พอดีได้เห็นกรมส่งเสริมการเกษตร เขาถอดเทปวงเสวนาในงาน "สรุปบทเรียนการจัดการความรู้ 1 ปีและแนวทางการดำเนินงานในอนาคต" เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 48 ซึ่งมี อ.ประพนธ์ ผาสุขยืด, อ. ทรงพล เจตนาวณิชย์, ตัวแทนกรมส่งเสริมการเกษตร จ. นำร่อง และทีมผลักดัน KM กรม ร่วมวงเสวนากัน อ่านแล้วรู้สึกว่ามีประโยชน์มากสำหรับคนทำ KM ทั้งในองค์กร, หน่วยงาน หรือกับชาวบ้าน/ ชุมชน เลยขอเอามาเผยแพร่ลงใน Blog ค่ะ
วันที่ 26 ต.ค. 48
ดร.ประพนธ์
ผาสุขยืด : |
กรมส่งเสริมการเกษตรเป็นกรมแรก ๆ ที่จับ
KM ความภูมิใจของผมเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ได้นำเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ KM
ภาคราชการมาคุยกันที่ ร.ร.เอเชีย นั้นคุณทวีที่นครพนม
พูดอะไรที่ประทับใจและมีหน่วยงานมาร่วมเยอแยะ มีทั้งโรงพยาบาลและหลาย
ๆ หน่วยงาน แต่มีตัวแทนจากกรมส่งเสริมการเกษตร คือ คุณทวี
วันนั้นเขาไปเล่าอะไรต่าง ๆ ประทับใจนะ
ตรงนี้ผมว่าอยากเห็นท่านเป็นต้นแบบ
คำว่าต้นแบบอย่าไปคิดว่าต้องเหมือนกับที่ผมยกตัวอย่างไม่ใช่ ๆ
วันนั้นที่ผมยกตัวอย่างเป็นเพียงผมเล่าให้ฟัง ที่ ร.ร.มารวย
รู้สึกเมื่อ 7 เดือนที่แล้ว เดือนมีนาคม
ทำหน้าที่เหมือนกับว่าอธิบายคร่าว ๆ แล้วพยายามยุให้ท่านขึ้นจักรยาน
แล้วผมก็ขึ้น แล้วเราก็หวังว่า เมื่อถึงจุดหนึ่งท่านก็ขี่ได้เอง
ถ้าท่านขึ้นอานแล้วขี่นะ 7 เดือนนี้บางจังหวัดอาจทำได้
อันนี้ไม่รู้จริง ๆ ว่าท่านทำไปแล้วแค่ไหน
ผมยังไม่ได้ดูเอกสารที่ท่านทำมา |
อ.
ทรงพล เจตนาวณิชย์ : |
ผมอยากเสริมว่า KM
ส่วนแรกต้องรู้เป้าหมาย วัตถุประสงค์ ว่าทำไปเพื่ออะไร
ว่าจะใช้ประโยชน์ของปลาว่าจะใช้ว่ายไปทางไหน คู่มือจะต้องชี้ทางได้
ส่วนที่สองพอเรารู้เป้าหมาย รู้ทิศทาง เรารู้ที่จะทำเพื่อให้ได้แล้ว
ซึ่งส่วนนี้บทบาทส่วนใหญ่เราก็บอกว่าต้องเป็นส่วนของ CKO เพราะ CKO
เปรียบเสมือนคนที่เหมือนเหยี่ยว เป็นคนมองกว้าง มองไกล
เหมือนเรดาร์คอยมองทิศทางว่าตัวเองจะไปทางไหนดี เป็นคนกำหนดหัวปลา
เพราะฉะนั้น CKO ในจังหวัดมีสถานการณ์ต้องเปลี่ยนแปลงมากเลย
ต้องแสกนเรดาร์แล้วดูว่าตัวเองจะเดินไปในทิศทางไหน
ส่วนกลางก็จะเป็นส่วนในเรื่องของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ |
ดร.ประพนธ์
ผาสุขยืด : |
ถ้ามอง KM เป็นขั้นตอนนะ
ต้องพัฒนาเจ้าหน้าที่ให้เป็นคุณอำนวย
แล้วก็เอาคุณกิจที่เป็นเกษตรกรหรือกลุ่มแม่บ้านมาทำ KA หรืออะไรต่าง ๆ
และทำให้เห็นว่าจุดสูงสุดหรือประโยชน์ที่ได้
ในปีแรกเราอาจจะติดยึดกับเครื่องมือเพื่อการเรียนรู้แนวคิดและหลักการจัดการความรู้ให้ชัดเจน
แต่ในปีถัด ๆ ไป เราอาจจะไร้กระบวนท่ามากขึ้น
วิธีที่รู้ว่าไร้กระบวนท่าไหม หมายว่า ความว่าในภาวะวิกฤติ
ผมไม่ได้มาบอกว่าผมอยู่ในขั้นไร้กระบวนท่าแล้วนะ
แต่ภาวะวิกฤติอย่างที่บอกคือ เจอคนลองของ
เจอคนที่บอกว่าไม่เอาแล้ว ประเมินอย่ามาพูดอะไรกับผม
ภาวะนั้นแหละครับเจอะแล้ว แล้วจบแบบแฮปปี้ ตอนเริ่ม ๆ
อย่างตึงเครียดแต่จบได้ Happy แสดงว่าเราไม่ยึดติดกับเครื่องมือ
มันเป็นสภาวะนะสำหรับผมนะใครจะไร้กระบวนท่าจะต้องวิกฤติแบบเกือบจะเอาตัวไม่รอด
ผมอาจจะเหมือนท่านผมชอบอ่านกำลังภายใน พระเอกฝึกกำลังภายในมาเยอะ
ฝึกลมปราณ ฝึกกำลังภายใน แต่มันยังอยู่ในกระบวนท่าถูกไหม
จนกระทั่งมังกรคู่สู่สิบทิศสหาย ผมจำรายละเอียดไม่ค่อยได้แล้ว
สองสหายมัน
จับเข้าไปท้ายท้องเรือแล้วติดหายใจไม่ได้
มันเลยฮึดเหมือนปลาหายใจได้ในน้ำ หลังที่ฝึกไว้เหมือนปลาเลย
ถ้าไม่เจียนตายไม่ได้ครับ สภาพนั้น ๆ เหมือนสภาพเฉียดตาย
แต่เราคงไม่หนักหนาขนาดนั้น
เพราะฉะนั้นมันเป็นจุดวิกฤตระหว่างตายหรือจะรอด
อันนี้เป็นมุมมองของผมอยากจะฟังของ อ.ทรงพลด้วย |
อ.
ทรงพล เจตนาวณิชย์
: |
ของผมผมดูจากผู้เข้าร่วมนะ
ตัววัดผลของผมผมบอกพวกเราเมื่อเช้าว่า
หน้าที่ของพวกเราคืออารมณ์ความรู้สึกของผู้เข้าร่วม
เพราะฉะนั้นต้องสังเกตว่าผู้เข้าร่วม
เพราะฉะนั้นต้องสังเกตว่าผู้เข้าร่วมเขามีสายตาดูแล้วมีความสุขกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้หรือเกิดการปิ้งกับสิ่งที่อาจารย์ได้พูดเมื่อกี้นี้
ที่ผมบอกเมื่อกี้ว่าคุณอำนวยกับคุณลิขิตมีภารกิจหลักที่จะต้องบริหารการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
บริหารเนื้อหาเวลา หรืออะไรก็ตาม เพราะฉะนั้นต้องสังเกต
บ่อยครั้งที่เรายึดติดเครื่องมือแล้วเราฝืด
แต่ถ้าเราบอกว่าเครื่องมือนี้มันชักฝืดแล้ว เปลี่ยนเครื่องมือใหม่
สถานการณ์จะเป็นตัวบอกเรา อย่างที่อ.ประพนธ์บอกเมื่อเจอวิกฤติ
สถานการณ์มันฝืด มันไปต่อไม่ได้
คำถามก็คือว่าเรามีเครื่องมืออย่างอื่นไหม มีลูกเล่นอื่นสำรองไหม
แต่เราเปลี่ยนปรับใช้มันจะไหลไปได้ สถานการณ์จะดีขึ้น
ตัวนั้นจะบอกเราแล้ว
ว่าเราคลี่คลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นได้หรือเปล่า
เพราะว่าตัวเราจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เอาบทเรียนเป็นตัวตั้งไม่เอากิจกรรมหรือเครื่องมือเป็นตัวตั้ง
เราจะต้องเฝ้าสังเกตผู้เรียน
เฝ้าสังเกตอาการของผู้เรียนอยู่ตลอดเวลานะครับ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนะ
เนื่องจากผู้เรียนมีความรู้และประสบการณ์ที่ต่างกัน
เครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่งเราพบว่าไม่ตอบสนองกับผู้เรียนได้ครบทุกคน
อันหนึ่งคือการเล่นเล่นได้กับทุกคน
แต่ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการเล่นอีกนะ
กิจกรรมบางอย่างคนสูงอายุไม่เอาเล่นไปมันฝืน
แต่บางอย่างใช้กับทุกคนได้
ผมคิดว่าคุณอำนวยเองหรือคนจัดกระบวนการจะต้องฝึกฝนวิทยายุทธ์เหล่านั้น
ในการมีเครื่องมือที่หลากหลายและพร้อมที่จะนำมาใช้
ขณะเดียวกันก็ต้องมีการเรียนรู้จากการประเมินอยู่ตลอดเวลา
ว่าใช้ตรงนี้ได้ผล
บางครั้งเครื่องมือใช้ในวันนี้กับกลุ่มนี้ได้ผลแต่เอาไปใช้กับอีกกลุ่มหนึ่งอาจจะไม่ได้ผลนะครับ
เพราะฉะนั้นสถานการณ์จะเป็นตัวบอกเราเอาว่าเราจะลื่นไหลได้หรือเปล่า
ตัวที่จะบอกเราได้ก็คือความพึงพอใจจากผู้เข้าร่วมนั่นแหละ |
นายสุทธิชัย
ยุทธเกษมสันต์ : |
กระบวนการเบื้องต้นของ KM
ตามที่จังหวัดไปอบรมมาจาก ก.พ.ร. เหมือนว่าจะให้รวบรวมข้อมูลจากหลาย ๆ
ที่เอาไว้ในแหล่งเดียวกัน
และให้มีกระบวนการให้การบริการความรู้ไปสู่ผู้ที่ต้องการอยากทราบความรู้ต่าง
ๆ ระบบการจัดการความรู้ต่าง ๆ เหล่านี้จากอาจารย์บรรยายว่าไม่ใช่ KM
ผมก็เลยสับสนว่าใช่ KM หรือเปล่า แล้วคล้าย ๆ
ว่าจังหวัดจะต้องเดินหน้าตรงนี้ด้วยนะครับ อาจารย์ลองวิจารณ์ตรงนี้ดู
ถ้าจะให้จังหวัดไปดำเนินการต่อเนื่องควรจะเป็นอย่างไร
จึงจะดีที่สุดครับ |
ดร.ประพนธ์
ผาสุขยืด : |
การที่จังหวัดจะต้องรวบรวมความรู้ไว้ในที่ที่เดียวกัน คือ
ให้คอนเซ็บของโนเลจเซ็นเตอร์เป็น KM หรือไม่
เป็นครับแต่เป็นครึ่งเดียว ท่านน่าจะรู้แล้วว่าเราเป็นครึ่งไหน
ไม่ว่าจังหวัดบริษัทก็เหมือนกับที่ สคส. พยายามที่จะเน้นทางขวา
เพราะเรารู้ว่าวงทางซ้ายอย่างไรมันก็ต้องทำอยู่แล้ว
บางครั้งทำจนไม่ได้ดูจนความรู้ล้น
เป็นความรู้ที่ไม่ทันสมัยเป็นการเอาเอกสารมาแสกน
เป็นความรู้ที่ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย
ก็เลยไม่เน้นเพราะถือว่าทำอยู่แล้ว แต่ถ้าทำ KM ให้ครบเราจะต้องทำทั้ง
2 วงแต่ของเราเรารู้แล้วแหละว่าเราจะต้องเน้นวงทางขวา
แล้วเราก็พยายามฝึกให้คนเป็นคุณลิขิตและพยายามถอดประเด็น
มันก็จะมาเป็นความรู้วงทางซ้าย ความรู้ในกระดาษ (Explicit Knowledge)
และเป็นความรู้ที่ทันสมัยด้วย
และเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลากุศโลบายเราก็ใช้คนเป็น center
ที่จะหมุนเวียนข้อมูล
แต่เราไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ให้ความสำคัญนำความรู้ที่มีอยู่แล้วนะ
แต่เรากลัวนิด ๆ ว่าจะนำความรู้พวกนี้ไปใส่ลงไปใน Computer
เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นคำตอบก็คือเป็นแต่เป็นครึ่งเดียวครับผม
และในการจัดการความรู้ต้องเน้น Action
เป็นตัวหลัก ตัวเขามี Action เป็นตัวหลัก
เขาก็จะไม่ถามว่าได้ความรู้แล้วเอาไปทำอะไร แล้ว
จะไปทำโน่นทำนี่
ทำอะไรต่อเปลี่ยนหัวเรื่องเป็นเรื่องโน้นเรื่องนี้กันดีกว่า
เราก็เข้าใจนะโดยเฉพาะ สคส. ในช่วงแรกก็เหมือนกันเป็นเพราะเราเน้น
Action น้อยเกินไป เราไปเน้นตัวองค์ความรู้มากเกินไป
เดี๋ยวผมจะต้องไปนั่งคิดกุศโลบายใหม่ ๆ แล้วว่าจะขยายซึ่งตอนหลัง ๆ
ผมพยายามใช้คำพูดว่าหลังจากแลกเปลี่ยนกันแล้วถ้าไม่มี Action
แสดงว่า KM ไม่ได้ผลแล้วนะ เพราะเป้าหมายไม่ได้ต้องการองค์ความรู้
เพราะนั่นเป็นเพียงผลพลอยได้ เพราะเป้าหมายทำให้เกิด Action มากกว่า
คิดในแนวเดียวกันว่าจะทำอย่างไรให้เกิด Action แล้วมีความสุข
ความรู้ทั้งได้เป็นผลพลอยได้
ถ้าแลกเปลี่ยนกันยังไม่พอก็สามารถแลกเปลี่ยนในเรื่องเดิมต่อไป
โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหัวข้อก็ได้
แต่ถ้าทุกคนอิ่มแล้วพอแล้วก็เปลี่ยนหัวข้อก็จะได้องค์ความรู้มากขึ้น |
นายทวี
มาสขาว : |
สวัสดีครับ ผมทวี จากจังหวัดนครพนม
อยากจะเรียนเป็นข้อสังเกตสัก 2-3 ประเด็น ก็คือ ประเด็นแรก
ขณะนี้ถ้าเห็นในบางสิ่งบางอย่าง
เดิมที่เรามีระบบที่เอาเจ้าหน้าที่พบกันทุกเดือนในระดับอำเภอ
และทุกสองเดือนในระดับจังหวัด
ซึ่งเป็นระบบเป็นวัฒนธรรมขององค์กรที่เข้มแข็งอยู่แล้ว
แต่ว่าในเนื้อหาที่แชร์ริ่งกันนั้น
เราจะให้นักวิชาการเป็นผู้นำเสนออยู่คนเดียว
ก็จะเห็นได้ว่าเวลาที่เราไปทำ KM นักวิชาการระดับพื้นที่ (อำเภอ)
มีความชำนาญมากกว่า นักวิชาการคนที่นำเสนออีก
เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ก็ทำให้เราเห็นศักยภาพของคนขององค์กร
เพราะฉะนั้นถ้าในสำนักงานเกษตรอำเภอทำหน้าที่คุณอำนวยด้วยก็จะดี
ไม่ใช่ทำหน้าที่เป็นผู้สั่งการอย่างเดียว ในการพัฒนากระบวนการทำงาน
ผมคิดว่ากรมส่งเสริมเองก็น่าจะมองเห็นว่า
ในงานเอาคนมาพบกันมาแชร์ริ่งกัน เพื่อแลกเปลี่ยนตรงนี้
น่าจะได้ปรับกระบวนการ
เดิมทีเอาปัญหาเป็นตัวตั้งว่าในเดือนที่ผ่านมาสองเดือนที่ผ่านมามีปัญหา
อุปสรรคอะไรบ้างนั้นคือเอาปัญหาเป็นตัวตั้ง
เพราะฉะนั้นไม่ได้เน้นในศักยภาพที่เกิดขึ้น จุดดี จุดเด่น
หรือกระบวนการที่พัฒนาได้อย่างดี เราไม่ได้ให้โอกาสเอาตัวนี้มาปรับ
จึงคิดว่าระบบส่งเสริมการเกษตรจะต้องปรับ โดยอาศัยกระบวนการของ KM
เข้าไปด้วย อีกประการหนึ่งคือบันทึกเรื่องเล่า
อันนี้ก็เป็นปัญหาค่อนข้างมาก
เขาทำได้ไปดูไปสังเกตเขาทำได้ในบางเรื่อง
เจ้าหน้าที่เกษตรตำบลในพื้นที่ในบางเรื่องเขามีความเก่ง
ความชำนาญค่อนข้างมาก แต่อยากได้เรื่องเล่า
ให้เขียนเรื่องเรื่องเล่าบันทึกปัญหาที่พบคือเขาไม่สามารถบันทึกได้ตรงกับสิ่งที่ทำ
ทั้งประเด็นที่ได้มาก็ไม่สอดคล้องเท่าไหร่
ฉะนั้นปัญหาที่ว่าเราอยากได้คลังความรู้หรือ KA
เพื่อให้รุ่นหลังหรือผู้ที่ใฝ่รู้จะได้เอาไว้เป็นบทเรียนก็ยังทำได้ยาก
เรียนถามอาจารย์แค่นี้ครับ |
อ.
ทรงพล เจตนาวณิชย์
: |
เรื่องบันทึกนะมันคงบันทึกได้หลายรูปแบบ
ส่วนตัวผมเองที่มาทำ KM ผมก็ไม่ค่อยได้เขียนสักเท่าไหร่
แต่ผมจะเก็บไว้เป็น power point ส่วนใหญ่ผมเก็บเป็นรูปภาพ
เพราะผมมีวีคิดแบบรูปภาพ เพราะการคิดแบบรูปภาพจะเป็นการคิดเชิงระบบ
จะเห็นความเชื่อมโยง เห็นรายละเอียดได้ง่าย แล้วไปเขียนบรรยาย
รูปภาพรูปภาพหนึ่งผมสามารถเขียนบทความได้เป็นส่วน
ๆ
เนื่องจากว่าผมต้องจัดการแล้วผมต้องเคลื่อนด้วย
ผมเลยต้องจัดเก็บบันทึกแบบนั้นแต่ถ้าเขียนได้มันก็จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่จะไปทำงานในลักษณะอย่างนั้นมากยิ่งขึ้น
ซึ่งก็พยายามอยู่นะแต่ขณะเดียวกัน
ตอนนั้นที่ผมไปทำโครงการเอาบัณฑิตคืนถิ่นมาเป็นนักจัดการความรู้ที่ภาคกลาง
เป็นเงื่อนไขเลยที่เราบอกว่าพวกเขาจะต้องทำบันทึกและถอดออกมาเป็นความรู้
การบันทึกของเขาฝึกบันทึก ไดอารี่ คือบันทึกประจำวัน
ว่าวันนี้เห็นอะไร เกิดอะไรขึ้นในขณะเดียวกันก็ให้เขียนอารมณ์
ความรู้สึกของเขาไปด้วย ข้อคิดเห็นเข้าไปตัวเขาจะฝึกตั้งแต่เรื่องเล็ก
ๆ แล้วเราก็ถามว่าที่เราบังคับให้เขาเขียนบันทึกเขารู้สึกอย่างไรบ้าง
พบอะไรบ้าง คำตอบเขาตอบว่าการเขียนบันทึกทำให้จัดระบบความคิด ทำให้วัน
ๆ หนึ่งเขาไปทำอะไรได้เยอะแยะเลย เมื่อก่อนเขาไม่ค่อยจดบันทึก
เขาไม่เคยนั่งสรุป เขาไม่เคยมาจัดลำดับความคิด
แต่พอได้มาจดบันทึกทำให้เขาได้มีการจัดระบบ
ข้อมูลข่าวสารที่เข้ามาในแต่ละวัน ถ้าไม่จัดระบบทำให้คิดไม่ได้
ทำให้จัดระบบเขียนหรืออะไรไม่ได้ ถ้าทำแบบนี้บ่อย ๆ
จะทำให้เวลาเขามาเล่ามาพูดในที่สาธารณะ
ความคิดของเขาก็สามารถถ่ายทอดได้มากขึ้น
ปีสองปีที่ผ่านไปเราเห็นศักยภาพในการนำเสนอของเขาเปลี่ยนแปลงไปเยอะ
เพราะวัตถุประสงค์โครงการคือการพัฒนาคนว่าเขาจะเป็นนักจัดการความรู้จะต้องเป็นคนช่างสังเกต
ช่างถาม ช่างคิด คิดแบบละเอียด คิดแบบเชื่อมโยง
และในขณะเดียวกันก็ต้องบันทึกด้วย เพราะจริง ๆ
แล้วเราพบว่าการบันทึกเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
ในบทบาทของคุณลิขิตที่ทำหน้าที่ตรงนี้ต้องวางวัตถุประสงค์ให้ชัดว่า
วัตถุประสงค์นั้นทำไปเพื่ออะไร แล้วจะเกิดคุณค่าตรงไหน อย่างไร
ตรงนี้แหล่ะผมคิดว่าทั้ง CKO และผู้จัดการความรู้ของจังหวัด
ต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางการเคลื่อนของ KM ด้วย
ถ้าหากทีมเข้าใจว่าความรู้ทั้งหลายที่ท่านเจอในพื้นที่จะมาเชื่อมโยงกับเมื่อกี้ที่ท่านถาม
ในฐานะที่เราจัดการความรู้หรือส่งเสริมคุณอำนวยที่เป็นเจ้าของเราต้องรู้ข้อมูลว่าใครเก่งเรื่องอะไรที่ไหน
แหล่งเรียนรู้อยู่ที่ไหน ถ้าเราไม่มีตรงนี้เราก็จะเอื้ออำนวยไม่ได้
เราจำเป็นต้องรู้ แต่เมื่อรู้แล้วเราจะมาทำอย่างไรจัดเก็บอย่างไร
จัดระบบอย่างไร ขณะเดียวกันคุณอำนวยทำหน้าที่จัดตลาด
หรือจะเชิญใครเข้ามาร่วมด้วยก็ต้องมีฐานข้อมูล
แต่เมื่อคุยกันแล้วทั้งคุณลิขิตและคุณอำนวยจะต้องร่วมกัน ถึงแม้จะเป็น
Byproduct แต่ก็ขึ้นอยู่กับจังหวัดนั้นว่าตัวเองจัดและได้คิดสรรคนมา
และได้ความรู้เป็นความรู้ How to ที่สำคัญแล้วมีการบันทึกแล้วมี How
to แล้วคนเข้าถึงนำใช้ประโยชน์
แล้วเรารู้ว่าเราจะใช้ประโยชน์ในตัวบันทึกความรู้อย่างไร
มันจะเป็นตัวกำหนด หรือสร้างแรงบันดาลใจว่าเราจะทำมันแค่ไหนอย่างไร
แต่ถ้าเราคิดว่าเราทำไปแล้วโดยเฉพาะคุณลิขิตไม่รู้ว่านำไปแล้วเอาไปทำอะไร
ถ้าไม่รู้วัตถุประสงค์ ไม่รู้ประโยชน์
ก็ทำให้ไม่มีแรงจูงใจหรือแรงบันดาลใจ ในการทำตรงนี้
ฉะนั้นผมคิดว่าจะต้องเห็นประโยชน์
ประโยชน์ก็ต้องขึ้นอยู่กับการจัดการความรู้ของแต่ละจังหวัด
แต่ละพื้นที่ว่าได้วางยุทธศาสตร์แต่ละก้าวอย่างอย่างไร
ไม่ใช่การจัดการครั้งเดียวแต่เป็นการวางภาพระยะสั้นระยะยาวต่อเนื่องกัน
ว่าตัวเองได้วางเป้าวางภารกิจไว้อย่างไร ซึ่งผมไปทำกับหลาย ๆ
อย่างผมไปทำกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อบต.
เวลาผมจัดผมก็ไปจัดกับนายก ปลัด อบต. เลขา
แล้วผมก็ใช้เครื่องมือ KM ในการถอด How to
ในการทำงาน นายกดี ๆ
เขาทำงานกันอย่างไร ปลัดดี ๆ ทำงานอย่างไร เลขาดี ๆ ทำงานอย่างไร
เพราะผมคิดว่าถ้าเราได้มีโอกาสนั่งคุยกัน ถ้าเราถอดออกมาได้
เขียนออกมาได้ มันก็จะเป็นคู่มือภาคปฏิบัติการจริง
แล้วก็ประโยชน์ในการขยายผลอย่างที่อาจารย์ประพนธ์ว่า
เพราะว่าขณะนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เราได้สมาชิกฝ่ายบริหาร อบต.
แต่เราไม่มีกลไกที่จะไปเสริมศักยภาพเมื่อให้เขารองรับการถ่ายโอนภารกิจ
หรือให้เขามีความรู้ในภาคปฏิบัติได้มากเท่าที่ควร
แล้วการอบรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็เป็นลักษณะเล็กเชอร์และให้ตอบตัวบทกฎหมายเท่านั้นเอง
แต่ความรู้ภาคปฏิบัติจะนำเสนออย่างในสภา
จะไปสร้างการมีส่วนร่วมกับชาวบ้านในการจัดทำแผนเพื่อเสนอฝ่ายบริหารต่อไป
ตัวประธานสภาดำเนินการประชุม
อย่างในที่ประชุมเพื่อกระตุ้นให้สมาชิกออกความคิดเห็นอย่างนี้
ตรงนี้เป็นความรู้ ปฏิบัติ ใช่ไหมครับ ตรงนี้แหล่ะ
เราคิดว่าถ้าเราทำตรงนี้บันทึกแล้วออกมาเป็นเอกสารเพื่อเป็นคู่มือก็จะเป็นประโยชน์ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของ
CKO ด้วยว่า CKO มองตรงนี้อย่างไร |
วันนี้ขอตัดตอนเอาแค่นี้ก่อนนะคะ (ยาวค่ะ) โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ไม่มีความเห็น