ว่าด้วยเรื่อง..ทำใจให้สบาย


ในชีวิตการเป็นแพทย์ พยาบาล หรือผู้ดูแลผู้ป่วย หลายครั้งเราต้องทำหน้าที่ "ปลอบใจ" หรือให้กำลังใจทั้งผู้ป่วยและญาติ  คำพูดประโยคหนึ่งที่ติดปาก หลายคนเคยใช้บ่อยๆ ก็ คือ "ทำใจให้สบายนะ.."  อยากจะเชิญชวนให้ลองพิจารณาคำพูดนี้กันให้ดีๆสักนิด  ลองคิดดูนะครับว่า ถ้าเราเป็นผู้ป่วยเสียเอง จะรู้สึกอย่างไร  

อยากเริ่มต้นด้วยเรื่องขำขันสั้นๆที่คงขำไม่ออกถ้าเป็นเรื่องจริง และลองอ่านความเห็นของพระมหาสมโภชน์ กิจจสาโร วัดหาดใหญ่สิตาราม เกี่ยวกับคำพูดประโยคนี้ดู

 

ว่าด้วยเรื่อง .."ทำใจให้สบาย"

                                    นายระทม ล้มป่วยจนร่างกายผ่ายผอม หาหมอมาหลายครั้งก็ไม่ดีขึ้น รู้สึกว่าตนเองจะไม่รอดแน่แล้ว จึงเอ่ยปากกับศรีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก..คุณนายระทึกว่า "แม่ .. พ่อว่า พ่อคงอยู่ได้อีกไม่นาน ลูกสองคน แม่ช่วย.."

                                    คุณระทึกรีบชิงพูดก่อนว่า "โธ่..พี่ ทำใจให้สบายเถอะ.. พูดเป็นลางทำไมก็ไม่รู้"

                                                                        ..  ..  ..

                                    วันต่อมา ระทมรู้สึกปวดหน้าอก เหนื่อยหอบมาก ต้องพาเข้าห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลกลางดึก ระหว่างที่เขายังหอบเหนื่อย ร้องครวญครางว่า "..ปวดเหลือเกิน  ปวดจังเลย ..ทนไม่ไหวแล้ว"   พยาบาลสาวเข้ามาปลอบว่า "ทำใจให้สบายนะคะ  .."

                                                                        ..  ..  ..

สักพัก หมอเวรก็มาถึง พอตรวจร่างกายเสร็จ ก็แอบไปซุบซิบกับพยาบาลและคุณระทึก ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะมาคุยกับนายระทมว่า "คุณระทมครับ เรารู้แล้วนะครับว่าคุณเป็นอะไร แต่เราตกลงกันแล้วว่าจะยังไม่บอกคุณดีกว่า กลัวว่าคุณจะทรุดหนัก.. ทำใจให้สบายนะครับ"

 

ทำใจให้สบายๆ .. คำพูดที่บอกว่าทำใจให้สบายๆ  คำพูดนี้เป็นคำพูดที่ไม่เป็นประโยชน์ มีคนไข้คนหนึ่ง ที่หมอบอกว่าให้ทำใจสบายๆ เขาโกรธมากเลย หลังจากหมอออกไป มันเป็นตรงกันข้าม  ..เป็นคำที่พูดง่ายแต่ทำยาก เพราะว่าจะตายอยู่แล้ว ให้เราทำใจให้สบาย มันทำไม่ได้ เพราะไม่ใช่วิธี มันเป็นเพียงคำพูดที่ลอยๆ  คำพูดคำนี้ทำให้โกรธก็ได้สำหรับบางคน

แต่ถ้าบอกวิธีนี้ ทุกคนน่าจะรับได้ บอกให้คิดถึงคุณงานความดีของตนเอง น่าจะเป็นวิธีที่ทุกคนรับได้ไม่ว่าคนไหน จะนับถือศาสนาใดก็ตาม เพราะสภาพจิตใจจะมีสติปัญญาอยู่ สติปัญญานี้ต้องการเหตุผล ให้เขานึกถึงเรื่องดีๆ จะทำให้เขามีพลัง โรคก็จะมีโอกาสหายมากขึ้น

คนที่ทำบุญมาเยอะก็จะไม่คิดมาก สำหรับคนท่ี่ไม่ค่อยได้ทำบุญนั้น เราอย่าไปพูดเรื่องบุญ เราบอกถึงความดี และชี้แจงว่าเคยซื้อเสื้อผ้าให้คุณพ่อ คุณแม่ก็เป็นความดีแล้ว เคยช่วยเหลือใครสักคนก็เป็นความดี  ตอนเด็กๆ เคยช่วยเหลือเพื่อน ช่วยเหลือครู อะไรก็แล้วแต่ นั่นคือความดีแล้ว   เขาจะคิดอย่างอื่นได้เอง เล็กๆน้อยๆ อย่างนี้เรียกว่า..ความดี อย่างอื่นเขาก็จะขึ้นอย่างอื่นมาเอง  ถ้าบอกว่าทำบุญบางทีจะตกใจว่าเราไม่เคยทำบุญ

