนึ่งคนพูดกับคนอีกหนึ่งคน มันเกิดบริเวณความสัมพันธ์ที่ซ้อนทับกันอยู่เกิดขึ้น ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือ
ก: twitter ช่วยประหยัดเวลาทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ข: twitter ทำให้เราถูกละเมิด privacy กลายเป็นบุคคลสาธารณะไป
แล้วคุณหละคิดอย่างไร How do u think?
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม: twitter.com
ผมว่าดีนะ ดูเหมือนว่าตัวเองเป็นบุคคลสาธารณะที่ใครๆ ก็รู้จักได้ @konrasee
อย่างน้อยก็ทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์กับคนหมู่มาก ผมว่าถ้ามันเป็นเรื่องจิปาถะทั่วไปหรือเรื่องงานการที่คุณกำลังมองหา บางทีการสื่อสารแบบนี้อาจช่วยได้มากเลยครับ เพราะว่าวงจรความสัมพันธ์ ไม่ได้มีแค่นี้ แต่มันมีอีกหลายมิติที่ลึกลงไป คนหนึ่งคนอาจรู้จักคนอีกหนึ่งคน และก็เชื่อมโยงไปเหมือนลูกโซ่ และคนที่อีกคนรู้จัก อาจเป็นทางผ่านที่ดี สำหรับการก้าวเดินของเรา
มันก็เป็นเรื่องที่ผู้ใช้ Twitter ควรจะตระหนักไว้ครับ ว่าสิ่งที่ป้อนออกไปใน twitter จะมีหลายๆ คนอ่านได้
ผมไม่ได้มองว่ามันละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนะครับ เพราะผู้ใช้เป็นฝ่ายคิดเองว่าจะบอกอะไรออกไป ถ้าอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวก็ไม่ควรเขียนใน twitter
แถมวิดีโอเรื่อง Twitter
ผมก็มีความรู้สึกว่า Twitter มันเป็นส่วนหนึ่งเลยในชีวิตนะ
ด้วยความที่มันเป็นสาธารณะก็จะทำให้เราใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้
เช่นการทำความคิด หรือแนวคิด
และมันก็มีประโยชน์ในหลายๆครั้ง เ่ช่น ผมต้องการรู้ว่าเพื่อนผม ทำอะไรอยู่
กรณีที่นาย A จะเห็นข้อความที่น้อง C คุยกับนาย D ได้ ก็ต้องอยู่ที่การตั้งค่าการรับข้อความด้วย ซึ่ง (ถ้าไม่เข้าใจผิด) ตัว default จะเป็นการรับข้อความที่มีการโต้ตอบระหว่างคนที่เรา follow เท่านั้น .. นั่นหมายความว่า ถ้าใช้การรับ @replies แบบ default แล้ว.. นาย A จะไม่เห็นข้อความที่ น้อง C ส่งหา นาย D นะ
เราสามารถตั้ง private ใน twitter ได้.. ซึ่งคงช่วยเพิ่ม privacy ได้บ้าง
นอกจากการ follow ตรงๆแล้ว อย่าลืมว่าคนอื่นสามารถตาม tweet ของคุณผ่าน feed ได้ด้วย ดังนั้นขอให้ระลึกไว้เลยว่าข้อความของคุณถูกบันทึกและถูกทำสำเนาใน internet แน่นอน
หลายคนที่ผมเห็นดูจะ tweet เรื่องส่วนตัวมากเกินไป เช่นจะกลับ/ออกจากบ้านกี่โมง หรือจะไปไหนมาไหนโดยระบุเวลาซะละเอียด ข้อมูลเหล่านี้อาจถูกมิจฉาชีพจับตาดูอยู่ก็ได้
ก: twitter ช่วยประหยัดเวลาทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ข: twitter ทำให้เราถูกละเมิด privacy กลายเป็นบุคคลสาธารณะไป
เห็นด้วยทั้งสองข้อค่ะ ที่สำญมีกฎหมายที่รองรับสำหรับการดึงข้อมูลของเราไปใช้ในทางที่ผิดไหมคะ?
