สวัสดีค่ะ
เห็นด้วยที่อาจารย์จะบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ค่ะ
ที่พี่กังวล คือ ปัญหาคุณภาพทางการศึกษาก็เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง
อันที่จริง มีการพบกันว่ามาตรฐานของมหาวิทยาลัยในประเทศต่างๆ หลายประเทศทั่วโลกนั้นต่ำลง อาจจะเป็นเพราะการ privatize มหาวิทยาลัยหรือเปล่าไม่ทราบค่ะ
แต่สำหรับเมืองไทย มหาวิทยาลัยไทยยังไม่สามารถสร้างความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเองให้แก่บัณฑิตได้ดีนัก แม้แต่นิสัยรักการเรียนรู้ ในการศึกษาเราก็ดูจะมีน้อย นานๆจะมีคนเก่งจริงๆ มาให้ชื่นชมอยู่บ้าง แต่เรื่องนี้ ไม่ใช่ความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัยแต่ฝ่ายเดียวค่ะ
และการวิจัย (ซึ่งควรเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย) ในมหาวิทยาลัยไทยยังมีน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น
แต่ถ้าจะออกนอกระบบ การประเมินคุณภาพของบุคลากรและตัวมหาวิทยาลัยเอง เห็นว่า จะมีการใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของมาตรฐานการทำงาน ทำให้งานวิจัยเริ่มได้รับความสนใจทั้งจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยและอาจารย์มากขึ้นๆนะคะ
ที่ผ่านๆมา ก็เห็นที่ ม.มหิดล ที่ทำวิจัยไว้มาก
และที่โรงเรียนมัธยมและประถมของราชการบางแห่ง ก็เริ่มมีการประเมินคุณภาพสถาบันและอาจารย์แล้วเหมือนกันค่ะ
สวัสดีค่ะคุณพี่ศศินันท์ (sasinanda)
สำหรับตัวเองแล้วไม่คิดว่าการ privatization นั้นจะทำให้คุณภาพการศึกษาในระดับอุดมศึกษานั้นลดลงหรอกค่ะ แต่สำหรับสถานการณ์ตอนนี้คิดว่าการเปลี่ยนมหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของแต่ละที่นั้นมีการเตรียมการน้อยเกินไป ไม่มีการชี้แจงให้ทุกฝ่ายเข้าใจข้อดี ข้อเสียกันตรงๆ เมื่อภาพอนาคตไม่ชัดเจน แต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ได้แต่ร้องปฏิเสธหรือต่อต้านกันเยอะน่ะค่ะ อันนี้เป็นเรื่องที่ฝ่ายบริหารไม่สามารถทำให้ stakeholders มั่นใจได้ว่าเปลี่ยนแล้วคุณภาพการศึกษาจะดีขึ้นและดีขึ้นอย่างไร
้้
เห็นด้วยกับคุณพี่เป็นอย่างมากค่ะเรื่องตัวชี้วัดที่เป็นงานวิจัยในมหาวิทยาลัย ม.มหิดล เป็นตัวอย่างที่ดีมากในเรื่องนี้ แต่การทำงานวิจัยก็คงไม่เหมาะเป็นตัวชี้วัดสำหรับทุกมหาวิทยาลัยในประเทศไทยในขณะนี้ค่ะ บางมหาวิทยาลัยเน้นการผลิตสิ่งประดิษฐ์มากกว่า อย่างเช่น สจพ. ซึ่งบางทีในวงวิชาการก็ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นงานวิจัยมากนักน่ะค่ะ อย่างมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดก็คงต้องมีบางมหาวิทยาลัยที่เน้นให้ความรู้คู่การปฏิบัติกับชาวบ้านในชุมชน..จะทำงานวิจัยที่ต้องใช้เครื่องมือ และลงทุนสูงแบบก็คงยากน่ะค่ะ
สรุปแล้วตัวเองยังเห็นว่าต้องมีการประเมินศักยภาพบุคลากร และองค์กรในภาพรวม แต่ทำในแง่สร้างสรรค์ เพื่อหาจุดอ่อนมาพัฒนาให้สอดคล้องกับเป้าหมายและพันธกิจของแต่ละมหาวิทยาลัย..ดังนั้นตัวชี้วัดในการประเมินศักยภาพของแต่ละมหาวิทยาลัยก็ควรแตกต่างกันไปด้วย... แต่ก็นั่นแหละค่ะ เท่าที่เห็นระบบประเมินในปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นระบบประเมินที่ไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงมากนัก..ยังเป็นระบบประเมินที่ดูแต่ตัวเลขผลผลิต ไม่ได้ดูคุณภาพเท่าใดนักค่ะ
ขอบคุณคุณพี่ที่แวะเข้ามา ลปรรเสมอนะคะ
สวัสดีค่ะ อ.พิสูจน์
สำหรับ ตัวเองแล้วไม่อยากโทษใครเลยค่ะ สุดท้ายแล้วคิดว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องหันกลับมามองตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นตัวเด็กเอง พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู อาจารย์ ผู้บริหารโรงเรียน มหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาและรัฐบาล ผู้ประกอบการ และอุตสาหกรรม รวมถึงสื่อต่างๆ ที่มีแต่การนำเสนอค่านิยมบางอย่างที่ทำให้วัฒนธรรมดีๆ บางอย่างหายไป
ตัวเองมองว่าปัญหาการศึกษาเป็นปัญหาของทุกคนจริงๆ เป็นปัญหาของประเทศชาติ.. ถ้าเปรียบการศึกษาเป็นการทำการเกษตร ตอนนี้พื้นที่ทำการเกษตรก็ไม่ค่อยมี ดินที่มีก็ไม่เหมาะกับการทำการเกษตรเท่าใด ต้องปรับปรุงมาก น้ำท่าบางครั้งก็ไม่ค่อยดี เมล็ดพันธ์บางส่วนก็อ่อนแอ ชาวนาชาวสวนบางคนก็มีความรู้น้อย..บางคนก็ไม่ค่อยขยันอีกต่างหาก ผู้บริโภคบางส่วนก็ไม่ค่อยเข้าใจ...
สรุปแล้ว..ไม่มีใครได้อะไรดีๆ สักเท่าไหร่ในภาพรวมเลยค่ะ... ดิฉันบ่นอีกแล้ว ^ ^' แต่มันก็เป็นมุมมองที่ดิฉันเห็นจริงๆ ... อย่างน้อยก็ได้แต่คิดเชื่อในกฎแห่งกรรมค่ะ ทำอย่างไรได้อย่างนั้น.. เพราะฉะนั้นถ้าเราทำดีไว้มากๆ สักวันต้องออกดอกออกผลดีค่ะ จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ค่ะ
ขอบคุณอาจารย์ที่เข้ามาเขียนกลอนเพราะๆ เตือนใจกันนะคะ ^ ^
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์
ขออนุญาตแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในมุมมองเล็ก ๆ ดังต่อไปนี้ครับ
ไม่เกินงามแต่อย่างใดหรอกค่ะุคุณนิโรธ
ดิฉันเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่าการผลิตบัณฑิต ไม่จำเป็นต้องผลิตให้เป็นวิศวกรหรือแพทย์กันทุกคน ทุกๆ อาชีพมีความสำคัญกันทั้งนั้น ดิฉันค่อนข้างจะสนับสนุนให้คนเรียนอาชีวะศึกษากันมากๆ ด้วยซ้ำ ไม่ค่อยสนับสนุนให้เรียนโท หรือเอก กันไปหมด เพราะรู้สึกว่าการเรียนโทหรือเอก ไม่ได้รับประกันว่ามีปริญญาบัตรมากขึ้น สูงขึ้นแล้วจะทำให้ทำงานดีขึ้นเสมอไป
น่าเสียดายที่ค่านิยมปัจจุบันของคนไทยไม่นิยมการเรียนในสายอาชีวะสักเท่าไหร่ ถึงรัฐจะสนับสนุนมากๆ ในตอนนี้ คนที่จะมาเรียนก็จะเป็นคนที่ขาดเงินทุนและโอกาสในการเรียนมัธยมปลาย แต่มาเรียนอาชีวะเพื่อการประกอบวิชาชีพ.. ไม่ได้มาเพราะใจรักในอาชีพนั้นๆ..ดิฉันว่าต้องเปลี่ยนค่านิยมกันในภาพรวมเลย..ต้องให้มีแนวคิดคล้ายกับที่คุณนิโรธยกตัวอย่างของประเทศเยอรมนีไว้น่ะค่ะ
สำหรับปัญหาที่บอกว่าเราผลิตผู้เรียนเพื่อเป็น "ทาสระบบทุนนิยม" นั้น ดิฉันคิดว่าตั้งแต่เด็กคนหนึ่งเกิดมา ยังไม่ต้องเข้าโรงเรียน ก็ถูกเลี้ยงให้อยู่ภายใต้ระบบทุนนิยมแล้วล่ะค่ะ เพราะพ่อแม่ ผู้ปกครองก็อาศัยอยู่ในระบบทุนนิยมอยู่ตลอด เด็กจะโตมากับการแข่งขันเพื่อเกรด ไม่ได้แข่งขันเพื่อรู้.. สังคมและพ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็มองงานเกษตร งานอาชีวะ เป็นงานที่ลำบาก ค่าตอบแทนต่ำ ไม่มีเกียรติ..เด็กๆ ก็จะซึมซับสิ่งเหล่านี้ตลอด...สุดท้ายก็เป็นค่านิยมอย่างที่เห็นเนี่ยแหละค่ะ
ส่วนเรื่องทำอย่างไรผู้เรียนจะรู้จักนิพพานนั้น..ถ้าจะให้ดิฉันตั้งเป้าตอนนี้คงเอาแค่ให้นักศึกษารู้จักอิทธิบาท ๔ และรักษาศีล ๕ ไว้เป็นหลักก่อนค่ะ ถ้าปฏิบัติศีล ๕ ได้ รู้จักไตรลักษณ์ ..การศึกษาและทำความเข้าใจนิพพานก็คงจะมาได้เอง..ไม่ต้องสอนค่ะ
ขอบคุณที่เข้ามา ลปรร นะคะ
สิ่งที่เป็นปรากฏการณ์อันสำคัญในขณะนี้ก็คือการเปิดรับนิสิตเข้าสู่กระบวนการทางการศึกษาอย่างล้นหลาม ในบางสถาบัน โดยเฉพาะที่ผมคุ้นเคยเห็นแผนชัดเจนว่าต้องการรับนิสิตเพิ่มขึ้นทุกปี ... และกระบวนการของการเข้ามาก็ดูจะไม่เข้มข้นนัก โดยเฉพาะการเปิดรองรับในระบบ "พิเศษ" แต่พอเข้ามาเรียน กลุ่มที่มาในโควตาปกติก็มาเรียนปนกับกลุ่มมาในระบบ "พิเศษ" ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจารย์ผู้สอนต้องปรับฐานนิสิตอย่างยกใหญ่ ...
........
การรับคนจำนวนเข้ามามาก ๆ ผลพวงที่กระทบอย่างเห็นได้ชัดก็คือ หอพักในมหาวิทยาลัยไม่เพียงพอที่จะรองรับนิสิต โดยเฉพาะนิสิตชั้นปีที่ 1 ก็ไม่สามารถเข้าพักในหอพักของมหาวิทยาลัยได้อย่างพอเพียง หลายคนต้องออกไปอยู่หอพักข้างนอก ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตอยู่ค่อนข้างมาก ทั้ง ๆ ที่ในระยะต้น ๆ นั้นการพักอาศัยในมหาวิทยาลัยมีความสำคัญต่อการปรับตัว, เรียนรู้ชีวิตใหม่อย่างมหาศาล ....
กรณีดังกล่าว บางสถาบันถึงกลับไปกู้เงินจากเอกชนมาสร้างหอพักเพื่อรองรับนิสิต จากนั้นก็เรียกเก็บเงินค่าหอพักส่งคืนให้เอกชนเป็นรายปี รวมถึงการประสานหอพักภายนอกมหาวิทยาลัยเข้าสู่การเป็นเครือข่ายของมหาวิทยาลัย เพื่อให้นิสิตได้เข้าไปพักอาศัย
กรณีหอพักเครือข่ายนั้น มองในภาพรวมก็น่าจะเป็นทางออกที่ดี แต่ปัญหาตามมาก็คือ มาตรฐานที่ยังไม่เป็นไปตามนโยบายอันแท้จริงของมหาวิทยาลัย ซึ่งมหาวิทยาลัยเองก็ขาดการติดตามประเมินอย่างต่อเนื่องและจริงจัง
.............
ประเด็นการเปิดสอนเป็นวิทยาเขต หรือศูนย์ตามจังหวัดต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องที่น่าขบคิด โดยเฉพาะการเปิดศูนย์ข้ามข้ามภูมิภาคนั้นเห็นได้ชัดว่าเริ่มที่จะ "ปักธง" กันแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ยังผลให้สถาบันการศึกษาในท้องถิ่นก็พลอยลำบากกับกระบวนการแข่งขันนี้ไปด้วย
ศูนย์บางศูนย์ใช้โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดในการเรียนการสอน ผมไม่ปฏิเสธเรื่องการเรียนรู้ด้วยตนเองในระบบต่าง ๆ แต่ภาพพื้นฐานเกี่ยวกับการใช้บริการห้องสมุดของผู้เรียนก็ดูจะไม่สมบูรณ์นัก
.........
สวัสดีค่ะน้องแผ่นดิน
เรื่องการรับนักศึกษาเพิ่มขึ้นทุกปี โดยระดับความเข้มข้นในการคัดเลือกลดลงที่เราพบเห็นคงไม่แตกต่างกันนักค่ะ ที่ต่างก็คงมีในเรื่องประสบการณ์เรื่องหอพัก เพราะที่สจพ.ยังไม่มีหอพักใน แต่กำลังสร้างอยู่ในพื้นที่อันจำกัดมากๆ ของสถาบัน..กำลังรอดูว่าหลังสร้างแล้วเอานักศึกษามาอยู่ในรั้วแคบๆ จำนวนมากๆ แล้วจะเำิกิดอะไรขึ้นเหมือนกันค่ะ
ก่อนหน้านี้ก็มีการประสานกับหอพักรอบๆ รั้วสถาบัน..แต่รู้สึกว่าการสร้างเครือข่ายจะไม่ประสบความสำเร็จ ก็เลยมาทำเอง..ไม่รู้ว่าแย่ลงหรือดีขึ้น.. ก็คงมีทั้งจุดดีและเสียค่ะ
สำหรับการกระจายการศึกษา การส่งเสริมการศึกษาโดยการมีศูนย์เรียนต่างจังหวัดนั้น มองด้านหนึ่งพี่ก็เห็นด้วยหากศักยภาพของมหาวิทยาลัยในพื้นที่ยังไม่มีเพียงพอ แต่ตอนนี้อาจจะไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว.. ดูเ้หมือนว่าการกระจายการศึกษากับคุณภาพการศึกษาจะุสวนทางกันในยุคปัจจุบันนะคะ
สำหรับความเห็นส่วนตัว พี่คิดว่าคงต้องเริ่มปรับปรุงกระบวนทัศน์กันใหม่ทั้งหมด รวมถึงต้องมีการปรับทัศนคติให้เห็นคุณค่าของทุกวิชาชีพ ไม่ใช่เฉพาะบางวิชาชีพ ต้องส่ิงเสริมคุณธรรม จริยธรรมให้กับเด็กๆ มากๆ ในทุกระดับ..มิเช่นนั้นการปรับทัศนคติให้มีความพอเพียง ให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต ให้มีการลงทุนทำเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามสมควร (ไม่ใช่อยากได้แต่ไม่ค่อยอยากลงทุน หรือใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสม) หรือเน้นการให้มากกว่าการครอบครอง คงเกิดขึ้นไม่ได้ค่ะ
ขอบคุณน้องแผ่นดินที่เข้ามา ลปรร นะคะ
ขอบคุณค่ะ อ.ขจิต ^ ^
ขอให้น้องมีสุขภาพแข็งแรง ทั้งกายและใจ และประสบความสำเร็จในการศึกษาตามที่มุ่งหวังนะคะ
สวัสดีปีใหม่ครับ ... อาจารย์กมลวัลย์
บุญรักษา อาจารย์ครับ :)
สวัสดีค่ะอาจารย์ Wasawat Deemarn
ขอบคุณที่แวะมาทักทายกันไว้ก่อนค่ะ ไม่ว่าปีนี้ ปีไหน ก็ทักทายกันได้ค่ะ ^ ^
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะคุณหมอชอบวิ่ง
ขอให้คุณหมอและครอบครัวมีความสุข สุขภาพแข็งแรงยิ่งขึ้นไปนะคะ
ขอบพระคุณที่แวะมาอวยพรค่ะ ^ ^
ถ้าอุดมศึกษา ตามชื่อเรียกก็จะดี
แต่ถ้าไม่อุดม นี่ควรจะเรียกชื่อใหม่ว่า
สถาบัน เกือบ อุดมศึกษา อิอิ
สวัสดีค่ะพ่อครู
ส่วนตัวแล้วคิดว่าการอุดมศึกษาไทยนั้นไม่ค่อยอุดมสมชื่อสักเท่าไหร่ค่ะ
ฝรั่งเขาใช้คำว่า Higher Education กับการอุดมศึกษา สงสัยจะต้องเปลี่ยนเป็น Almost-a-higher Education เสียแล้วค่ะ เวลาไปลอกเขามาก็แบบนี้แหละค่ะ ลอกวิธีการได้ เช่น เรียน ๔ ปี กี่หน่วยกิต เรียนอะไรบ้าง ฯลฯ แต่ลอกปรัชญาได้ยาก เพราะคนเรียนมีนิสัยและวัฒนธรรมไม่เหมือนกัน
ตอนนี้ได้ข่าวว่าแถวๆ ยุโรปซึ่งเคยมีระบบการเรียนที่หลากหลาย จะพยายามทำระบบการอุดมศึกษาให้เป็นมาตรฐาน (เหมือนคนอื่น) เพื่อที่คนจะได้ข้ามไปทำงานในหลายๆ ประเทศหลายๆ ที่ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องแปลงคุณวุฒิ ไปๆ มาๆ ก็เอากฎเดียวกันมาใช้กับคนทั้งโลก...มันจะไหวหรือนีั่่ T_T
มีความรู้สึกเหมือนว่า..เขาว่าโลกเราพัฒนาขึ้นแล้ว..แต่ทำไมเรารู้สึกว่ามันถอยหลังเข้าคลองเสียทุกทีก็ไม่รู้แล้วค่ะ
บ่นไปเรื่อยๆ อีกแล้วค่ะพ่อครู.. ^ ^