           บางครั้งใช้คำพูดจาไพเราะกับคุณพ่อคุณแม่ หรือช่วยท่านทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นบุญแล้ว  

พระมหาสมโภชน์ กิจจสาโร

วัดหาดใหญ่สิดาราม

หมายเลขบันทึก: 71525เขียนเมื่อ 9 มกราคม 2007 05:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 มิถุนายน 2012 08:38 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (18)
" บอกให้คิดถึงคุณงานความดีของตนเอง " เป็นคำพูดที่ดีคะ บางครั้งคนเรา คนที่มาเยี่ยมคนไข้ จิตใจดี แต่ว่า เลือกคำพูดไม่ถูกก็มี หรือบางคนเยี่ยมไม่พูดแต่สัมผัสได้ก็มีคะ...แต่การให้นึกถึงสิ่งๆดี เข้าไว้ ก็จิตอิ่มคะ
  • ดิฉันเคยทำงานโรงพยาบาลค่ะ คือ โรงพยาบาลราษฏร์ยินดี ยุคแรกเริ่มค่ะ ในฝ่ายคอมพิวเตอร์ค่ะ
  • บ่อยครั้งที่มีโอกาส พบเจอญาติผู้ป่วยวิกฤติที่ ICU ค่ะ  ดิฉันค่อนข้างอินด้วยค่ะ
  • พูดปลอบใจญาติ พูดไปพูดมา ดิฉันก็น้ำตาคลอ แล้วก็ร้องไห้ (ช่วงแรกยังไม่ชิน) พอเห็นความตายเยอะๆ เข้า เริ่มชิน ใจเริ่มแข็งขึ้น จนสามารถมองเห็นว่า เจ็บ ป่วย ตายเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ

คุณหมอเต็มศักดิ์ค่ะ

จะว่าไปแล้ว คำพูดบางคำ ก็ต้องพิจารณาความรู้สึกของผู้ป่วยด้วยค่ะ  อย่างที่ในบันทึกเขียนไว้ค่ะ ว่าต้องมองในมุมของผู้ป่วยว่าถ้าได้ยิน แล้วจะรู้สึกดีหรือแย่ลง

แต่การที่จะรู้สึกดีหรือรู้สึกแย่ลง  ก็อยู่บนพื้นฐานจิตใจของผู้ป่วยด้วยค่ะ หากมีมุมมองในด้านบวก จะเศร้า จะแย่ ยังไง หากในใจก็ยังรู้สึกมีกำลังใจอยู่บ้างที่ผสมกับความทุกข์ หรือความไม่สบายใจจากการป่วย  แต่หากกำลังใจที่มีอยู่นั้นเป็นพลังเล็ก ๆ หรือความหวังในจิตใจ  คำพูดบางคำ ก็เหมือนเป็นยามาช่วยชูกำลังให้กับจิตใจมากขึ้นค่ะ 

แต่สิ่งหนึ่งที่คนป่วยมักจะเป็นกัน คือความกังวล สิ่งที่จะทำให้ผู้ป่วยคลายกังวลได้นั้น หนูคิดว่าคงเป็นคำอธิบายและการแนะนำที่ดีจากคุณหมอและพยาบาลค่ะ  เพราะคนไข้ส่วนหนึ่งก็มีความเชื่อถือในตัวคุณหมอและพยาบาลอยู่แล้ว การได้รับข้อมูลที่ทำให้คนไข้สามารถดูแลตัวเองและเฝ้าระวังอาการต่าง ๆ จะช่วยทำให้คนไข้ สบายใจขึ้นระดับหนึ่งค่ะ

 

ดีจังครับ

ได้มุมมองที่ลึกขึ้นในเรื่องนี้ จากน้อง มะปรางเปรี้ยว ในฐานะอะไรดีน้า ผู้ป่วย หรือ คนเยี่ยมไข้ ดี

ยังไงก็ขอบคุณมากครับ 

คุณหมอเต็มค่ะ

ต้องบอกว่า ข้อคิดเห็นข้างต้น เขียนในฐานะผู้ป่วยค่ะ

ถ้าเป็นมุมมองของคนเยี่ยมไข้ ต้องบอกว่าหนูจะไม่ค่อยพูดถึงอาการของคนไข้  ถามอาการบ้าง แต่จะชวนคุยไปเรื่องอื่น  เอาเรื่องคลายเครียดไว้ก่อน แล้วก็แอบให้กำลังใจหน่อย  แต่ก็ต้องแล้วแต่สถานะการณ์ด้วยค่ะ  เรื่องที่มีผลต่อจิตใจ บางทีก็พูดยากนะค่ะ คุณหมอ

แต่พูดในเชิงบวกไว้ อย่างน้อยก็ทำให้คนไข้ มีกำลังใจดี ๆ ขึ้นอีกเยอะค่ะ

  • ถ้าผู้ป่วยเป็นคนที่เรา  รู้จัก  ดี

คิดว่า ผู้ป่วยอยากให้เราคุยเรื่องที่เขาเครียดกังวลอยู่ หรือ หลีกไปคุยเรื่องอื่นที่คลายเครียด