ขอบคุณที่นำความรู้ใหม่ๆมาให้อ่านค่ะ
"มนุษย์คือสัตว์สังคม" ชัดเจนและรวดเร็วมากขึ้นด้วย Twitter
แต่เราจะกลายเป็นบุคคลสาธารณะ ทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องการนี่สิ น่าเป็นห่วง (ตัวเอง)
ขอบคุณครับ ชอบทฤษฎี Twitter มากเลย :)
เป็นสิ่งที่ทำให้มุนษย์ได้นู้จักกันแบบต่อๆ..ก็อาจจะดีในบางโอกาสและบางจังหวะนะคะ
แต่อาจจะไม่เป็นที่พึงปรารถนาในบางครั้ง..เออ..ก็เข้าท่าดีนะ
ขอบคุณทุกคนที่ช่วยแสดงความเห็นครับ :)
ตอนนี้ประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่
คุณ อบูฮันนาน / ตะวันรัตติกาล / Framekung / add คิดว่าการเป็นบุคคลสาธารณะไม่เสียหาย ดีซะอีกจะได้รู้จักกันเยอะๆ เป็นผลดีกับการสร้าง connection ให้ real world
คุณ Eka-X / เอี้ยก้วย ณ แอนฟิลด์ / Wasawat Deemarn คิดว่าเป็นเรื่องของผู้ใช้ที่ต้องตระหนักว่าข้อความที่ใส่ลงไปจะมีคนอื่นๆ บนเน็ตมาเห็น และยังถูกเก็บเป็น archive ไปอีกด้วย
คุณ EscRiBiTioNiSt แจ้งว่า privacy สามารถเซ็ตได้ระดับหนึ่ง ต้องลองศึกษาดู
ส่วนคุณ นาง วิลาวัณย์ อุ่นเรือน เป็นห่วงเรื่องมีกฎหมายรองรับไหม
ผมให้ข้อมูลเพิ่มเติมบ้าง หากย้อนกลับไปมองวิวัฒนาการการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตจาก e-mail สู่ forum (web board) สู่ instant messaging และ broadcast messaging ที่กำลังคุยกันอยู่นี้คือ twitter ในแต่ละรุ่นผู้คนต่างต้องศึกษา และมีพฤติกรรมการใช้งานแตกต่างกันออกไป
อีเมล์และเว็บบอร์ดให้ความรู้สึกที่ว่าส่งทิ้งไว้โพสต์ทิ้งไว้แล้วเดี๋ยวผู้รับก็จะตอบกลับมาเอง โดยอีเมล์จะเป็นการสนทนาเฉพาะกลุ่มผู้ได้รับ แต่เว็บบอร์ดจะเป็นสิ่งที่เปิดกว้างแก่สาธารณะมากกว่า ซึ่งคนอื่นๆ ที่ไม่ได้รับเชิญอาจเข้ามาอ่านได้แต่ถ้าไม่เป็นสมาชิกก็ตอบไม่ได้
ส่วนในยุค im ที่น่าจะบุกเบิกโดย ICQ ตอนนั้นผมยังคุยอยู่กับเพื่อนเลยว่า "แล้วใครมันจะใช้" เพราะต้องติดตั้งโปรแกรมพิเศษแล้วก็ต้องออนพร้อมกันถึงจะคุยกันได้ แต่เมื่อ MSN เข้ามามันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการที่เมื่อเชื่อมต่อเข้าอินเทอร์เน็ตเมื่อไรก็ต้องเปิดทิ้งไว้ รอให้คนมา "ติ๋ง" ทักทายกัน
ตอนนี้อย่างที่ได้คุยกันในเบื้องต้น twitter สร้างปรากฎการณ์ที่น่าสนใจใหม่ ทำให้เราสามารถสร้างเพื่อนใหม่บนอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น สามารถรู้ได้ว่าใครกำลังทำอะไร นอกจากนั้นก็ยังมี yammer ซึ่งให้บริการคล้ายกันแต่เป็นการเจาะกลุ่มผู้ใช้ในองค์กร โดยเปลี่ยนบริบทจากเรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องงาน ทำให้แต่ละคนในที่องค์กรทราบว่าใครกำลังทำงานอะไรอยู่ หัวหน้าสามารถตรวจสอบสถานะงานของลูกน้อง เพื่อนร่วมงานสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ ส่วนของไทยเราก็มี noknok ที่ให้สาธารณะเช่นเดียวกับ twitter บริการเหล่านี้คือนวัตกรรมที่เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมการสื่อสารของเราหรือเปล่า?
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม: yammer.com, noknok.in.th
Comment ไม่เกี่ยวกับ Twitter นะ ผมได้ดูหนังเรื่อง Wanted เลยลอง Search Google ดูบ้าง "Anuchit Chalothorn" Google ถามผมกลับว่าคุณต้องการค้นหา "Anoochit" ใช่มั๊ย ผมเขียนชื่อตัวเองบนอินเตอร์เน็ตเป็นภาษาอังกฤษว่า Anoochit แต่เวลาเขียนแบบฟอร์มและอื่นๆ เขียนเป็น Anuchit นี่สงสัยผมเริ่มเข้าข่ายเป็นบุคคลสาธารณะแล้วใช่ไหมครับ น่ากลัวจริงๆ
ตามความเห็นส่วนตัว พฤติกรรมการสื่อสาร (รวมทั้งการเรียนรู้ ลอกเลียน หรือสอดรู้สอดเห็น) ของคนเราน่าจะไม่ได้แตกต่างจากเดิม เพียงแต่สังคมเทคโนโลยี่ที่เปลี่ยนไปทำให้รายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไป...
ชุดคำอธิบาย A B C D ที่เชื่อมโยงกัน สามารถนำไปอธิบายสังคมโบราณ หรือแม้สังคมในวัดปัจจุบันก็ได้... เพียงแต่เปลี่ยนจากการโพสต์ข้อความไปเป็นสิ่งอื่น ที่สามารถสื่อให้เข้าใจความหมายนั้นๆ ได้...
อนึ่ง ชุดคำอธิบายที่สร้างขึ้นมาเพื่ออธิบายปรากฎการณ์ทางสังคมเหล่านี้ นอกจากจะเป็นความรู้เพื่อความรู้แล้ว เบื้องหลังมักจะนำไปใช้เพื่อผลประโยชน์อื่นๆ เช่น การโฆษณาทางการค้า เป็นต้น
เจริญพร
ITonnews-ทวิตเตอร์(twitter)เครื่องมือการทำธุรกิจออนไลน์ชั้นดี ตามลิงค์นี้ http://hi-hotnews.blogspot.com/2009/03/twitter.html
สนใจอ่านบทความ "บอกให้โลกรู้ว่าคุณทำอะไร? ด้วย Twitter" คลิกไปที่ http://www.wiseknow.com/content/view/1243
Twitter เมื่อ ประตูห้องน้ำ มาปลดทุกข์แล้วก็เขียนมันซะหน่อย คนต่อมาได้อ่านและก็เขียนอีกหน่อย คนที่ได้อ่านต่อก็เห็นของคนก่อนๆที่เขียน โอ้ เิกิดความสุข ถ่ายคล่องประมาณนั้น
ผมเขียน Blog แล้วเขียนเรื่องนี้ทั้งเหมือนและต่างกับที่ Theink เขียนอ่านต่อแบบเต็มๆได้ที่ http://iyaraplanet.blogspot.com/2009/07/social-network.html
".... สื่อประเภทที่มนุษย์ยุคนี้ยังขาดอยู่นั้น เปรียบเทียบไปแล้วคงจะเหมือนกับ การนั่งล้อมวงคุยกันในหมู่เพื่อนฝูง ในโต๊ะอาหารที่จะมีเรื่องคุยหลากหลาย มีเรื่องที่สนใจเหมือนกันบ้างต่างกันบ้าง ในขณะเดียวกันก็จะมีข้อมูลข่าวสารที่เราสนใจบ้าง ไม่สนใจบ้าง ผ่านเข้ามา ให้ได้แลกเปลี่ยนแนวคิด ความรู้ซึ่งกันและกัน และอาจได้รู้จักเพื่อนใหม่จากเพื่อนของเพื่อน มาเป็นเพื่อนกันในเวลาต่อมา แน่นอนครับปัจจุบันเราก็มีแล้วนั่นคือ Social Network !!!"
ขอบคุณครับ
สวัสดี ครับ
เป็นบันทึก twitter อีกบันทึกหนึ่ง นะครับ
ที่น่าสนใจ
ขอบพระคุณ ครับ