ทำไมจึงแปลแต่งานของ Osho ?


Osho มักจะใช้การเล่าเรื่อง (Storytelling) ประกอบการนำเสนอของเขา ทำให้สิ่งที่เขาสื่อออกมานั้น เป็นเรื่องที่สนุกสนาน น่าติดตาม

     ผมเพิ่งส่งต้นฉบับงานแปลหนังสือที่ชื่อว่า "Maturity" ให้ทางสำนักพิมพ์ครับ ...ถือเป็นผลงานการแปลเล่มที่สาม หลังจากเล่มแรกที่ชื่อว่า "intuition: ปัญญาญาณ" และเล่มที่สองที่ชื่อว่า "หลุด: freedom"

     คนเริ่มถามผมว่า “ติดใจอะไรนักหนา ถึงได้แปลแต่งานของ Osho” ผมมักจะตอบไปสั้นๆ ว่า “คงเป็นเพราะว่าถูกจริต” ที่ว่าถูกจริตนั้น ก็ตรงที่ Osho ชอบใช้คำที่แรงๆ ถึงผมจะไม่ใช่ “ซาดิสต์” แต่ก็รู้สึกว่าบางทีการใช้คำแรงๆ (แต่สุภาพ) นั้นก็เป็นสิ่งที่จำเป็น ผมเองเวลาที่ทำหน้าที่เป็นวิทยากร ก็มักจะเลือกใช้คำที่ “แทงใจดำ” ผู้ฟังเหมือนกัน เพื่อให้สามารถ “เขย่า” เข้าไปในใจผู้ฟังได้ ....นี่คือการถูกจริตข้อแรกของผม

     ถูกจริตข้อที่สองก็ตรงที่ Osho มักจะใช้การเล่าเรื่อง (Storytelling) ประกอบการนำเสนอของเขา ทำให้สิ่งที่เขาสื่อออกมานั้น เป็นเรื่องที่สนุกสนาน น่าติดตาม สำหรับการถูกจริตข้อที่สามของผมก็ตรงที่ Osho มักจะนำเสนอประเด็นต่างๆ ในลักษณะที่ “กัดไม่ปล่อย” คือถ้าเรื่องไหนที่เขาเห็นว่าสำคัญแล้ว เขามักจะย้อนกลับมาที่เรื่องนั้นอยู่บ่อยๆ พูดซ้ำไปซ้ำมาจนสิ่งนั้นเริ่มซึมเข้าไปข้างใน ทำให้เรา “Get” จนได้

     การที่ผมบอกว่าถูกจริตนี้ ก็มิได้หมายความว่า ผมเห็นด้วยกับทุกคำพูดของเขานะครับ ตัวอย่างเช่นในเล่มนี้ เขาเน้นเหลือเกินเรื่องที่พยายามจะบอกว่า "อย่าไปกดทับกับความรู้สึกทางเพศ" ผมแปลไป ก็เสียวไป เกรงว่าลูกชายที่อยู่ในวัยรุ่นจะมาอ่านเจอ ...แต่ถ้ามาอ่านเจอจริงๆ ก็เป็นสิ่งที่ต้องมา Discuss กันครับ ....

    เอาเป็นว่าถ้าใครสนใจในแนวคิดของ Osho แต่ไม่อยากอ่านหนังสือ ...ทางสำนักพิมพ์ Mind Publishing ได้จัดงานสัมมนาให้ผมไปพูดเรื่อง "การบริหารชีวิตตามวิถีคิดของ Osho" ในช่วงวันหยุด 6 เมษานี้ (วันจักรี) ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สนใจดูรายละเอียดได้ ที่นี่ หรือติดต่อที่โทร 0-2734-3450 ต่อ 203 ครับ

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 16996เขียนเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2006 14:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 00:50 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (49)

เห็นด้วยอย่างหนึ่งค่ะ ว่า Osho เขียนเน้นๆ ถึงสิ่งที่เขาต้องการเน้น

อ่านปิ๊งแว๊บที่อาจารย์แปลแล้วค่ะ

เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จัก Osho ค่ะ

อ่านแล้วก็ค่อนข้างจะคล้อยตามบางประเด็นที่ Osho เขียนถึงการไม่คิดเพื่อไปสู่ปัญญาญาณ

มีความเห็นส่วนตัวถึง Osho ว่าถึงแนวคิดจะโน้มเอียงทางตะวันออก แต่คำที่ใช้ บางทีก็อิงหลักการศึกษาปรัชญาตะวันตก ตัวอย่างที่ว่า "คิดแบบผู้หญิง" เพราะเรื่องบทบาทหญิงชาย มีแนวคิดหรือรากมาจากตะวันตกในยุคหลายสิบปีมาแล้ว

ก็น่าสนใจติดตามค่ะ

เอาเป็นว่ารออ่านเรื่องใหม่นี้ค่ะ

คงถูกจริตกันอย่างแรง เพราะ
Osho ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าเป็น "The God of Free Sex", "The Sex Guru", etc
 
คุณรับได้ไหมกับที่กล่าวว่า ???
... He found divinity in sexuality and allegedly taught his disciples, to follow free sex as a way to nirvana.
 
ดิฉันคนหนึ่งแหละค่ะที่รับไม่ได้  ในฐานะศิษย์คนหนึ่งขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ดิฉันขอยืนยันว่าพระพุทธองค์ไม่เคยสอนเช่นนี้  ลองกลับไปศึกษาพระไตรปิฏกให้ลึกซึ้ง แล้วจะเข้าใจถึงเหตุผล
 
จะปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เผยแพร่ต่อไปหรือ ???

ขอทุกท่านโปรดใช้วิจารณญาณอย่างสูง !!!
และฝากวิงวอนถึงท่านผู้แปล ซึ่งมีดีกรีเป็นถึงด็อกเตอร์ แต่เหตุใด จึงชักนำสังคมไปในทิศทางเช่นนี้ เพราะแม้แต่คุณยังบอกเลยว่า  “ผมแปลไป ก็เสียวไป เกรงว่าลูกชายที่อยู่ในวัยรุ่นจะมาอ่านเจอ”  กรุณาช่วยลองมองย้อนกลับมาในสังคมที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ด้วยค่ะว่า จะมีสักกี่คนที่เข้าใจ หรือมีโอกาสมานั่ง discuss อย่างที่คุณว่า
คงถูกจริตกันอย่างแรง เพราะ
Osho ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าเป็น "The God of Free Sex", "The Sex Guru", etc
 
คุณรับได้ไหมกับที่กล่าวว่า ???
... He found divinity in sexuality and allegedly taught his disciples, to follow free sex as a way to nirvana.
 
ดิฉันคนหนึ่งแหละค่ะที่รับไม่ได้  ในฐานะศิษย์คนหนึ่งขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ดิฉันขอยืนยันว่าพระพุทธองค์ไม่เคยสอนเช่นนี้  ลองกลับไปศึกษาพระไตรปิฏกให้ลึกซึ้ง แล้วจะเข้าใจถึงเหตุผล
 
จะปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เผยแพร่ต่อไปหรือ ???

ขอทุกท่านโปรดใช้วิจารณญาณอย่างสูง !!!
และฝากวิงวอนถึงท่านผู้แปล ซึ่งมีดีกรีเป็นถึงด็อกเตอร์ แต่เหตุใด จึงชักนำสังคมไปในทิศทางเช่นนี้ เพราะแม้แต่คุณยังบอกเลยว่า  “ผมแปลไป ก็เสียวไป เกรงว่าลูกชายที่อยู่ในวัยรุ่นจะมาอ่านเจอ”  กรุณาช่วยลองมองย้อนกลับมาในสังคมที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ด้วยค่ะว่า จะมีสักกี่คนที่เข้าใจ หรือมีโอกาสมานั่ง discuss อย่างที่คุณว่า

ดิฉันหวังว่า Beyond "KM" คงจะใจกว้างพอที่จะเปิดรับฟังความคิดเห็น และไม่ delete ทิ้ง

ขออนุญาตต่ออีกนิดค่ะ

หนังสือเป็น"สื่อ" ที่กว้างมากในหลายระดับ และคงอยู่ยาวนาน อาจเป็นสิบ ๆ ปี   อีกทั้งวิจารณญาณของผู้อ่านก็แตกต่างกันออกไป  ทำให้อาจมีการตีความและความเข้าใจที่แตกต่างกัน ซึ่งจะมีสักกี่คนที่จะได้มีโอกาสมา discuss กันคะ 

โดยเฉพาะวัยรุ่นหากตีความออกนอกลู่ นอกทางไป ทำนองเดียวกับที่คุณเองก็ยังเป็นห่วงลูกชาย แล้วลองนึกถึงคนเป็น "ลูกสาว" ดูบ้างสิคะ  ทุกวันนี้สังคมก็มีสิ่งล่อแหลม ยั่วยุชักจูงเต็มไปหมดอยู่แล้ว  หาทางช่วยกันจรรโลง สร้างสรรค์ มิดีกว่าหรือ

การที่คุณออกตัวว่าไม่ได้เห็นด้วยกับทุกคำพูดของเค้า เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นเลยจริง ๆ ค่ะ

ดิฉันคิดว่าการทำหน้าที่ของ "สื่อ"  ถึงแม้จะเป็นงานแปล ก็ควรจะมี "จรรยาบรรณ และ จริยธรรม" ในการคัดสรร กลั่นกรองสิ่งที่จะนำเสนอให้เหมาะสม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีบทบาทหน้าที่ในการจัดการความรู้ของประเทศ ควรมีสำนึกในความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวมมากกว่าธรรมดาด้วยค่ะ

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

อ่าน... ยิ้ม... ขอบคุณ... แล้วจะ "แผ่เมตตา" ไปให้ครับ ...