  • ผมสนใจคำปลอบที่ว่า อย่าคิดอะไรมาก ทำใจให้สบาย เลยชอบถามผู้ป่วยของผมว่า รู้สึกอย่างไรกับประโยคนี้  ต้องบอกว่า ส่วนใหญ่จะตอบเหมือนพระอาจารย์ข้างบนครับ

คุณหมอค่ะ

มาอ่านข้อคิดเห็นล่าสุดของคุณหมอ ก็เลยนึกขึ้นได้ เพื่อน ๆ ชอบพูดว่า " เดี๋ยวก็หาย เรื่องขำ ๆ ปรางเก่งอยู่แล้ว " 

นี่ละค่ะ กำลังใจของเพื่อน ๆ แต่พอเสร็จจากผ่าตัด  อาการดีขึ้น เพื่อนบอกว่า วันที่เห็นหนูนอนพักหลังจากผ่าตัด  ก็สงสารเหมือนกัน พูดก็เจ็บ กินอะไรก็ไม่ได้ ยังจำได้ เพื่อนไปเยี่ยมแล้วก็มีแซว บอกว่าเหมือนนินจาเลย ต้องพันผ้าไว้รอบศรีษะ หนูอยากจะหัวเราะ แต่ก็เจ็บ เลยขำไม่ออก แต่ก็ดีค่ะ ไม่เครียดเท่าไหร่ เพื่อน ๆ มาสร้างความเฮฮาให้ค่ะ

นอกจากเป็นผู้ป่วยแล้ว วันนี้ น้องมะปรางเปรี้ยวสวมบทคนเยี่ยมไข้ ไปเยี่ยมใครมาด้วยหรือเปล่าครับ

แวะมาส่งยิ้ม แล้วก็บอกว่าช่วงนี้ไม่ได้เยี่ยมใครค่ะ นอกจากเยี่ยมตัวเอง เพราะตอนนี้ยังเป็นคนป่วยอยู่ค่ะ ^-^

ถ้าเป็นหนู  เวลาไม่สบายใจ แล้วมีใครมาบอก "อย่าคิดมากเลย .....ทำใจให้สบาย" อย่างนี้นะคะ   หนูจะไม่โกรธ  หนูจะขอบคุณเขามากๆค่ะ  เพราะอะไรทราบมั๊ยคะ...เพราะว่า ครั้งหนึ่ง  หนูเคยปรึกษาเพื่อนว่า ทำยังไงดี หนูกลัวหมอมากๆ  เวลาไปหาหมอ  หนูจะกลัวมากเลย บางทีกลัวน้ำตาไหลเลย..."    เพื่อนหนูกลับทำเสียงประหลาด....แล้วพูดว่า  เป็นโรคจิตหรือเปล่า เป็นถึงขนาดนี้เชียวเหรอ.........ไปหาหมอโรคจิตได้แล้ว"         คือ ไม่มีไงค่ะ   ไม่มีแม้แต่คำพูดปลอบกัน อย่างคนเป็นเพื่อนพึงจะทำกับเพื่อน     อย่าให้บอกเล่าถึงความรู้สึกเลย  ว่าเจ็บปวดขนาดไหน    หนูก็เลยบอกเขาไปด้วยน้ำเสียงปกติว่า   "โชคดีนะ...ที่คนในครอบครัวเธอ...ไม่เป็นอย่างเรา...."    

จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น  ทำให้หนูรู้ซึ้งว่า  ประโยคที่ว่า "อย่าคิดมากเลย ....ทำใจให้สบาย"  เป็นประโยคธรรมดา  ที่มีค่ามากๆเลยค่ะ

น้องน้อยโหน่ง ครับ

  • ขอบคุณน้องมากเลย ท่ี่ทำให้เห็นมุมมองอีกมุมสำหรับคำพูดนี้ ผมคิดว่าส่วนหนึ่งคือคำพูด อีกส่วนคือท่าทีที่เราพูดนะครับ
  • ลองถามตัวเองมั้ยครับว่า อะไรที่ทำให้เรากลัวหมอมากๆถึงขนาดนั้น 

ตอนแรก หนูก็ไม่ทราบว่า "นายเต็มศักดิ์  พึ่งรัศมี" คือใคร  มาทราบในตอนหลัง ว่า "นายเต็มศักดิ์" มีสถานะเป็นอาจารย์หมอ.........(จริงๆ แล้ว หนูเป็นคนกลัวหมอ...แต่จะกลัวก็ต่อเมื่อ  ไปรับการรักษาเท่านั้นค่ะ..........)    แต่ตอนนี้ ที่หนูกำลังสื่อสารกับ "นายเต็มศักดิ์"   หรือ คุณหมอเต็มศักดิ์   หนูไม่ได้กลัวนะคะ..... แล้วหนูก็เคยลองถามตัวเองแล้ว ว่าทำไมถึงกลัวหมอ    

              คำตอบคือ  หมอทำให้เรารู้สึกว่า  เรากำลังเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า  "OUT  OF   CONTROL" ค่ะ แต่ถ้าให้วิเคราะห์ไปอีกว่าทำไม....ก็ได้คำตอบอีกซึ่งยาวด้วยค่ะ.......แล้วก็ปวดศีรษะด้วยค่ะ.......

               หนูเคยตกอยู่ในสภาพ "OUT  OF  CONTROL " ...ตอนที่....กาลครั้งหนึ่ง  นานมาแล้ว  เด็กหญิงน้อยโหน่ง   มีอาชีพ "รับจ้างเป็นนักเรียน"......ก็มีความสุขสนุกสนานกับการเรียน   ในโรงเรียนขึ้นต้นว่า "สาธิต" แห่งหนึ่งในเมืองหลวง..........อยู่มามิช้ามินาน....เพื่อนของ เด็กหญิงน้อยโหน่ง มาชักชวนให้ไปเรียนต่ออีกโรงเรียนหนึ่ง....ซึ่งมีแต่ทีมชาติอยู่เต็มเลยค่ะ.........เด็กหญิงน้อยโหน่งมิรอช้า....ฟิตซ้อมสารพัด เพื่อให้ได้ดั่งใจหวัง..........แล้วก็สมหวังเมื่อวันประกาศผล.........แต่.....เมื่อผ่านเข้าไป..ปรากฏว่า .......ทุกครั้งที่มีวิชาภาษาที่ประเทศยุโรปเขาใช้กัน.........เด็กหญิงน้อยโหน่งต้องพบกับสภาวะ " OUT  OF  CONTROL"  จากบุคลากรทางการศึกษา ที่มีหน้าที่ถ่ายทอดวิทยายุทธ..........ท่านใช้วิธี "NO  PAIN   NO  GAIN"  เพื่อให้เหล่าจอมยุทธ อินเทิร์น  ทั้งหลาย ฮึดสู้.......ฮึดสู้แล้ว.....จะได้ทำวีซ่าเพื่อข้ามสีทันดร ไปสู่การศึกษาอีกระดับได้  .(ท่านก็ทำด้วยพื้นฐานของความหวังดี)  แต่เด็กหญิงน้อยโหน่ง.....อ๊ะจ๊าก!.........รู้สึกว่า "ทำไมภาระการศึกษาของเรา ถึงหนักหน่วงขนาดนี้........"      ไม่ใช่การบ้านหรอกนะคะ...ที่ทำให้รู้สึกว่าหนักหน่วง  แต่............เป็นอะไรที่น่ากลัวมากๆ    จากเดิมที่เคยเป็นมือวางอันดับต้นๆของรร.เก่า (ซึ่งมีสภาพเรียนสนุกลุกนั่งสบาย.....เด็กคือสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่น่ารักในสายตาครู  )   กลายเป็นตกอันดับมือวาง.....เพราะเมื่อเจอนโยบาย "NO PAIN   NO GAIN   เด็กหญิงน้อยโหน่งไม่มีแรงฮึดสู้........กลายเป็นวัชพืชไปซะแล้วค่ะ .....ขอสารภาพตรงๆ ว่าก่อนที่หนูจะกลัวหมอ     หนูกลัวคุณครูมากๆเลยค่ะ.......ทั้งๆที่หนูก็ขยันแล้วนะคะ   แต่เวลาคุณครูเรียกตอบ.....ถ้าตอบผิดนิดเดียว.....เสียงดังตุ๊บ....จะตามมาทันที........บางที....ท่านก็ฝากรอยเล็บของท่านไว้ที่มือ+แขนของเด็กหญิงน้อยโหน่ง.....และมีประโยคท่อนฮุคเพื่อเป็นการคอนเฟิร์มกับเพื่อนในชั้นเรียนว่า  เราอยู่ในสถานะไหนในสายตาครู        .แต่เราจะรู้สึกไม่ดีกับท่านก็ไม่ได้ใช่มั๊ยคะ.......เพราะจะเป็นบาปกรรมเปล่าๆ   แล้วตอนนั้น เด็กหญิงน้อยโหน่งก็ไม่ทราบจะติดต่อรัฐบาล  เพื่อเสนอแนวคิดเห็นเพิ่มเติมต่อนโยบายการเรียนการสอนได้ที่ไหน  แฟชั่นอินเทรนด์ของวัยนั้น  คือ  การต้องสอบเทียบ... ..(แต่จะเพื่ออะไรนั้น......เด็กหญิงน้อยโหน่ง  เข้าใจเพียงแต่ว่า  เพื่อให้พ้นสภาพ OUT  OF  CONTROL )       ทุกทีที่มีการเรียนวิชานี้......เด็กหญิงน้อยโหน่ง  จะแอบเหลือบมองนาฬิกา......ว่า  จะหมดเวลาหรือยัง...........ถ้าเป็นอีก 10 นาทีจะหมดเวลาละก็.......ในใจหนูจะมีเสียงแบบที่เขาประกาศตามห้างสรรพสินค้าว่า  "ตึ่ง...ตึง...ตึง..ตึ๊ง.........ท่านผู้มีอุปการะคุณ...โปรดทราบ  ขณะนี้เหลือเวลาอีก 10 นาที จะหมดเวลาแล้วค่ะ....."    พร้อมกับรู้สึกบาปๆอยู่ในใจยังไงก็ไม่ทราบ........

        แต่หนูก็ไม่ทราบว่า แท้จริง มันจะใช่เหตุผลนี้หรือเปล่า   ที่ทำให้หนูกลัวหมอ......   แต่คิดย้อนไปถึงเหตุการณ์นี้ทีไร  หนูปวดหัว และไม่สบายใจทุกทีเลยค่ะ..........ตอนนี้หนูคงต้องพึ่งประโยคที่ว่า "อย่าคิดมากเลย...ทำใจให้สบาย"  อีกแล้วนะคะ...คุณหมอ....

น้องน้อยโหน่ง ครับ

  • ดีใจด้วยนะครับ ถ้าเขียนบันทึกถึง หมอ ได้ยาวขนาดนี้ ขอให้มั่นใจขึ้นนะครับเวลาเจอหมอตัวเป็นๆ
  • ถ้ายังรู้สึก กลัวหมอ กลัวครู อยู่เพราะ out of control ลองทบทวนดู ช้าๆ ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์นั้นอีกตอนนี้ เรายังคงเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เมื่อพร้อมก็เล่านะครับ
  • มีอะไรให้ผมช่วยได้ ก็บอกนะครับ

   ขอกราบขอบพระคุณ สำหรับข้อความ 3 paragragh  ข้างบนนะคะ......    แต่หนูมีข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับแต่ละ paragragh  ข้างต้น ดังนี้ค่ะ

   p.1  ที่หนูไม่กลัวคุณหมอเต็มศักดิ์  เพราะว่า "นายเต็มศักดิ์" มากับพระ   ค่ะ  

   p. 2  ที่จริงแล้ว  หนูสามารถตอบได้เลยนะคะ......แต่ว่า  เรื่องมันยาวอีกแล้วค่ะ........เพราะว่า   หนูเป็นคนประเภท  "มือพามา.....ปากกาพาไป"ค่ะ     หนูเคยทำสถิติสูงสุด โดยการเขียนข้อความลง  สมุดfriendship  ให้เพื่อน ตอนใกล้จบม.3 ความยาว 8 - 9 หน้ากระดาษขนาด A3    ด้วยลายมือตัวหนังสือขนาด "มดจิ๋ว"ค่ะ     เพื่อนหนู....(คนที่ชวนไปสอบต่ออีกโรงเรียนนั่นแหละค่ะ...แต่เพื่อนหนูสอบเข้าสายวิทย์ฯค่ะ....ส่วนหนู...เรียนสายศิลป์ค่ะ)   เพื่อนหนูเขาก็งงมากๆ  ว่า    มันจะเขียนอะไรยาวนักหนาขนาดนี้.....  (แล้วก็ตลกกว่านี้ก็คือ.......เพื่อนหนูคนนี้ โตมาเขาก็เป็นหมอด้วยค่ะ.....มีคำถามมั๊ยละคะ......หนูตอบได้นะคะ.......)

              ตกลงว่า  หนูจะส่งการบ้านให้คุณหมอ หลังสงกรานต์ไปแล้วนะคะ

    p.3  ถ้างั้น....หนูรบกวนให้ช่วยเลยนะคะ  คือว่า  พรุ่งนี้ (13/4/2550) เป็นวันสงกรานต์   หนูก็จะขอส่งความสุขแบบไทยๆ  ไปให้คุณหมอและครอบครัวค่ะ....ช่วยรับด้วยนะคะ...(อย่าลืมแบ่งปันความสุขนี้ให้คนไข้ทุกคนของคุณหมอ รวมทั้งทุกคนที่เข้ามาโพสต์ข้อคิดเห็นในเว็บฯ นี้ ด้วยนะคะ)........และหนูมีความเชื่อว่า    ถึงแม้ว่า ......ในช่วงนี้   รายได้ประชาชาติ  (GROSS   NATIONAL   PRODCT)ของประเทศไทย อาจจะมีตัวเลขที่ไม่สวยเท่าที่ควร   แต่พรุ่งนี้...สงกรานต์แล้ว  คนไทย จะมี GROSS  NATIONAL  HAPPINESS -ความสุขประชาชาติ  พุ่งสูงสุด  โดยมีขันอลูมิเนียม  /ปืนพลาสติกสำหรับฉีดน้ำ/ ดอกมะลิ เป็นอุปกรณ์ขั้นพิ้นฐาน...สำหรับสร้างความสุขแบบนั้นค่ะ ..บางทีพรุ่งนี้  เราอาจจะมี ความสุขประชาชาติ มากกว่า พลเมืองของประเทศภูฏานด้วยซ้ำนะคะ.......

           น่าเสียดายที่สงกรานต์ปีนี้  หนูไม่มีโอกาสไปเยี่ยมญาติ+เล่นสงกรานต์ที่เชียงใหม่   เนื่องจากปัญหาเรื่องภาวะหมอกควัน+ ฝุ่น ที่มีปริมาณมากเกินอัตราศึก และเพิ่งจะหมดไป  แล้วยังภาวะปริมาณงานอันท่วมทะลักมากมายเกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกระบุไว้   (อย่างหลังนี่...สงสัยน้อยโหน่งจะมามุกมั่วค่ะ.....แต่สาบานได้ ว่างานมากจริงๆนะคะ  มากจนเกือบจะกลายเป็น "ผู้ป่วยระยะสุดท้ายขององค์กร"  ด้วยค่ะ.......และเรื่อง "ผู้ป่วยระยะสุดท้ายขององค์กรเนี่ยนะคะ.....หนูก็มีเรื่องจะเล่าให้คุณหมอฟังด้วยค่ะ  + เมื่อวานนี้ คอมฯที่บ้าน ก็ป่วยอีก เมื่อเวลา 00.30 น. ตามเวลามาตรฐานของจังหวัดกรุงเทพฯ .... อ๊ะ......พูดผิดค่ะ.......ถ้าเวลา 00.30 น.  ก็ต้องเป็นเวลาของวันนี้ใช่มั๊ยคะ.......)          

     เริ่มรู้สึกเหมือนเพื่อนหนูแล้วใช่มั๊ยคะ........ว่า...น้อยโหน่งมันจะเขียนอะไรของมันยาวนักหนา....ถ้างั้นจบแค่นี้ก็แล้วกันค่ะ  แต่ก่อนจบ ก็ต้องมีมุกลากโยงให้เกี่ยวข้องกับประโยค "อย่าคิดมากเลย  ทำใจให้สบาย"    เป็นมุกนี้ก็แล้วกันนะคะ      สมมติไปเลยนะคะ.....ว่าพรุ่งนี้  หนูจะเป็นแม่หญิงเจียงใหม่  นุ่งซิ่น  เกล้าผมมวย   ทัดดอกไม้เดือน 5  งามแต้ๆ แล้วอู้กำเมือง  ว่า    "อย่าคิดมากเลย.... ทำใจให้สบาย........จาวเหนือ........เปิ้นอู้ว่า จะเอี๊ยะ " อย่ากึ๊ดจ๊าด.....ยะใจ๋ฮื่อม่วนๆ กะเจ้า"   ปะกั๋นแหม..........สวัสดีเจ้า....

     

 

 

 

น้องน้อยโหน่ง ครับ

  • แวะไปอ่าน blog หมอ ครู พระ ของผมบ้างก็ได้ มีครูมาด้วยอีกคน จะได้ชินๆ ไม่กลัวครูด้วยครับ
  • ช่างเขียน ดีแล้วครับ เขียนเรื่องตัวเองใน blog บ้างนะครับ ผมว่า สำนวนนี้ คนติดตรึม  จะรออ่านครับ
  • ยินดีรับพรอันประเสริฐนั้นครับ ผมก็ขออวยพรให้น้องน้อยโหน่ง ไม่กลัวหมอ กลัวครูอีกต่อไป มีความสุขกับงานในองค์กร ไม่เป็น ผู้ป่วยระยะสุดท้ายขององค์กร และมีครอบครัวที่สุขทั้งกายและใจครับ
  • เจ้า..

สวัสดีค่า

เข้ามาอ่านบันทึกของคุณหมอเต็มศักดิ์แล้ว ดีจังเลยนะคะ เพื่อนรวมแจม(คุณน้อยโหน่ง)เขียนสนุกดีจังค่ะ

เข้ามาบอกแค่นี้ล่ะค่ะ

"อย่าคิดมากเลย  ทำใจให้สบาย"  นะคะ

      ขอบพระคุณอีกครั้ง...สำหรับคำอวยพรของคุณหมอนะคะ  

       และขอขอบคุณ คุณ Krisy ที่ทำให้คนอย่างน้อยโหน่ง เกิดความรู้สึกฮึกเหิม ปลื้มปิติ  เป็นความรู้สึกเหมือนพระบวชใหม่ ออกบิณฑบาตร แล้วมีโยมคนแรกมาใส่บาตร (ถึงตอนนี้ จะมีเสียงญาติผู้ใหญ่ของน้อยโหน่งดังลอยมา......ว่า......แม่คุณเอ๊ย...ดันไปรู้ได้ยังไงยะ....ว่าคุณพระคุณเจ้าท่านรู้สึกอย่างนี้..เธอนี่เหลวไหลจริงๆ.......คือ.........น้อยโหน่งเดาเอาเองค่ะ)

         (คุณหมอ  และ คุณ Krisy คะ.......ที่จริงแล้ว....น้อยโหน่ง...มีข้อความจะสื่อสารมากกว่านี้นะคะ......แต่เกิดเหตุขัดข้องบางประการค่ะ.....)

          เนื่องจากวันนี้ หนูกำลังแอบโกรธรัฐบาลอยู่ (ไม่ใช่มุกแล้วค่ะ  หนูโกรธจริงๆนะคะ   และกรุณาอ่านเบาๆนะคะ ....หนูไม่อยากให้พวกเขารู้ว่าหนูแอบโกรธเขาอยู่  .....) หนูไม่เข้าใจว่า ทำไมกระแสไฟ ต้องมาตก ตอนที่หนูกำลังจะส่ง E-mail  ไปให้เพื่อนด้วย   ทุกสิ่งทุกอย่าง หายหมดเลยค่ะ (ทุกสิ่งทุกอย่างในความหมายของหนู  หมายถึง ข้อความ 50 บรรทัดค่ะ)  + หนูก็เลยส่ง E-mail   ไปให้เพื่อนใหม่  ว่าสิ่งที่จะส่งให้ ...มันหายวับไปกับตาแล้ว         เพื่อนหนูเขาบอกว่า "ให้สู้ชีวิตใหม่"    (คล้ายๆกับประโยค "อย่าคิดมาก .....ทำใจให้สบาย" นั่นแหละค่ะ)   แต่หนูขอไปตั้งหลักสักพักก่อนค่ะ

           เพราะฉะนั้น หนูก็เลยขอลาป่วยไปก่อนนะคะ   คิดว่าเย็นนี้ คงต้องไปว่ายน้ำแล้วค่ะ.........

กลับมาอีกครั้ง   หลังจากที่หนูมีอาการกลายเป็นคนพาล หวานซ่อนตลก(ซ่อนไว้มิดชิดมากค่ะ  จนชาวบ้านชาวเมือง รอบข้าง หาความตลกไม่เจอ........)  แต่ตอนนี้  กลับสู่สภาพปกติแล้ว        ก่อนหน้านี้หลายคนในบริษัท ถึงกับงงๆ  ว่า  ทำไมหนูถึงเป็นได้ขนาดนี้ บ้างก็เป็นห่วง........ จะพาไปฉีดยากันโรคกลัวน้ำ  (เพราะกลัวจะไปกระโดดโฮ่งๆ งับคนอื่นเข้า)    บ้างก็อาสาว่า จะพาไปซื้อนวมกับกางเกงนักมวย  แล้วพาไปชกมวยที่เวทีมวยราชดำเนิน น่าจะ WORK กว่า (เป็นการเปลี่ยนวิกฤติ  ให้เป็นโอกาส  กะจะ TURN  PRO  เป็นโปรโมเตอร์มวยเลย   ให้น้อยโหน่งเป็นนักมวยคนแรกของเขาค่ะ)

         กลับมาครั้งนี้  รู้สึกเงียบๆ ชอบกล  ไม่มีใครอยู่เลยค่ะ    ไม่เป็นไรค่ะ........หนูก็จะนั่งเล่าไปก่อนก็ได้ค่ะ   คุณหมอว่างเมื่อไหร่  ก็ค่อยมาฟังนะคะ

         ความเดิมตอนที่แล้ว  ก็คือ   หนูค้างไว้ว่า  จะไปว่ายน้ำ   เพราะถ้าเกิดอาการหวานซ่อนตลกเมื่อไหร่   หนูก็จะไปว่ายน้ำค่ะ  เป็นเทคนิคในการทำใจให้สบายอีกรูปแบบหนึ่ง   การว่ายน้ำ  เปรียบเหมือน การกดปุ่มDELETE  ที่แป้นคีย์บอร์ด ของ คอมฯ ค่ะ เพื่อลบข้อความที่เราไม่ต้องการออก  (เพียงแต่ต่างกันที่การว่ายน้ำ จะเป็นการเผาผลาญพลังงานด้านลบในใจให้หมดไปค่ะ)  หนูเคยบอกเพื่อนด้วยประโยคอันแสนเท่ว่า...... "ถ้าเราเหนื่อยหน่ายที่จะเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารของชีวิตนะ   เราจะไปว่ายน้ำ    เพราะความเหนื่อยในการว่ายน้ำ  จะช่วยให้ความเหนื่อยหน่ายแบบนั้นหายไปได้ "        แต่เพื่อนหนูเขาไม่เห็นจะทึ่งเลยค่ะ   (แต่หนูยังทึ่งตัวเองไม่หาย......คิดได้ตอนว่ายน้ำด้วยล่ะค่ะ.......) 

         แต่เชื่อมั๊ยคะ..........   พอไปถึงสระว่ายน้ำ.........  ก็ต้องพบกับข้อความ     "สระปิดซ่อม"  OH!  ว่าที่นักมวยอย่างน้อยโหน่ง  ถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้น   โธ่เอ๊ย!  ก็ไหนว่าซ่อมเสร็จแล้วนี่นา.......ไอ้ครั้นจะไปหาแหล่งน้ำตามธรรมชาติในกรุงเทพฯ ลงแหวกว่าย  ก็ดูต๊องส์ๆชอบกล  ดีไม่ดี...เดี๋ยวได้ขึ้นหน้า1 ไทยรัฐละก็.....ยุ่งเลยค่ะ

( แต่มาคิดในภายหลังได้ว่า  พระเจ้าจอร์ช  ท่านต้องอยู่เบื้องหลังแน่ๆเลย)     เมื่อพระเจ้าจอร์ช ท่านดลบันดาล  ให้เหตุการณ์กลับตาละปัตรอย่างนี้    ก็เหมือนท่านจะมาพิสูจน์วิธีทำใจให้สบาย อีกแล้วค่ะ.......อย่างนี้ เราก็ยอมไม่ได้ใช่มั๊ยคะ.......ต้องงัดทฤษฎีออกมาปฏิบัติให้เห็นจริง   

          ขั้นแรกก็คือ  เราต้องมองตรงไปแล้วเชิดหน้าไว้   (ประโยคนนี้ จำมาจาก Dialog  ของตัวละครในภาพยนตร์เรื่อง  จักรพรรดิ์โลกไม่ลืม  ค่ะ  รู้สึกจะเป็นตอนที่จักรพรรดิ์ปูยี จักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของจีน กำลังจะหัดขับรถจักรยาน 2 ล้อ   แล้วมีคนบอกให้ท่าน "มองตรงไป  แล้วเชิดหน้าไว้.ค่ะ...... )     ค่ะ......มองตรงไปแล้วเชิดหน้าไว้.......

          ขั้นที่ 2  ข้อความเด็ดที่หนูชื่นชม  แอบขโมยมาจาก  บริษัทผลิตโฆษณาชื่อดังของอังกฤษ  แต่มาเปิดสาขาในไทย  แถวๆ ถ.สีลม (กรุงเทพฯ)ค่ะ    เขาบอกไว้ว่า "เรามุ่งมั่นไขว่คว้าหาดวงดาว    แม้ว่าเราจะไม่ได้ดาวสักดวง   แต่เราจะไม่จบลงที่มือของเราต้องเปื้อนโคลน"  เก๋มากๆค่ะ + ประโยคที่รุ่นพี่เคยสอนไว้  "น้อยโหน่งเอ๊ย......คนจะมันส์   อยู่ที่ไหนก็มันส์.....นะลูก........."  คือรุ่นพี่เขาคงจะรักหนูเหมือนลูกมั๊งค่ะ  เลยมีคำลงท้ายพ่วงติดมาอย่างนั้น     ถ้างั้น   หนูก็ต้องจบแบบนั้นค่ะ  เอ้า....ไหนลองมองดูสิ....ข้างสระว่ายน้ำมีอะไรอื่นๆ น่าสนใจบ้าง.....อ่อ... มี ร้านหนังสือ........ดีเลย........งั้นลองแวะสักหน่อย......โห....ถูกใจมากค่ะ   เขามีหนังสือมือที่ 3 ขายด้วยค่ะ (หนูเลือกใช้คำนี้  เพราะรู้สึกว่าหนังสือเก่าจะมีมิติในการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนดีค่ะ.....+ การที่เรามีร้านหนังสือที่ขายหนังสือมือที่3 ด้วย ทำให้เราไม่ลำบากไปอ่านตามถุงบนมที่แม่ค้าใส่มาให้เราค่ะ .......อ่านๆอยู่  มันก็ขาดตอน  แล้วก็ไปตามหาอ่านข้อความท่อนที่ขาดตอนไม่ได้ด้วยค่ะ......)  

             หนูก็เลือกมาได้พอสมควร  และได้ข่าวสารดีๆแปลกๆมาด้วยค่ะ.........เป็นของฝากจากกรุงเทพฯ ให้คุณหมอ และคุณ KRISY  นะคะ......

               มีรายงานข่าวว่า บริษัทผู้จำหน่ายตุ๊กตาหมีเทดดี้  แบร์  (ชนิดที่ผู้ซื้อเอาไปประกอบเอง) จะเลือกผู้สมัครงาน ที่ใช้กระดาษลายตุ๊กตาหมี เขียนจดหมายสมัครงาน  และจดหมายสมัครงานที่ได้รับการคัดเลือก   มักจะเป็นจดหมายที่มีข้อความสนุกสนานด้วยค่ะ         แต่หนูยังสงสัยต่อไปนะคะ  ว่า ถ้าพนักงานลาป่วย   ทางบริษัทฯ จะกำหนดให้ ใบรับรองแพทย์ที่ใช้ลาป่วย  เป็นลายตุ๊กตาหมีด้วยหรือเปล่า........คงจะลำบากวงการแพทย์ในเมืองนอกชอบกลๆ นะคะ

                จบแค่นี้ก่อนนะคะ.......สวัสดีค่ะ.........อ้อ....หนูลืมบอกไป ......หนูปรองดองกับรัฐบาลแล้วค่ะ  แล้วหนูจะเล่าให้ฟังอีกทีนะคะ 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท