เวทีแรกผ่านไปแล้วด้วยความสุขใจ ผมกลับกรุงเทพฯ ด้วยใจที่เป็นสุข อิ่มเอิบ ไม่ปรากฏความเหนื่อยจากการกรำงานทั้งสองวันหลงเหลืออยู่เลย บนเครื่องบินผมนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสองวันที่หาดใหญ่ ทำให้ผมยิ้มให้กับตัวเอง...และคิดว่าผมช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้มาร่วมรับรู้สิ่งดีๆเหล่านี้ด้วยตัวเอง ชั่วโมงกว่าๆ ถึงสนามบินดอนเมือง ผมก็ยังรู้สึกว่าตัวผมเบาๆมีความสุขครับ
ตลอดระยะเวลาสองวันที่อยู่ที่หาดใหญ่ (วันที่ ๖-๗ สิงหาคม ๒๕๕๑) เพื่อทำหน้าที่วิทยากรกระบวนการ (Facilitator) ในเวทีพัฒนากระบวนการเรียนรู้จิตปัญญา พื้นที่ภาคใต้ ผมได้สังเกตผู้เข้าร่วมล้อมวงคุยเรื่องเล่า ผมเห็นทุกคนมีส่วนร่วมทั้งอารมณ์และความพึงพอใจ โดยผู้เข้าร่วมทั้งหมดอยู่ในเวทีตลอดตั้งแต่เริ่มจนจบกระบวนการ
ผมคิดว่า การที่คนเราจะมานั่งฟังเรื่องราวคนอื่นโดยใช้เวลายาวนานนั้น ทำได้ยาก และหากจัดการเวทีได้ไม่ดีก็น่าเบื่อ แต่การเล่าเรื่องจิตอาสาทุกคนจดจ่อกับสิ่งที่ได้รับฟัง เราต่างมีความปราโมทย์- ปีติ ชื่นชมในความดีงามของกันและกัน
โจทย์ที่ มูลนิธีสดศรี สฤษดิ์วงค์ ให้มาคือ ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กระบวนการพัฒนาจิต ถอดบทเรียน เรียนรู้จิตอาสาในตัวคน สร้างแผนที่ความดี และเรียนรู้การแพทย์ที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ของบุคคลและองค์กร ทางแผนงานพัฒนาจิตเพื่อพัฒนาจิตระยะที่ ๒ ตั้งสมมุติฐานไว้ว่าบทเรียนเหล่านี้จะช่วยสร้างกิจกรรมที่คนส่วนใหญ่ในประเทศเข้าถึงได้แม้ว่าเราไม่ได้ลึกซึ้ง ทำความเข้าใจกับสุขภาวะทางด้านจิตวิญญาน ที่ประกอบไปด้วย มิติด้านคุณค่า(values) จริยธรรม(ethics) อุดมการณ์(idealism) และเสรีภาพของความเป็นมนุษย์(freedom) และสุขภาวะทางจิตวิญานนั้นไม่ได้เกิดขึ้นด้วยตนเอง หากเกิดขึ้นในกระบวนการพัฒนาจิต อย่างมีพัฒนาการ สร้าง สะสม ตกผลึกจากทุนที่มีอยู่ หมายถึงรากฐานอันแข็งแรงของความดีงามที่เป็นทุน
และกิจกรรมที่เกิดขึ้นในเวทีที่ภาคใต้เป็นการเรื่องราวความเป็นมาของพัฒนาการก่อนที่จะเปลี่ยนวิธีคิด "ทำเพื่อคนอื่น" เหมือนอย่างที่ผู้เข้าร่วมเวทีทั้ง ๖ โรงพยาบาลในภาคใต้ได้ทำ พวกเขาผ่านเรื่องราวต่างๆมาอย่างน่าสนใจ และการก้าวผ่านของพวกเขาแสดงให้เห็นถึง กลไกการปรับเปลี่ยนวิธีคิดเชิงบวกจากข้างใน เป็นคีย์เวิร์ดที่ผมต้องการให้ผู้เล่าเรื่อง อธิบายให้เห็นแบบละเอียดให้เห็นถึงความลึกของกระบวนการพัฒนาจิต
ด้วยวิชาชีพทางด้านสุขภาพ ที่มีโอกาสได้รับรู้สุขทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ พวกเขามีโอกาสที่จะได้พัฒนาจิตสม่ำเสมอ นำไปสู่ ระบบการแพทย์ที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ (Humanized health care) : HHC ช่วยให้เราเข้าใจความเป็นองค์รวม (Holistic Care) มากยิ่งขึ้น เห็นความสำคัญของการมองผู้ป่วยเป็นคนทั้งคน และเห็นความสำคัญของความสามารถที่จะสัมผัสทุกข์ของผู้ป่วย เมื่อระบบการแพทย์มีมุมมองต่อคนป่วยตามความสามารถเหล่านี้ หมายถึงการเข้าไปรับรู้ว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร และนำไปสู่ความเห็นอกเห็นใจกันในที่สุด
ที่ภาคใต้ ผู้เข้าร่วมเวทีส่วนใหญ่ ๙๕ เปอร์เซนต์ มีจุดเริ่มและจุดเปลี่ยนจาก "บาดแผลในใจ" และ "สถานการณ์วิกฤติในพื้นที่" ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ยากต่อการทำใจให้ยอมรับ แต่พวกเขาต้องอยู่กับสถานการณ์วิกฤติให้ได้ พร้อมๆกับแปรพลังลบเหล่านั้นมาพัฒนาจิตเชิงบวก ส่งผลให้เกิด "จิตอาสา" และพร้อมที่จะทำเพื่อคนอื่น เมื่อคนอื่นมีความสุขนั่นหมายถึงพวกเขามีความสุขเช่นกัน บรรยากาศในวงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เราได้เรียนรู้การรับฟังเชิงลึก (Deep listening) เพื่อซึมซับเอาความรู้สึกที่ดีที่ทุกคนมีอยู่ ซึ่งการเรียนรู้แบบนี้จะทำให้เกิดความรักความเมตตา มีจิตสำนึกต่อส่วนรวม และเป็นการร่วมสร้างสังคมพื้นฐานปัญญา (Wisdom-Based Society)
ในการเตรียมตัวของการทำกระบวนการของวิทยากรกระบวนการ ต้องละเอียดทั้งความคิดและกิจกรรมที่จะเอื้อให้เกิดการแลกเปลี่ยนอย่างมีความสุข นับว่าเวทีลักษณะนี้ท้าทายความสามารถของผมเป็นอย่างยิ่ง แต่ผมก็ไม่ได้เครียดมาก ทุกอย่างขับเคลื่อนไปอย่างเป็นธรรมชาติ เราต้องศึกษาธรรมชาติของทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว ผมเน้นความง่าย ความงาม และสอดคล้องกับจิตวิทยาพื้นฐานของมนุษย์ ความสบายใจของผมจึงถูกถ่ายทอดออกมาในกระบวนการ ทุกคนก็รับรู้ได้...
มีบางท่านถามว่า ทำไมเราใช้กระบวนการ KM มาใช้ในประเด็น “จิตปัญญา” ??
เรื่องของจิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การเปลี่ยนวิธีคิดของบุคคลก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนไม่ต่างกัน
ดังนั้นกระบวนการที่ละเอียดอ่อนที่เราถ่ายทอดสู่กันและกันนั้น จำเป็นอย่างยิ่งต้องสร้าง “บรรยากาศ” ของการเรียนรู้ที่เหมาะสม เป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลายมีความสุข ความรู้สึกว่าทุกคนเท่าเทียมกัน และสิ่งที่ทุกคนเล่านั้นเป็นเรื่องราวที่มีความสำคัญที่สุด
ผมบอกให้ทุกคนในเวทีว่า เป็นเรื่องยากมากที่เราจะมีโอกาสได้มานั่งฟังเรื่องราวดีๆเหล่านี้จากปากของผู้เล่า เราไม่มีพื้นที่แบบนี้ แต่วันนี้เรามีขอเราช่วงชิงโอกาสแห่งการพัฒนาจิตตรงนี้ให้เต็มที่ขอให้เวทีนี้ เป็นเหมือนโอกาสในการปฏิบัตธรรม ชำระจิตใจให้ผ่องแผ้วด้วยเรื่องราวดีๆ จรรโลงใจ ทั้งผมและผู้เข้าร่วมต่างจดจ่อสมาธิกับเรื่องเล่า เรื่องแล้วเรื่องเล่าอย่างมีความสุข
ทั้งหมดคือคำตอบว่า ทำไมเราถึงใช้ กระบวนการ KM มาใช้สำหรับการดึง-ถอด บทเรียนที่ซ่อนในตัวคนออกมา
มีผู้ที่สงสัยถามต่อว่า หากต้องการผลลัพธ์แบบนี้แล้วน่าจะทำ การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ดีกว่าหรือไม่? ผมตอบว่า ทำได้และเราก็ได้กระบวนการแบบละเอียด แต่ กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันนั้นไม่เกิด ผมคิดว่ากระบวนการเรียนรู้ที่จะผนึกลงในหัวใจของทุกคนคือ การได้ชื่นชมยินดีร่วมกัน(AI : Appreciative Inquiry) คุณค่าที่เกิดขึ้นควรจะเป็นคุณค่าร่วม(Common values) และผมยังเชื่อว่าเราได้เปลี่ยนแปลงภายในตลอดเวลาจากข้อมูลที่ได้รับ
กระบวนการเหล่านี้ พัฒนาแบบช้าๆ แต่ผมเชื่อส่วนตัวว่า “ความช้า” คือกระบวนการปกติของพัฒนาการทางจิต เมื่อไหร่ก็ตามที่ผลผลึกของปัญญามากเพียงพอ พัฒนาการทางจิตและปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว...มองโลกด้วยปัญญาที่รู้ความจริง และด้วยใจที่กว้างขวางและรู้สึกเกื้อกูล เป็นกระบวนการวิวัฒน์ทางปัญญาและพัฒนาการขั้นสูงของสุขภาวะทางจิตวิญญาน
เวทีแรกผ่านไปแล้วด้วยความสุขใจ ผมเดินทางกลับกรุงเทพฯ ด้วยใจที่เป็นสุข อิ่มเอิบ ไม่ปรากฏความเหนื่อยจากการกรำงานทั้งสองวันหลงเหลืออยู่เลย บนเครื่องบินผมนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสองวันที่หาดใหญ่ ทำให้ผมยิ้มให้กับตัวเอง...และคิดว่าผมช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้มาร่วมรับรู้สิ่งดีๆเหล่านี้ด้วยตัวเอง ชั่วโมงกว่าๆ ถึงสนามบินดอนเมือง ผมก็ยังรู้สึกว่าตัวผมเบาๆมีความสุขครับ
ถอดบทเรียน "จิตปัญญา" ภาคใต้
บันทึกที่เกี่ยวข้อง