เป็นการแสดงความคิดเห็น  "สะท้อน" มุมมอง... เพื่อการไตร่ตรอง ... ปรับปรุง สร้างสรรค์...

ลองหยุดทบทวนสักนิดดีมั๊ยคะ

ขอบคุณค่ะ ที่จะแผ่เมตตาให้ และที่สำคัญ อย่าลืม "แผ่เมตตา" ให้ตัวเองด้วยนะคะ

เนื่องจากดิฉันมีภารกิจอื่นที่สำคัญกว่ารออยู่ จึงขอยุติกระทู้นี้ไว้ตรงนี้

ดิฉันได้ทำหน้าที่เป็น "กระจก" เล็ก ๆ บานหนึ่งแล้ว  ที่เหลือขึ้นอยู่กับ "ดุลยพินิจ และวิจารณญาณของแต่ละท่าน" ค่ะ

ท้ายสุด...

สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ
อัพพะยาปัชฌา โหนตุ
อะนีฆา โหนตุ
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ 


อะหัง สุขิโต โหมิ
อะหัง นิททุกโข โหมิ
อะหัง อะเวโร โหมิ
อะหัง อัพยาปัชโฌ โหมิ
สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ
ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข
ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากความทุกข์
ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากเวร
ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง
ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุขกายสุขใจ รักษากายวาจาใจให้พันจากความทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด 
 


เย่ยยย....สงสัยจะเข้าใจคำว่า "แผ่เมตตา" ไม่ตรงกัน?? -_-!

mature--->สุกงอม

อาจารย์ครับ maturity เป็นคำนามของคำว่า mature แปลเป็นภาษาไทยแบบเด็กโง่ๆ ก็แปลว่า "ความสุก"----> พ้องเสียงกับคำว่า "ความสุข" พอดีเลยครับ 555 ขำๆ มั้ยครับ แก้เครียดๆ

พอวันศุกร์ เราก็สุกงอม แล้วเราก็มีความสุข (55 เกี่ยวมั้ยเนี่ย?) ^_^!

บางคนชอบมะม่วงเปรี้ยว ระดับความสุกก็สีเขียวๆ

บางคนชอบหวานๆ ระดับความสุกก็สีเหลืองๆ หน่อย

55 มีหน่วยวัดด้วยเห็นมั้ยครับ ^_^! ....โอย ชักเพี้ยนใหย๋แล้ว ของตัวกลับไปลงปรักก่อนนะคับ...มออ

ยุทธพงศ์ พงศ์เพชรดิถ

ขอออกความเห็นบ้างครับ ในความร้อนแรงของบทความนี้ (หลังจากได้อ่านติดตามบทความของอาจารย์มาพักหนึ่ง)

ตามจรรยาบรรณ ของผู้แปล ตามความเข้าใจของผมนั้น (ซึ่งถ้าผมเข้าใจผิดก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้เลย) ผมเข้าใจว่าน่าที่จะต้องแปลบทความให้ตรงกับต้นฉบับของผู้เขียนมากที่สุด ผู้แปลย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปใส่ความเห็นหรือเบี่ยงเบนสิ่งที่ผู้เขียนได้เขียนได้ถ่ายทอดออกมา  
การเลือกที่จะรับหรือไม่รับสิ่งใดนั้นควรที่จะอยู่ที่ดุลยพินิจของแต่ละบุคคลนะครับ การที่เราละทิ้งสิ่งที่ดีๆส่วนมากในบทความของ Osho เพียงเพราะ Osho มีความคิดบางอย่างซึ่งไม่ถูกกับจริตเราผมว่าน่าเสียดายนะครับ

หนังสือของ osho อ่านแล้วต้องรู้จักคิดครับ บ่อยครั้งที่แรงเหลือเกิน (เพื่อนผมคนหนึ่งใช้คำว่าถึงพริกถึงขิง) นอกจากเรื่อง sex แล้ว osho ยังเห็นด้วยกับอาหาร GMO เห็นด้วยกับการโคลนนิ่ง การปรับปรุงยีนของมนุษย์ ฯลฯ และสุนทรียสุขอีกหลายๆ อย่าง แต่การทำความรู้จักกับ osho นั้น การ quote เฉพาะบางส่วนมา discuss กันก็เป็นสิ่งไม่สมควรครับ ถ้าเช่นนั้นไม่เฉพาะ osho หรอกครับ คุณ quote คำพูดของใครก็ได้ เลือกที่มันดูแย่ๆ แล้วเอามายำใหม่ เอามาพูดใหม่ มันก็ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้ทั้งนั้น ซึ่งหากผมเข้าใจไม่ผิดเงื่อนไขหนึ่งของการแปลหนังสือของ osho จากมูลนิธิเขา คือต้องรักษาข้อความดั้งเดิมครับ ไม่ให้ไปต่อเติมเสริมแต่ง หรือตัดออก

osho ไม่เพียงให้เก็บกดความรู้สึกทางเพศนะครับ ยังไม่ให้เก็บความโกรธ อารมณ์ทุกข์ สุขอื่นๆ อีกด้วย ซึ่งไม่ได้หมายความว่าไม่เก็บความโกรธ เวลาใครมาตีหัวเรา แล้วเราจะต้องไปตีหัวเขา การไม่เก็บกดความรู้สึกทางเพศก็ไม่ใช่ให้ปะฉะดะไม่เลือกหน้า คำว่า free sex ของ osho ก็มีความหมายเฉพาะ  แต่แน่นอนครับว่ามีคนเอา osho ไปอ้างเพื่อประโยชน์สุขส่วนตัวก็ไม่น้อยครับ ซึ่งเช่นเดียวกับที่เอาพระเยซูไปอ้าง เอาพระพุทธเจ้าไปอ้างก็ไม่น้อย

ขอโทษนะครับสำหรับพระไตรปิฎก ผมไม่ใช่พระ เป็นคฤหัสถ์ก็รักษาศีลห้า ซึ่งไม่มีข้อไหนห้าม free sex ขอให้พิจารณาศีลข้อนี้ให้ดีนะครับ

กาเมสุมิจฉาจาราเวรมณีสิกขาปทังสมาทิยามิ ศีลข้อนี้มีองค์ห้าคือ
๑.  อคมนียวตฺถุ วัตถุที่ไม่ควรถึง (คือชาย หรือหญิงที่มีเจ้าของ หรือมีผู้คุ้มครองดูแลรักษา)
๒.  ตสฺมึ  เสวนจิตตํ  จิตคิดจะเสพในวัตถุนั้น
๓.  เสวนปฺปโยโค  พยายามที่จะเสพ
๔.  มคฺเคน  มคฺคปฺปฏิปตฺติ  อธิวาสนํ  ทำมรรคต่อมรรคให้ถึงกัน

ไม่มีข้อไหนบอกให้มีเมียเดียวหรือผัวเดียว เพียงแต่อย่ายุ่งกับลูกเมียชาวบ้าน (ที่ถือว่าอยู่ในปกครองเท่านั้นด้วย) ไม่ผิดต่อประเพณีท้องถิ่น แต่เวลาพระสอนท่านก็กลัวชาวบ้านจะเอาไปอ้างนู่นอ้างนี่ก็สอนเกินไว้เสียเลยว่าอย่ายุ่งกับลูกเมียชาวบ้าน จบ ไม่ต้องอธิบายกันต่อ ป้องกันพวกชอบตีความด้วย (เช่นผมเป็นต้น)

คุณน้องทิงนี่คนเดียวกับที่เจอในบอร์ดอ.สุวินัยบ่อยๆ ไหมครับ

ดีนะคะที่มีเวที ลปรร. ในเรื่องนี้ด้วย

ต่างจิต ต่างใจกันไป แปลกดี

หนังสือให้ประโยชน์กับคนอ่าน ถ้าคนอ่านเปิดมิติของตนเองไว้อย่างถูกตรงแล้ว "จริต" ที่ตรงนั้นเราก้เปิดรับนั่นเอง

แต่ถ้าคุณตั้งป้อมไปแล้วว่า "ฉันไม่ชอบ" คุณก็คงไม่มีทางเข้าถึงเขาแม้ว่าภายในนั้นจะมีสิ่งดีๆ อีกมากมาย มากกว่าความเป็น"ตัวตน" ของเขา

ดีใจค่ะที่อาจารย์แปลงานของท่านโอโชออกมาอีก

ชอบ....เชียร์สุดใจ...ค่ะ

สวัสดีครับคุณจุมพฏ...(ก็ไม่ถึงกะบ่อยนะ)ครับ...ผมสนใจงานเขียนของอาจารย์ทั้งสองท่านเลยครับ^_^

...มุกที่ปล่อยไป (maturity = ความสุก) นี่ไว้ขำๆ เฉยๆ อ้ะครับ ยังไม่เคยอ่านจริงๆ หรอกนะครับ (หากผิดเพี้ยนไป ขออภัยทุกท่านที่อาจเคยอ่านฉบับภาษาอังกฤษแล้ว) แต่เท่าที่ดูในเว็บขายหนังสือมันจะมีสโลแกนว่า

Maturity means the same is innocence, only with one difference: it is innocence reclaimed, it is innocence recaptured.

ก็ไม่รู้จะ สุ ก่อนค่อย สุ หรือเปล่า ติดตามกันต่อไปนะครับ ^_^!?

 

เห็นด้วยครับ ที่ว่าอย่าไปกดทับกับความรู้สึกทางเพศ  ผมคิดว่าจริง และมีหลายแนวทางที่ไม่ไปกดทับปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติและไม่ผิดศีล 5 ทางพุทธไม่ผิดจริยธรรมสังคมได้ เรื่องนี่เป็นเรื่องที่ธรรมชาติระดับสัญชาตญาณสร้างให้เรามา...

คิดว่าควรจะมีการพูดคุยขยายความเรื่องนี้กันว่าทำอย่างไรไม่ไปกดทับธรรมชาติทางเพศของความเป็นมนุษย์ โดยไม่ใช่วิธีมั่ว Sex หรือวิธีการทรามๆ

 ส่วนหนังสือเรื่อง Intuition นี้ทำให้ได้เข้าถึงสถาวะจิตว่างไร้การปรุงแต่งได้เป็นครั้งแรกและทรงอยู่ในอารมณ์นั้นได้นาน..

เริ่มรู้สึกได้กับถึงญาณที่เรียกว่าปัญญาณญาณจริงๆ มีตัวอย่างง่ายๆ เช่นทำของหาย หาเท่าไรก็ไม่เจอ พยายามนึกทบทวนว่าไปที่ไหนมาบ้าง น่าจะหล่นหายที่ไหน พอเลิกคิดทบทวนทำสมธิตื่นรู้เข้าสู่จิตว่าง... ขามันเดินไปหาของนั้นเองเลยครับ นั้นเป็นประสบการณ์ครั้งแรกเกี่ยวกับ ปิ้งแว็บ

หลายอย่างไม่สามารถสำเร็จด้วยความคิดครับ การไม่กดทับความรู้สึกทางเพศนั้น ไม่ใช่หมายความให้ไปมั่ว แต่หากรู้จักแนวทางปฏิบัติ สามารถนำอารมณ์ทางเพศ หรือฮอร์โมนเพศไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งมีทั้งหลักปฏิบัติของทางโยคะ หรือของเต๋า หรือแม้แต่ท่าน Osho ก็ออกแบบระบบการฝึกโดยอิงกับหลักตันตระวิธีขึ้นมาด้วยครับ โดยผ่านการปฏิบัติมันจะเป็นเรื่องตลกที่ขัดแย้งครับ เช่นในการปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นทางเต๋า หรือทางตันตระ คุณจะมีสมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้น แต่หากคุณมีเพศสัมพันธ์มากเกินไป หรือไม่ถูกวิธี มันก็มีผลต่อการปฏิบัติและขัดขวางความก้าวหน้าในการปฏิบ้ติอย่างชัดเจน ทั้งยังทำให้เห็นผลเสียต่อร่างกายจริงๆ ด้วยตนเองจริงๆ ไม่ใช่วามีผลเสียเพราะหมอ ครู หรือพระ บอกมา แต่ตัวเองไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรเสียหาย

ในการปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน ก็ไม่ได้ให้กดทับหรือเก็บอารมณ์ความรู้สึกครับ เพียงแต่ให้รู้เท่าทัน มองเห็นตามความเป็นจริง เห็นการทำงานของมัน เท่านั้นก็จบกระบวนการ แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแค่ว่าคิดเอาแล้วจะสำเร็จอีกเหมือนกัน ต้องอาศัยการฝึกฝน ความเข้าใจ หรือตำราเป็นแค่ป้ายบอกทาง แต่ผู้ฝึกต้องเดินไปเอง ไม่ใช่ยึดเอาป้ายเป็นสาระ

ส่วนคนที่อ้างหลักไม่กดทับความรู้สึกทางเพศเพื่อไปมั่ว sex ก็เพียงแต่อ้างเอาประโยชน์ของตนเองเท่านั้นแหละครับ ใครพูดอะไรถูกหูก็ยกมาอ้าง แต่พอให้ปฏิบัติก็ไม่ทำ หรืออะไรที่ไม่ชอบใจก็แกล้งละไว้

อยากได้หนังสือต้นฉบับภาษาอังกฤษ ช่วยรบกวน อ.ประพนธ์ช่วยแนะนำว่าจะหาได้ที่ไหนครับ  เพื่อจะได้เอาไปใช้อ้างอิงงานวิจัยของตนเอง ช่วยบอกหน่อยนะคับจะรอนะครับ

ผมว่าคนที่จะอ่านหนังสือของโอะโชต้องเป็นคนที่อยู่ในระดับหนึ่ง

เหมือนกับที่คนโบราณ(ซึ่งเห็นแก่ตัว)ไม่ยอมให้เรียนรู้พุทธศาสนาในระดับปรมัติ

มันก็แปลกนะที่ดูหนังละครมีบทโป๊เยอะแยะไม่ค่อยมีใครต่อต้าน

คนโกงชาติโกงแผ่นดิน สื่อที่บิดเบือนความจริง ก็ไม่มีใครต่อต้าน

การพูดเรื่องจริงกลับเป็นสิ่งผิด แปลกจริงๆ แต่ถ้าอ่านหนังสือของโอะโชแล้วจะเห็นว่าไม่แปลก คนที่ไหนก้เป็นอย่างนี้แหละ

ผมได้อ่านหนังสือของOshoแล้วรู้สึกว่าเหมือนงานของท่านพุทธทาสมาก เช่นที่ Osho บอกให้ทำจิตให้บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา แบบเด็กๆก็หมายถึงการไม่มีตัวตนยึดมั่นถือมั่นในดีในเลว ในสุขในทุกข์มากเกินเหตุ เหมือนดังที่ท่านพุทธทาสสอน และการทำจิตให้ว่างปราศจากความคิดเสียบ้างเป็นไอเดียที่ดี เพราะจะทำให้เราสามารถสื่อสารกับ Higher-self หรือตัวตนที่สูงกว่าหรือปัญญาญาณ ได้เป็นอย่างดีซึ่งพระพุทธเจ้าก็ใช้หลักการนี้จนพระองค์ตรัสรู้ เพียงแต่เราไม่เก่งอย่างพระองค์เราก็แค่ปิ๊งแว้บในเรื่องสำคัญๆบางอย่างเช่น ควรเรียนต่อที่ไหน ผู้หญิงคนนี้เหมาะกับเรามั้ย หรือฉันควรจะเลือกงานเงินเยอะๆหรืองานที่ฉันรักแต่เงินน้อยกว่าดีเป็นต้น Oshoนั้นเน้นมากเลยเรื่องการรู้จักให้ความรักความเมตตา ซึ่งอ่านยังไงๆก็เหมือนศาสนาพุทธไม่มีผิดเพี้ยน ส่วนเรื่องข้อกล่าวหาที่บอกว่า Osho สอนให้ Free sex นั้น ผมคิดว่าคุณพูดแรงเกินไป เพียงแต่สัญชาตญาณไม่ว่าจะเรื่องทางเพศ หรือการหลั่งอะดรีนะลีนพอเจอสิ่งที่หน้ากลัวหรือกระทั่งการกระพริบและการหายใจนั้นถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติไม่มีทางจะมีเซ็กต์มั่วอย่างสังคมสมัยนี้ เพราะธรรมชาติได้สร้างให้มันมีในภาวะที่ถูกต้องเหมาะสม เหมือนเป็นการมอบความรักของเราให้กับคู่ของเรา แต่จากสื่อทางทีวี และหนังสือทางเพศที่มากเกินไปทำให้วัยรุ่นสมัยใหม่มี Sex กันอย่างสุดโต่ง หรือยึดติดมันมากเกินไปจึงเป็นปัญหา แต่ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติอย่างที่Oshoกล่าวไม่มีทางเป็นปัญหาแน่นอนครับ เหมือนเราปล่อยจิตใจไปตามธรรมชาติไม่มีอวิชชา กิเลส ตัณหาครอบงำ การรู้แจ้งก็เกิดขึ้นนั่นแหละครับ

ที่คุณเกรียงไกร และคุณนิก เขียนมา . . . เป็นการมองที่ "คมชัด" มากๆ เลยครับ . . . ผมเองก็คิดและรู้สึกเช่นนั้น . . . ขอบคุณมากครับสำหรับ "การต่อยอด" ความคิดในเรื่องนี้ . . .

ผมเองก็ยังคงแปลงานของ osho ต่อไปเรื่อยๆ เพราะรู้สึกว่าได้เรียนรู้ค่อนข้างมากจากการทดลองนำเทคนิคบางประการมาใช้ในชีวิตประจำวัน . . .

คุณประพนธ์ครับ ผมชอบงานแปลของคุณมาก ได้แสดงความคิดเห็นไปเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว เห็นคุณตอบกลับมา ขอบคุณที่ชมผมนะครับ มีเพื่อนผมคนหนึ่งชอบอ่านงานของท่านพุทธทาสก็บอกผมว่าอ่านยังไงก็เหมือนของ Osho ผมก็รู้สึกเช่นกัน มีเรื่องอยากจะถามหน่อยครับ นอกจากแปลงานของ Oshoแล้ว5เล่มให้สนพ.MIND จะแปลงานของคนอื่นอีกไหมครับ และจะมีงานของ Osho ต่อเป็นเล่มที่6ไหม ผมชอบอ่านงานแปลของคุณจริง ขอโทษนะครับของอนุญาตใช้คำหยาบ งานของคุณแม่งโคตรมันส์สะใจเลยครับ

(และเนื้อหายังสร้างสรรค์ด้วย )

ตอบคุณนิก . . . เล่มต่อไปคาดว่าจะออกมาทันงานหนังสือเดือนตุลานี้ครับ สำหรับชื่อหนังสือ ขออุบไว้ก่อน (เพราะยังไม่ลงตัวว่าจะใช้ชื่อว่าอะไรครับ) ขอบคุณสำหรับ Comment ครับ

หนังสือสนทนากับพระเจ้าเล่ม 2 ทำให้ผมสลดใจกับหลักการทางศาสนา ที่เขียนถึงนักร้องคนหนึ่งที่เธอรักงานของเธอมากแต่เธอได้เงินเยอะเลยรู้สึกผิด ไม่ทราบว่าทำอย่างไรถึงจะขจัดความเชื่อผิดๆที่ว่าถ้าทำงานมีคุณค่าที่เรารักไม่สมควรได้เงินเยอะกันเสียที เมื่อไรคนทั้งโลกจะคิดจะพูดได้เต็มปากว่า ผมรักเซ็กส์ ผมรักเงิน ผมรักเมืองนอก รักวรรณกรรม รักดนตรี ร้องรำทำเพลง ผมอยากให้คนทำงานที่รักสุดๆอย่าง วอลท์ ดิสนีย์ โดนัลท์ ทรัมป์ แล้วก็ยังรวยอย่างมหาศาลด้วย ขอความเห็นจากพี่ประพนธ์ด้วยครับ แล้วอีกเรื่องที่อยากถามครับ ศาสนาพุทธบอกให้ตัดกิเลสความอยาก ถ้าตัดแล้วเราจะมีแรงจูงใจทำอะไรได้ยังไงครับ ช่วยตอบด้วย ขอบคุณครับ

สวัสดีค่ะอ.ประพนธ์ดิฉันเป็นคาทอลิก แต่ก็ชอบแนวคิดของosho มีความจริงหลายอย่างที่ตรงกับที่พระเยซูสอน และความจริงบางอย่างที่พระองค์ไม่ได้พูดถึง แต่ osho นำมาตีแผ่ให้กระจ่าง ขอเป็นกำลังใจให้อาจารย์แปลงานของosho ต่อไป ดิฉันติดตามทุกเล่มค่ะ แต่ก้ไม่ได้เชื่อทุกอย่าง สิ่งใหนดีก็รับ สิ่งใหนไม่อยากรับก็อ่านผ่านๆ ดิฉันว่าถ้าเพียงแค่เราปฏิบัติเรื่อง การรู้ตัวทุกขณะ เหมือนที่ท่านทำแล้ว สิ่งอื่นๆในหนังสือก็ไม่ใช่ประเด็นมากหรอกค่ะ จริงใหมคะ ส่วนเรื่องที่ว่าท่านมีแนวคิดเรื่อง free sex นั้น ดิฉันว่าไม่ใช่ค่ะ เพราะคนที่เขาบรรลุกันจริงๆ เขาจะไม่ยึด ติด คิด แต่เรื่องนี้เรื่องเดียวหรอกค่ะ แต่เขาจะมีวิธีดำเนินชีวิตตามธรรมชาติของเขาอย่างสมดุล ว่าใหมคะ แต่ท่านosho อาจจะตีแผ่ความจริงแรงไปหน่อย ทำให้พวกที่มือถือสาก ปากถือศีลเดียดร้อน

ยังไงก็ติดตาม เป็นกำลังใจ และจะสวดภาวนาแด่อาจารย์นะคะ

ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

Katy

ขอบคุณ คุณ Katy สำหรับ Comment อันทรงพลังนี้ ผมขอนำไปพูดคุยต่อใน . . . http://gotoknow.org/blog/beyondkm/218494

อ.ประพนธ์ครับ ผมอ่านงานแปลหนังสือ Osho ของอาจารย์ทุกเล่มเลย ผมชอบแนวคิดของ Osho มากๆ ช่วยชีวิตผมไว้ได้มากทีเดียวครับ

ผมเองแต่ก่อนเรียนจบสายธุรกิจ และยังชอบอ่านหนังสือพวก how to ด้วย เลยทำให้ผม "ไล่ตามความสำเร็จ" อย่างไม่ลืมหูลืมตา จนในที่สุดผมก็เริ่มคิดว่า ผมจะรวยไปทำไม ตายไปก็เอาไปไม่ได้ แต่ถ้าไม่รวยจะทำอะไรดี ใช้ชีวิตไปวันๆ หรือ? สุดท้ายผมก็เริ่มสงสัยว่าชีวิตคืออะไร ค้นหาจากศาสนา ปรัชญาต่างๆ ทั้งพุทธ เต๋า จนในที่สุดก็มาเจอหนังสือของอาจารย์นี่แหละครับ

impact ที่สำคัญที่สุดก็คือ หนังสือของ Osho ทำลายความเชื่อทั้งหลายที่แบกเอาไว้อยู่ ส่วนมากเกี่ยวกับอัตตาตัวตนของผมเอง เพราะตั้งแต่เด็กผมก็ถูกปลูกฝังมาว่าควรทำมาหากินยังไง หาเงินยังไง ชีวิตที่ดี สิ่งที่ยึดถือหรือ "Value" คือ "หน้าตา" และ "ทรัพย์สิน" ซึ่งผมรู้อยู่ในใจว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีคุณค่าอะไรนัก เพราะมันไม่ทำให้ผมมี "ความสุข" แต่ทำไงได้ ผมก็ถูกสอนมาแบบนั้น หลังจากอ่านหนังสือของโอโชเล่มแรกคือเรื่องเต๋าครับ ผมประทับใจมากๆ ที่โอโชบอกว่าความสุขไม่ต้องมีเหตุผล มันเหมือนสุขภาพดี ไม่ต้องมีสาเหตุ เพียงแค่ปล่อยวางเท่านั้นมันก็มา แล้วในที่สุดมันก็มาจริงๆ อีกอันนึงก็คือชีวิตของเราไม่มีวัตถุประสงค์ (purpose) ในหนังสือหลายเล่มสอนผมว่า ชีวิตเกิดมาเพื่อทำแบบนั้นแบบนี้ บางเล่มแนะนำให้กำหนด purpose in life ขึ้นมาเองด้วย ซึ่งไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย จนมารู้ความจริงว่าชีวิตเราเป็นไปอย่างไม่มีจุดประสงค์นั่นเอง ตอนหลังผมก็ตามอ่านหนังสือของ Osho มากขึ้นๆ ช่วยลบล้าง "สิ่งยึดติด" ทั้งหลายออกไปมากขึ้นๆ ทุกวันนี้ผมมีความสุขขึ้นมากครับ การเรียน การทำงานก็ดีขึ้นด้วย เพราะทำงานอย่างสบายใจ ไม่เครียด ไม่คาดหวังมาก ความสัมพันธ์กับคนอื่นก็ดีขึ้น

สำหรับตอนนี้คำสอนที่ดีที่สุดที่ผมได้รับมาจาก Osho ก็คือ "ชีวิตเป็นสิ่งลี้ลับ" ครับ ไม่มีใครเข้าใจมัน คนที่พยายามจะ "รู้" ย่อมทำให้ตัวเองเป็นทุกข์โดยใช่เหตุ ในที่สุดผมก็เลิกพยายามทำความเข้าใจ และผมก็ปล่อยวางจนได้

ผมเองก็ไม่ได้ศรัทธาโอโชไปหมดนะครับ แต่อยากจะบอกว่าผมสังเกตผู้ที่วิจารณ์ Osho ในทางที่ไม่ดี ส่วนมากไม่ได้เข้าใจหลักการของ Osho จริงๆ เพียงแต่อ่านแต่ผิวเผิน หรือฟังคนอื่นมา บวกกับอัตตาตัวตนที่สูงของตัวเอง เลยทำให้พูดออกมาแบบนั้น ถ้า Osho ได้ยินก็คงเฉยๆ แล้วพูดว่า "สิ่งที่เค้าพูดมาเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยล่ะ" ซึ่งหมายถึงว่า ไม่ต้องไปเดือดร้อนใจนั่นเอง

สุดท้ายผมขออวยพรให้อาจารย์ประพนธ์มีสุขภาพดี มีความสุขนะครับ ขอให้สร้างสรรค์ผลงานดีๆ ได้เยอะๆ ครับ งานของอาจารย์มีคุณค่ามาก ผมติดตามครับ

ออ ขอเสริมเรื่อง Sex นิดนึงนะครับ พอดีผมเห็นว่าเป็นประเด็นสำคัญอันนึงในนี้

อย่างแรกเลยผมคิดว่าที่ Osho พูดถึงการกดทับทางเพศ รวมถึงการไม่เห็นด้วยกับศาสนาพุทธที่ว่า ให้ควบคุมเรื่องทางเพศไว้ เพราะจะทำให้เรื่องทางเพศยิ่งรุนแรงขึ้นในส่วนลึกของจิตใจ ผมมองว่าเรื่องนี้ Osho เข้าใจศาสนาพุทธไม่หมดครับ

วิธีการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ของศาสนาพุทธคือการวิปัสสนา ซึ่งก่อนจะวิปัสสนาจะต้องฝึกสมาธิก่อน อาจจะโดยวิธีอาณาปานสติตามที่เราคุ้นเคยกัน ซึ่งในกระบวนการนี้จะเป็นการทำให้จิตนิ่งพอจะฝึกวิปัสสนาได้ ในช่วงนี้ยังไม่ได้ชำระล้างกิเลศครับ จะเรียกว่ากดดับกิเลศก็ไม่ผิด ซึ่งก็ไม่ถือว่า Osho พูดผิด แต่จากการทำสมาธินี้จะเป็นการวิปัสสนาครับ ซึ่งเป็นกระบวนการชำระกิเลส ด้วยการทำใจให้เป็นอุเบกขาต่อสิ่งที่มากระทบ กระบวนการนี้ไม่ใช่การกดทับครับ เป็นการปลดปล่อยต่างหาก ปลดปล่อยให้กิเลศออกมาโดยที่ไม่ไปปรุงแต่ง สุดท้ายกิเลศจะดับไปตามกฎธรรมชาติ แต่การวิปัสสนานี้โดยมากถ้าไม่ใช่พระก็จะไม่รู้ครับ ผมคิดว่า Osho คงศึกษาไม่ถึงขั้นนี้มากกว่า (อันนี้เป็นความเข้าใจส่วนตัว โดยการสังเกตของผมเองเท่านั้นนะครับ)

ส่วนวิธีการที่ว่าการถึงจุดสุดยอดทางเพศแล้วจะบรรลุนั้น Osho ก็เน้นย้ำชัดเจนว่าต้องเป็นไปอย่างรู้ตัว ให้เราเข้าใจ ให้เราสัมผัส ถึงจุดนั้นอย่างแท้จริง ซึ่งถ้าเราได้เข้าถึงจุดนั้นอย่างแท้จริงแล้ว เราก็ย่อมเข้าใจ และในที่สุดเราก็จะปลดปล่อยความอยากนี้ไปได้ เพราะเราได้เข้าใจแล้ว ได้สัมผัสแล้ว ซึ่งประเด็นนี้ล่อแหลมมากตรงที่ ผู้ที่ไม่เข้าใจก็จะคิดง่ายๆ ว่าการร่วมเพศทำให้บรรลุธรรมได้ โดยไม่มองรายละเอียดว่า ต้องเป็นไปอย่างไร แล้วก็คิดเอาเองตามความรู้ของตัวเองว่าเป็นไปไม่ได้ และส่วนตัดสินว่า นี่เป็นสิ่งผิด สอนผิด โดยไม่ยอมรับว่าจริงๆ แล้วตัวเองก็ไม่รู้ ยิ่งกว่านั้นยังบอกอีกว่า "พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเช่นนี้" ก็แน่นอนสิครับ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเช่นนี้ แต่โอโชก็บอกชัดเจนว่าเขาไม่ได้สอนศาสนาพุทธ เขาไม่เคยบอกว่าพระพุทธเจ้าสอนแบบนั้น ท่านนั่นแหละเป็นคนบอกเอง คนที่พูดเช่นนี้ไม่มีความรู้แต่อยากมีความเห็น

เหมือนกับเรื่องการเมืองช่วงนี้ล่ะครับ คนไทยเราแบ่งกันเป็นสองฝ่ายใหญ่ๆ โดยที่เราเองก็ไม่รู้ข้อมูล เราตัดสินกันว่าอะไรที่อยู่ฝ่ายเราต้องดี อะไรที่อยู่อีกฝ่ายต้องไม่ดี ทั้งๆ ที่ความจริงทั้งสองฝ่ายก็มีทั้งดีและไม่ดี (ส่วนมากจะไม่ดี) แต่ลองสังเกตสิครับ ถ้าบ้านเมืองเราเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ก็จะรีบโจมตีอีกฝ่ายอย่างไม่ลืมหูลืมตา ในที่สุดก็ตามมาด้วยการสูญเสียทั้งคู่ จนเสียชีวิตไปก็มี เสียชีวิตเพื่ออะไรก็ยังไม่รู้เลย ผมมองว่านี่เป็นผลจากการปลุกระดมมากกว่า เราสูญเสีย "ปัญญาญาณ" กันง่ายๆ ถ้าเราขาด "สติ" ตัวผมเองไม่ได้อยู่ฝ่ายไหน เพราะผมยอมรับว่า "ผมไม่รู้" ไม่รู้ว่าใครทำถูกหรือผิด ใคร "สร้าง" หรือ "ทำลาย" ยิ่งข้อมูลช่วงนี้ถูกบิดเบือนจนเชื่อถือไม่ได้ ถ้าผมอุปโลกว่า "ผมรู้" ว่าฝ่ายนี้แหละดี ทำถูก ผมก็คงตกไปอยู่ใน "กระแส" ด้วยอีกคน

ผมหวังว่าผู้อ่านคงไม่ว่านะครับที่ผมนอกเรื่องไปหน่อยหรือพูดแรงไปบ้าง ขอให้ทุกคนมีสติ และมีความสุขครับ

ขอบคุณ คุณ Nut ชัดเจนมากครับ ขออนุญาตนำข้อความบางตอนไปใช้อ้างอิงต่อไป คงจะไม่ว่าอะไรนะครับ

ไม่ทราบว่าได้อ่านเล่มใหม่ "สปาอารมณ์" หรือยังครับ ผมมองว่าเป็นการสอน "วิปัสสนา" เบื้องต้นที่ดูง่ายดีครับ

ผมจะไปเปิดตัวหนังสือที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ สาขาจามจุรีสแควร์ (สามย่าน) วันอังคารที่ 25 พ.ย. เวลา 14.00 น. ถ้ามีเวลาแวะไปพูดคุยกันได้นะครับ

ครับอาจารย์ ยินดีครับ

หนังสือเล่มใหม่ผมยังไม่เคยเห็นเลยครับ คาดว่าน่าจะเพิ่งออก แต่น่าสนใจมากครับ ไม่ทราบว่าแปลจากงานของ Osho ด้วยรึปล่าว

พอดีช่วงนี้ผมทำธุระอยู่ที่ปักกิ่งน่ะครับ คาดว่ากว่าจะได้กลับเมืองไทยก็คงกลางปีหน้า ขอบคุณมากครับที่ชวน

จะเป็นไปได้มั๊ยครับถ้าผมขอชื่อหนังสือเป็นภาษาอังกฤษ (ถ้าเป็นหนังสือแปล) เผื่อผมจะหาได้จากที่นี่น่ะครับ

เป็นหนังสือของ osho ผมแปลมาจาก "Emotional Wellness" ครับ

ขอบคุณมากครับ ผมเคยเห็นโฆษณาใน internet แล้ว ยังไม่เคยลองอ่านจริงๆ จังๆ

แล้วจะลองดูครับ รู้สึกหนังสือเล่มนี้ใหญ่พอสมควร รอผมกลับไทยก่อนแล้วค่อยซื้อฉบับแปลของอาจารย์อ่านอีกที

ขอขอบคุณอาจารย์ที่แปลหนังสือดีๆมาให้อ่าน

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามผลงานแปลของผมมาอย่างต่อเนื่อง

สวัสดีค่ะ

ครั้งแรกที่รู้จักท่านและผู้เขียน จากการอ่าน "คุรุวิพากษ์คุรุ" ดิฉันคิดว่าดิฉันรู้สึกดี ที่มีคำแรง ๆ นะแต่รู้สึกว่าเรารู้ตัวเองอยู่

สไตล์การสอนของท่านโอโช่ ผมเรียกว่าเป็นการให้ "ยาแรง" ครับ สำหรับบางคนก็ได้ผลดี แต่สำหรับบางท่านอาจ "ไม่ถูกจริต" . . . ก็ไม่เป็นไรครับ เรามี "อิสระที่จะเลือก" หรือ "Free of Choice" ค่อยๆ ทำไป ค่อยๆ ทำความเข้าใจ ค่อยๆ พัฒนาไป . . . ใช้ชีวิตโดยไม่ประมาท (มีสติรู้ตัว) ก็ O.K. แล้วครับ

สวัสดีครับ

ผมเองได้ติดตามอ่านผลงานของท่านโอโชมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว รวมถึงเล่มล่าสุด "คุรุวิพากษ์คุรุ"

แต่เมื่อผมหาข้อมูลเกี่ยวกับท่านโอโช่ ก็ได้มาพบกับกระทู้หนึ่ง ซึ่งได้นำบทความในหนังสือของท่าน มาแปล เมื่อได้อ่านแล้วผมถึงกับตกใจ

http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/06/Y6741910/Y6741910.html

โดยเฉพาะในความเห็นที่ 13 มีประวัติและภาพลงประกอบด้วย

ผมรู้สึกสับสน และยังมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ครับ

ด้วยความเคารพ

Jame

สับสน ก็รู้ว่า สับสน

มึนงง ก็รู้ว่า มึนงง

เราได้เห็น ... เราได้ยิน ... เราได้อ่าน ... ผ่านมาไม่รู้กี่ต่อ

ความจริงข้างนอกเป็นอย่างไร ไม่สำคัญเท่ากับ ความจริงภายในตัวเรา ครับ

ขอบคุณ คุณ Jame ที่แนะให้เข้าไปอ่าน ... คงต้องใช้วิจารณญาณ ใช้่หลักกาลามาสูตร ครับ

ผมยังไม่เคยเจอท่านใดที่ไม่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ คําติคําชมมีอยู่คู่กันกับโลก ศาสตร์ทุกศาสตร์ในโลก คนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะศึกษาได้ ศึกษาแล้วมีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อได้ มีอะไรน่าสนใจก็ขอให้ลองศึกษาดูนะครับ แต่ต้องศึกษาอย่างแยบคาย พิจารณากลั่นกรองหลายๆชั้น แล้วทดลองนํามาปฏิบัติในชีวิตจริงดู ถ้าไม่ได้ประโยชน์ก็วางสิ่งนั้นลง ถ้าได้ประโยชน์ก็น้อมเข้ามาใส่ตน

ผมก็ติดตามอ่านงานของท่านosho มีอะไรหลายๆอย่างที่เป็นประโยชน์ ผมก็นําประโยชน์ส่วนนั้นมาปฏิบัติ ส่วนดีก็มีอยู่ ส่วนที่ไม่เห็นด้วยก็มีอยู่ ส่วนเรื่องที่บางweb.ค้นข้อมูลมาตามที่กล่าวกันไปในทางลบ ตามทัศนะผม สิ่งนั้นไม่สําคัญเท่าท่านoshoพูดอะไรไว้ สําคัญกว่าท่านoshoประพฤติตนอย่างไร ท่านโอโช่เน้นอยู่เสมอว่าท่านไม่ใช่นักบวช ไม่ได้สนับสนุนการกดข่ม ถ้าท่านมีเงิน ท่านก็ไม่ต้องทําตัวปอนๆ อดอยาก แต่ใช่ชีวิตอย่างคนรวยที่ตื่นรู้ไปด้วยกันได้ ถ้าท่านมีรถท่านก็ใช้มันไปก็เท่านั้น แนวทางของท่านosho

จะไม่ต่อต้านการใช้วัตถุสมัยใหม่ แต่จะนําเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาร่วมกับการภาวนาทางจิตวิญญาณ ดังนั้นคําสอนของท่านกับการประพฤติของท่านจึงไม่ขัดกันเพราะท่านไม่ใช่นักบวช

เมื่อวานไปร้านนายอินทร์ที่ท่าพระจันทร์ กะว่าจะไปหาหนังสืออ่านและนั่งตากแอร์เย็นๆ เห็นผลงานแปลจากงานของท่าน OSHO ลองอ่านดูคราวๆก่อนตัดสินใจซื้อ เห็นผลที่ว่าการเหมือนกันค่ะ "มันถูกจริต" ขอยืมมาใช้เลย ปกติิ่านเป็นคนไม่ติดอ่านหนังสื่อ และชอบหนังสื่อที่มีแนวคิดสามารถให้เรารู้ เราคิด อ่านแล้วพลอยสมองเปิด ชอบค่ะ เป็นการพักผ่อนจิตใจที่ดีมาก...

ขอบคุณค่ะ

ดีใจด้วยกับคุณอ้อครับ สำหรับการได้อ่านหนังสือที่ชอบ

จริงๆ ด้วยค่ะอาจารย์ เรื่องกัดไม่ปล่อยนี่ เคยอ่านสงสัยว่าเอ ทำไมเฮียแก ย้ำจริง ย้ำจัง แปลซ้ำรึเปล่านี่ ;) อีกใจก็เอ เบื่อแล้ว อ่านข้ามไปเลย อ้าว อ่านข้ามแล้วยังมาเจอ อุเหม่ แต่พอนานก็เออ ซึมเข้าใจดี  ... ชอบประโยคนี้มากมายค่ะ

ความจริงข้างนอกเป็นอย่างไร ไม่สำคัญเท่ากับ ความจริงภายในตัวเรา

ขอบพระคุณค่ะอาจารย์

คุรุ ภควัน ศรี ราชนีษ (Osho)

Govind ควรถอดเป็นภาษาไทยว่า โควินท์

Shree Rajneesh Zorba ควรถอดเป็นภาษาไทยว่า ศรี ราชนีษ ซอร์บา

ตอนที่เราอยู่ในอินเดีย ได้ฟังจากคุรุเจ้าลัทธิหลายท่าน กล่าวถึง คุรุ ภควัน ศรี ราชนีษ ที่โด่งดังในโลกตะวันตกว่า ได้พยายามสร้างฐานความเชื่อด้วยการนำวิธีการของตันตระไปใช้ โดยนำไปเพียงเศษเสี้ยวและดัดแปลงใหม่ ทำให้ชาวตะวันตกตื่นเต้นกับลัทธิที่เน้นการสังวาสอย่างไม่ลืมหูลืมตา เรียกง่ายๆ ก็คือเป็นลัทธิมั่วเซ็กซ์น่ะค่ะ ไม่ได้มีปรัชญาที่เด่นชัดอะไร

และเขาก็ได้ประโยชน์จากเงินของสาวกซึ่งทำให้เขาเป็นเศรษฐี นำไปซื้อรถโรลสรอยซ์เพื่อการสะสมได้ถึง ๙๐ คัน เครื่องบินส่วนตัว ๔ ลำ รสบัสเป็นกองทัพ และยังมีคลังสรรพาวุธส่วนตัวด้วยค่ะ

ศรี ราชนีษ เป็นที่สนใจนับถือของเด็กวัยรุ่นตะวันตกมากมายในปี ๑๙๗๐ ซึ่งเขาได้ตั้งสำนักขึ้นในบอมเบย์ แต่มีปัญหากับรัฐบาลอินเดียโดยตลอด จนต้องย้ายสำนักออกจากบอมเบย์ไปอยู่ที่เมืองปูนาในปี ๑๙๗๔

ต่อมาลัทธินี้ก็เข้าไปพัวพันกับยาเสพติด โดยสาวกของลัทธิทำหน้าที่ขนส่งยาเสพติดและสินค้าผิดกฎหมายเข้าไปในเมืองต่างๆ ของยุโรปและนำเงินกลับเข้าสำนัก จนถูกสถานีโทรทัศน์ BBC เปิดโปงไปทั่วโลก

สำนักของศรี ราชนีษก็เลยต้องย้ายจากเมืองปูนาไปแอบตั้งสำนักใหม่ในทุ่งรกร้างแห่งหนึ่งในโอเรกอน สหรัฐฯ และตั้งเมืองเล็กๆ ขึ้นที่นั่นโดยไม่ขออนุญาตทางการ เมื่อทางการเข้าขัดขวาง สำนักงานของทางการก็ถูกวางระเบิด

เมื่อถูกตามล่าจากทางการ ศรี ราชนีษจึงคิดจะหลบหนีไปอยู่เบอร์มิวด้า แต่ถูกจับได้เสียก่อนที่สนามบินแคโรไลน่าซึ่งเครื่องบินส่วนตัวของเขาแวะจอดเติมน้ำมันในปี ๑๙๘๕

เขาถูกพิพากษาจำคุกข้อหาฉ้อโกงและทำวีซ่าปลอม หลังจากนั้นก็ถูกส่งตัวกลับอินเดียโดยต้องจ่ายเงินให้ทางการสหรัฐไปถึง ๔๐๐,๐๐๐ เหรียญ แต่รัฐบาลอินเดียปฏิเสธที่จะให้เขาเข้าประเทศ ดังนั้นเขาจึงต้องเดินทางต่อไปเนปาล และร่อนเร่พเนจรไปอีกหลายประเทศจนถึงปี ๑๙๘๗ จึงได้รับอนุญาตให้กลับอินเดียและเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองปูนาได้ จนกระทั่งเสียชีวิตในค.ศ.๑๙๙๐ โดยกล่าวกันว่าอาจเป็นผลจากการถูกวางยาพิษ หรือเป็นโรคเอดส์ค่ะ

ปัจจุบันลัทธิของศรี ราชนีษ หรือโอโช ไม่เป็นที่ยอมรับของลัทธิศาสนาต่างๆ ในอินเดีย และคงเหลือสาขาของสำนักอยู่เพียงประมาณ ๒๐ แห่งทั่วโลก จากเดิมที่มีถึง ๖๐๐ แห่งค่ะ

การที่ ศรี ราชนีษ สามารถกล่าวถ้อยคำที่ประทับใจสาวกชาวตะวันตกได้อย่างที่คุณจิตฯ นำมาโพสต์ ก็เพราะคนคนนี้มีการศึกษาดีมาก เขาจบมหาวิทยาลัยจามาลปุระในสาขาวิชาปรัชญา และเป็นอาจารย์บรรยายวิชาปรัชญา เป็นนักคิด นักเขียน และกวีอยู่เป็นเวลานานถึง ๑๐ ปีก่อนจะผันตัวเองไปเป็นคุรุทางจิตวิญญาณ โดยที่คำสั่งสอนในลัทธิของเขาก็ไม่ได้มีความลุ่มลึกอะไรเลย แถมยังเป็นการตีความตันตระวิธีแบบตามใจตัวเองดังกล่าวแล้ว

แสดงให้เห็นว่าสำหรับชาวตะวันตก หรือชนชาติไหนๆ ก็ตามที่ไม่รู้เรื่องปรัชญาอินเดีย (รวมทั้งคนไทยเราด้วย) ใครเอาแค่เศษๆ ของปรัชญาอินเดียมาตั้งลัทธิสั่งสอนก็เชื่อเค้าง่ายๆ โดยไม่ต้องไปดูความถูกต้องสมควรอย่างอื่น แม้แต่การที่เขามีรถโรลซรอยซ์ ๙๐ คันขณะที่สาวกถูกบังคับให้อยู่อย่างลำบากยากไร้ ก็มีคนแก้ตัวแทนเขามาตลอด

เอารูปตอน "ศรี ราชนีษพุทธเจ้า" ถูกจับที่สนามบินแคโรไลน่ามาให้ดูค่ะ แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 51 03:46:46

จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 27 มิ.ย. 51 03:41:34 ]

คุณ Mod Naruemit ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นคำสอนของโอโช่ไว้ใน www.facebook.com/praponp ไว้ว่า . . "ตามความเห็นผมนั้น อ่านแล้วคิดว่าคำสอนของโอโชคล้ายพุทธศาสนานิกายเซนมาก คือตัดพิธีรีตองออกหมด คงไว้แต่แก่นของพุทธศาสนาคือเรื่อง "สุญตา" แต่เขาก็มีจุดเด่นของเขาเองที่ประยุกต์หลักคำสอนให้เหมาะกับโลกยุคปัจจุบัน ซึ่งเปลี่ยนไปมากจากยุค2600ปีก่อน สมัยที่คำสอนของพระพุทธเจ้าเริ่มเกิดขึ้น

ยุคต้น '70 cia ระบุว่าเขาเป็นตัวอันตราย และขับออกนอกประเทศ(ตอนนั้นโอโชสอนและพำนักที่อเมริกา) และแจ้งข้อหามากมาย ซึ่งทุกข้อหาก็ตกไปหมด เพราะคำสอนของเขามีลักษณะเหมือนชี้นำให้ล้มเลิกระบบการศึกษาที่ป้อนคนเข้าสู่ระบบทุนนิยม และระบบวัตถุนิยมเป็นใหญ่ สมัยนั้นอเมริกากลัวคอมมิวนิสต์ขึ้นสมอง เลยตั้งข้อหาให้เขามากมาย

เหนืออื่นใด สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ประวัติของเขา แต่เป็นคำสอนของเขามากกว่า ที่นับวันก็ยิ่งท้าทายและดึงดูดใจ มีผู้คนพุดถึงเขาในแง่มุมต่างๆมากมาย แตกต่างกันไป ซึ่งก็เป็นเพียงความเห็นของแต่ละคนเท่านั้นเอง"

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา รายการพื้นที่ชีวิตได้ไปเยือนศูนยฺ์ปฏิบัติภาวนาตามหลักของโอโช่ที่เมืองปูเน่ คุณ "นิ้วกลม" (นามปากกา) ได้พาชมศูนย์และได้สัมภาษณ์บางคนที่นั่น ลองชมดูนะครับ http://www.youtube.com/watch?v=pNRLiO5SVyk&feature=share

ความถูกผิดบางทีก็พูดยากนะคะ

การถูกผิด บางทีขึ้นกับว่าถูกใจฉันใจใครหรือเปล่า..

หนังสือท่านโอโชน่าสนใจมาก พึ่งเคยได้อ่านจากการไปปฏิบัติธรรมที่ที่หนึ่งค่ะ

อาจารย์ท่านแนะให้อ่านหนังสือคุรุวิพากย์ พูดถึงเรื่องการหมุนติ้วๆ เป็นตัวอย่าง ฟังแล้วก็รู้สึกว่าแปลกดี ..แต่ก่อนจะอ่านก็เห็นคำวิจารณ์ตั้งมากมาย วิจารณ์ทั้งทางดีและทางไม่ดี รู้สึกว่าท่านเป็นบุคคลที่น่าสนใจมากค่ะ ถึงแม้ครูบาอาจารย์เน้นเสมอว่าไม่ให้ไปยึดกับสิ่งหรือเครื่องมือที่เป็นตัวพาเราดำเนินไปถึงธรรมจริง เพราะถึงที่สุดแล้วก็คือไม่ได้ให้ยึดอะไรเลย ท่านก็ยังแนะให้รู้จักท่านโอโชค่ะ ^_^ แต่ท่านแนะนำว่าท่านผู้นี้สอนตรง เป็นคนตรงๆ คนตรง ของตรง ของจริง จะไม่มีการเตรียมไว้ก่อน ..ท่านโอโชเป็นตัวของตัวเองมากจริงค่ะ

คำ "อิสระ" "ปล่อยวาง" "ว่าง" "เด็ก" "บริสุทธิ์" "ไร้เดียงสา" เป็นตัวแทนที่สื่อถึงตัวท่านและสิ่งที่ควรจะเป็นได้ดีค่ะ ....ตอนนี้มีโอกาสอ่านงานของท่านสองเล่มเอง คือคุริวิพากย์ อ่านที่สถานปฏิบัติธรรม(แต่ไม่จบดี) และเลือกเรื่องที่โดนตั้งแต่ชื่อหน้าปก "เด็ดเดี่ยว" ค่ะ ชอบมากๆ นะคะ ถ้ากำลังเงินถึงแพลนทุกเดือนค่ะ (แต่พอสิ้นเดือนก็แห้ว ^_^) อยากซื้ออีกหลายเล่ม ที่น่าสนใจศึกษาค่ะ (และจะเลือกให้ตรงเรื่องที่เราสนใจเป็นพิเศษก่อนด้วยค่ะ) ตอนนี้เป็นแฟนเฟจในเฟสบุ๊คของท่าน ใน Osho-Thai / Facebook ด้วยค่ะ

ดีใจและขอบคุณท่านอาจารย์ ประพนธ์ นะคะ ที่แปลสิ่งดีๆ ให้คนไทยได้อ่าน

สิ่งดีๆ ยังมีให้แลกเปลี่ยนอีกเยอะแยะมากมาย แต่หนูไม่เก่งภาษาอังกฤษ การได้อ่านภาษาไทยของคนที่มีคุณภาพและเป็นคนจริง จะขาดโอกาสเลยถ้าไม่มีใครแปลมาให้อ่าน ขอบคุณอีกครั้ง

ชอบที่อาจารย์แปลนะคะ ... ส่วนใครจะว่ายังไงก็ขึ้นกับใครแต่ละคน ขนาดพ่อแม่ครูบาอาจารย์เราที่ว่ารักและเทิดทูนมากสุด เรายังเลือกที่จะรับให้ตรงกับ(จริต)เราเลยนะคะ ลางเนื้อชอบลางยาง และลางเนื้อชอบลางยางจริงๆ ^_^ เชียร์สุดใจเหมือนกันค่ะ


ขอบคุณครับคุณ Yao . . สำหรับข้อความที่ให้กำลังใจ . . เห็นด้วยอย่างยิ่งครับว่า "อ่านอย่างไม่ยึดติด" ดีที่สุด . . การสื่อสารของครูอาจารย์แต่ละท่านต่างก็มีสไตล์ที่ไม่เหมือนกัน . . สิ่งที่สำคัญอยู่ที่การนำมาปฏิบัติในชีวิตของเรา ถ้าทำแล้ว โลภ โกรธ หลง น้อยลงก็น่าจะมาถูกทาง แต่หลักของโอโช่อยู่ที่ว่าให้รับมาทุกอย่าง ไม่ปฏิเสธสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะในที่สุดแล้วมันไม่มีอะไร . . อีกไม่กี่วันที่งานสัปดาห์หนังสือ (ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติร์) สนพ.ฟรีมายด์จะออกโอโช่เล่มใหม่ "เต๋า : มรรควิถีที่ไม่มีเส้นทาง" เล่มนี้ผมนำมาเรียบเรียงใหม่ ถ้าคุณ Yoa ยังไม่มี ก็ลองอ่านดูนะครับ

ที่ OSHO พูดเกี่ยวกับการไม่กดทับอารมณ์ทางเพศ นั้นในบริบทที่ผมเข้าใจ OSHO ไม่ได้หมายความว่าจะต้องตอบสนองความต้องการทางเพศเสมอไป แต่มีระดับของการตอบสนองหลายระดับ แต่จุดหมายสำคัญของการตอบสนองต่อความรู้สีกด้านนี้คือ การตื่นรู้และการเฝ้ามอง ท่านที่มีความรู้สีกแต่สมรรถภาพด้านร่างกายไม่สามารถตอบสนองได้ อารมณ์ทางเพศที่เกิดขี้นก็ไม่สามารถสร้างปัญหาได้ถ้าคนๆนั้นตื่นรู้และเฝ้ามอง อารมณ์ด้านนั้นจะค่อยๆหายไปและแปลเปลี่ยนไปเสริมพลังงานในด้านสร้างสรรค์อื่นๆได้มากมาย หรือผู้ที่มีจิตตื่นรู้และมีสมาธิภาวนาระดับสูงแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตอบสนองอารมณ์ทางเพศด้วย เค้าจะไม่สนใจหรือหมกมุ่นกับด้านนี้ สำหรับผู้ที่จะตอบสนองกับอารมณ์ทางเพศ OSHO ก็ยังได้บอกไว้ในหนังสือบางเล่มของท่านว่า ให้ท่านกระทำกิจด้วยความรักต่อคู่รักของท่าน ไม่ใช่ทำแค่เพียงเพื่อระบายความใคร่และกระทำกับเขาเหมือนเขาเป็นแค่เครื่องจักร แต่ทำในฐานะบุคคลที่ท่านรักเหมือนท่านเป็นกายเดียวกัน และในกรณ๊ที่คุณ Nut บอกว่า OSHO บอกว่าชีวิตเป็นการลื่นไหล ไม่มีเป้าประสงค์ จริงๆ OSHO บอกว่า เราควรจะมีเป้าประสงค์ทำในสิ่งที่สร้างสรรค์ แต่ก่อนที่เราจะไปถีงจุดนั้นได้ เราต้องมีอิสระภาพที่แท้จริงก่อน มีอิสระภาพเพื่อ…ใช้ชีวิตในทางที่สร้างสรรค์ ที่เป็นพรสวรรค์ของเรา นี้คือสิ่งที่ผมเข้าใจนะครับ ขอบคุณครับ

ที่ OSHO พูดเกี่ยวกับการไม่กดทับอารมณ์ทางเพศ นั้นในบริบทที่ผมเข้าใจ OSHO ไม่ได้หมายความว่าจะต้องตอบสนองความต้องการทางเพศเสมอไป แต่มีระดับของการตอบสนองหลายระดับ แต่จุดหมายสำคัญของการตอบสนองต่อความรู้สีกด้านนี้คือ การตื่นรู้และการเฝ้ามอง ท่านที่มีความรู้สีกแต่สมรรถภาพด้านร่างกายไม่สามารถตอบสนองได้ อารมณ์ทางเพศที่เกิดขี้นก็ไม่สามารถสร้างปัญหาได้ถ้าคนๆนั้นตื่นรู้และเฝ้ามอง อารมณ์ด้านนั้นจะค่อยๆหายไปและแปลเปลี่ยนไปเสริมพลังงานในด้านสร้างสรรค์อื่นๆได้มากมาย หรือผู้ที่มีจิตตื่นรู้และมีสมาธิภาวนาระดับสูงแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตอบสนองอารมณ์ทางเพศด้วย เค้าจะไม่สนใจหรือหมกมุ่นกับด้านนี้ สำหรับผู้ที่จะตอบสนองกับอารมณ์ทางเพศ OSHO ก็ยังได้บอกไว้ในหนังสือบางเล่มของท่านว่า ให้ท่านกระทำกิจด้วยความรักต่อคู่รักของท่าน ไม่ใช่ทำแค่เพียงเพื่อระบายความใคร่และกระทำกับเขาเหมือนเขาเป็นแค่เครื่องจักร แต่ทำในฐานะบุคคลที่ท่านรักเหมือนท่านเป็นกายเดียวกัน และในกรณ๊ที่คุณ Nut บอกว่า OSHO บอกว่าชีวิตเป็นการลื่นไหล ไม่มีเป้าประสงค์ จริงๆ OSHO บอกว่า เราควรจะมีเป้าประสงค์ทำในสิ่งที่สร้างสรรค์ แต่ก่อนที่เราจะไปถีงจุดนั้นได้ เราต้องมีอิสระภาพที่แท้จริงก่อน มีอิสระภาพเพื่อ…ใช้ชีวิตในทางที่สร้างสรรค์ ที่เป็นพรสวรรค์ของเรา นี้คือสิ่งที่ผมเข้าใจนะครับ ขอบคุณครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท